ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำของดวงจันทร์และดอกโบตั๋น#ภรรยาโปรดวางแส้ลงก่อน

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 67


    ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนผ่านขึ้นไปอยู่กลางศีรษะ ความร้อนที่อบอ้าวของฤดูร้อนก็เริ่มทำให้คนที่นั่งอาบเล่นอยู่ที่ชานบ้านรู้สึกไม่สบายตัว เสียงพูดคุยของเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายของเจ้าอารามดังมาเป็นพักๆ ชวนให้รู้สึกระคายหู

    ต่อให้บ้านของหวังเยว่ซินจะตั้งอยู่ห่างจากอาคารหลักที่พวกลูกศิษย์เรียนกันอยู่มาก แต่ด้วยความที่ตัวเขามีความสำคัญต่ออารามนี้ไม่น้อย ทำให้ตัวบ้านอยู่ใกล้กับอาคารที่เจ้าอารามอยู่แทน เวลาที่มีพวกลูกศิษย์มาปรึกษาอาจารย์ เสียงมันจึงลอยเข้าหูอย่างช่วยไม่ได้

    ชายผู้ครอบครองใบหน้าที่งามล้ำกว่าถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่จะบอกว่าคนที่สร้างบ้านผิดก็คงไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะแต่เดิมแล้ว คนที่เลือกตำแหน่งที่ตั้งก็คือตัวหวังเยว่ซินเอง

    ร่างโปร่งลุกขึ้นจากที่นั่ง ดวงตาคมสีฟ้าใสราวผลึกแก้วเงยขึ้นมองฟ้า รูปร่างของเมฆที่เห็นทำให้หวังเยว่ซินหรี่ตาลงเล็กน้อย ประกายความไม่พอใจพาดผ่านชั่วขณะ ก่อนจะเดินหันหลังเข้าไปข้างในบ้าน

    ทั้งๆ ที่วันนี้ตั้งใจจะอยู่บ้านเฉยๆ แท้ๆ ...

    จานขนมและแก้วชาที่วางทิ้งเอาไว้อย่างไร้คนสนใจหายไปในทันทีราวกับไม่เคยมีมาก่อน

    หวังเยว่ซินเดินตรงเข้ามาในห้องทำงาน ดวงตาคมกวาดมองไปกองกระดาษที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ปลายนิ้วเรียกยาวราวกับหยกเนื้องามลูบไปตามตัวอักษรสีแดงสดที่เป็นคนเขียนขึ้นมาเองกับมือ

    ร่างอันสง่างามของที่ปรึกษาคนเดียวของอารามนิ่งไปชั่วขณะเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจคว้าเอาแผ่นยันต์กองหนึ่งขึ้นมาใส่กระเป๋ากางเกง

    กี่เพ้าที่หวังเยว่ซินเลือกสวมเป็นกี่เพ้าแบบที่ชายเสื้อยาวลงมาถึงข้อเท้า ตรงข้างตัวตั้งแต่ส่วนสะโพกลงมาแหวกออกเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนไหว จริงๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่เพราะไม่อยากให้มันโป๋มากจนเกินไป ข้างในจึงมีกางเกงผ้าเนื้อดีสวมไว้อีกชั้น

    น่าแปลกที่กระดาษทั้งหมดสามารถลงไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงแคบๆ ได้โดยที่ไม่มีการยับหรือทำให้กระเป๋าฟองขึ้นมาเลยสักนิด

    หวังเยว่ซินคว้าเอาแส้สีขาวคู่ใจเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนที่จะเดินออกมาจากบ้าน เท้าทรงสวยภายใต้ถุงเท้าหนาแบบไม่สนใจสภาพอากาศสวมลงบนรองเท้าทรงจีนสีขาวสีดำที่ปักลายดอกโบตั๋น

    หลังจากแน่ใจว่าไม่ลืมอะไร มือเรียวก็คว้าเอาร่มทรงจีนขึ้นกางไว้เหนือหัวเพื่อกันแดด จากนั้นก็เดินตรงไปที่หน้าอาราม ทางลงเขาเดียวที่สบายที่สุด

    ระหว่างทางเดิน หวังเยว่ซินสวนทางกับลูกศิษย์หลายคนที่มีทั้งคนที่คุ้นหน้าและคนแปลกหน้า ทุกคนล้วนก้มหน้ามองพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้างดงามของที่ปรึกษาเพียงคนเดียวของอาราม

