คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
โลกใบนี้ ถ้าหากมองในมุมของคนธรรมดา มันก็คือโลกปกติที่ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้คำว่าสงบสุข
แต่หากมองไปในมุมของผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสงบสุขนั้น จะได้อย่างชัดเจนว่าโลก ไม่ได้มีแค่เพียงแค่มนุษย์ แต่ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน คือโลกของคนเป็น และคนของคนตาย
‘ดอกหมู่ตานดอกนี้ให้ท่าน รับไว้ได้รึไม่องค์ชาย’
‘หึๆ ดูเหมือนตัวท่านเองก็มีสิ่งที่ทำไม่ได้เช่นกันสินะ’
‘อย่าได้ปล่อยให้ใบหน้างดงามนี้แปดเปื้อนไปด้วยน้ำตาเลย ท่านไม่ได้ผิดหรอกนะ’
‘ไม่!!!’
“เอือก!” ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน รูม่านตาสีฟ้าใสราวกับผลึกแก้วหดเข้ามากันราวกับพึ่งพบเจอสิ่งที่อันตายมากๆ มา แผ่นอกบางขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วตามจังหวะการหายใจที่หอบถี่จนเหมือนคนที่พึ่งออกกำลังกายมาไม่มีผิด
ดวงตาคมที่แฝงไว้ด้วยความเฉยชากวาดมองรอบข้าง เมื่อเห็นว่าเป็นห้องของตัวเองที่อยู่มาตั้งแต่ตอน 7 ขวบ ความตื่นตระหนกในใจก็ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ พร้อมกับลมหายใจที่กลับมาเป็นปกติ
หวังเยว่ซินลุกขึ้นนั่งบนเตียง มือเรียวยาวราวกับหยกเนื้องามยกขึ้นสางผมสีดำที่ตกลงมาปกคลุมใบหน้าออก ริมฝีปากที่แม้จะไม่ได้แต่งเติมสิ่งใดก็ยังแดงระเรืออย่างเป็นธรรมชาติค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
รู้ว่าฝันแต่เรื่องเดิมๆ แต่พอตื่นขึ้นมากลับจำอะไรไม่ได้นี่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ ...
นั่งนิ่งอยู่บนเตียงอีกสักพัก สุดท้ายหวังเยว่ซินก็ตัดสินใจลุกขึ้น ภายนอกหน้าต่างที่ยังถูกความมืดบดบังนั้นบ่งบอกได้ไม่ยากเลยสักนิดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะตื่น
แต่จะทำยังไงได้ ต่อให้จะอยากนอน แต่ทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะฝัน ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่หวังเยว่ซินจะหลับต่อได้เลย
การลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานคงดีกว่าการปล่อยให้เวลาเสียเปล่า
เท้าเปล่าก้าวไปตามพื้นไม้ อากาศเย็นยะเยือกที่ลอยวนอยู่ข้างกายทั้งๆ ที่ตอนนี้อยู่ในหน้าร้อนไม่ได้ทำให้หวังเยว่ซินรู้สึกสนใจอะไร ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในอารามแห่งนี้อยู่แล้ว
“พรึบ!” ปลายนิ้วเรียวยาวยกมือขึ้นเปิดไฟในห้องครัว อาหารจีนโบราณมากมายที่วางไว้บนโต๊ะเรียกความสนใจจากหวังเยว่ซินได้เป็นอย่างดี
ดวงตาคมกวาดมองรอบๆ ห้อง
ประตู หน้าต่างทั้งหมดในบ้านนี้ถูกล็อกจากข้างใน พรมที่ปูเอาไว้ไม่มีรอยเหยียบ แม้แต่อุปกรณ์ในครัวก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่มีทางไหนเลยที่สามารถเข้ามาบ้านนี้โดยที่เขาไม่ได้ยินเสียง
วัตถุดิบทุกอย่างในตู้เย็นก็ยังอยู่ครบ ไม่มีอะไรเลยที่ขยับออกจากที่เดิม จาน ถ้วน และช้อนไม่มีชิ้นไหนหายไป
กลิ่นหอมและควันจางๆ ที่ลอยออกมาจากอาหารทุกจานบ่งบอกได้อย่างดีว่าพึ่งจะถูกทำเสร็จมาไม่นานนัก
อือ.... แต่ก็ช่างเถอะ ใช่ว่าหวังเยว่ซินอยากทำอาหารเองสักหน่อย
