ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำของดวงจันทร์และดอกโบตั๋น#ภรรยาโปรดวางแส้ลงก่อน

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 10

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 67


    “...สรุปก็คือ... พวกคุณคืองานใหม่ที่อาจารย์พามาให้ผมสินะครับ” หลังจากที่วุ่นวายกันอยู่นาน ในที่สุดหวังเยว่ซินก็ต้องมานั่งพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่เกือบจะทำให้สวนของเขาถูกทำลายอย่างเลือกไม่ได้

    ดวงตาคมสีฟ้าใสจ้องมองรอยฟกช้ำบนตัวของชายในชุดตำรวจ ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ด้วยรอยยิ้มเหยียบหยาม

    เอาเถอะ ถือว่าเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง ครั้งนี้เขาจะยอมมองข้ามความไม่พอใจไปก็ได้

    “เยว่ซิน อย่าพูดเหมือนคนอื่นเป็นสิ่งของสิ พวกเขาเป็นแขกของเราต่างหาก” ลู่หวังเหล่ยกลอกตามองบน ในขณะที่แขกแปลกหน้าทั้งสองก้มหน้าพื้นห้องอย่างอายๆ

    ปกติน้ำเสียงของหลังเยว่ซินแม้จะนิ่งสงบและเย็นยะเยือกแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่ามันน่าฟังมาก แต่พอเขากดเสียงต่ำซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหยียบหยามแบบนี้แล้ว ต่อให้จะหน้าหนาขนาดไหน แต่ก็ต้องรู้สึกอับอายนิดๆ อย่างอดไม่ได้

    หลังจากที่ใช้เวลาว่างไปกับรังแกลูกศิษย์ของเขาไปเกือบ 2 เดือน ดูเหมือนที่ปรึกษาคนงามเพียงหนึ่งเดียวในอารามจะไม่อยากทำงานอีกแล้วสินะ..

    ลู่หวังเหล่ยไม่ได้รู้สึกโกรธที่หวังเยว่ซินทำให้เขาเข้าโรงพยาบาลไป 2 เดือนเต็มๆ ไม่สิ...ไม่ใช่ไม่โกรธ แต่เป็นเพราะโกรธไม่ได้ต่างหาก

    นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ที่เลี้ยงดูที่ปรึกษาคนงามมา เจ้าอารามกล้าพูดเลยว่า ไม่มีเดือนไหนที่เขาไม่เจ็บตัวจนเข้าโรงพยาบาลเลย

    หมอทุกคนในโรงพยาบาลแทบจะกลายเป็นเพื่อนสนิทของเขาอยู่แล้ว..

    ในตอนที่ยังเด็ก จะบอกว่าหวังเยว่ซินคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ก็คงไม่ผิดนัก ขัดใจอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็พร้อมจะอาละวาด แน่นอนว่ามันไม่ใช่การขว้างปาข้าวของ แต่เป็นการทำให้คนที่ทำให้เขาไม่พอใจเจ็บปวดหรือไม่ก็ล้มป่วย

    สมัยที่หวังเยว่ซินยังเด็ก เจ้าอารามเคยพยายามจ้างพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลเขา เนื่องจากตัวเองไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน บวกกับว่าตอนนั้นงานยุ่งมากๆ แต่ผ่านไม่ถึง 3 เดือน พี่เลี้ยงที่เขาจ้างมาจากบริษัทที่ชื่อดัง ก็รีบตรงมาหาเขาพร้อมกับใบลาออกในมือ

    พอถามไปถามมา ลู่หวังเหล่ยก็รู้รับว่า ตลอดเวลาที่เธอดูแลหวังเยว่ซิน หญิงสาวต้องเจอกับเรื่องสะเทือนขวัญมากขนาดไหน

    ทั้งเงาคนในกระจก อาหารมากมายที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในอากาศ ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่รอบอยู่ตัว และไหนจะการที่หวังเยว่ซินชอบพูดอะไรแปลกๆ ออกมาให้เธอฟังอีก

    เช่น พี่เลี้ยงคนนี้พูดไม่เพราะเลย ระวังจะไม่มีใครอยู่ข้างๆ นะ พอเลิกงาน แฟนหนุ่มที่เธอคบมาเกือบ 4 ปี ก็มาขอเลิกโดยไม่บอกเหตุผล หรือไม่ก็ บอกว่าถ้าหากไม่ยอมกลับบ้านไปตอนนี้ จะต้องเสียใจตลอดชีวิต พอเธอกลับบ้านไปหลังเลิกงาน เธอก็พบว่าแมวที่เธอรักมากที่สุดถูกรถชนตายไปแล้ว

    ทุกอย่างมันเหมือนคำสาป!

