ภาพนิมิตแห่งเหตุมรณะ - ภาพนิมิตแห่งเหตุมรณะ นิยาย ภาพนิมิตแห่งเหตุมรณะ : Dek-D.com - Writer

    ภาพนิมิตแห่งเหตุมรณะ

    ผมจึงบอกกับตัวเองว่านี้เราตายไปแล้วหรือยังไง...

    ผู้เข้าชมรวม

    57

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    57

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 ก.พ. 66 / 19:55 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ภาพนิมิตแห่งเหตุมรณะ

              พระภิกษุธุดงค์รูปนั้นมีอายุไม่เกินสามสิบปี รูปร่างสูงสันทัดสีผิวคล้ำมีใบหน้าคมสันรูปงาม หน้าตาหล่อเหลาขั้นพระเอกในละครทางโทรทัศน์ทีเดียว ท่านได้เดินธุดงค์มาจากทางจังหวัดอุบลราชธานี เส้นทางธุดงค์ของภิกษุรูปนี้ท่านเดินทางลัดเลาะเลียบมาตามลำน้ำโขงตั้งแต่จังหวัดต้นทางผ่านมาจากจังหวัดมุกดาหาร นครพนม บึงกาฬ หนองคาย แล้วก็เดินทางทะลุเข้ามายังเขตของจังหวัดเลย  จนมาถึงวัดแห่งหนึ่งซึ่งขณะนั้นผมบวชจำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้เมื่อกลางปีพ.ศ.2539

              ในปี พ.ศ.2539นั้นผมได้ยื่นใบขอลาอุปสมบทกับหน่วยงานต้นสังกัดในช่วงเข้าพรรษา แล้วก็ได้รับอนุโมทนาสาธุ หน่วยงานอนุมัติให้ผมได้ลาบวชจำนวนหนึ่งพรรษาตามสิทธิ์ของระเบียบทางราชการ เมื่อผมอุปสมบทเรียบร้อยแล้วจึงได้ขอกราบลาพระอาจารย์อุปัชฌาย์ย้ายมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้

              พระภิกษุธุดงค์ท่านนั้นก็ได้มาขออนุญาตกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสเพื่อขอเข้าอยู่จำพรรษาตลอดระยะของการเข้าพรรษาของปีนี้  ผมจึงได้พบกับพระภิกษุธุดงค์รูปงามท่านนี้ ผมจะเรียกท่านว่าครูบาเสือ ถึงแม้ว่าผมจะมีอายุมากกว่าครูบาเสือ แต่ทว่าท่านก็มีพรรษามากกว่า ครูบาเสือเล่าเรื่องราวของท่านให้ผมฟังด้วยสำเนียงภาษาอีสาน ช่วงหนึ่งที่ผมมีโอกาสได้พบกับครูบาเสือเมื่ออยู่ตามลำพัง

              ครูบาเสือเริ่มบวชเป็นพระเมื่อตอนอายุยี่สิบปีบริบูรณ์พอดี แล้วท่านก็ครองเพศบรรพชิตอยู่ในบวรพระพุทธศาสนาตลอดมา ช่วงที่บวชในพรรษาของครูบาเสือท่านมักจะออกเดินธุดงค์อยู่ตลอดเรื่อยมา ไม่ค่อยอยู่ประจำกับวัดใดอย่างถาวรครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมจึงได้ถามเหตุผลกับท่านทำไมจึงชอบออกเดินทางธุดงค์ ท่านได้บอกว่าเมื่อครั้งตอนที่บวชเป็นพระใหม่ก็ได้จำพรรษาอยู่ประจำกับวัดในหมู่บ้านภายในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเองนั้นแหละ  ครูบาเสือเล่าว่าในช่วงพรรษาปีแรกก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดกับตัวท่านอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งท่านก็รู้สึกกังวลใจและมีความทรมานลึกๆภายในเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน กระทั่งชาวบ้านก็ได้กล่าวหาในตัวท่านว่าเป็นต้นเหตุของการเกิดเหตุฆาตกรรมภายในหมู่บ้านแล้วท่านก็หยุดเล่าเรื่องราวนั้น... ผมก็ยังสงสัยในเรื่องราวนั้นมันคืออะไรอยู่ตลอดเวลาภายในใจแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม กลัวจะเป็นการเสียมารยาทและไม่สมควรอย่างยิ่ง

