ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำของดวงจันทร์และดอกโบตั๋น#ภรรยาโปรดวางแส้ลงก่อน

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 67


    หวังเยว่ซินไม่ได้สนใจว่าคุณชายเว่ยจะรู้สึกยังไง ดวงตาคมสีฟ้าใสราวกับผลึกแก้วยังคงจับจ้องไปที่เด็กสาวตรงหน้า เมื่อไม่ได้รับการตอบรับอย่างที่ต้องการ ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อก็ฉีกยิ้มเหยียดออกมาในทันที

    แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดูหมิ่นและเหยียดหยาม แต่ด้วยใบหน้าที่งดงามจนไม่มีผู้ใดกล้าเทียบเคียง ทำให้ชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยังมีสติอยู่ ถึงกับมองตาค้าง หัวใจในอกเต้นรัวขึ้นมาในทันที

    งดงามมาก...

    กระดาษยันต์ในมือถูกโยนใส่ร่างของเด็กสาว ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงกระดาษบางซึ่งสามารถถูกลดพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ แต่ทันทีที่ถูกปล่อยจากปลายนิ้วเรียว กระดาษยันต์กลับลอยเข้าไปติดที่กลางหน้าผากของเด็กสาวอย่างแม่นยำราวกับถูกบางอย่างชักนำ

    “กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!!” ทันทีที่แผ่นยันต์แตะลงบนร่าง เด็กสาวก็กรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด โซ่ที่ล่ามเธออยู่ ถูกดึงจนตึงจากแรงดิ้นของผีร้ายที่พยายามเอาตัวรอด แต่ยันต์ของหวังเยว่ซินแตกต่างจากยันต์ของคนอื่น เมื่อถูกติดลงไปแล้ว ถ้าหากคนเขียนไม่ได้เอาออกให้ ก็ยากนักที่จะหลุดเอง

    เว่ยมู่เฉินยกมือขึ้นปิดหู เสียงกรีดร้องที่แสดงถึงความเจ็บปวดของน้องสาว ทำให้ตัวเขาอยากจะหยุดนักพรตตรงหน้า แต่ลึกๆ ก็รู้ดีว่าตอนนี้ สิ่งที่อยู่ภายในร่างไม่ใช่น้องสาวที่รักอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงการปล่อยคนที่รู้วิธีทำ ทำงานไปเท่านั้น

    การดิ้นรนและเสียงกรีดร้องดังอยู่ประมาณ 10 นาที ในที่สุดทุกอย่างก็เริ่มเงียบลง หวังเยว่ซินก้าวตรงเข้าไปหาเด็กสาวที่ก้มหน้าอยู่กับพื้น สัมผัสของสกปรกบนพื้นที่ติดมากับรองเท้าทำให้ดวงตาคมฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย

    รองเท้าคู่นี้คงใช้ไม่ได้อีกแล้ว..

    มืองามราวกับหยกยกขึ้นปัดเส้นผมที่ปิดท้ายทอยของเด็กสาวออก สัญลักษณ์วงกลมที่ซ้อนทับกันสามชั้นอันคุ้นตา ทำให้หวังเยว่ซินแค่นเสียงในลำคอออกมาเบาๆ ด้วยความรำคาญใจ

    เดี๋ยวนี้ยมทูตทำงานพลาดกันเยอะเหลือเกิน

    ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนท้ายทอยของเด็กสาว พลังวิญญาณบางๆ ไหลลงไปสัมผัสกับสัญลักษณ์สีแดงสดที่ถูกสลักไว้ เพียงชั่วพริบตา สัญลักษณ์รูปวงกลมที่ซ้อนทับกันสามวงก็แตกออก

    “เอือก!!” เด็กสาวสะดุ้งสุดตัว ดวงตาของเธอเบิกกว้างคล้ายกับคนที่ปลุกให้ตื่นกะทันหัน

    “พี่คะ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ..” คุณหนูคนเล็กสุดหันมองรอบข้าง ก่อนจะเอ่ยปากถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงมึนงง

    ทำไมเธอถึงได้โดยล่ามอยู่ในที่สกปรกแบบนี้ล่ะ..

