[Fic The Mask Singer] S-H-Y
จะ #อีกากินทุเรียน หรือ #ทุเรียนทิ่มอีกา แล้วแต่ผู้อ่านเลยฮะ!
ผู้เข้าชมรวม
2,731
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
มาเม้าท์มอยกันได้ที่>>คลิก
____________________________________________________________________________________________________
รายการ The Mask Singer
เป็นรายการเรียลลิตี้เกมโชว์ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากประเทศเกาหลี และได้รับเรตติ้งท่วมท้นจากผู้ชมทั่วประเทศ
มีกติกาคือผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องปกปิดตัวตนภายใต้หน้ากาก
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร สิ่งที่สามารถบอกใบ้ได้ มีเพียงเสียงและเทคนิควิธีการร้องของพวกเขาเท่านั้น
เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่มีจุดหมายปลายทางร่วมกันคือ [การเป็น The Mask Singer คนแรกของประเทศไทย]
และตอนนี้ เขาก็ได้เดินมาจนเกือบจะถึงเส้นชัยนั้นแล้ว
เสียงกระทบของส้นตึกดังก้องไปทั่วระหว่างทาง
หน้ากากอีกาดำเดินเข้ามาในสตูดิโอด้วยท่าทางที่เตรียมพร้อมสุดขีด
ชายในชุดขนสีกาก้าวเดินอย่างเชื่องช้าทว่าทะมัดทะแมงตามประสาคนสวมรองเท้าส้นสูง
วันนี้เป็นการซ้อมวันแรกของแชมป์ประจำกลุ่ม A ซึ่งคือหน้ากากทุเรียน กับแชมป์ประจำกลุ่ม B นั่นก็คือเขา
โดยที่ทางโปรดิวเซอร์ได้พูดกำชับกับพวกเขาไว้ว่า
อยากให้การแสดงรอบวันจริงออกมาดีที่สุด “เอาให้ผู้ชมทั้งอึ้งและประทับใจไปเลย
แบบว่า รายการนี้สุดยอด!”
ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็คิดเช่นเดียวกัน
หน้ากากอีกาดำเข้ามาในสตูดิโอที่ใช้ในการซ้อม
มือในถุงมือหนังสีดำรับไมโครโฟนมาจากทีมงาน
บนเวทีเป็นหน้ากากทุเรียนที่เตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว พวกเขาสบตากันผ่านหน้ากากครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทางใครทางมัน
แต่เดิมก็ไม่ได้สนิทกันอยู่แล้ว
ทีมงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามาแจ้งรายละเอียดกับเขาโดยคร่าวๆ_ซึ่งแอบค่อนไปทางละเอียดอยู่เล็กน้อย_ แต่หน้ากากอีกาดำแทบไม่ได้สนใจในสิ่งที่ทีมงานพูด
เพราะว่าความสนใจทั้งหมดของเขาตกไปอยู่ที่ร่างหน้ากากหนามเขียวที่กำลังโยกตัวเบาๆคล้ายคลอตามเพลงระหว่างที่รอเขาไปพลางๆ
ตอนที่ได้แชมป์ประจำกลุ่ม Aและ Bแล้ว
พวกเขาทั้งสองถูกเรียกไปพบกับโปรดิวเซอร์ในทันทีเพื่อตกลงเรื่องเพลงที่จะต้องร้องคู่กัน
รายละเอียดส่วนใหญ่ถูกแจ้งผ่านทางโปรดิวเซอร์
และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันมากมายนัก
หน้ากากทุเรียนไม่เหมือนหมูป่า
รายนั้นเป็นพวกชอบดีดอยู่ตลอดเวลา บทสนทนาส่วนใหญ่จึงเป็นสาวเจ้าที่ชวนเขาคุยเพื่อทำความรู้จักเสียมากกว่า
จนไม่นานพวกเขาเองก็เริ่มสนิทกันในระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงไม่กล้าหยอกกันบนเวทีแบบนั้นแน่
แน่นอนว่าหน้ากากทุเรียนเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกัน
ดังนั้นการเจอกันครั้งแรกจึงเริ่มต้นไม่ค่อยดีนัก นอกจากคำว่า “สวัสดี”
ที่เหลือก็เป็นเพียงความเงียบทั้งสิ้น
หน้ากากทุเรียนมองชายร่างสูง(ที่เสริมส้น)ตรงหน้า
เขาดูเป็นพวกที่จริงจังและซีเรียสกับทุกสิ่งอย่างบอกไม่ถูก
ทำให้เขาไม่กล้าเข้าไปแหย่เล่นหรือกวนตีนแบบผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ
นอกจากจะกลัวโดนจะงอยปากจิกใส่แล้ว อีกใจหนึ่งก็แอบเกรงๆส้นตึกของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน(...)