              ในช่วงระยะเวลาที่ผมจำพรรษาอยู่ที่นี่มีพระภิกษุทั้งหมดจำนวนห้ารูปไม่มีสามเณร ผมเห็นว่าครูบาเสือก็ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของสงฆ์อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกับพระภิกษุรูปอื่นๆ ทุกวันเวลาประมาณตีห้าผมและพระคนอื่นรวมทั้งครูบาเสือ ก็ต้องเดินด้วยเท้าลงมาจากภูเขาเพื่อไปบิณฑบาตในหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้าถึงหกกิโลเมตร เพราะว่าวัดแห่งนี้เป็นธรรมยุติสายทางวัดป่ามีที่ตั้งของวัดอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง เมื่อกลับถึงวัดภายหลังไปบิณฑบาตก็เกือบๆเจ็ดโมงค่อยได้เช้าฉันอาหารเช้า ที่วัดแห่งนี้พระฉันอาหารมื้อเดียว 

              เมื่อปฏิบัติกิจวัตรเสร็จสรรพในตอนเช้า พระทุกรูปท่านก็แยกย้ายกันไปอยู่ภายในกุฏิของใครของมัน เพราะว่าพระทุกรูปมักจะไม่ค่อยมานั่งสุงสิงคุยสนทนาพาทีกันเท่าไรนัก

              แต่ในวันนี้หลวงพ่อเจ้าอาวาสเรียกผมให้มาพบท่าน ซึ่งผมก็คิดในใจว่าหลวงพ่อคงจะเป็นห่วงตัวเราเห็นว่าก็มาพักจำพรรษาอยู่ที่นี่ก็เกือบๆสองสัปดาห์แล้ว พอมาถึงกุฏิของหลวงพ่อ สิ่งที่คิดในใจนั้นเป็นอันว่าผมคาดเดาผิด เพราะว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านได้ถามถึงครูบาเสือว่า

              “ครูบาเสือ เป็นอย่างไรบ้าง ยังไงหลวงพ่อก็ขอฝากครูบาเสกช่วยเป็นธุระด้วยนะ”

              “ครับหลวงพ่อ”ผมก็ตอบรับไป ทั้งๆภายในใจครุ่นคิดทำไมหลวงพ่อต้องกล่าวถามถึงครูบาเสือเช่นนั้น โดยปกติแล้วหลวงพ่อสามารถเรียกให้ครูบาเสือมาสนทนาด้วยก็ได้

              “ครูบาเสือ ท่านมักจะเดินทางธุดงค์มาปฏิบัติธรรมจำพรรษาอยู่ที่วัดของเราเป็นประจำทุกปี” หลวงพ่อพูดต่อ

              ผมได้ยินคำพูดของหลวงพ่อเจ้าอาวาสแล้ว ผมก็ไม่แปลกใจเลยทำไมพระที่วัดนี้จึงคุ้นเคยกับครูบาเสือ และไม่มองว่าเป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาอาศัยอยู่ภายในวัด ผมต่างหากที่กลายเป็นคนแปลกหน้าของวัดก็เพิ่งมาบวชเป็นพระใหม่ยังไม่มีพรรษาสักปีพรรษา

              “ผมก็เห็นท่านปกติดีไม่มีปัญหาเลยครับหลวงพ่อ”ผมเปรยขึ้น

              “ครูบาเสือ ท่านมักจะไม่ชอบพักอยู่ในกุฏิหรอกหนา”หลวงพ่อเจ้าอาวาสกล่าวไม่ทันจบประโยค ผมจึงได้กล่าวขัดจังหวะคำพูดของท่านก่อน

              “ผมเห็นครูบาเสือ ไปปักกลดอยู่ภายในถ้ำทางด้านเขาฝั่งตะวันออกนะครับหลวงพ่อ”