    “หลิ่งถิง! น้องได้สติแล้วเหรอ! รอเดี๋ยวนะ พี่ชายจะเอาโซ่ออกให้” เว่ยมู่เฉินรีบตรงเข้ามาปลดโซ่ที่ล่ามแขนน้องออกในทันที และคว้าตัวน้องมากอดเอาไว้แน่นโดยไม่ได้สนใจสิ่งสกปรกที่ติดตัวเธออยู่เลย

    น้ำเสียงหวานใสของน้องสาวที่ไม่ได้ยินมานานทำให้พี่ชายคนนี้อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา

    น้องของเขากลับมาแล้ว..

    “ทำความสะอาดอะไรให้เรียบร้อย แล้วพาทุกคนในครอบครัวคุณไปเจอผมที่ห้องโถง เดี๋ยวผมจะอธิบายเรื่องราวให้ฟังครับ” พูดจบ หวังเยว่ซินก็หันหลังออกไปจากห้องในทันที

    กลิ่นในห้องมันแรงเกินไปแล้ว..

    ขายาวก้าวไปตามเส้นทางเดิมที่เดินมาจนกระทั่งมาถึงห้องๆ หนึ่ง ที่เต็มไปด้วยวิญญาณมากมาย ไม่จำเป็นที่ต้องพูดหรือใช้ยันต์ให้เสียของ เพียงตวัดสายตามอง วิญญาณที่มีพลังอ่อนพวกนั้นก็พากันลอยหนีไปหมด

    บรรยากาศเย็นยะเยือกภายในห้องโถงอบอุ่นขึ้นมาในทันที แต่ถ้าเลือกได้หวังเยว่ซินชื่นชอบอาการเย็นๆ ของพวกวิญญาณมากกว่า

    คงเพราะความเคยชินที่อยู่กับคนตายมากกว่าคนเป็น...

    ร่างโปร่งของที่ปรึกษารูปงามนั่งลงบนโซฟานุ่ม แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้รูม่านตาสีฟ้าใสหดลงเล็กน้อย พร้อมกับเงาจางๆ ที่ปรากฏขึ้นใต้กลุ่มขนตายาว

    การได้มานั่งในห้องแบบนี้ ทำให้หวังเยว่ซินหวนคิดถึงอดีต ที่ครึ่งหนึ่ง ตัวเขาก็เองก็เคยได้นอนเล่นในห้องแบบนี้เช่นกัน

    แต่มันก็เป็นเพียงอดีต...

    ดวงตาคมกะพริบเบาๆ ความรู้สึกคิดถึงที่หลงเหลืออยู่ภายในดวงตาคู่งามก็หายไปในทันที กลับกลายเป็นความเฉยชาไม่สนโลกเหมือนปกติ

    เสียงฝีเท้าหลายคู่ที่ตรงมาทางนี้อย่างรีบร้อนทำให้หวังเยว่ซินรู้ได้ไม่ยากเลยว่างานใกล้จะเสร็จแล้ว

    “ท่านนักพรต ผมพาทุกคนในครอบครัวมาให้ตามที่ท่านสั่งแล้วครับ” เว่ยมู่เฉินพูดพลานหอบหายใจเล็กน้อย

    นี่เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เขามีความคิด ว่าคฤหาสน์ของตัวเองใหญ่เกินไป กว่าจะหาทุกคนในครอบครัวเจอ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน

    “นี่ชาค่ะ ขอบคุณที่ช่วยเหลือลูกสาวเราไว้นะคะ” คุณหญิงเว่ย ผู้เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดคุณชายและคุณหนูประจำตระกูล นำชาราคาแพงมาวางไว้ตรงหน้า ก่อนจะหลบกลับไปยืนรวมกลุ่มกับคนที่เหลือ

    หวังเยว่ซินจ้องมองมันนิ่งๆ แต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะยกขึ้นดื่ม

    พลังวิญญาณที่มีมากมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้ทำให้หวังเยว่ซินมองเห็นสิ่งที่คนปกติไม่เห็นควรเท่านั้น แต่มันคงส่งผลต่อระบบประสาทส่วนอื่นด้วย ทั้งการได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัส ไปจนถึงการลิ้มรส