“จะเริ่มทำการซ้อมแล้วนะครับ”
หน้ากากอีกาดำพยักหน้า ชายหนุ่มเดินก้าวขาขึ้นเวทีโดยไม่ลืมยืดอกเชิดหน้าขึ้นเพื่อให้ตัวเองดูน่าเกรงขามดุจดังอีกาทมิฬเช่นทุกครั้ง
ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นการขู่คู่แข่งกลายๆ จะได้รู้ว่าคนแก่เองก็เก๋าเช่นกัน
แต่เขาอาจลืมไปว่า ตัวเองใส่รองเท้าอภิมหาโครตส้นตึกอยู่
ไม่รู้ว่าด้วยก้าวพลาด เหยียบชายเสื้อ
หรือส้นรองเท้าเกิดพลิก แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่นทำให้ชายหนุ่มมาดร็อกเกอร์สะดุดร่วงลงเวทีไป
ท่ามกลางความตกใจของหน้ากากทุเรียนและทีมงาน
“คุณอีกา!!”
กลิ้งเป็นลูกขนุนเลยแหะ...
.
.
.
การเจอกันครั้งแรกว่าแย่แล้ว
แต่การเจอกันครั้งที่สองแย่ยิ่งกว่า หน้ากากอีกาดำรู้สึกว่าภาพลักษณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่เทปแรกหายไปภายในไม่กี่วินาที
หวังว่าเมื่อครู่นี้คงจะไม่มีใครแอบถ่ายรูปเขาเอาไว้หรอกนะ
ยิ่งไปกว่านั้นคือการซ้อมถูกยกเลิกไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้ซ้อม
โดยมีตัวต้นเหตุนั่งรู้สึกผิดอยู่ที่เก้าอี้บริเวณผู้ชม
สาเหตุที่ซ้อมต่อไม่ได้เป็นเพราะว่าข้อเท้าแพลงตอนร่วงลงมา ดูเหมือนการใส่ส้นตึกจะสร้างเรื่องให้เขาก็คราวนี้แหละ
“ผมถามจริงๆเถอะครับ
สวมส้นสูงซะขนาดนี้นี่คุณอีกาดำฝึกเดินมานานแค่ไหนล่ะครับนั่น”คู่แข่งรุ่นน้องถามในขณะที่นั่งก้มๆเงยๆดูอาการของคนแก่อยู่ที่พื้น
หน้ากากอีกาดำเงียบไปครู่หนึ่ง “...น่าจะราวๆสามเดือน..มั้งนะ”
โอ้โห...
หน้ากากทุเรียนแอบส่ายหัวในใจให้กับความอยากสูงของคนตรงหน้า
ไม่แปลกหรอกที่อีกฝ่ายล้มในเมื่อใส่รองเท้าส้นสูงเสียขนาดนี้ สูงกว่าเขาเกือบสอง-สามเท่าเลยน่าจะได้ ชายหนุ่มมองรองเท้าข้างที่ถูกถอดเอาไว้ด้วยสายตาเวทนา
ดูจากสภาพแล้วคงซ่อมมาหลายทีแล้วล่ะ
นับถือคุณหน้ากากอีกาดำจริงๆที่ใส่เดินมาโดยไม่ล้มตั้งแต่การอัดเทปครั้งแรก
“คุณอีกาคะ พี่เอาผ้ากับน้ำแข็งมาให้ประคบเย็นเบื้องต้นก่อนค่ะ
เดี๋ยวอีกสักพักรถพยาบาลคงจะมา”
ทีมงานคนหนึ่งเดินเอาของมาให้
เห็นแบบนี้แล้วตัวต้นเหตุยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ จากมาดพญาอีกา ผู้น่าเกรงขามตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรกับลูกนกตัวป้อมสีดำเลยสักนิดเดียว
“เดี๋ยวผ--/เดี๋ยวผมทำเองครับ!”