    พอได้ฟังเรื่องทุกอย่าง ลู่หวังเหล่ยก็ทำได้แค่ถอนหายใจและปล่อยให้เธอลาออกตามที่ต้องการ ในใจของเขารู้ดีว่าหวังเยว่ซินไม่ได้มีเจตนาจะสาปหรืออะไรหรอก เจ้านั้นแค่อยากเตือน แต่เพราะไม่ได้สนใจเรื่องคำพูดเท่าไหร่ คำพูดที่ออกมามันฟังดูรุนแรงเกินกว่าคำเตือนทั่วไป

    แน่นอนว่าหลังจากนั้นมา คนที่ดูแลหวังเยว่ซินมาตลอดก็คือตัวเขา ซึ่งผลพลอยได้นั้นก็คือ การถูกส่งเข้าโรงพยาบาลบ่อยจนสนิทกับหมอไปแล้ว

    รู้ไหมว่าถ้าจะเลี้ยงดูที่ปรึกษาคนงามให้โตมาขนาดนี้ เขาเฉียดตายไปกี่รอบแล้ว

    เจ้าอารามถอนหายใจเสียงเบาพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นจิบ

    คิดไปถึงเรื่องในอดีตแบบนี้ ดูเหมือนเขาจะเริ่มแก่แล้วสินะ...

    ตอนนี้พวกเขาทุกคนกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน ตรงหน้าก็มีน้ำชาอุ่นๆ วางเอาไว้สำหรับต้อนรับ

    มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยังหาคำตอบไม่ได้ของบ้านหลังนี้ แน่นอนว่าลู่หวังเหล่ยไม่ได้คิดว่าเด็กเอาแต่ใจ เรื่องมาก และเห็นแก่ตัวอย่างหวังเยว่ซินจะเป็นคนชงชาต้อนรับแขกเอง

    แค่อีกฝ่ายยอมผายมือเชิญให้แขกนั่งนั้นก็ถือว่าสุดยอดแล้ว..

    อีกอย่างนะ ในบ้านนี้อย่าว่าเป็นใบชาเลย ขนาดแก้วชาหรือจานสักใบก็ยังไม่มี ทุกวันนี้ตัวเขายังไม่รู้เลยว่าตกลงแล้ว หวังเยว่ซินมีชีวิตอยู่ได้ยังไง

    “แขกแต่ละคนที่มา ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องงานไม่ใช่เหรอ” ดวงตาคมคู่งามกวาดมองแขกแปลกหน้าทั้งสองด้วยความไม่พอใจนิดๆ

    ในฐานะของคนที่ทำงานนี้มานาน หวังเยว่ซินกล้าพูดเลยว่า ทุกครั้งที่มีคนสวมเครื่องแบบตำรวจมา มันไม่เคยเป็นเรื่องดีเลยสักครั้ง

    “ถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องงาน เจ้าจะยอมให้คนอื่นเข้ามาในบ้านนี้เหรอ” เจ้าอารามเลิกคิ้วมองอดีตลูกศิษย์ ที่กลายเป็นที่ปรึกษาเพียงหนึ่งเดียวในอารามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม 

    “ไม่”

    “แล้วจะพูดทำไม” การปฏิเสธแบบไม่มีความลังเลนั้น ทำให้ลู่หวังเหล่ยอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบนอีกรอบ

    นอกจากเอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว เลือดเย็นแล้ว อีกนิสัยที่ไม่ค่อยมีคนรู้ก็คือ หวังเยว่ซินเป็นพวกที่หวงพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองมาก นอกจากห้องรับแขกแห่งนี้ที่มีความจำเป็นต้องให้คนเข้ามาแล้ว ห้องอื่นก็อย่าหวังจะได้เข้าไปเลย

    “อะแฮ่ม... ฉันต้องขอโทษด้วยกับความเสียมารยาทของรุ่นน้อยในหน่วยนะคะ” ตำรวจสาวผู้ได้รับ หน้าที่ให้มาขอความช่วยเหลือจากอารามจางเหว่ย ก้มหัวลงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิดของเธอ

    ในตอนแรกเธอก็กะจะมาคนเดียว เพราะทางตำรวจที่เคยทำงานกับที่ปรึกษาคนนี้ต่างก็รู้ดีว่าเขาเป็นพวกขี้รำคาญขนาดไหน ถ้ามาหลายคนก็เกรงว่าจะถูกไล่ออกไปก่อนจะได้คุยกัน

    ที่รู้ก็เพราะมันเคยเกิดขึ้นแล้ว...