    สำหรับคนอื่น การโดนมีดบาดอาจจะเป็นความเจ็บปวดที่สามารถทนได้ แต่กับตัวเขา ความเจ็บปวดจากการโดนมีดบาดนั้นมากพอๆ กับการโดนตัดนิ้ว

    ความหวานปกติสำหรับคนอื่น อาจจะเป็นความหวานที่มากเกินไปกับตัวเขา

    นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมหวังเยว่ซิน ถึงหลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวคนอื่นหรือมีความเรื่องมากในเรื่องการกินอาหาร

    “ตอนจากนี้ผมจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของพวกคุณ ตั้งใจฟังนะครับ ผมจะพูดเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” ดวงตาคู่งามกะพริบช้าลงเล็กน้อย

    หวังเยว่ซินกำลังคิดว่าจะพูดยังไงให้คนนอกเข้าใจมากที่สุด

    “จุดเริ่มต้นของเรื่องทุกอย่าง มาจากอาการป่วยของคุณหนูคนสุดท้อง แน่นอนว่าหมอธรรมดาไม่สามารถเข้าใจในอาการของเธอได้ เพราะเธอไม่ได้ป่วยด้วยโรคทางร่างกาย แต่เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในวิญญาณโดนตรง ผมขอถามหน่อยครับ ก่อนจะกลับมาที่บ้าน คุณหนู...ได้เจอกับใครหรือพบใครก่อนไหม” โฉมงามพ้นลมหายใจออกมาเบาๆ การพูดยาวแบบนี้กินพลังงานของเขาไปเยอะเลย

    “เอิ่อ... อะ..จริงสิ ก่อนหน้าที่จะถึงบ้าน หนูได้เจอกับคุณน้าที่อยู่บ้านข้างๆ ด้วยค่ะ หลังจากนั้น... ก็จำอะไรไม่ได้เลย” เด็กสาวขมวดคิ้วด้วยความมึนงง

    จะว่าไป พอมานึกย้อนคิดดูดีๆ เธอก็จำเรื่องต่อจากนั้นไม่ได้เลย ภาพทุกอย่างเหมือนมีหมอกมาปกคลุม จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมาถึงบ้านตอนไหนหรือคุยกับใครไปบ้าง

    “น้าข้างบ้านเหรอลูก ใช่คุณหญิงหยางที่ชอบเอาของมาฝากเรารึเปล่า” คุณหญิงเว่ยถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจ

    ตัวเธอเป็นแม่บ้านที่ไม่ได้ทำงานแล้ว วันๆ ก็อยู่แต่ในคฤหาสน์หรือไม่ก็ออกงานสังคมเป็นครั้งคราว คุณหญิงหยางที่อยู่บ้านข้างๆ จึงนับว่าเป็นเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่ช่วยคลายความเหงาให้เธอในวันที่ทุกคนไปทำงานกันหมด

    คุณหญิงเว่ยไม่อยากเชื่อเลยว่า เพื่อนที่เธอไว้ใจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวที่เธอรักต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้

    “หนูพูดจริงนะคะแม่” คุณหนูเว่ยยืนยันเสียงแข็ง อาจจะเพราะมันเป็นทรงจำเดียวที่ยังเด่นชัด ทำให้เธอมั่นใจมาก

    “คนที่คุณหนูเจอก่อนจะกลับบ้าน ได้วาดสัญลักษณ์นี้ไว้บนท้ายทอยของคุณหนู” ปลายนิ้วเรียวแตะลงที่ผิวน้ำชาเบาๆ จนเกิดคลื่นน้ำเป็นวง จากนั้นก็นำมาวาดบนโต๊ะ

    สัญลักษณ์รูปวงกลมสามวงที่เท่ากันเป๊ะเหมือนคัดลอกปรากฏขึ้นบนโต๊ะไม้ราคาแพง

    “แม้ว่าจะดูเรียบง่าย แต่นี่คือสัญลักษณ์ที่มักจะถูกเขียนลงบนร่างกายของคนต้องการสังเวยหรือเซ่นไหว้ให้กับพวกวิญญาณในอดีตครับ” คำพูดแสนเฉยเมยที่ออกมาจากปากของหวังเยว่ซินสร้างความตกใจให้กับครอบครัวเว่ยอย่างมาก

    ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องผีหรือวิญญาณ แต่คำว่าสังเวยหรือเซ่นไหว้ก็ไม่ใช่คำที่ดีเลย

    “ร่างกายของคนเป็น ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณคนตายสามารถเข้ามาสิงได้ง่ายๆ เพราะทุกคนมีเกราะป้องกันที่เรียกว่าจิตอยู่ แต่สัญลักษณ์นี้ หน้าที่ของมันคือการรบกวนจิตของคนเป็น ทำให้วิญญาณเข้ามาสิงในร่างได้” ผ้าเช็ดหน้าที่ปักเป็นลายดอกโบตั๋นสีเหลืองอ่อนถูกนำขึ้นมาเช็ดที่ปลายนิ้ว

    หลักการทำงานของสัญลักษณ์นี้มันไม่ยุ่งยาก ได้ผลดี แถมยังวาดง่าย เพราะแบบนั้นกว่าจะจัดการให้มันหายไปหมดได้จึงใช้เวลานาน ไม่คิดจริงๆ ว่าจะมาเจออีกครั้งแบบนี้

    “นอกจากจะทำให้จิตพังทลายและทำให้ถูกวิญญาณร้ายสิงแล้ว ถ้าหากว่าตัวคนที่ถูกวาดสัญลักษณ์นี่ยังอยู่ในบ้านอีก มันก็จะเหมือนกับการยินยอมให้วิญญาณเร่ร่อนต่างๆ เข้ามาให้บ้านอีกด้วย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมภายในบ้านของคุณถึงได้มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย” หวังเยว่ซินลุกขึ้นจากที่นั่ง พร้อมกับจับชายเสื้อที่ยับให้เข้าที่

    “ตอนนี้ผมแก้ปัญหาทุกอย่างให้แล้ว พวกคุณสามารถอยู่บ้านได้อย่างสบายใจ ส่วนคุณหนูคนเล็ก ต่อจากนี้ถ้าหากมีเวลาว่าง ก็แวะไปที่อารามของเราได้ ท่านเจ้าอารามจะทำพิธีชำระล้างจิตวิญญาณให้ จะได้ไม่เสี่ยงโดนผีสิงอีก” คนที่โดนผีสิงไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็เหมือนประตูบ้านที่มีรอยงัด ถึงไม่ใช่วิญญาณทุกคนจะสามารถเข้าสิงได้ แต่ถ้าบังเอิญเจอพวกที่มีพลังมากกว่าปกติ โอกาสที่จะถูกสิงก็สูง

    หวังเยว่ซินขี้เกียจลงเขามาอีกรอบ

    “ดะ...เดี๋ยวค่ะ ท่านนักพรต! เรื่องทั้งหมดจบลงแล้วใช่ไหมคะ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้วจริงๆ ใช่ไหม” คุณหญิงเว่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

    หัวอกคนเป็นแม่อย่างเธอ การที่ต้องเห็นลูกสาวคลุ้มคลั่งเพราะผีที่ไหนไม่รู้เข้าสิง ลูกชายก็ทำงานหนักจนแทบจะไม่มีเวลานอน สามีก็ป่วยจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ ทุกอย่างมันหนักมากสำหรับเธอ

    “ใช่ครับ จากนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ส่วนเรื่องของคนที่ลงมือทำ นั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของผมแล้วครับ” ที่ปรึกษาคนงามเดินออกมาจากคฤหาสน์โดยไม่สนใจเสียงเรียกของใคร

    ถ้าหากว่าเป็นนักพรตคนอื่นมาทำงานนี้ พวกเขาไม่มีทางปิดงานได้เร็วเหมือนกับหวังเยว่ซิน เพราะหนึ่งคือพวกเขาไม่ได้เก่งเท่า ประสมการณ์ก็ไม่ได้มาก เจอแค่เสียงร้องของวิญญาณเข้าไปก็จิตใจสั่นไหวแล้ว

    และสองคือพวกเขาต้องการขายเครื่องรางต่างๆ ที่ทางอารามสร้างขึ้นมา ให้กับผู้ว่าจ้างเพิ่ม ซึ่งก็ไม่ได้ถือว่าผิดอะไร ยังไงเครื่องรางพวกนั้นก็สามารถไล่วิญญาณได้จริงๆ บางชิ้นยังเสริมโชคลาภได้ด้วยซ้ำ