              “เออ ที่ตรงนั้นเป็นที่ประจำของท่าน”หลวงพ่อพยักหน้ารับรู้พลางกล่าวต่อ “ครูบาเสกเคยขึ้นไปที่ถ้ำแล้วหรือยังล่ะ”

              “ผมยังไม่เคยขึ้นไปที่ถ้ำเลยครับ”ผมบอกตามจริง

              “ก็ลองขึ้นไปนั่งสมาธิบนถ้ำนั้นก็ดี จะได้ถือโอกาสเรียนปฏิบัติกรรมฐานกับครูบาเสือด้วยซะเลย”หลวงพ่อบอก

              “ครับหลวงพ่อ”

              ภายในใจของผมก็อยากจะถามหลวงพ่ออยู่หลายเรื่องเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องราวความเป็นมาของครูบาเสือ ผมจึงใช้โอกาสในวันนี้ไม่บ่อยครั้งนักที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้เรียกหา นับตั้งแต่บวชและมาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ผมแทบจะนับจำนวนครั้งได้ที่มีจังหวะสนทนากับท่านอยู่เวลานานแบบนี้

              “หลวงพ่อเคยรับรู้มาก่อนไหมครับ ว่าครูบาเสือเป็นต้นเหตุของการเกิดเหตุฆาตกรรมภายในหมู่บ้านเกิดของท่าน จนชาวบ้านได้ขับไล่ตัวท่านออกจากวัดแล้วครูบาเสือก็จะมักเดินธุดงค์เรื่อยไปไม่มีวัดประจำอยู่พรรษา”ผมถามเสียงแผ่วเบาแต่ก็พอได้ยินกันเพียงสองคน

              ผมสังเกตเห็นใบหน้าของหลวงพ่อถอดสีแสดงอาการสะดุ้งเล็กน้อย ท่านขยับร่างกายเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อผ่อนคลายหรือเป็นเพียงการกลบเกลื่อนปิดปังบางอย่างไว้ ท่านมีอาการกลืนน้ำลายลงคอเฮือกหนึ่งก่อนแล้วพลางยื่นหน้ามาถามแบบกระซิบ

              “ครูบาเสก ได้รู้เรื่องนี้อย่างมาจากไหนกัน”

              “ก็ครูบาเสือ ท่านเล่าให้ผมฟังนะครับ”

              ผมก็เพิ่งรับรู้ว่าแม้หลวงพ่อเจ้าอาวาสเองก็มิเคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ถึงแม้ครูบาเสือได้มาประจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้เป็นประจำทุกปี ด้วยลักษณะท่าทางและการปฏิบัติศีลวัตรของครูบาเสือนั้นมีความเคร่งครัดเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง จนหลวงพ่อก็ไม่คาดคิดว่าครูบาเสือจะมีประวัติด่างพร้อยสักนิดเดียว

              “ครูบาเสือหนีคดีมาหรือไง ครูบาเสก”หลวงพ่อว่าเสียงตื่นๆ

              “ไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะครับหลวงพ่อ ครูบาเสือบอกแค่ว่าท่านเป็นต้นเหตุของการเกิดฆาตกรรมเท่านั้น ท่านเล่าให้ฟังแค่นี้แต่ท่านไม่ใช่ฆาตกรอย่างแน่นอน หากจะเป็นต้นเหตุอย่างไรผมก็ไม่ทราบครับ”

              “เช่นนั้นครูบาเสก ไปสืบถามข้อมูลให้ชัดเจนที ท่านไปเกี่ยวข้องกับคดีความการฆาตกรรมมาหรือเปล่านะ”

              เมื่อผมกลับมาจากกุฏิของหลวงพ่อแล้ว ผมก็เข้าไปพักผ่อนอยู่ภายในกุฏิของตัวเอง แต่ทว่าภายในใจยังครุ่นคิดอยู่กับเรื่องราวของครูบาเสือ ในวันแรกที่ครูบาเสือเข้ามาอยู่ภายในวัด ท่านก็ไม่ค่อยอยากพบปะผู้คนมีอุปนิสัยพูดน้อยมากเมื่อเสร็จกิจวัตรทางสงฆ์ในแต่ละวันท่านก็แยกตัวขึ้นไปอยู่ภายในกลดที่ปักกลดอยู่ภายในถ้ำ

