ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำของดวงจันทร์และดอกโบตั๋น#ภรรยาโปรดวางแส้ลงก่อน

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 9

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 67


    ถึงจะบอกว่าได้พัก 2 เดือนเต็มๆ แต่ชีวิตของหวังเยว่ซินก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น แม้ว่างานหลักๆ อย่างการช่วยส่งวิญญาณร้ายไปเกิดใหม่หรือให้คำปรึกษากับแขกที่จะมาเยี่ยมถึงที่จะไม่มีแล้ว

    เพราะว่าคนเดียวซึ่งมีสิทธิ์ในการสั่งงานเขา กำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาลในสภาพแขนขาหักไปอย่างจะท่อนสองท่อน

    แต่ก็ยังมีอีกงานที่แม้จะไม่อยากทำแค่ไหน ที่ปรึกษาคนงามก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ นั้นก็คือการดูแลความสงบภายในอาราม ไม่ว่าจะเป็นการลงโทษลูกศิษย์ที่ทำผิดกฎหรือรับหน้าที่เป็นคนสอนวิชาต่างๆ ในตอนที่อาจารย์ไม่อยู่

    นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม ต่อให้เจ้าอารามจะทำเรื่องที่เขาไม่พอใจขนาดไหน ขอเพียงไม่ได้มากจนเกินไป หวังเยว่ซินก็ไม่ค่อยอยากทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาลนัก

    เพราะภาระทั้งหมดมันจะตกมาอยู่ที่เขาแทนไง ความจริงๆ ที่ตำแหน่งที่ปรึกษามีอำนาจเป็นอันดับสองของอารามเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

    แต่ก็ช่างเถอะ ใช่ว่าหวังเยว่ซินจะไม่มีทางแก้สักหน่อย

    ร่างงดงามในชุดกี่เพ้าสีขาวปัดด้วยลายดอกโบตั๋นสีดำเอนตัวพิงอยู่บนเก้าอี้ที่ทำมาจากหยกเนื้องาม ซึ่งแผ่ความเย็นออกมาตลอดเวลาเหมือนกำลังนั่งอยู่ในห้องแอร์ ด้านบนเก้าอี้ถูกปูทับด้วยผ้านวมราคาแพงเพื่อเพิ่มความสบายในการนั่ง

    ของบรรณาการที่ส่งมาจากบ้านของเขา..

    เหนือศีรษะของที่ปรึกษาคนงามคือร่มจีนโบราณสีม่วงเข้มซึ่งปักด้ามลงกับพื้น สำหรับใช้กันแดด มือเรียวยาวจนเห็นข้อต่อถือพัดผ้าไหมทรงกลมที่ประดับด้วยพู่สีขาวเอาไว้ และออกแรงสะบัดไปมาเบาๆ เพื่อคลายความร้อน

    แม้ว่ารอบตัวเขาจะเย็นจากฝีมือของบางสิ่งที่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ แค่ไหนก็ตาม

    ดวงตาคมสีฟ้ามองภาพตรงด้วยความเฉยชา เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของเหล่าลูกศิษย์ข้างล่างไม่ได้ทำให้คนงามรู้สึกเมตตาเลยแม้แต่น้อย

    อยากโทษก็ไปโทษเจ้าอารามที่ยกตำแหน่งอาจารย์ชั่วคราวให้เขาสิ...

    ตอนนี้หวังเยว่ซินอยู่ที่สนามหญ้าขนาดใหญ่ที่มีเอาไว้ เพื่อให้เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายได้มาลองวิชาที่ถูกสอน แต่ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องเฉพาะกิจที่ท่านที่ปรึกษาคนงามใช้สอนเหล่าลูกศิษย์ทุกคนในอาราม

    ย้ำ... ว่าทุกคน

    “อ๊ากกกกก!!! ช่วยด้วย!!!”

    “อย่าเข้ามานะ!!กรี๊ดดดดดดดด!!”

    “กรี๊ดดดดดดดดดดด!ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!”