เสียงอาสาของหน้ากากทุเรียนถูกกลบด้วยเสียงแหบของคนเจ็บที่ลืมตัวลุกพรวดพราดขึ้นมาเพื่อรับของ
โดยลืมคำนึงถึงความแตกต่างของส่วนสูงของข้างที่สวมและข้างที่ไม่ได้สวมส้นตึก
ผลคือทำให้ชายหนุ่มมาดร็อกเกอร์ล้มคะมำไปอีกรอบ
ชีวิตจริงไม่ใช่ในละคร
ที่พระเอกจะบรรจงรับตัวนางเองเอาไว้ในอ้อมกอดแล้วถามว่า “ไม่เป็นอะไรนะครับ”
แต่เพราะเป็นชีวิตจริง หน้ากากอีกาดำเลยล้มใส่หน้ากากทุเรียนไปเต็มๆ
“โอ้ย!!”เสียงร้องประสานกันดังลั่นเมื่อจะงอยปากอันใหญ่กระแทกเข้าหน้าเต็มๆ
ส่วนทุเรียนก้านยาวเองก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม นั่นคือการกระแทกใส่กระเดือกคนล้มไปเต็มๆเช่นกัน
ทีมงานรีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยพยุงหน้ากากคนเจ็บกับคนปกติที่ถูกทำให้เจ็บกันอย่างอลหม่านก่อนจะพาไปนั่งบนเก้าอี้
หน้ากากทุเรียนหยิบอุปกรณ์ประคบเย็นจากพี่ทีมงานที่ตอนนี้ยืนอึ้งอ้าปากค้างให้กับสถานการณ์ตรงหน้า
ชายหนุ่มร่างเล็กที่ปกติจะอารมณ์ดีตลอด พอมาเจออะไรแบบนี้เข้าก็อดรู้สึกอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาไม่ได้หน่อยเหมือนกัน
ถึงจะรู้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยก็เถอะ
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับ พี่ๆไปทำอย่างอื่นต่อเถอะ”เสียงที่แปลงผ่านไมค์กล่าว
“ส่วนคุณนั่งนิ่งๆไปเลยครับ”หันมากำชับเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะขยับตัวอีกรอบ
หน้ากากอีกาดำจำต้องนั่งลงนิ่งๆเสียไม่ได้
ถึงแม้จะมองไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย แต่ฟังจากน้ำเสียงก็พอเดาได้ว่าคงจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
ซึ่งก็สมควร คนแก่เลยได้แต่นั่งนิ่งๆให้พยาบาลจำเป็นจัดการกับข้อเท้าของเขาไป
“บวมนิดหน่อย
แต่ไม่กี่วันก็คงจะหายครับ”หน้ากากทุเรียนว่าในขณะที่ประคบน้ำแข็งให้อย่างเบามือ
ความรู้วิชาลูกเสือได้เอามาใช้ก็วันนี้แหละ ขอบคุณมากครับอาจารย์! “โชคดีที่ไม่ถึงขั้นหัก
ไม่อย่างนั้นคงได้เลื่อนวันแสดงออกไปนานแน่” นอกเหนือจากนั้นคือถ้าข่าวรั่วก็มีโอกาสถูกจับได้ว่าหน้ากากอีกาดำเป็นใครสูงมาก
ซึ่งเรื่องนี้น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า
หน้ากากอีกาดำไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจรู้สึกแปลกพิลึกที่มีคนไม่สนิทมาทำแบบนี้ให้
แอบเขินอยู่หน่อยๆแหะ คนมีอายุมองคนเด็กกว่านั่งปฐมพยาบาลไปพลาง
บ่นไปพลางไม่ขาดสาย จะบอกว่าแปลกตาเล็กน้อยก็คงได้ ปกติเคยเห็นแต่มาดกวนตีนบนเวที
พอมาเจอหน้ากากทุเรียนให้อีกมุมหนึ่งเขาก็เลยอาจจะรู้สึกไม่ค่อยชิน