    แต่รุ่นน้อยของเธอที่พึ่งจะย้ายเข้ามาใหม่ดันอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน เอาแต่รบเร้าจะมาด้วยให้ได้ สุดท้ายเธอก็เลยต้องพาเขามาด้วยจนได้

    ก่อนจะขึ้นเขา ตำรวจสาวก็ย้ำกับรุ่นน้อยไปแล้วว่าอย่าไปจับอะไรมั่วๆ และห้ามเสียมารยาทกับคนที่สวยที่สุดในอารามนี้เด็ดขาด

    แต่ใครจะไปรู้ว่าดันสร้างความประทับใจติดลบให้ตั้งแต่แรกเจอแบบนี้...

    “รู้ตัวก็ดีครับ แล้วครั้งนี้มีธุระอะไร” คิ้วสวยได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

    คงไม่ได้คิดว่าหวังเยว่ซินจะตอบว่า ไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม

    “เราอยากให้คุณดูนี่ค่ะ เป็นภาพจากคดีล่าสุดที่พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ตอนนี้มีเหยื่อทั้งหมด 6 คน สาเหตุการตายเหมือนกันหมด คือทำให้สลบ จากนั้นจะถูกทำให้ขาดอากาศหายใจ จนถึงตอนนี้เรายังไม่สามารถหาตัวฆาตกรได้” น้ำเสียงที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความโกรธ ต่อตัวคนที่ทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้ลงไป

    “เหยื่อทุกรายมีสิ่งที่เหมือนกันคือ ต้องเป็นผู้หญิงอายุ 20-22 ปี ผมสีดำตามธรรมชาติที่ไม่ผ่านเคมี ไม่เคยทำศัลยกรรมส่วนไหนในร่างกาย และอีกอย่างที่เหมือนกันก็คือ ฆาตกรจะเอามดลูกของเหยื่อทุกคนไปด้วย”

    ตำรวจสาวไม่ได้มองว่าการบอกข้อมูลพวกนี้ให้อีกฝ่ายรู้เป็นสิ่งที่ผิดอะไร หวังเยว่ซินไม่ใช่คนนอก กลับกัน ตำแหน่งของเขาเรียกได้ว่าสูงจนเธอต้องก้มหัวให้ด้วยซ้ำ แต่เพราะนิสัยที่ค่อนข้าง... สุดโต่งไปนิด ทำให้ไม่ค่อยได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาล

    จึงไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่..

    หวังเยว่ซิน หัวหน้าและสมาชิกเพียงคนเดียวของหน่วยกำจัดสิ่งเหนือธรรมชาติและเหตุการณ์ซึ่งไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบายได้

    ตำแหน่งสูงกว่าคุณลู่หวังเหล่ยที่ทำงานกับพวกเขามานานสักอีกนะ..

    ดวงตาคมสีฟ้าใสจ้องมองภาพถ่ายตรงหน้า เขาไม่ได้มีความกลัวต่อสภาพศพเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่คดีนี้มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่พอสมควร

    “มีหลักฐานอะไรในที่เกิดเหตุบ้างครับ” คำถามของคนงามที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำให้แขกทุกคน ยกเว้นตำรวจหนุ่มน้อยที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรยกยิ้มขึ้นมาในทันที

    หวังเยว่ซินให้ความสนใจแล้ว!

    “ในที่เกิดเหตุแทบจะไม่มีร่องรอยอะไรเลยค่ะ ขนาดรอยนิ้วมือก็ยังถูกลบออกไปหมด เหมือนฆาตกรคิดมาแล้วอย่างดีว่าจะลงมือยังไง นอกจากรอยเลือดของเหยื่อ อีกสิ่งที่เหลือก็คือแค่ดินแปลกๆ ที่ทิ้งเอาไว้ในร่างของเหยื่อค่ะ” ตำรวจสาวยื่นใบชันสูตรศพให้ที่ปรึกษาคนงามที่นั่งอยู่ข้างหน้า

    เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะน่าจะสามารถหาเบาะแสของคนร้ายได้จากดินที่ติดอยู่ในศพ แค่พอลองตรวจสอบดีๆ ก็ปรากฏว่าดินพวกนี้เป็นแค่ดินธรรมดาที่สามารถหาได้ทั่วไป ไม่มีอะไรที่จะถึงฆาตกรได้เลย

    ดูก็รู้ว่ามันไม่ใช่แค่คดีที่คนธรรมดาจะทำได้ เพราะแบบนั้นถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากคนๆ นี้

    “ผู้หญิงพวกนี้... เกิดในวันเดียวกัน ปีเดียวกัน และเดือนเดียวกันใช่ไหมครับ” ปลายนิ้วเรียวค่อยๆ เรียกภาพของเหยื่อบนโต๊ะอย่างช้าๆ

    “อาจจะใช่ค่ะ เพราะว่าบางคนเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีครอบครัว เราจึงยังหาข้อมูลของพวกเธอไม่เจอทั้งหมด” ในขณะที่รุ่นพี่กำลังทำงาน ตำรวจหนุ่มที่พึ่งจะย้ายมาประจำการก็จ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเป็นประกายราวกับกำลังตกหลุมรัก

    งดงาม... งดงามเหลือเกิน...