    แต่สำหรับหวังเยว่ซิน ผู้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน เขายินดีที่จะได้ทำงานเท่าที่โดนจ้าง มากกว่าจะต้องเสียเวลาขายของที่มีค่าเศษเงิน

    ผู้จ้างบอกชัดเจนว่าต้องการให้หวังเยว่ซินไล่ผีให้ ตัวเขาก็ทำให้ตามที่ขอ ส่วนเรื่องที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาอีกแล้ว

    ทันทีที่เห็นแดดข้างหน้า ร่มจีนโบราณก็ยกขึ้นกางเหนือหัวในทันที ด้วยความที่ผีทั้งหมดถูกขับไล่ออกไปแล้ว ไอความตายที่เหลืออยู่ก็ถูกแสงแดดเผาไปเกือบหมด อากาศจึงกลับมาร้อนสมกับหน้าร้อนอีกครั้ง

    นับว่าตระกูลเว่ยมีวาสนาจริงๆ ไม่ใช่แสงแดดทุกวันหรอกนะ ที่จะสามารถทำลายไอความตายที่หนาขนาดนี้ได้

    หวังเยว่ซินไม่ได้สนใจหรอก ว่าคนทำจะลงมืออีกรอบรึเปล่า

    เพราะในฐานะของคนที่เคยเป็นหนึ่งในผู้กวาดล้างและทำลายสัญลักษณ์นี้ ที่ปรึกษาหนุ่มรู้ดีว่าผลกระทบที่ตามมาหลังจากการเอาชีวิตไปเล่นกับพวกวิญญาณมันเป็นยังไง

    ดวงตาสีฟ้าใสราวกับผลึกแก้วเงยขึ้นมองท้องฟ้า กลุ่มเมฆที่หายไปเหลือไว้เพียงฟ้าโปร่ง ทำให้โฉมงามอดไม่ได้ที่จะพ้นลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างไม่พอใจนัก

    ปลายนิ้วเรียวยาวราวกับหยกเนื้องามยื่นออกมาจากร่ม แสงแดดที่ส่องลงมากระทบเผยให้เห็นความเนียนละเอียดของผิวกายได้อย่างชัดเจน

    พลังวิญญาณบาง ๆ แผ่ออกมาจากปลายนิ้ว ผสมเข้ากับแสงแดดในธรรมชาติ เกิดเป็นวิหคสีทองขนาดเท่าฝ่ามือที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้

    ขาของวิหคเกาะอยู่บนปลายนิ้วงาม ขนฟูฟ่องที่อกปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่าน พร้อมกับปีกที่สะบัดไปมาไม่หยุดพัก ดวงตากลมโตของมันจ้องมองผู้ให้กำเนิดอย่างมีชีวิตชีวาราวกับตัวมันเป็นสัตว์ที่มีลมหายใจจริงๆ

    รูม่านตาสีฟ้าใสจ้องมองวิหคน้อยตรงหน้านิ่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องเอ่ยคำพูดใดให้มากความ วิหคสีทองก็กระพือปีกขึ้นสู่ท้องฟ้า ตรงไปยังเป้าหมายที่ผู้สร้างมันออกคำสั่ง

    ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่รถหรูคันสีดำคันใหม่ขับมาเข้ามาจอดตรงหน้าหวังเยว่ซินพอดี

    ชายหนุ่มร่างสูงก้าวขาลงมาจากที่นั่งคนขับ ผิวสีแทนและเส้นผมสีเงินซอยสั้นด้านข้างทำให้รู้ได้ไม่ยากนักว่าเขาคงไม่ใช่คนในประเทศนี้

    แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หวังเยว่ซินให้ความสนใจอยู่ดี

    เมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูรถและเชิญเขาด้วยท่าทางสุขภาพ หวังเยว่ซินจึงยอมก้าวเข้าไปข้างใน ท่าทางการนั่งตามหลักมารยาทที่ควรจะเป็นนั้น ทำให้ชายหนุ่มผู้รับหน้าที่ขับรถเหลือบมองด้วยความแปลกใจ

    ต่อให้จะออกจากบ้านไปนานแค่ไหน ท้ายที่สุด คุณชายหวังก็ไม่มีทางเหมือนกับคนธรรมดาจริงๆ ..