เจ้าของใบหน้างดงามที่แฝงไปด้วยความเฉยชาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ตะเกียบในมือขยับไปมาเพื่อคีบอาหารที่ไม่รู้ว่าใครหรืออะไรที่ทำเข้าปากอย่างช้าๆ
รสชาติที่อร่อยยิ่งกว่าร้านชื่อดังที่เคยกิน และตรงกับรสชาติที่ชอบไม่ได้ทำให้หวังเยว่ซินผู้ที่ได้ชื่อว่าเรื่องมากเรื่องอาหารรู้สึกสงสัยหรือต้องการคำตอบเรื่องของสิ่งที่ทำอาหาร เพียงกินเข้าไปอย่างช้าๆ จนรู้สึกอิ่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากครัว
ทิ้งจานอาหารที่กินเหลือเอาไว้ที่เดิมโดยไม่มีความคิดที่จะนำไปทำความสะอาด
หวังเยว่ซินรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ดี การไปทำความสะอาดมีแค่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ
รู้ไหมว่าตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 20 ปี ปลายนิ้วของหวังเยว่ซินยังไม่เคยจับสิ่งที่เรียกว่าน้ำยาล้างจานเลยสักครั้ง..
ทันทีที่แผ่นหลังบางภายในชุดนอนหายไปจากห้องครัว จานอาหารรวมถึงเศษอาหารที่หลงเหลืออยู่ก็พลันหายไปจากโต๊ะราวกับไม่เคยมีมาก่อน ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นมาเห็น คงไม่มีทางเชื่อเลยว่าก่อนหน้านี้มีอาหารมากมายวางเอาไว้อยู่
ไฟภายในตัวบ้านถูกเปิดจนสว่างไปทั่ว หวังเยว่ซินเดินออกมาจากห้องแต่งตัว จากชุดนอนถูกเปลี่ยนเป็นกี่เพ้ายาวสีขาวปักด้วยลายดอกโบตั๋นสีชมพูอ่อน มันสมจริงราวกับกำลังมองดอกไม้จริงๆ อยู่ไม่มีผิด
เส้นผมสีดำขลับประดับไปด้วยหยดน้ำประปราย เพียงยกผ้าที่แยกไว้สำหรับทำความสะอาดผมขึ้นเช็ดเบาๆ เพียงครั้งเดียวก็แห้งสนิท ใบหน้างดงามยังคงเต็มไปด้วยความเฉยชา แต่หากมองดีๆ จะเห็นว่าภายในดวงตาสีฟ้าใสมีประกายความสดชื่นอยู่เล็กน้อย
พอได้อาบน้ำแล้วร่างกายก็เบาขึ้นเยอะเลย...
หวังเยว่ซินเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ภายในเต็มไปด้วยสมุดเปล่าและชั้นวางที่เต็มไปด้วยกระดาษทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่าฝ่ามือ ทุกใบถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงสดเป็นภาษาไม่มีใครเข้าใจ กลิ่นอายแปลกประหลาดที่ชวนให้หวาดกลัวแผ่ออกมาจากกระดาษแต่จะแผ่น
ตรงกลางห้องทำงาน ก็คือโต๊ะจีนโบราณที่ทำมาจากไม้สีดำราคาแพง บนโต๊ะนั้นคือกระดาษเปล่าที่เรียกซ้อนกันมากกว่า 100 แผ่น และอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเขียนพู่กัน
หวังเยว่ซินนั่งบนเก้าอี้ในท่าทางที่ถูกต้อง มือที่งดงามราวกับหยกยกพู่กันหางจิ้งจอกขึ้น แตะลงบนถ้วยหมึกสีแดงที่ไม่ว่าจะทิ้งเอาไว้นานแค่ไหนก็ยังไม่แห้ง จากนั้นก็นำมาเขียนลงในกระดาษอย่างช้าๆ ด้วยลายเส้นที่อ่อนช้อยทว่าก็ยังมีความหนักแน่นปนอยู่
ในสายตาของมนุษย์ธรรมดา ภาพของคนที่กำลังนั่งพู่กันด้วยท่าทางสง่างามนั้นงดงามจนไม่อาจละสายตาได้ แต่ในสายตาของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ พวกเขามองเห็นพลังบางอย่างที่ไหลจากปลายนิ้วลงไปที่พู่กันและประสานเข้ากับตัวอักษรบนกระดาษ
เป็นพลังที่สิ่งนั้นหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมอง
คงมีแค่ตัวคนเขียนเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองเขียนคำว่าอะไรลงไป..