    ซึ่งแน่นอนว่าหวังเยว่ซินก็ไม่ได้สนใจ โฉมงามทำเพียงก้าวเดินไปตามพื้นหญ้าสีเขียวด้วยความเร็วคงที่ ดวงตาคมสีฟ้าใสราวกับผลึกแก้วมองตรงไปข้างหน้าด้วยความเฉยชา แต่เมื่อเห็นใครบางคนที่ยืนรออยู่ตรงทางออก ประกายความรำคาญใจก็พาดผ่านดวงตาคู่งามในทันที

    “หวังเยว่ซิน-”

    “รู้แล้ว” ไม่รอให้อีกฝ่ายพ้นคำน่ารำคาญอะไรออกมา หวังเยว่ซินก็พูดขัดพร้อมกับเดินผ่านอีกคนลงไปที่บันไดทางลงเขาทันที

    “นี่! รอก่อนสิ งานครั้งนี้อาจารย์บอกให้ฉันไปด้วยนะ” โม่ฟางเซียน ผู้เป็นศิษย์คนที่สามของอารามหนีวิ่งตามหลังของที่ปรึกษาคนงามอย่างรีบร้อน

    ภายในอารามจางเหว่ยแห่งนี้ มีอาคารแยกอยู่มากมาย ส่วนใหญ่ล้วนงดงามจนเหมือนภาพแดนเทพเซียนในจินตนาการ ทั้งน้ำตกตามธรรมชาติ ป่าไม้สูงใหญ่ ไปจนถึงพวกสัตว์ป่า

    ก็ไม่รู้เหมือนว่าอาจารย์สามารถทำได้ยังไง สร้างอาคารที่ใหญ่ขนาดนี้ได้โดยไม่ทำลายธรรมชาติรอบๆ

    ศิษย์สายในทั้งหมด 5 คนและศิษย์สายนอก 2 คน ถ้าหากรวมตัวอาจารย์และที่ปรึกษาเข้าไปด้วย คนที่อาศัยอยู่บนภูเขาทั้งหมดก็มีเพียงแค่ 9 คน ไม่มีคนรับใช้ที่คอยดูแลหรือเปิดให้คนนอกเข้าเยี่ยมชม

    เมื่อเข้ามาอยู่ในอารามแล้ว พวกเขาก็จำเป็นต้องพึ่งตัวเองทั้งหมด ดีหน่อยที่คนในภูเขานี้น้อย ทุกคนจึงมีบ้านพักเป็นของตัวเอง แต่แน่นอนว่าทั้งการทำอาหาร การทำความสะอาด ไปจนถึงการดูแลบ้าน พวกเขาทุกคนต้องทำตัวเอง

    แม้ว่าจะมีการสนับสนุนจากเงินบริจาคมากมายของคนที่พวกเขาเคยไปช่วยเหลือ แต่เจ้าอารามก็ไม่เคยที่จะเอาเงินส่วนนั้นมาใช้จ่ายในส่วนตัวเลยสักนิด ส่วนใหญ่ถ้าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่างการที่บ้านพักของลูกศิษย์พังหรือว่ามีใครป่วยหนักขึ้น อาจารย์ก็จะไม่แตะต้องเงินส่วนนั้น

    โม่ฟางเซียนเข้ามาเป็นศิษย์สายในคนที่ 3 ของอารามตั้งแต่ตอนที่อายุ 15 ปี และอยู่ในอารามมาตลอดจนตอนนี้อายุได้ 20 ปี เขามีใบหน้าหล่อเหล่าตามแบบของชาวจีนทั่วไป บุคลิกร่างเริงสดใสสมกับเป็นวัยรุ่น

    เส้นผมยาวประบ่าซึ่งย้อมจนเป็นสีเงินถูกมัดเอาไว้หลวมๆ ที่ท้ายทอยส่ายไปมาตามการเคลื่อนไหว ดวงตาคมสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองแผ่นหลังของคนที่นำหน้าอยู่แบบปลงๆ

    “งานง่ายๆ แค่นี้ ผมคนเดียวก็เพียงพอ” หวังเยว่ซินพึมพำเสียงเบาระหว่างที่ก้าวลงบนขั้นบันไดหินชันๆ ที่สร้างขึ้นสำหรับการขึ้นลงภูเขา ดวงตาคู่งามมองตรงไปข้างหน้าโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะสะดุดล้ม มือข้างหนึ่งจับร่มเอาไว้แบบหลวมๆ ขณะที่อีกข้างวางไว้ข้างลำตัว

    ท่าทางการเดินที่เต็มไปด้วยความสง่างามนั้นทำให้คนที่เดินตามมาข้างหลังอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความชื่นชม

    ถึงหวังเยว่ซินจะเป็นพวกที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่อย่างหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ก็คือ เขางดงามทั้งร่างกายและบุคลิกจริงๆ

    แต่แล้วความรู้สึกเสียวสันหลังราวกับถูกสิ่งที่อันตรายมากๆ จ้องมองก็ทำให้โม่ฟางเซียนรีบหลุดตามองต่ำในทันที

    เกือบไปแล้ว... เกือบทำให้สิ่งนั้นไม่พอใจแล้ว..