    อนึ่ง เสียงกรีดร้องข้างต้นไม่ได้เกิดจากการทรมานแต่อย่างใด ทุกอย่างอยู่ภายใต้การสอนของหวังเยว่ซินทั้งนั้น

    การสอนของปกติของอารามจางเหว่ย มักจะเป็นการสอนแบบค่อยเป็นค่อยไป ลูกศิษย์ทุกคนจะได้รับการสอนตัวต่อตัวกับเจ้าสำนัก หรืออาจารย์เพียงคนเดียวของอารามนี้

    เพราะว่ามีลูกศิษย์น้อย และทุกคนที่ล้วนถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี เรียนไม่กี่ครั้งพวกเขาก็เริ่มใช้วิชาได้ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจก็ไม่ได้ผิด พวกเขายังมีโอกาสได้สอบถามกับผู้เป็นเจ้าอารามอีกมาก

    นี่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อารามจางเหว่ยได้รับความไว้วางใจสูง เพราะลูกศิษย์ทุกคนต่างก็เก่งกาจจากการถูกสั่งสอนมาอย่างดี

    ซึ่งหวังเยว่ซินก็ไม่ได้มองว่ามันผิดนะ ช่วงที่มาอารามแรกๆ ตัวเขาก็ได้รับการสอนแบบนั้นเหมือนกัน แม้ว่าจะไปทำให้อาจารย์เกือบความดันขึ้น เพราะสามารถสำเร็จการศึกษาได้เร็วกว่าศิษย์ที่เรียนอยู่ก่อนก็เถอะ

    แต่จากความคิดเห็นส่วนตัว หวังเยว่ซินคิดว่าการสอนแบบของอาจารย์น่ะ มันช้าเกินไปหน่อย

    ถ้าอยากให้ลูกศิษย์ชินกับการขับไล่วิญญาณร้ายจริงๆ การเผชิญหน้ากันตรงๆนั่นแหละที่เร็วที่สุด

    จำวิชาขับไล่ไม่ได้เหรอ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเฉียดตายเมื่อไหร่มันก็นึกได้เอง

    กลัวผี กลัววิญญาณงั้นเหรอ ไม่เป็นไร เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็หายกลัวเอง

    ไม่มีแรงพอจะวิ่งหนีงั้นเหรอ ไม่เป็นไร โดนวิญญาณร้ายวิ่งไล่ตามแบบนี้ ต่อให้ไม่มีแรงยังไงมันก็ต้องวิ่งอยู่ดี

    ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ในอารามแห่งนี้ ทั้งหมดล้วนได้รับการสอนวิชาใช้พลังวิญญาณไปแล้ว สิ่งที่หวังเยว่ซินทำ ก็คือให้พวกเขาเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายแบบตรงๆ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจวิธีใช้วิชาที่เรียนไปก็เท่านั้น

    ที่ปรึกษาคนงามไม่ได้ใจร้ายขนาดที่จะใช้วิญญาณร้ายจริงๆ มาสอน เพราะด้วยจำนวนคนที่เยอะ ถ้าหากเอาวิญญาณร้ายตัวจริงมาสอน เวลาที่ควบคุมไม่อยู่ หวังเยว่ซินอาจจะเผลอตวัดแส้โดยลูกศิษย์ที่วิ่งวุ่นอยู่ก็ได้

    เขาขี้เกียจรักษาให้ทีหลัง เพราะงั้นจึงเลือกที่ใช้พลังวิญญาณของตัวเองสร้างวิญญาณร้ายขึ้นมาแทน แน่นอนว่าด้วยความที่เคยเจอตัวจริงมาเยอะ สิ่งที่หวังเยว่ซินสร้างออกมาจึงสมจริงในแบบที่มาทั้งกลิ่นทั้งเสียง

    พลังวิญญาณของสิ่งที่สามารถทำได้ทุกอย่าง ขอเพียงควบคุมได้ดีพอ ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

    ทันทีที่คนงามปล่อยวิญญาณร้ายตัวปลอมออกไปไล่ล่าเหล่าลูกศิษย์ เสียงกรีดร้องและการขอความช่วยเหลือก็ดังลั่นสนาม แต่พอให้พวกเขาจะกลัวขนาดไหน สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงการวิ่งหนีพร้อมกับพยายามใช้วิชาที่เรียนมากำจัดมันเท่านั้น

    ลูกศิษย์คนไหนที่กล้าวิ่งออกจากสนาม พวกเขาก็จะถูกสัตว์พิทักษ์ต้อนกลับมาเพื่อรับการสอนของท่านที่ปรึกษาต่อ

    สัตว์พิทักษ์ก็คือหนึ่งในวิชาที่หวังเยว่ซินสร้างขึ้นมาเพื่อความสบายของตัวเอง พวกมันไม่มีชีวิต เป็นเพียงพลังวิญญาณที่ถูกรวบเข้ากับธรรมชาติรอบๆ จนกลายร่างเป็นสัตว์ต่างๆ เหมือนที่เขาสร้างนกดึงดูดวิญญาณร้ายและส่งไปให้อาจารย์นั่นแหละ

    แต่รอบนี้เขาสร้างขึ้นมาในรูปแบบของฝูงหมาป่า เพื่อตอนเด็กๆ กลับมาเรียนยังไง

    สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้าหากหวังเยว่ซินไม่อนุญาต ก็จะไม่มีลูกศิษย์คนไหนหนีจากชั้นเรียนของเขาได้

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!อย่าเข้ามานะ!!”