    “คนขับรถที่มารับคุณชายก่อนหน้านี้ ประสบอุบัติเหตุขึ้นในตอนที่กำลังขับกลับ โชคดีที่ไม่ถึงชีวิต แต่ก็สาหัสจนต้องเข้าไอซียู ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้สติ” ระหว่างที่กำลังมองถนนข้างหน้า คนขับรถคนใหม่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมารับคุณชาย

    “บอกผมทำไมครับ” ดวงตาคมสีฟ้าใสราวกับผลึกแก้วสบกับดวงตาสีเงินที่มองผ่านกระจกหลัง

    หือ... ตาสวยใช้ได้เลยนี่..

    “หลายคนบอกว่าเป็นฝีมือของคุณชาย ผมอยากรู้ว่าจริงรึเปล่า แล้วทำไมคุณชายถึงต้องทำแบบนั้นด้วย” ระหว่างที่พูด คิ้วสีเงินของซามูเอลก็ขมวดเข้าหากันอย่างช้าๆ เมื่อเห็นภาพที่ผิดปกติตรงหน้า

    ทำไม... ทุกครั้งที่กำลังจะจอดติดไฟแดง มันถึงได้กลายเป็นไฟเขียวแบบนี้ล่ะ เวลายังไม่หมดเลยนะ

    “นานมากแล้วนะครับเนี่ย ที่ไม่ได้มีคนถามถึงเหตุผลในการกระทำของผม” หวังเยว่ซินพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้สนใจเลยว่าคำพูดนั้นจะกลายเป็นคำยืนยันว่าตัวเองเป็นคนทำรึเปล่า

    “คุณชาย ทำแบบนั้นไปเพื่อ-หือ! เกิดอะไรขึ้น!!” ซามูเอลพยายามหยุดรถเพื่อที่จะหันไปคุยกับคนที่นั่งอยู่ข้างหลังให้รู้เรื่อง แต่ว่าทั้งเบรกและพวงมาลัยกลับไม่ยอมขยับ ต่อให้เขาจะพยายามออกแรงเหยียบขนาดไหน มันก็เหมือนรถนี้ไม่ต้องการหยุด มีแต่ละเร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกหวาดกลัวในใจ

    พวงมาลัย... มันขยับเองได้...

    “จากท่าทางของคุณแล้ว คงพึ่งจะมาทำงานไม่กี่วันสินะครับ ผมจะขอเตือนเอาไว้หน่อยนะ บางเรื่อง ทำเป็นหลับหูหลับตา ไม่รับรู้มันจะดีกว่านะครับ อย่าสาวไหมพันตัวเองเลย” สิ้นเสียงของหวังเยว่ซิน รถที่แล่นด้วยความเร็วเกินระดับที่กฎหมายกำหนดมาตลอดทางก็หยุดลงอย่างช้าๆ

    ชายผู้ครอบครองความงามที่เหนือกว่าใครก้าวขาลงจากรถโดยไม่ลืมหยิบร่มมาด้วย ขาเรียวยาวก้าวไปตามขั้นบันไดเพื่อกลับบ้าน โดยมีดวงตาคมสีเงินของคนขับรถมองตามหลัง

    รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของผู้ที่มีนามคล้ายกับ ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ซามูเอลรู้สึกถึงความท้าทาย

    หวังเยว่ซิน นอกจากความงามที่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้แล้ว นายยังมีความลับอะไรอยู่อีกกันนะ อยากรู้จริงๆ ...

    ............................................

    ในขณะเดียวกัน ทางด้านโม่ฟางเซียนที่ตามหวังเยว่ซินมาก็เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับเขาจนได้

    “โอ๊ย! อะไรมันจะรถติดขนาดนี้เนี่ย!! จะถึงบ้านผู้จ้างวานตอนไหนกัน!!” โม่ฟางเซียนยกมือขึ้นขยี้หัวด้วยความหงุดหงิด จนผมสีเงินของเขายุ่งไม่ต่างจากรังนก

    เขาก็นั่งรถมาดีๆ นะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ รถมันก็พากันติดเหมือนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้า รอมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว รถของเขาก็ยังขยับไปไหนไม่ได้เลย

    แบบนี้เมื่อไหร่เขาจะทำงานเสร็จกันล่ะ ว่าจะลองชวนท่านที่ปรึกษาไปทานอาหารด้วยสักหน่อย แบบนี้แผนก็พังหมดเลยสิ!