    “ฮะแฮ่ม! เรื่องรายละเอียดของงาน-”

    “ผมรู้แล้ว” หวังเยว่ซินพูดตัดบทด้วยความรำคาญใจ ดวงตาคมสีฟ้าใสสะท้อนกับแสงแดดจนเกิดประกายต้องมนต์ รายละเอียดของงานครั้งนี้ฉายอยู่บนเมฆเหนือหัวแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องฟังคำพูดของคนอื่นในระคายหู

    เห็นท่าทางอารมณ์ไม่ดีในแบบที่พร้อมจะผลักทุกคนลงจากเหวทุกเมื่อของท่านที่ปรึกษา โม่ฟางเซียนก็รับหุบปากในทันที

    เดิมทีแล้ว หวังเยว่ซินเคยเป็นศิษย์สายในของอาจารย์มาก่อน แต่ด้วยพลังวิญญาณที่มากมหาศาลมาตั้งแต่เกิด ทำให้ตัวเขาสามารถก้าวข้ามอาจารย์ได้ภายในระยะแค่ 2 ปีหลังจากเริ่มเรียน

    พลังวิญญาณคืออะไรงั้นเหรอ มันก็คือสิ่งที่อยู่ในร่างกายของคนทุกคน เพียงแต่ว่าจะมากหรือน้อยก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับเรื่องชาติก่อนที่คนๆ นั้นทำมา

    จะบอกว่าเป็นผลบุญที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็คงไม่ผิดนัก

    คนที่มีพลังวิญญาณมากเกินกว่าที่ร่างกายจะรองรับไหว มักจะมองเห็นสิ่งแปลกๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น อาจารย์บอกว่ามันคือการก้าวผ่านเส้นแบ่งระหว่างโลกคนเป็นและคนตาย

    แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่หรอก เพราะพลังวิญญาณที่มากก็หมายถึงการดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา วิญญาณส่วนใหญ่ล้วนปรารถนาที่จะปรากฏให้คนเป็นเห็น สิ่งที่พวกมันต้องการก็คือพลังวิญญาณที่มากพอ เด็กส่วนใหญ่ที่เกิดมาจึงไม่ค่อยรอดมาจนโต

    ทุกคนที่ได้รับเลือกเป็นศิษย์สายใน จะต้องเข้าร่วมพิธีการเปิดดวงตา ซึ่งนั้นจะทำให้พวกเขามองเห็นในสิ่งที่อยู่ในโลกคนตาย ในช่วงแรกๆ มันก็จะลำบากหน่อย แต่พอเวลาผ่านไป พวกเขาก็จะชินไปเอง

    หวังเยว่ซินจึงเป็นกรณีพิเศษที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆ

    เมื่อไม่มีวิชาจะต้องสอน โดยปกติอาจารย์ก็จะปล่อยให้ลงลูกศิษย์คนนั้นลงจากเขาและหาทางไปด้วยตัวเอง

    แต่ว่า หวังเยว่ซินนั้นแตกต่าง โม่ฟางเซียนก็ไม่ได้รู้รายละเอียดของเรื่องนี้มากนัก เพราะตอนนั้นตัวเขายังไม่ได้เข้ามาเป็นศิษย์เลย แต่จากคำบอกเล่าของศิษย์พี่ เหมือนมันจะเกี่ยวข้องกับชะตาของหวังเยว่ซินเอง

    ไปๆ มาๆ อาจารย์ก็เลยยกตำแหน่งที่ปรึกษาเพียงหนึ่งเดียวให้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น หวังเยว่ซินก็ไม่ได้ทำงานตามชื่อตำแหน่งหรอกนะ สำหรับคนงามขี้รำคาญและยังอันตราย ตำแหน่งก็เป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น

    แม้ว่าหวังเยว่ซินจะได้ชื่อว่าคนที่เก่งที่สุดรองลงมาจากอาจารย์ แต่ด้วยความขี้รำคาญบวกกับเกลียดชังความวุ่นวาย ที่ปรึกษารูปงามจึงแทบจะไม่ลงเขาเลยหากไม่จำเป็นหรือว่าผู้ว่าจ้างจ่ายเงินจำนวนมากมา