    “บทส่งวิญญาณมันท่องยังไงวะ!!อ๊ากกกกก!!”

    “ช่วยด้วย!!กรี๊ดดดด!!!”

    “โอ้ย!เจ็บโว้ย!!”

    เพื่อให้ความรู้สึกที่ได้รับสมจริงมากขึ้น คนงามจึงสร้างให้เหล่าวิญญาณร้ายสามารถสร้างความเจ็บให้ลูกศิษย์ที่โดนมันโจมตีได้

    ทั้งๆ ที่หากนับตามความจริง สิ่งที่สร้างขึ้นมาจากพลังวิญญาณนั้น ไม่ควรจะสร้างความเจ็บปวดให้คนเป็นได้ เพราะอย่าลืมว่าพลังวิญญาณเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกๆ อย่าง มันซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ และสร้างสิ่งที่เรียกว่าพลังงานชีวิต ทำให้คนเป็นสามารถมีชีวิตต่อไปได้

    นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไม คนตายถึงต้องการพลังวิญญาณ เพราะว่าพวกเขาต้องการพลังงานชีวิต ถ้าหากมีมากพอ ก็จะสามารถปรากฏตัวให้คนเป็นเห็นได้

    พลังวิญญาณที่หวังเยว่ซินใช้เพื่อสร้างวิญญาณร้ายพวกนี้ เป็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์ในแบบที่ร่างกายคนเป็นต้องการมากที่สุด มันควรจะถูกดูดซับ มากกว่าจะถูกปฏิเสธจนสร้างความเจ็บปวดได้

    แต่ก็อย่างว่า อะไรที่มากเกินไปมักจะไม่ดี พลังของที่ปรึกษาคนงามนั้นมากในแบบที่เรียกได้ว่า ถ้าหากเขาไม่มอบให้ด้วยตัวเอง ยังไงก็ไม่มีทางดูดซับไปได้ เพราะว่ามีสิทธิ์สูงที่ตัวจะระเบิดตายก่อน

    เพราะงั้นจึงไม่แปลกหากร่างกายจะปฏิเสธโดยการสร้างความเจ็บปวดขึ้นมาในทุกครั้งที่วิญญาณร้ายของเขาโจมตีโดนตัว

    เป็นวิธีที่ หากไม่ได้หวังเยว่ซิน คนอื่นก็ไม่มีทางทำได้จริงๆ ...

    “อ้าวๆ อย่าเอาแต่วิ่งหนีกันสิ ถ้าหากขับไล่ได้ถูกวิธี ยังไงวิญญาณร้ายพวกนี้ก็หายไปอยู่แล้ว หนีไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ” ที่ปรึกษาคนงามพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา แต่การที่เขายังสร้างวิญญาณร้ายออกมาอีกเรื่อยๆ ก็ทำให้ลูกศิษย์หลายคนแทบจะลืมวิธีขับไล่วิญญาณไปแล้ว

    บ้าไปแล้วเหรอ แค่รวบรวมสมาธิยังทำไม่ได้ แล้วจะไปขับไล่ได้ยังไง!!

    “อ๊ากกกก ช่วยด้วย!!ใครก็ได้ช่วยด้วย!!”

    สาบานเลย หวังเยว่ซินไม่ได้กำลังสนุกอยู่จริงๆ นะ...

    หลังจากเสร็จกับการสอนลูกศิษย์ทั้งหมดในอาราม คนงามก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการอ่านหนังสือ ทำสวน จัดดอกไม้ และเขียนยันต์ อาจจะมีบ้างที่รู้สึกอยากทำของวิเศษขึ้นมาสักชิ้น

    อยากของที่ทำให้วิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า...