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งแสงแดดอ่อนๆ เริ่มส่องเข้ามาในห้อง หวังเยว่ซินจึงหยุดมือที่กำลังเขียน พู่กันถูกทำความสะอาดและวางลงในตำแหน่งที่ควรอยู่ ร่างงดงามในชุดกี่เพ้าสีขาวลุกขึ้นยืนโดยไม่มีอาการเมื่อยล้าจากการนั่งนานๆ เลยสักนิด
หวังเยว่ซินจัดชุดที่ยับจากการนั่งให้เข้าที่ ก่อนจะเดินไปออกไปจากห้อง ตรงไปที่สวนด้านหลังของบ้าน
ภาพของดอกโบตั๋นมากมายที่กำลังบานราวกับกำลังโอ้อวดว่าต้นไหนที่งดงามที่สุดทำให้คนที่ทุ่มเทเวลาเพื่อดูแลมันหลุดยิ้มออกมาจางๆ
หวังเยว่ซินเป็นเด็กที่เกิดมาโดยมีใบหน้าที่งดงามชวนตกตะลึงมาตั้งแต่เด็ก เหนือกว่าพ่อแม่และพี่น้องแท้ๆ จะบอกว่านอกจากสายเลือดในตัวแล้ว ก็ไม่มีอะไรเลยที่พ่อแม่ส่งต่อมาให้
ทั้งกลุ่มผมสั้นสีดำขลับต่างจากคนในครอบครัวที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีฟ้าใสที่สะกดทุกสายตาที่มองมา หากไม่ใช่เพราะหางตาที่เชิดขึ้นพร้อมกับขนตายาวๆ ที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูหยิ่งและเข้าถึงยาก คาดว่าทุกคนคงปรารถนาที่จะเข้ามาใกล้เพื่อหวังจะได้ปรากฏในดวงตาคู่นี้
ปลายจมูกโด่งและริมฝีปากที่แดงระเรืออย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องประทินโฉมใดๆ โครงหน้างดงามที่ไม่ได้หวานเหมือนผู้หญิงหรือดุดันจนเหมือนผู้ชาย แต่เป็นความงามบริสุทธิ์ที่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถแตะต้องได้
ผิวกายขาวผ่องตามประสาคนไม่ชอบออกแดดและเนียนละเอียดราวกับหยกเนื้องาม ไม่มีตำหนิใดปรากฏบนร่าง แม้แต่เส้นผมก็ยังเหมือนกับถูกจัดวางให้อยู่ในจุดที่ควรอยู่
หวังเยว่ซินคือชายที่งดงามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“ฉับ!” กรรไกรตัดกิ่งไม้ในมือขยับไปตามพุ่งดอกโบตั๋ว ดอกที่ไม่สมบูรณ์ กิ่งที่เล็ก หรือใบที่เหลืองเพราะได้รับน้ำมากจนเกินไปจะถูกตัดออก เพื่อไม่ให้ตัวต้นถูกแย่งสารอาหาร
“ฉับ!” หลังจากตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก ก็ถึงเวลาตัดดอกที่ต้องการ หวังเยว่ซินเลือกตัดดอกที่จำได้ว่าบานมาอย่างน้องหนึ่งวัน เป็นดอกที่มีขนาดใหญ่และยังไม่มีรอยซ้ำบนกลีบ โดยตัดเป็นมุมทแยงใต้ใบที่สี่นับจากใต้ดอกลงไป
เมื่อได้จำนวนที่พอใจ น้ำก็ถูกนำมารดที่ใต้ต้นไม้ในปริมาณที่พอเหมาะ ตามมาด้วยการเปิดสปริงเกอร์แรงๆ เพื่อให้ละอองน้ำโดนส่วนใบเพื่อล้างฝุ่นและทำให้ใบยังเขียวสด
“อะ! ท่านที่ปรึกษา! อรุณสวัสดิ์ครับ!”