    ซึ่งดูเหมือนรอบนี้จะเป็นอย่างหลัง

    ระหว่างทางเงียบสงบ นอกจากเสียงของเหล่าวิหคที่ดังมาเป็นระยะๆ ก็ไม่มีเสียงพูดคุยอะไรอีก โม่ฟางเซียนต้องก้มลงมองบันไดทุกครั้งที่ก้าวเดิน ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามปิดปากให้เงียบที่สุด แม้แต่เสียงหอบก็ห้ามปล่อยให้เล็ดลอดออกมา

    ไม่งั้นมีหวังถูกถีบลงภูเขาแน่ๆ

    หลังจากเดินมาได้ประมาณ 30 นาที ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ลงมาจนถึงชายเขา ความร้อนแสนอบอ้าวของฤดูร้อนบวกกับความเหนื่อยจากการเดินนานๆ ทำให้โม่ฟางเซียนแทบจะล้มตัวลงไปนอนกับพื้นอย่างหมดแรง

    โดยปกติ เวลาอยู่บนภูเขา ลูกศิษย์ทุกคนจะต้องสวมใส่เครื่องแบบที่อารามจัดเอาไว้ให้ แต่พอลงจากเขา ลูกศิษย์ทุกคนจะได้รับอนุญาตให้ใส่ชุดอะไรก็ได้ที่อยากจะใส่เพื่อไม่ให้โดดเด่นเกินไปเวลาที่ทำงานร่วมกับคนอื่น

    โม่ฟางเซียนเหลือบตาขึ้นมองชายรูปงามที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไม ทั้งๆ ที่ชุดกี่เพ้านั้น ดูยังไงก็หนากว่าชุดของเขามากแท้ๆ ทำไมหวังเยว่ซินถึงไม่มีเหงื่อและดูไม่เหนื่อยเลยสักนิด

    ดวงตากลมสีฟ้าใสราวผลึกแก้วตวัดมองชายที่นั่งหอบหายใจอยู่ข้างๆ ด้วยความรำคาญปนรังเกียจ เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากลงมากับใคร อ่อนแอกันเหลือเกิน

    ยืนรออยู่ไม่กี่อึดใจ รถหรูสีดำสนิทคันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดข้างหน้า คนขับรถที่เป็นชายคนหนึ่งก้าวขาลงมาจากรถ เปิดประตูข้างหลังคนขับออก เชิญหวังเยว่ซินขึ้นรถในด้วยท่าทางสุขภาพ

    ที่ปรึกษารูปงามจ้องมองคนแปลกหน้านิ่งๆ ประกายบางอย่างภายในดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้นทำให้ผู้ที่รับหน้าในการขับรถรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมเก็บร่มลงและก้าวขาขึ้นรถแบบไม่มีคำถามหรือความสงสัยอะไร ตัวเขาก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    หวังเยว่ซินยังเป็นคนที่เดาใจได้ยากจริงๆ ..

    ประตูรถถูกปิดลงอย่างเบาโดยพยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด คนขับรถเดินเข้าที่นั่งของตัวเอง รถหรูค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที มุ่งหน้าสู่บ้านของผู้จ้างวานครั้งนี้โดยทิ้งศิษย์ที่ตามมาด้วยไว้เบื้องหลัง

    โม่ฟางเซียนจ้องมองรถที่ขับออกไปพลานกลอกตามองบน โทรศัพท์ประจำตัวถูกยกขึ้นเพื่อโทรตามหารถ เหตุการณ์แบบนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีศิษย์ได้รับหน้าที่ให้ตามท่านที่ปรึกษามา

    หวังเยว่ซินไม่เคยมีความเมตตาหรือความปรานีให้กับพวกลูกศิษย์คนอื่นบนอาราม หลายครั้งเหมือนกันที่ท่านที่ปรึกษามักจะปล่อยให้เหล่าลูกศิษย์ประสมการณ์น้อยรับมือกับพวกวิญญาณร้ายเพียงลำพัง

    โชคดีหน่อยที่หวังเยว่ซินเก่งพอๆ กับความนิสัยเสีย ท่านที่ปรึกษาคนงามจึงสามารถจัดการพวกวิญญาณร้ายได้ก่อนที่ลูกศิษย์จะถูกลากลงปรโลกไปพร้อมกัน

    หวังเยว่ซินเป็นแบบนี้เสมอ ไม่มีใครหรืออะไรเป็นข้อยกเว้น ขนาดอาจารย์ที่คอยดูแลสมัยยังเด็ก ท่านที่ปรึกษายังไม่แยแสเลย

    “ให้ตายเถอะ” โม่ฟางเซียนยกมือขึ้นขยี้ผมสีเงินของตัวเองจนชี้ฟู ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหลับลงอย่างอ่อนล้า

    เขาหวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะได้เป็นข้อยกเว้นของหวังเยว่ซิน...