    ปลายพู่กันที่กำลังวาดน้ำหมึกสีแดงลงบนกระดาษขาวชะงักไปเล็กน้อย จนทำให้เกิดรอยเปื้อนขึ้น มือที่งดงามราวกับหยกวางพู่กันลงในที่เก็บ จากนั้นก็นำกระดาษยันต์ที่ไม่สามารถใช้งานได้ เผากับเปลวเทียน

    ดวงตาคมสีฟ้าใสสะท้อนภาพของกระดาษที่กำลังถูกเผาไหมด้วยสายตาเฉยชา เพียงชั่วพริบตา ทุกอย่างก็เหลือไว้เพียงขี้เถ้า

    ร่างอันงดงามเดินตรงไปทางประตูหลัง คว้าเอาผ้าคลุมไหล่ตัวหนาขึ้นสวม เดินผ่านสวนดอกโบตั๋นที่เริ่มมีดอกตูมมาให้เห็นปะปลาย ตรงเข้าไปในป่าลึกหลังอารามที่ปกติจะไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ไหนเข้าไปในยามค่ำคืน

    ความมืดรอบข้างไม่ได้สร้างลำบากอะไรให้ที่ปรึกษาคนงามแม้แต่น้อย ในทุกๆ ก้าวที่หลังเยว่ซินเหยียบย่างไป จะมีหิ่งห้อยน้อยใหม่มากมายบินเข้ามาใกล้ พวกมันเปล่งแสงออกมาราวกับกำลังนำทางให้เขาไปถึงเป้าหมาย

    เดินมาได้ประมาณ 30 นาที ตรงหน้าของหวังเยว่ซินก็ปรากฏร่างของกวางสาวที่ขาของมันติดอยู่ในบ่วงของนายพรานล่าสัตว์

    ไม่รู้เพราะโชคชะตานำพาหรือเพราะอะไร แต่กวางสาวตัวนี้ เป็นแม่ของลูกกวางที่ตอนนี้ฝังเอาไว้ใต้สวนดอกไม้ของเขา

    ในตอนแรกที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของมนุษย์เข้ามาใกล้ ในใจของกวางสาวก็เต็มไปด้วยหวาดกลัว เธอพยายามจะดิ้นหนีออกจากกับดักนี้ แต่ไม่ว่าจะพยายามดึงขาขนาดไหน เชือกที่มัดกับขาหลังของเธอไว้แน่นก็ไม่ยอมหลุด

    แต่แล้ว เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนชัดๆ ความตื่นตกใจในใจของกวางสาวก็ค่อยๆ ลดลงจนแทบไม่เหลือ เธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้มืองดงามสัมผัสกับศีรษะของเธอโดยไม่หลีกหนี

    “เด็กดี... ไปเถอะ” หวังเยว่ซินปลดกับดักที่มัดขาของกวางสาวออก เธอหันมามองเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะวิ่งหนีกลับเข้าไปในป่า

    ดวงตาคมหันกลับสนใจกับดักในมืออีกครั้ง มันเป็นกับดักโบราณที่ไม่ค่อยในสมัยนี้เท่าไหร่ จริงๆ ต้องมีของที่ส่งเสียงได้เมื่อถูกดึงผูกเอาไว้ที่ปลายเชือกด้วย แต่ที่นายพรานคนนี้ไม่ทำ คงเพราะกลัวว่าเสียงจะดึงดูดความสนใจของคนในอารามสินะ

    แปลว่ารู้ทั้งรู้ว่าภูเขานี้เป็นของใคร แต่ก็ยังคิดจะมาล่าสัตว์อีกสินะ งั้นก็คงไม่มีความหมายที่ต้องปราณี...

    ยันต์ที่ปกติจะไม่ค่อยได้เอามาใช้งานเท่าไหร่ถูกติดลงบนเชือก เพียงไม่นานมันก็ซึมหายไปราวกับเป็นของเหลวอย่างหนึ่ง

    เมื่อหมดธุระ คนงานก็หมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม ปล่อยให้เรื่องราวต่อจากนี้ ดำเนินไปตามผลกรรมที่อีกฝ่ายก่อ

    คำที่เขียนอยู่บนยันต์นั้น คือคำว่า ย้อนคืน

    คืนนั้นเอง ภายในหมู่บ้านขนาดกลางๆ ที่อยู่ห่างจากภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของอารามไม่มาก ในบ้านไม้หลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยของประดับที่ทำมาจากอวัยวะของสัตว์ป่า

    ชายวัยกลางคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงก็ตัวกระตุกขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวราวกับกำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มือทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่นจนมันแทบจะฉีกขาด เหงื่อมากมายไหล่ออกมาจากร่าง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ลืมตาตื่น

    ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้นายพรานหนุ่มกำลังเผชิญกับความฝันแบบไหน แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมา อีกฝ่ายก็ไม่กล้าแม้แต่จะกินเนื้อสัตว์อีกเลย