หวังเยว่ซินที่กำลังนั่งรอให้ละอองน้ำโดนใบทั้งหมดหันไปตามเสียงทัก ดวงตาคมสีฟ้าใสจ้องมองร่างของศิษย์คนใหม่ในอารามด้วยความเฉยชา ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นปิดสปริงเกอร์ จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าบ้าน
ท่าทางที่ไร้ความสนใจนั้นทำให้คนทักรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย
“เด็กใหม่... เมื่อวานนี้นายไม่ได้ฟังกฎของอารามรึไง” ศิษย์รุ่นพี่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในอารามบนภูเขาแห่งนี้มานานพูดทักขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นการกระทำของศิษย์คนใหม่ที่อาจารย์พึ่งจะรับเข้ามา
ซีซวนเหนื่อยใจจริงๆ เขาทำหน้าที่พาเด็กใหม่เดินสำรวจพื้นที่อารามมาเกือบ 4 ปี แทบทุกคนต่างก็พยายามจะทักทายท่านที่ปรึกษาที่ออกมาดูแลสวนในเวลาเดิมกันหมด ไม่รู้ว่าไม่ได้ฟังกฎหรือจงใจทักเพราะอยากให้ดวงตาคมสีฟ้าคู่นั้นหันมามองกันแน่
เข้าใจหรอกนะว่าอีกฝ่ายน่ะงดงาม แต่บางครั้ง ทำไมถึงไม่คิดผลที่ตามมาจากการพยายามเรียกร้องความสนใจจากสิ่งที่ไม่ควรแตะต้องด้วยล่ะ
ซีซวนในตอนนี้แทบจะเปลี่ยนจากคนนำทางเป็นคนอธิบายกฎอยู่แล้วนะ
“เอิ่อ...พอดีว่าตอนนั้นผมตื่นเต้นจนฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลยครับ มารู้สึกตัวอีกตอนที่อาจารย์บอกให้เดินตามศิษย์พี่มา แฮะๆ” เจียวมิ่งยกมือขึ้นเกาแก้มแบบเขินๆ เมื่อต้องพูดถึงเรื่องเมื่อเช้า
ที่แห่งนี้คืออารามจางเหว่ย ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของกุ้งหลิน นับว่าเป็นอารามขนาดกลางๆ ที่มีชื่อเสียงจนคนมากมายให้การเคารพบูชา เป็นที่ฝึกสอนเหล่าคนธรรมดาให้กลายเป็นนักพรตที่มีความสามารถ สำหรับช่วยแก้ไขปัญหาเหนือธรรมชาติที่คนธรรมดาไม่สามารถแก้ไขได้ หรือไม่ก็ให้ความช่วยเหลือผู้ต้องการทำให้ดวงชะตาของตัวเองดูดีขึ้น
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ทำงานเป็นคนไล่ผีหรือช่วยดูดวงให้คนที่ต้องการนั่นแหละ
บางคนบอกว่าอารามพวกนี้สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้คน ไม่ว่าจะเรื่องผีหรือวิญญาณอะไรพวกนี้ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องไร้สาระ ทุกอย่างสามารถใช้หลักการวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ทั้งหมด สำนักหรืออารามพวกนั้นก็แค่แหล่งรวมตัวของคนบ้าเท่านั้น!
มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่คนจะเชื่อแบบนี้ ยังไงนี่มันก็ยุคสมัยไหนแล้ว นักพรตทุกคนก็ไม่ได้มีหน้าที่ในการอธิบายความจริงเบื้องหลังโลกคนเป็นที่พวกเขาอยู่ให้คนอื่นรู้สักหน่อย ใครจะเชื่อยังไงก็เรื่องพวกเขา เพราะท้ายที่สุด ความจริงก็ไม่มีทางเปลี่ยน
“ดูจากท่าทางแล้ว นายคงคิดว่าการทำงานที่นี่เป็นเรื่องง่ายสินะ” ซีซวนถอนหายใจเสียงดูเบา เด็กใหม่คราวนี้ดูเหมือนจะอยู่ยากแล้วสิ
“แล้วมันยากเหรอครับ ก็แค่การไล่ผีเอง ผมก็ไม่ได้กลัวผีสักหน่อย” เดิมทีแล้วเหตุผลที่เจียวมิ่งอย่างเข้ามาเป็นศิษย์ของอารามนี้ก็เพราะตัวเขาไม่ได้มีความรู้มากพอจะไปทำงาน และทางอารามก็มีการให้เงินเดือนลูกศิษย์ทุกคน แม้มันจะไม่ได้เยอะมาก แค่ก็เพียงพอให้เขาสามารถมีเงินเก็บได้
สิ่งที่ดีอีกอย่างก็คือเจียวมิ่งไม่ได้กลัวผี ต่อให้จะถูกส่งไปไล่ผีที่น่ากลัวขนาดไหน เขาก็แน่ใจว่าตัวเองจะไม่หนีแน่นอน
“นายไม่ได้อ่านกฎเลยสินะ... เฮ้อ... ฟันฉันอธิบายดีๆ นะ อารามจางเหว่ยแห่งนี้ มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากผีและวิญญาณซึ่งก่อความเดือดร้อนให้คนธรรมดา โดยมีรัฐบาลให้ความร่วมมืออยู่ห่างๆ โดยไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวตรงๆ ได้” พวกรัฐบาลน่ะห่วงชื่อเสียงอย่างกับอะไรดี รู้ทั้งรู้ว่าโลกเบื้องหลังมันเป็นยังไง แต่ก็ยังเลือกที่จะหลับหูหลับตา ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง
อย่าได้คิดว่าเรื่องผีวิญญาณเป็นเรื่องล้อเล่นเชียวนะ บางตนถ้าปล่อยเอาไว้นานๆ โดยที่ไม่ไล่ให้ไปเกิด พวกมันอาจจะสร้างภัยพิบัติทางธรรมชาติได้เลย
“ห๋า... รัฐบาลก็เกี่ยวข้องกับอารามนี้ด้วยเหรอครับ!” เจียวมิ่งทำหน้าตื่น สำหรับเด็กหนุ่มที่ทั้งชีวิตอยู่บนภูเขาแบบเขา การรับรู้ว่าสถานที่ที่เขาเข้ามาอยู่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลที่ควบคุมสังคมสร้างความตกใจให้เขามาก
ซีซวนถอนหายใจอีกรอบ พร้อมกับอธิบายต่อ
“หน้าที่ของพวกเราคือการส่งวิญญาณทั้งหมดไปเกิดใหม่ กฎข้อที่ 1 ของอารามคืออย่าไปพูดคุยกับวิญญาณ เพราะคนพวกนั้นตายไปแล้ว ต่อให้ในใจจะมีห่วงขนาดไหน ก็ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเราที่จะไปคลายห่วงนั้น กฎข้อที่ 2 คือเมื่อเจอวิญญาณอันตรายที่ไม่สามารถรับมือได้เอง ให้ถอนตัวในทันที ห้ามคิดจะไปเผชิญหน้าโดยเด็ดขาด” แต่ก็ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เพราะวิญญาณส่วนใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอันตราย ไม่เคยปล่อยให้นักพรตหนีรอดได้สักคน
เพราะงั้นถ้าหากไม่ได้รับการสั่งสอนจนเข้าใจวิชาจริงๆ อาจารย์ก็จะไม่มีทางยอมปล่อยให้ลูกศิษย์ลงเขาอย่างแน่นอน