    “คุณชายครับ ไม่คิดจะกลับไปบ้านเหรอครับ” คนขับรถสะดุ้งเบาๆ เมื่อจู่ๆ ดวงตาคมสีฟ้าใสคู่นั้นตวัดมามองเขาผ่านกระจกหลัง

    “คะ...คือว่า นายท่านกับคุณหญิงอยากเจอคุณชายนะครับ” ชายหนุ่มที่พึ่งเคยได้ขับรถให้คุณชายหวังเยว่ซินพูดเสียงสั่น แม้ว่าจะกลัวแค่ไหน แต่ด้วยคำสั่งจากคนที่เป็นนายสูงสุดทำให้เขาจำต้องพูดออกมาให้หมด

    ตอนที่ได้รับหน้าที่ให้มาขับรถส่งคุณชาย เขาก็งงอยู่ว่าทำไมรุ่นพี่คนอื่นถึงได้ทำท่าทางเห็นใจขนาดนั้น พอได้มาเจอกับตัวถึงได้รู้ แม้ว่าคุณชายจะงดงามโดดเด่นยิ่งกว่าใครในครอบครัว แต่ความน่ากลัวก็กินขาดไม่แพ้กันเลย

    ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะตัวสั่นเพราะแค่โดยดวงตาสวยๆ ตวัดมองใส่แบบนี้

    “ไร้สาระ” หวังเยว่ซินละสายตาจากคนขับรถมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงที่สะท้อนลงมาทำให้ประกายสีฟ้าในดวงตาของเขาคล้ายกับเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นชั่วขณะ

    ไม่มีใครรู้ว่าหวังเยว่ซินกำลังคิดอะไรอยู่จนกระทั่งมาถึงที่หมาย

    ขาเรียวยาวก้าวลงจากรถโดยไม่จำเป็นต้องให้คนขับมาเปิดประตูให้ ข้างหน้าของหวังเยว่ซินคือคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างวิจิตรงดงาม สวนข้างๆ ประดับไปด้วยน้ำพุและดอกไม้นาๆ ชนิด ต้นไม้มากมายถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ

    มันคงจะดูสวยงามกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะไอความตายที่ลอยวนอยู่รอบๆ

    “ขับรถกลับดีๆ นะ” หวังเยว่ซินสบตากับคนขับรถที่กำลังจะลดกระจกขึ้นนิ่งๆ ถ้าหากว่าเป็นคนขับรถคนอื่นอยู่ตรงนี้ พวกเขาคงรีบลงจากรถและเลือกที่จะเดินกลับเอง เพราะรู้ดีว่าคุณชายไม่เคยอวยพรให้ใครอย่างไร้เหตุผล

    น่าเสียดายที่คนๆ นี้เป็นหน้าใหม่ที่พึ่งทำงานวันแรก

    “เอิ่อ...ขอบคุณมากครับ” คนขับรถก้มศีรษะให้คุณชายผู้งดงาม ก่อนจะค่อยๆ ขับรถออกไปจากคฤหาสน์ของผู้ว่าจ้าง

    หวังเยว่ซินเดินตรงเข้าไปที่คฤหาสน์โดยไม่มีความคิดที่จะรอลูกศิษย์อีกคนที่ยังมาไม่ถึง ร่มจีนโบราณถูกกางขึ้นอีกครั้งเมื่อต้องออกแดด

    ตรงหน้าทางเข้าคฤหาสน์ มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนรอด้วยท่าทางกระวนกระวาย ใบหน้าที่ซีดเผือดและอิดโรยเหมือนคนที่ไม่ได้นอนมาหลายคืนนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างดีว่าไอความตายที่ลอยอยู่รอบๆ คฤหาสน์ไม่ได้เกิดขึ้นแค่วันนี้วันเดียว

    “คุณคือคนจากอารามจางเหว่ยใช่ไหมครับ” ทันทีที่เห็นชายหนุ่มผู้งดงามที่ครอบครองดวงตาสีฟ้ากำลังเดินเข้ามา เว่ยมู่เฉินก็รีบถามด้วยความร้อนรนในทันที