    ....................................

    ในตอนที่หวังเยว่ซินกลับมาถึง พระอาทิตย์ก็เริ่มตกลงไปใต้ขอบฟ้าแล้ว ดวงไฟมากมายถูกเปิดขึ้นภายในบ้านเพื่อเพิ่มความสว่าง รองเท้าทรงจีนโบราณคู่เก่าพร้อมกับร่มที่ใช้มาตลอดทั้งวันถูกทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ลังเล

    รองเท้าคู่นี้เดินเหยียบในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจที่จะล้าง ส่วนร่มก็ฟาดหน้าวิญญาณร้ายมา ถึงจะไม่ได้มาก แต่ก็มีไอความตายติดมาด้วย ปล่อยเอาไว้นานๆ เดี๋ยวจะฝันร้ายเอา

    แค่นี้หวังเยว่ซินก็หลับแทบไม่ลงอยู่แล้ว...

    มืองามไร้ซึ่งรอยตำหนิใดๆ หยิบเอารองเท้าแบบเดิมที่ไม่มีลายออกมาจากห้องเก็บของ พร้อมกับเข็มและด้ายหลายสีสัน

    โฉมงามค่อยๆ ปัดลายดอกโบตั๋นสีฟ้าอ่อนลงบนพื้นสีขาวของรองเท้าอย่างช้าๆ ท่าทางการทำที่ชำนาญราวกับทำมาเป็นพันครั้งสร้างรอยยิ้มจางๆ ให้กับบางสิ่งที่แอบมองอยู่ไม่ไกล

    ในบ้านนี้ ตั้งแต่ชุด รองเท้า กางเกง ไปจนถึงถุงที่ทำมาสำหรับใส่เหรียญคนตาย ทุกอย่างล้วนถูกปักด้วยฝีมือของหวังเยว่ซินเอง

    ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงทำได้ เพราะในชีวิตนี้ ตั้งแต่เกิดจนโต หวังเยว่ซินก็แน่ใจว่าไม่เคยเรียนการปักผ้ามาก่อน ยิ่งเป็นการปักผ้าระดับสูงที่ทำออกมาได้สมจริงจนพวกผีเสื้อยังเข้าใจผิดแบบนี้อีก ยังไงตัวเขาก็ไม่มีทางทำได้แน่ๆ

    แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ทุกครั้งที่จับเข็มกับด้าย ก็ราวกับร่างกายมันจดจำว่าต้องทำแบบไหน ต่อให้จะไม่มีความคิดหรือความทรงจำ ท้ายที่สุด การปักผ้าจึงกลายเป็นงานอริเรกเพียงไม่กี่อย่างในชีวิตของเขา

    หวังเยว่ซินวางรองเท้าที่ปักไปได้แค่ข้างเดียวลง ก่อนจะเดินออกไปที่สวนหลังบ้าน ดวงตาคู่งามสะท้อนภาพของพระจันทร์เต็มดวงกลางท้องฟ้า ดูเหมือนเขาจะใช้เวลาปักข้างหนึ่งนานกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย

    พุ่มของดอกไม้โบตั๋นตรงหน้าที่สั่นไหวไปมา คือสิ่งที่ทำให้ที่ปรึกษารูปงามยอมเดินออกมาในสวนตอนนี้

    ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองบริเวณที่สั่นไหวนิ่งๆ ไม่มีความกลัวหรือความร้อนใจ กลับกัน ภายในดวงตาคู่งามกับแฝงไปด้วยการรอคอยอย่างหาได้ยาก

    และไม่นานนัก กระต่ายขนฟูที่คาบดอกโบตั๋นดอกใหญ่ก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ ขนสีขาวของมันสะท้อนกับแสงจันทร์เหนือหัว สร้างความโดดเด่นในแบบที่แตกต่างจากกระต่ายทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