“และกฎข้อที่ 3 ห้ามยุ่งวุ่นวายหรือสร้างความรำคาญให้กับท่านที่ปรึกษาอย่างเด็ดขาด ถ้าหากท่านไม่เรียกก็จำเป็นต้องทัก ถ้าหากท่านเดินผ่านก็ต้องก้มหน้า ห้ามมอง ห้ามสบตา หรือแม้แต่คิดจะแตะต้อง” ซีซวนเน้นย้ำที่กฎข้อที่สามมากเป็นพิเศษ
“ทำไมต้องสร้างกฎแบบนั้นขึ้นมาด้วยล่ะครับ ท่านที่ปรึกษาหน้าตาดีขนาดนี้ การที่อยากมองก็เป็นไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อย” เจียวมิ่งขมวดคิ้วด้วยความมึนงงปนไม่เข้าใจ
ท่านที่ปรึกษาเป็นชายหนุ่มที่งดงามที่ดูเท่าที่เด็กหนุ่มเคยเห็น แน่นอนว่าเจียวมิ่งอดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง แต่เขาก็ไม่ได้เจตนาร้ายอะไรสักหน่อย แค่มองเพราะความชื่นชมเฉยๆ ทำไมต้องห้ามด้วย
“นายไม่ใช่คนแรกที่ตั้งคำถามนั้น เอาเป็นว่า เดี๋ยวคืนนี้นายก็รู้เอง” ซีซวนมองเด็กใหม่ด้วยสายตาสงสาร ตัวเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยตั้งคำถามนี้มาก่อน รู้ดีว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้เป็นยังไง
ก็ได้แต่หวังว่าสิ่งนั้นจะไม่ลงมือหนักจนทำให้เด็กใหม่วิ่งหนีลงจากเขาไปก่อน..
“ฉับ!” ใบไม้ส่วนเกินถูกตัดออกจากตัวก้าน มืองามค่อยๆ จัดดอกไม้แต่ละดอกลงในแจกันอย่างทะนุถนอม น้ำสะอาดถูกเติมเข้าไปในปริมาณที่พอเหมาะ เพียงไม่นานแจกันดอกโบตั๋นก็เสร็จสมบูรณ์
แจกันถูกวางเอาไว้ในจุดที่แสงแดดส่องถึง ชายหนุ่มผู้ที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดค่อยๆ เก็บกวาดทุกอย่างให้สะอาดเรียบร้อย จากนั้นก็เดินกลับไปที่ห้องครัว
กลิ่นอ่อนๆ ของชาปี้หลัวชุนพร้อมกับขนมกุ้ยฮวาที่ถูกจัดใส่จานวางเอาไว้อย่างสวยงามราวกับรู้ว่าเวลานี้ หวังเยว่ซินต้องการอะไรมากที่สุดทำให้ผู้ที่เป็นถึงที่ปรึกษาของอารามพยักหน้าด้วยความพอใจ
มืองามยกน้ำชาและขนมมาที่สวนข้างหลัง ร่างโปรงทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะขนาดเล็กซึ่งตั้งเอาไว้ที่ชานบ้าน น้ำชาถูกยกขึ้นจิบอย่างช้าๆ ริมฝีปากที่ระเรืออย่างเป็นธรรมชาติเริ่มชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างช้าๆ
ดวงตาคมจ้องมองที่ไปดอกโบตั๋นในสวน รสชาตินุ่มลึกที่เจือนปนด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ป่าทำให้รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม
แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องลงมากระทบกับละอองน้ำบนพื้นทำให้ภาพตรงหน้าดูงดงามเกินคำบรรยาย
หวังเยว่ซินก้มหน้ามองน้ำชาในมือนิ่งๆ และยกขึ้นจิบอีกครั้ง
บ้านหลังนี้ ไม่มีชาหรอกนะ...
...............................................
ไรท์บอกเลยนะคะ ว่านายเอกเรื่องนี้ บรรยายความงดงามของเขาออกมายากมาก555555
ปล.ยังไม่ตรวจคำผิด
ความคิดเห็น