    “ใช่ครับ ผมชื่อหวังเยว่ซิน คนที่พวกคุณจ่ายเงินเพื่อจ้างมา” หวังเยว่ซินหุบร่มลงเมื่อเดินมาถึงประตูหน้า ดวงตาสีฟ้าใสราวกับผลึกแก้วหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจเมื่อรู้สึกถึงกลิ่นเหม็นที่ลอยมาเตะจมูก

    ดูเหมือนจะแย่กว่าที่คิด ถึงกับทำให้กลิ่นที่ควรจะมีเฉพาะในนรกปรากฏขึ้นมาแบบนี้ได้

    หวังเยว่ซินมีพลังวิญญาณที่สูงมาตั้งแต่เกิด การมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นและรับรู้ในสิ่งที่นักพรตส่วนใหญ่ทำไม่ได้จึงเป็นปกติ อย่างวิธีที่เจ้าอารามใช้เพื่อส่งข่าวบอกนั้นก็ด้วย

    เพราะตัวอาจารย์ก็รู้ดีว่าหวังเยว่ซินเกลียดการคุยกับคนอื่นมากแค่ไหน เขาจึงใช้วิธีออกคำสั่งผ่านเมฆบนฟ้าด้วยความช่วยเหลือจากของวิเศษอย่างหนึ่ง ทำให้ที่ปรึกษาเพียงคนเดียวของอารามไม่สามารถปฏิเสธได้นั้นเอง

    แต่มุกนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียวนะ...

    รายละเอียดของภารกิจก็ถูกส่งมาผ่านเมฆนั้นเช่นกัน เตรียมพร้อมมาอย่างดีจนน่ารำคาญ

    หวังเยว่ซินสาบานเลยว่าถ้ากลับอารามเมื่อไหร่ อาจารย์จะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่นอน

    รายละเอียดของงานครั้งนี้ก็คือ คุณหนูคนเล็กของตระกูลเว่ยได้ล้มป่วยขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ หมอทุกคนที่ถูกเรียกมารักษาต่างก็บอกตรงกันว่าร่างกายของคุณหนูแข็งแรงดี ไม่มีส่วนไหนที่ผิดปกติ จึงไม่สามารถรักษาได้

    หวังเยว่ซินรู้สึกคุ้นๆ กับอาการไม่น้อยเลย

    หลังจากคุณหนูนอนซมอยู่บนเตียงได้สามวัน จู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นยืนและกรีดร้องเสียงดังราวกับการกลายเป็นคนละคน จากนั้นก็เริ่มทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง

    ไม่นานก็เริ่มเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นในคฤหาสน์ มีคนได้ยินเสียงคนร้องไห้ในห้องที่ปิดตาย สาวใช้เห็นเงาคนเดินผ่านในกระจกในตอนเที่ยงคืน อาหารที่เต็มเอาไว้อย่างดีเริ่มเกิดการเน่าเสียโดยไม่มีเหตุผล มิหนำซ้ำคนในครอบครัวก็เริ่มประสบอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แล้ว

    ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้พวกเขาทุกคนต้องอยู่อย่างหวาดผวาเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อไหร่ ตอนนอนก็นอนไม่หลับเพราะเสียงร้องไห้และการฝันร้ายไม่มีเหตุผล

    ท้ายที่สุด เมื่อทุกอย่างมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ พวกเขาจึงตัดสินใจจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อจ้างคนที่ฝีมือดีที่สุดในอารามชื่อดัง

    ซึ่งก็คือหวังเยว่ซิน..

    “งั้นก็แปลว่าคุณรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดแล้ว โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะครับ! ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวของผมเริ่มไม่ไหวกันแล้ว ถ้าหากปัญหายังไม่ได้ไม่ถูกแก้ ไม่แน่ว่าพ่อแม่อาจจะบ้าไปตามน้องเลยก็ได้!!” เว่ยมู่เฉินแทบจะก้มลงไปกราบชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า ถ้าหากสามารถแก้ไขปัญหาที่ครอบครัวกำลังเผชิญอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเขาก็ทำได้ทั้งนั้น

    แม้ภายนอกอีกฝ่ายจะดูไม่เหมือนนักพรตที่มีหน้าที่ปราบผีเลย แต่ในตอนนี้สภาพจิตใจของเว่ยมู่เฉินไม่ไหวแล้ว เขาพร้อมจะเชื่อทุกอย่างจริงๆ

    “ใจเย็นๆ เถอะครับ ก่อนอื่นผมขอเจอน้องสาวของพวกคุณก่อนได้ไหม” หวังเยว่ซินพูดเสียงนิ่ง ไม่มีความตื่นตกใจหรือรีบร้อนใดๆ ทั้งสิ้น

    เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดจากผลกระทบของการเข้าใกล้โลกคนตายมากจนเกินไป ในเมื่อปัญหามันมีที่มาชัดเจนขนาดนี้ จะมาวิ่งแก้ที่ปลายเหตุให้มันได้อะไรขึ้นมา

    “ดะ..ได้ครับ เชิญตามมาทางนี้ แต่สภาพของน้องผมอาจจะไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ เพราะเธอถูกขังเอาไว้ในห้องตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่อง นอกจากอาหารแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเลย” เว่ยมู่เฉินเดินนำท่านที่ปรึกษาเข้าไปในคฤหาสน์

    ดวงตาคมสีฟ้าใสราวกับผลึกแก้วกวาดมองไปรอบๆ ระหว่างทางเดินไม่มีสาวใช้หรือพ่อบ้านสักคน แม้ว่าแต่ละห้องจะยังคงความสวยงามเอาไว้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หวังเยว่ซินมองเห็นอย่างชัดเจน

    ภาพของวิญญาณร่อนเร่มากมายที่รวมตัวกันอยู่ราวกับที่นี่กลายเป็นบ้านของมันไปแล้ว

    “คุณชายเว่ย... รู้ไหมครับว่าทำไมผู้คนในอดีตถึงมีคำสอนว่าอย่าชวนหรือนำของอะไรเข้าบ้าน” หวังเยว่ซินเปิดปากถามก่อนอย่างหาได้ยาก ชายเสื้อของชุดกี่เพ้าสีขาวขยับไปมาตามจังหวะก้าวเดิน

    “หา...เพราะว่ากลัวจะมีอะไรแปลกๆ เข้าบ้านรึเปล่าครับ” เว่ยมู่เฉินพยายามเดาคำตอบ เพราะตัวเขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เชื่อในเรื่องผีวิญญาณ ถ้าหากว่าไม่ได้มาเจอกับตัวแบบนี้ เขาก็คงเชื่อว่าวิญญาณไม่มีอยู่จริงไปตลอดชีวิตด้วยซ้ำ

    “เพราะสิ่งที่เรียกว่าบ้าน เป็นสถานที่สำคัญเพียงไม่กี่อย่างที่ทำให้คนเป็นต่างจากคนตายครับ เมื่อคนเราเสียชีวิตลง ทุกสิ่งที่ทำมาจะกลายเป็นของนอกกายที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน ไม่มีอะไรเลย วิญญาณส่วนใหญ่จึงโหยหาและอยากที่จะกลับบ้าน” ดวงตาสีฟ้าใสเริ่มฉายแววรำคาญเล็กน้อยที่ต้องพูดเยอะๆ

    “แต่คนเป็นและคนตายไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ บ้านเป็นของคนเป็น วิญญาณไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะแบบนั้นบ้านจึงเป็นที่ปลอดภัยสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ เข้าใจที่ผมพยายามจะบอกไหมครับ” หวังเยว่ซินไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้แค่ครั้งสองครั้ง ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์เป็นเรื่องน่ารำคาญเสมอ

    “จะ...บอกว่าครอบครัวเราเชิญวิญญาณเข้ามาในบ้านทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเหรอครับ! เป็นไม่ได้ พวกเราไม่เคยทำอะไรที่ผิดปกติไปจากเดิม!” ถ้าหากว่าสาเหตุมันเป็นอย่างที่นักพรตข้างหลังพูด เว่ยมู่เฉินก็คงแก้ปัญหาพวกนี้ได้ตั้งแต่วันแรกๆ แล้วล่ะ!

    “การที่คุณไม่ทำไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่ทำนะครับ คือห้องของน้องสาวคุณใช่ไหมครับ” หวังเยว่ซินจ้องมองประตูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา

    กลิ่นเหม็นแปลกๆ ที่เล็ดลอดผ่านประตูออกมาก็ทำให้เกิดประกายบางอย่างพาดผ่านดวงตาคู่งาม

    ไม่ได้เจอกลิ่นแบบนี้นานจนเกือบลืมไปแล้ว...