    2 เดือนผ่านไปไวราวกับโกหก

    หวังเยว่ซินทอดสายตามองสวนดอกโบตั๋น ที่กลับมามีดอกอีกครั้งหลังจากวันพายุเข้า ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ รอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้างามนั้น ไม่ได้รอยยิ้มเหยียบหยาบเหมือนปกติ แต่เป็นการยิ้มที่ออกมาจากใจจริง ซึ่งนับหาได้ยากมาก

    บ่งบอกได้อย่างดีเลยว่าที่ปรึกษาคนงามรักสวนของตัวเองขนาดไหน

    ตั้งแต่เกิดจนโต หวังเยว่ซินก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวเองชื่นชอบดอกโบตั๋นมาก ไม่ว่าจะสีไหนหรือมีความหมายอะไร ขอเพียงเป็นดอกโบตั๋น เขาก็พร้อมจะส่งยิ้มให้

    ในสวนแห่งนี้เองก็เช่นกัน เขาดูแลตั้งแต่ตัวต้นยังเป็นแค่เมล็ด ถนอมอย่างดีจนโตเป็นต้นกล้า ลงมือพรวนดินด้วยตัวเอง ศึกษาหาความรู้ถึงสารอาหารในดิน จนทำให้ต้นไม้ของเขาออกดอกอย่างสวยงาม

    มืองามยกน้ำชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ ดอกไม้โบตั๋นที่เพิ่มเบ่งบานหลังจากที่ไม่ได้ออกดอกมาสองเดือนนั้นงดงามจนไม่อาจจะสายตาจริงๆ

    แต่แล้ว... ความสงบของหวังเยว่ซินก็ต้องถูกทำลายลง

    “ว๊ากกกกกกก!!!!” เสียงที่ไม่คุ้นหูทำให้ดวงตาคมสีฟ้าใสเงยขึ้นมองข้างบน ร่างของชายหนุ่มแปลกหน้าในเครื่องแบบตำรวจกำลังลอยเข้ามาใกล้กับที่บ้านของเขามากขึ้นเรื่อยๆ

    กะด้วยระยะสายตา อาจจะตกลงมาใส่สวนดอกไม้ของเขาก็ได้...

    ดวงตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่ากำลังเริ่มหงุดหงิด ร่างโปร่งลุกขึ้นจากที่นั่ง มือที่งามราวกับหยกคว้าจับพนักพิงของเก้าอี้ไม้เอาไว้แน่น และไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะขวางเก้าอี้ออกไปใส่ราวคนแปลกหน้าเพื่อรักษาสวนดอกไม้ของเขาเอาไว้

    “อัก!!” เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้นไม่ได้ทำให้หวังเยว่ซินสนใจเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกโล่งอกมากกว่าว่าต้นของเขายังปลอดภัยดี

    “หวังเยว่ซิน!!ทำบ้าอะไรของเจ้า!นั้นแขกของเรานะ!!” เจ้าอารามที่พึ่งจะได้ออกจากโรงพยาบาลมารีบเข้ามาตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มที่ถูกเก้าอี้ทับ

    โชคดีหน่อยที่แค่หมดสติไปเฉยๆ

    ตอนเข้ามาแถวนี้เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ทำให้อีกฝ่ายถูกของวิเศษที่พวกลูกศิษย์สร้างดีดกระเด็นมาทางนี้ เขาก็หวังอยู่ว่าขอให้ไม่ตกลงไปโดนบ้านของหวังเยว่ซิน แต่ดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว คงไม่รอดสินะ...

    “จ่ายค่าเก้าอี้มาด้วยครับอาจารย์ ถ้าไม่อยากกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ” คนงามตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่คิดสนใจเลยสักนิดว่าคนที่เขาพึ่งโยนเก้าอี้ใส่จะมีสภาพเป็นแบบไหน

    ต่อให้คนตายจริงๆ แล้วมันจะยังไงล่ะ หวังเยว่ซินสามารถคุยกับยมทูตได้อยู่แล้ว แต่ถ้าดอกไม้เขาถูกทับจนตาย ใครจะเอามันกลับมากัน

    .........................................

    เห็นแขนเล็กๆ แบบนั้น แต่แรงของเยว่ซินไม่ได้น้อยเลยนะคะ5555

    ปล.ยังไม่ตรวจคำผิด

    อย่าลืมคอมเมนต์และกดใจให้ไรท์ด้วยนะคะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×