              พอตกค่ำเมื่อถึงยามดึกทุกคืนครูบาเสือก็มานั่งสมาธิอยู่บนโขดหินแม้ว่าอากาศหนาวเย็นลมพัดแรงหรือท้องฟ้ามีสายฝนโปรยปรายท่านก็ยังนั่งนิ่งทำสมาธิอยู่อย่างนั้นจนเสร็จสิ้นไปตอนไหนเวลาไหนผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ที่ผมเห็นมาตลอดครูบาเสือก็ปฏิบัติตัวเยี่ยงนี้ทุกคืนนับแต่ท่านมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้

               ความกระหายอยากรู้ให้ได้ของผม จึงทำให้มีอาการร้อนรนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว ผมจึงตัดสินใจเดินออกจากกุฏิปราดรี่เร้นตัวขึ้นไปบนถ้ำบริเวณที่ครูบาเสือปักกลดอยู่ ผมเดินมาถึงปากทางเข้าถ้ำ จากระยะทางที่เดินขึ้นมาอยู่ห่างจากกุฏิของผมประมาณห้าร้อยเมตร มีเส้นทางเดินแคบๆปกคลุมแผ่ด้วยต้นไม้เขียวครึ้มจากนั้นก็เดินขึ้นเขามาถึงบริเวณถ้ำนั้น ซึ่งผมก็ยังไม่เคยขึ้นมาบริเวณที่นี่ ลักษณะของถ้ำเป็นภูเขาหินปูน

              ผมจึงก้าวเดินต่อไปเข้าไปยังภายในถ้ำระยะทางลึกเท่าไรไม่ได้คาดคะเน ผมก็สังเกตเห็นกลดของครูบาเสือปักอยู่ด้านหนึ่งของผนังถ้ำ ตอนนี้เป็นเวลากลางวันก็พอมีแสงแดดส่องสาดเป็นลำยาวให้แสงสว่างมองเห็นบรรยากาศภายในสลัวๆ หากเป็นตอนกลางคืนก็ต้องจุดไต้หรือเทียนไขให้แสงสว่าง

              “ครูบาเสือ ครูบาเสือ ท่านอยู่ที่นี่ไหมครับ”ผมมายืนอยู่ห่างจากตรงที่ปักกลดประมาณสิบเมตรแล้วก็พลางเรียกพระธุดงค์รูปนั้น ไม่มีเสียงตอบ 

             ทว่าผมสังเกตเห็นว่าภายในกลดนั้นมีร่างเงาดำตะคุ่มราวกับว่าร่างนั้นกำลังนั่งสมาธิอยู่ภายในกลด เนื่องจากว่ากลดของครูบาเสือนั้นเปิดชั้นนอกของกลดยกขึ้นจึงแลเห็นที่เป็นลักษณะของผ้าตาข่ายมุ้งชั้นในแบบบางสีน้ำตาลของกลดอีกชั้นหนึ่ง แสดงว่าครูบาเสือยังนั่งอยู่ภายในกลดนั้น    ผมคาดคิดบอกกับตัวเอง

              “ครูบาเสือ ผมครูบาเสกครับขออนุญาตมาพบท่าน”ผมเอ่ยเสียงเรียบแผ่วเบา

            ยังเงียบไม่มีเสียงตอบกลับออกมาจากภายในกลดของครูบาเสือ แต่ผมมั่นใจว่าร่างของครูบาเสือยังนั่งสมาธิอยู่ภายในกลดนั้น ผมจึงย่างก้าวสามขุมเดินตรงรี่เขามาใกล้กับกลดเรื่อยๆ พลางสายตาก็ยังจ้องมองเขม็งไปที่ร่างเงาดำนั้นที่นั่งอยู่ภายในกลด แล้วในที่สุดผมก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมายังจากเบื้องหลัง ผมชะงักหยุดเท้าที่จะก้าวต่อไปทันที หากแต่ว่าเสียงดังนั้นผมจำได้ว่าเป็นเสียงของครูบาเสือนั้นเอง