    “ใช่ครับ ระวังด้วยนะครับ ถึงเธอจะถูกล่ามโซ่เอาไว้ แต่ยังไงก็อันตรายอยู่ดี” เว่ยมู่เฉินกลั้นใจอยู่สักพัก ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

    สภาพภายในห้องเรียกได้ว่าเละเทะในแบบที่ไม่มีอะไรมีชิ้นดี ตรงกลางคือร่างของเด็กสาวคนหนึ่งที่มีผมยาวปิดหน้าปิดตาถูกล่ามโซ่เอาไว้ในท่านั่ง เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยดำจนแทบจะไม่เห็นสีผิวเดิม เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็สภาพไม่ต่างอะไรจากผ้าขี้ริ้ว

    พื้นห้องเต็มไปด้วยคราบเศษอาหารและปฏิกูลมากมายที่เด็กสาวปล่อยออกมา ไม่มีเตียง โต๊ะ หรือเฟอร์นิเจอร์ใดเหลืออยู่เลยเพื่อไม่ให้เด็กสาวใช้เพื่อทำร้ายตัวเอง

    กลิ่นเหม็นจากสิ่งสกปรกภายในห้องทำให้เว่ยมู่เฉินทำหน้าซีด

    เขาไม่อยากเห็นสภาพแบบนี้ของน้องจริงๆ ..

    “กรี๊ด-”

    “พลัก!!”

    ทันทีที่เห็นว่าเด็กสาวกำลังจะกรีดร้อง ร่มจีนโบราณในมือของท่านที่ปรึกษาคนงามก็ถูกขว้างใส่เธอด้วยความเร็วที่ไม่มีใครตั้งตัวทัน ด้านของร่มที่ทำมาจากไม้หนาอย่างดีกระแทกเข้ากลางหน้าผากของเด็กสาวอย่างแรงจนเกิดเสียง

    ความเจ็บปวดที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้คนที่ถูกผีสิงอยู่หยุดร้องไปชั่วขณะ

    เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น..??

    “คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!!” เว่ยมู่เฉินโวยวายเสียงดังเมื่อเห็นที่อีกฝ่ายทำกับน้องสาวตัวเอง

    “ขนาดผมทำงานกับผีมานาน ผมก็ยังไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมคนที่ถูกผีสิงต้องกรีดร้องทุกครั้ง” หวังเยว่ซินเมินเฉยต่อชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย ดวงตาคมสีฟ้าใสจับจ้องไปยังเด็กสาวที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้ตรงหน้า มืองามราวกับหยกราคาแพงค่อยๆ หยิบยันต์ออกมาจากกระเป๋า

    ร่างเด็กสาวสั่นไหวราวกับเหยื่อที่กำลังถูกนักล่าจับจ้องเมื่อเห็นคำที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงบนกระดาษ พลังวิญญาณมหาศาลอัดแน่นอยู่ภายในตัวอักษรนั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่าถ้าโดนเข้าไป ไม่มีทางจบแค่ความเจ็บปวดเพียงอย่างเดียว

    ภาษาที่มีเพียงแค่วิญญาณเท่านั้นที่อ่านออก

    แหลกสลาย..

    “จะออกไปดีๆ หรือจะให้ผมทำลายวิญญาณคุณจนแหลกสลายก่อนดีครับ” น้ำเสียงของหวังเยว่ซินยังคงความเฉยชา แต่หากมองฟังๆ จะรู้สึกถึงความรื่นเริงเล็กน้อยที่แฝงอยู่ภายใน

    “กะ...แกกล้าเหรอ!! ถ้าหากฉันแหลกสลาย!! ยัยเด็กนี่ก็ไม่รอดเหมือนกัน!!” ผีร้ายในร่างเด็กสาวพยายามหาทางรอด

    มีข่าวลือมากมายในโลกวิญญาณเกี่ยวกับชายหนุ่มรูปงามที่ชื่นชอบการทารุณผี โดยการใช้ยันต์ที่สร้างความเจ็บปวดชนิดที่ต่อให้จะตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ชาติก็คงลืมไม่ลง

    มันไม่คิดจริงๆ ว่าแค่การออกมาทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจะทำให้ตัวมันต้องเจอกับเจ้าของข่าวลือแบบนี้

    ไม่นะ... อย่าโยนยันต์นั้นใส่มันนะ!!

    “ไม่เป็นไรครับ เธอยังไม่เวลาตาย เดี๋ยวผมคุยกับยมทูตเอง”

    เว่ยมู่เฉินหันมองชายรูปงามราวกับเทพเซียนตรงหน้า เขาเริ่มรู้สึกสงสัยแล้วว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่เลือกจะจ้างคนๆ นี้มาช่วยครอบครัวตัวเอง

    ........................................

    ไม่ได้เขียนยาวแบบนี้มานานแล้วแฮะ แอบรู้สึกเหนื่อยนิดๆ เหมือนกัน5555

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×