    “คุณตำรวจ... เคยได้ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดใหม่ไหมครับ” หวังเยว่ซินยกน้ำชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ น่าแปลกที่แม้น้ำชาของคนอื่นจะเย็นชืดไปหมดแล้ว แต่กลับแค่ของเขาแก้วเดียวที่ยังคงมีอุ่นอยู่

    “การ...เกิดใหม่เหรอคะ” ซูฉี หรือผู้หมวดสาวขมวดคิ้วกับคำถามของคนงามตรงหน้า

    เธอรู้ว่าคุณเยว่ซินคงไม่ได้หมายถึงพวกนิยายเกิดใหม่ที่มีอยู่เต็มเว็บตอนนี้แน่ๆ แต่คงกำลังถามถึงเข้าใจของเธอต่อคำคำนี้ต่างหาก

    “คงหมายถึง... การที่คนที่ตายไปแล้ว กลับมาอยู่เกิดเป็นเด็กทารกละมั้งคะ”

    “ไม่ผิดครับ แต่ก็ไม่ได้ถูกหมด การเกิดใหม่ในความหมายของวงการนี้ หมายถึงการที่คนตาย ได้กลับมาอยู่ในโลกของคนเป็นอีกครั้ง ไม่ว่าในรูปร่างก็ตาม ขอแค่มีตัวตนอยู่บนโลก สามารถสัมผัสได้ สามารถพูดคุยกับคนเป็นได้ นั้นก็เรียกว่าการเกิดใหม่แล้วครับ” เจ้าอารามพยักหน้าให้กับคำอธิบายของที่ปรึกษาคนงาม

    แม้จะเรียนจบมานาน ก็ยังคงจำสิ่งที่เขียนเอาไว้ในหนังสือได้สินะ...

    “แต่ประเด็นก็คือ บนโลกนี้น่ะ ไม่อนุญาตให้คนตายกลับมาอยู่ในโลกคนเป็นได้ครับ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม เพราะแบบนั้น ความพยายามของฆาตกร จึงเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย” น้ำเสียงของหวังเยว่ซินยังคงเฉยชาแม้ว่าสิ่งที่เขาออกมาจะเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของคนอื่นก็ตาม

    “คุณจะบอกว่า สิ่งที่ฆาตกรทำ เขาทำเพราะเชื่อว่าจะสามารถทำให้คนตายมีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้อย่างงั้นเหรอคะ”

    “วิธีการดึงวิญญาณมาเกิดใหม่ที่สามารถทำได้ง่ายที่สุดและดูเป็นไปได้ที่สุด นั้นก็คือการนำดินสุสานใส่เข้าไปในร่างของหญิงสาวบริสุทธิ์จนกว่าพวกเธอจะขาดอากาศหายใจตาย จากนั้นก็ควักเอามดลูกออกมาโดยห้ามให้เกิดความเสียหายเด็ดขาด” ไม่จำเป็นของหาฆาตกร หวังเยว่ซินก็สามารถพูดสิ่งที่มันทำกับเหยื่อออกมาได้อย่างเป็นชั้นเป็นตอน

    “จำเป็นต้องใช้มดลูกทั้งหมด 6 ชิ้น จากหญิงสาวที่เกิดวันเดียวกัน ปีเดียวกัน และเดือนเดียวกัน นำทั้งหมดไปคลุกกับเถ้ากระดูกของคนที่ต้องการคืนชีพ จากนั้นก็ใช้หญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์กินทั้งหมดลงไปแบบสดๆ เชื่อกันว่าเด็กที่เกิดจากท้องของหญิงสาวคนนั้น ก็คือคนที่ตายที่คืนชีพใหม่ หือ... ทำไมมองผมแบบนั้น” สายตาที่มองมาด้วยตกตะลึงของทุกคนห้องทำให้หวังเยว่ซินรู้สึกรำคาญใจ