“เสร็จแล้วครับ”ราชาแห่งผลไม้ว่าเมื่อพันผ้าบริเวณข้อเท้าเป็นอย่างสุดท้าย
“ขอบคุณครับ”
“อ๊ะ! ผมลืมไปอย่างหนึ่ง”
หน้ากากอีกาดำเลิกคิ้ว “ครับ?” แค่นี้ก็เกรงใจคนเด็กกว่าจะแย่อยู่แล้ว
นอกจากจะไม่ได้ซ้อม ยังต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก
หน้ากากทุเรียนประคองเท้าของหน้ากากอีกาดำขึ้นมาก่อนที่ลมอุ่นจะเป่าออกจากปาก
สร้างความตกใจให้กับคนเจ็บและทีมงานบางคนที่หันมาเจอช็อตนี้พอดี
“เดี๋ยวๆ! คุณทำอะไรน่ะ”คนแก่เผลอร้องเสียงดังด้วยความตกใจ
หน้ากากทุเรียนเงยหน้ามองก่อนจะเอียงคอด้วยความสงสัย
“ครับ? ก็เป่าไงครับ”เมื่อเห็นอีกคนยังไม่เข้าใจเลยพูดขยายความ “แม่เคยบอกไว้ว่า
ถ้าทำแบบนี้จะหายเจ็บเร็วขึ้น” ยัง ยังไม่รู้ตัวอีก!
นี่มันทำลงไปแบบไม่คิดใช่มั้ยเนี่ย!!!
จู่ๆหน้ากากอีกาดำก็ลุกพรวดขึ้นโดยไม่ลืมใส่รองเท้าอีกข้างหนึ่งก่อน
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เขากล่าวโดยทำเสียงให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งแบบกะเผลกๆเท่าที่คนเจ็บคนหนึ่งจะทำได้อย่างรวดเร็วออกจากสตูดิโอไปโดยทิ้งความสงสัยไว้ให้กับหน้ากากทุเรียน
นี่ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า?
คนเจ็บพาตัวเองมาที่ห้องอย่างยากลำบาก
ก่อนจะลงกลอนปิดประตูไว้เรียบร้อย ลมหายใจหอบถี่จากการเดินหรือจากเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่อาจทราบแน่ชัด
ชายหนุ่มถอดหน้ากากออกตรงหน้ากระจก สิ่งที่เขาเห็นในนั้นคือตัวเขาที่หายใจถี่หนัก
และมีเลือดฝาดไล้ไปตามแก้ม
“ไอ้เด็กบ้านั่น”ส่งเสียงพึมพำในลำคอ
อย่าให้รู้นะว่าเป็นใคร ไม่งั้นพ่อจะตบให้ มีอย่างที่ไหนมาทำแบบนี้กับคนไม่สนิท
เป็นใครก็ต้องรู้สึกเขินกันทั้งนั้น หน้ากากอีกาดำสวมหน้ากากกลับเข้าไปตามเดิม แต่ดวงตาก็อดเหลือบมองไปยังผ้าผันแผลที่เท้าไม่ได้
โดยที่ส่วนลึกในใจอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ ว่าแบบนี้...เขาแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มแข่งเลยหรือเปล่า?
________________________________________________________________________________________________________
เรื่องนี้นี่แต่งมาด้วยสองฟีลลิ่งค่ะ คือ 1 อยากเห็นเฮียกาแกเขินกับการกระทำที่ทำไปโดยไม่คิดของน้องเรียน กับ 2 อยากลองเขียนทุเรียนในมุมมองอื่นดูบ้าง อาจจะยังสื่อออกมาไม่ดีเท่าไหร่ก็ต้องอภัยด้วยจริงๆค่ะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ เด็กหญิงจานบิน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เด็กหญิงจานบิน
ความคิดเห็น