    มันหันมองซ้ายขวาเหมือนกำลังหาใครอยู่ ซึ่งทันทีที่เห็นเขายืนอยู่ กระต่ายโตเต็มวัยก็รีบวิ่งเข้ามาหา อุ้งมือน้อยๆ ที่แสนปุกปุยยื่นดอกไม้มาให้โฉมงามที่ยืนรออยู่อย่างไม่ลังเล

    “หึๆ ขอบคุณ ยังคงมาตรงเวลาเสมอเลยนะ” หวังเยว่ซินรับดอกโบตั๋นมาประดับไว้ข้างหู ความงามที่ปกติจะดูเย็นชากับทุกอย่าง ดูหวานละมุนขึ้นมาทันตา

    ในฐานะของคนที่ดูแลดอกไม้ทั้งหมด ทำไมจะไม่รู้กันว่าดอกโบตั๋นดอกนี้ไม่ได้มาจากสวนของเขา

    มืองามช้อนร่างของกระต่ายขาวขึ้นอุ้มในอ้อมแขน ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อกดจูบลงบนหน้าผากนุ่มนิ่มของกระต่ายขนฟูเบาๆ

    กระต่ายน้อยปล่อยตัวนอนนิ่งให้คนงามจับเล่นได้อย่างสบายใจ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่ต่างจากกระต่ายทั่วไปของมันจ้องมองชายรูปงานตรงหน้าไม่ละสายตา

    หวังเยว่ซินหันหลังกลับเข้าบ้านพร้อมกับกระต่ายน้อยในอ้อมกอด ดอกโบตั๋นดอกใหญ่ที่ทัดอยู่บนปลายหู ถูกนำออกมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน

    เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอามันไปจัดใส่แจกันเอาไว้

    หวังเยว่ซินเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงนอนของตัวเอง มืองามราวกับหยกลูบไล้ไปตามแนวขนของกระต่ายที่นอนนิ่งอยู่บนอกไปมา ไม่มีการพูดคุยหรือเล่นอะไรเกิดขึ้น มีเพียงการนอนนิ่งๆ เงียบๆ พร้อมกับบรรยายที่เต็มไปด้วยความสบายใจ

    เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่หวังเยว่ซินจำความได้ ตัวเขามักจะได้รับดอกโบตั๋นจากกระต่ายขนสีขาวตาสีน้ำเงินตัวนี้ ในวันพระจันทร์เต็มดวงเสมอ

    หวังเยว่ซินไม่เคยคิดสงสัยว่ากระต่ายตัวนี้เป็นอะไรกันแน่ เพราะไม่ได้รู้สึกถึงความอันตรายอะไรจากมันเลย กลับกัน เขากับรู้สึกได้ถึงความเอาอกเอาใจ ความทะนุถนอม และความรักในแบบที่ไม่เคยรู้สึกจากใคร มาจากกระต่ายตัวนี้

    จะบอกว่าหวังเยว่ซินชื่นชอบกระต่ายตัวนี้มากก็คงไม่ผิดนัก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถเลี้ยงมันได้ ทันทีที่พระจันทร์ลับขอบฟ้าไปแล้ว กระต่ายขนฟูตัวนี้ก็จะหายไปด้วย

    สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ ก็แค่พยายามกอดเล่นกับมันให้มากที่สุด ในเวลาเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น

    เพียงไม่นานดวงตาสีฟ้าใสอันงดงามก็เริ่มปรือลงอย่างช้าๆ ก่อนที่สติจะดับไป หวังเยว่ซินรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มๆ ของเส้นขนที่แตะลงบนหน้าผากของเขา

    และคืนนั้น ก็เป็นคืนที่หวังเยว่ซินไม่ฝันร้ายอีกแล้ว...

    ............................................

    รู้ไหมคะ ว่าตอนๆ หนึ่งของเรื่องนี้ ไรท์ใช้เวลาแตกอยู่ 4 วันเต็มๆ เลย ไม่ได้ยากที่คำพูดนะ แต่ยากที่จะบรรยายความสวยของนายเอกออกมายังไง55555555

    คอมเมนต์ให้ไรท์หน่อยน่า นานๆ ทีไรท์จะแต่งตอนยาวๆ แบบนี้

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×