    “เยว่ซิน... เจ้ารู้เรื่องทั้งหมดนั้นได้ยังไง” เจ้าอารามถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เห็นจะรู้เลยว่ามันมีเลยว่ามีวิธีแบบนี้อยู่ด้วย

    “หึ... มันถูกเขียนเอาไว้ในหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องวิญญาณและเกิดใหม่ ซึ่งมีอยู่ในทุกๆ อาราม เพราะมันเป็นหนังสือพื้นฐานที่ทุกคนต้องอ่าน ลูกศิษย์ทุกคนในอารามนี้ก็ล้วนอ่านมาแล้ว แต่ดูเหมือนความจำของอาจารย์จะแย่ลงตามอายุสินะครับ” เหตุผลเดียวที่หวังเยว่ซินรู้ว่าเหตุผลของฆาตกร ก็เพราะเขาจำเรื่องราวที่เขียนอยู่ในหนังสือได้ก็เท่านั้น

    ต่อให้จะเก่งแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครบนโลกนี้ที่สามารถเห็นอนาคตได้หรอกนะ...

    “โอเค หยุดถากถางอาจารย์ได้แล้ว สรุปใครคือคนร้าย” ลู่หวังเหล่ยถอดหายใจออกมาอีกรอบ เปิดช่องให้ไม่ได้เลย โดยตลอด

    “ผมจะรู้เหรอครับ” หวังเยว่ซินจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าราวกับมองคนโง่

    “พวกคุณบอกผมแค่เรื่องเกี่ยวกับคดี ไม่ได้บอกว่าสงสัยใครหรือว่าคิดว่าใครคือคนร้าย แล้วผมจะบอกตัวคนร้ายได้ยังไงครับ คงไม่ได้หวังให้คนที่อยู่บนเขาทั้งชีวิตแบบผม รู้ข้อมูลประชากรมากกว่าตำรวจพื้นที่หรอกใช่ไหม” คำพูดคนงามทำให้ตำรวจทั้งสองก้มหน้ามองพื้นด้วยความอับอายอีกรอบ

    นั้นสิ จะว่าไปพวกเขาก็ไม่เคยพูดถึงผู้ต้องสงสัยให้อีกฝ่ายรู้เลยนี่น่า..

    “ฆาตกรต้องเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 20-25 ปี มีพี่สาวหรือไม่ก็แม่ที่ท้องอยู่ และพึ่งจะสูญเสียใครสักคนในครอบครัวไป ดูจากขอบเขตการก่อเหตุก็คงอาศัยอยู่ในเมืองนั่นแหละ!”

    “นี่ตกลงพวกตำรวจมันทำงานกันยังไง!ทำไมเรื่องแค่นี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้กันฮะ!มีเงินเดือนเป็นภาษีประชาชนก็หัดทำงานให้มันคุ้นค่าซะบ้างสิ!!” ท้องที่เริ่มส่งเสียงทำให้คนงามอารมณ์ไม่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

    “โอเคๆ เยว่ซิน เจ้าต้องใจเย็นๆ ลงก่อน” เจ้าอารามพยายามทำให้เด็กที่กำลังโมโหหิวใจเย็นลง

    “หุบปาก!ออกไปจากบ้านผมเดี๋ยวนี้!!” ร่างของทุกคนนอกจากเจ้าของบ้านหายออกไปในทันที

    แต่รอบนี้พวกเขาไม่ได้ไปปรากฏที่หน้าบ้าน แต่อยู่เกือบทางลงเขา ขยับนิดเดียวสามารถตกลงไปแขนหักขาหักได้เลย

    “อา... ครั้งหน้าที่จะมา เลือกเวลาดีๆ หน่อยนะ...” เจ้าอารามหันไปพูดคุยผู้หมวดสาวด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

    พอตกนานๆ เข้า ก็รู้สึกชินกับการตกเขาไปแล้วล่ะ...

    ร่างงดงามลุกขึ้นและตรงไปยังทานอาหารด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่ทันทีที่อาหารคำแรกถูกคีบเข้าปาก ท่าทีที่พร้อมจะฟาดแส้ใส่ทุกคนที่เข้าใกล้ก็ค่อยๆ สงบลง

    “อร่อย...”

    บางสิ่งที่มองอยู่ตั้งแต่แรกยกยิ้มขึ้นมาจางๆ

    องค์ชายของข้า ท่านยังคงเป็นโมโหหิวได้รุนแรงเหมือนเดิมแต่นั่นก็ทำให้ท่านช่างน่าเอ็นดูเช่นกัน

    ....................................

    เดี๋ยวอีกไม่นานก็ได้เห็นหน้าพระเอกแล้วค่ะ ใจเย็นๆ กันนะ55555

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิด

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×