              “ครูบาเสกมีธุระอันใดกับผมหรือครับ”

              ผมหันขวับกลับมามองทางด้านหลังตามเสียงนั้น บัดนี้ผมก็ยืนเผชิญต่อหน้ากับครูบาเสือท่านยังห่มจีวรอยู่อย่างปกติ ผมแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองร่างกายของครูบาเสือจริงๆที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าของผมขณะนี้ แล้วร่างเงาดำที่นั่งอยู่ภายในกลดบัดนี้แลมองไม่เห็นเสียแล้ว ร่างเงาดำนั้นหายไปไหน

              ครูบาเสือก็เลี่ยงเดินมายังที่กลดแล้วท่านนั่งลงอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ผมจึงรีบคุกเข่านั่งลงตรงหน้าของครูบาเสืออยู่ห่างสักเมตรกว่าๆ ผมสังเกตเห็นใบหน้าของครูบาเสือเรียบเฉยฉาบฉายบนใบหน้าคมสัน มีพรายยิ้มมุมปากเล็กน้อยจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงทุ้มนุ่ม

              “ครูบาเสก ท่านคงยังสงสัยขัดข้องตะขิดตะขวงใจในตัวของผมใช่ไหมครับ”

              พอครูบาเสือเริ่มกล่าวประโยคยังไม่ฟังจบ ตัวผมสะดุ้งดวงตาลุกวาวมีอาการตกตะลึงงุนงงในสิ่งที่ท่านพูดราวกับว่าหยั่งรู้ภายในความคิดของผมโดยแท้

              “เออ ผมก็มีธุระกับท่าน ซึ่งผมก็มาบวชและจำพรรษาอยู่ที่นี้ หลวงพ่อก็อยากให้ผมได้มาเรียนธรรมะกับครูบาเสือนะครับ จึงได้มาพบท่าน”ผมก็แจ้งต่อครูบาเสือตามจริง แต่ทว่าสิ่งที่ผมไม่ได้กล่าวถึงก็เป็นเรื่องราวของพระภิกษุธุดงค์ท่านนี้เท่านั้น

              “แต่จุดประสงค์ของท่านก็คงอยากจะถามเรื่องราวของตัวผมด้วยใช่ไหมครับที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดที่ผมเคยเล่าให้ครูบาเสกฟังมาแล้ว”กล่าวจบก็หัวเราะเบาๆในลำคอ แล้วก็ยิ้มอย่างเมตตาในความใคร่อยากรู้ของผม ครูบาเสือหยั่งรู้สัมผัสนี้ได้จริงๆ ผมเริ่มมีความศรัทธาในตัวครูบาเสือมากขึ้น ท่านไม่ใช่ภิกษุหนุ่มธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว ผมคิดในใจบอกกับตัวเอง

              “ผมจะเล่าให้ท่านฟัง เมื่อผมบวชได้ประมาณหนึ่งพรรษา ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดอย่างหนึ่งกับตัวผม กว่าที่จะรู้ว่าตัวเองค้นพบก็มีเรื่องที่ชาวบ้านไม่เข้าใจ เมื่อใดที่ตัวเองเริ่มนอนจำวัด เมื่อนั้นผมก็ฝันนิมิตเห็นภาพของคนตายอย่างมากมาย   มักจะตายด้วยการถูกฆ่า   ตายจากอุบัติเหตุและตายจากการเจ็บป่วยอย่างกะทันทัน   ส่วนมากคนที่ตายก็คือเหล่าคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตัวผมเสมอ”

              “ดั่งนั้นท่านจึงนั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลา แม้แต่จะจำวัดท่านก็ต้องนั่งใช่ไหมครับ”ผมแทรกสอดขึ้น

              ครูบาเสือพยักหน้า แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ผมเข้าใจและพูดออกไปนั้นถูกต้อง แต่หากว่าผมยังสงสัยอีกอย่างหนึ่งก็คือเหล่าคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครูบาเสือก็จะตาย

              “เหตุการณ์นี้มันทำให้จิตใจของผมทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง จนในที่สุดผมจึงต้องเร่งฝึกตนให้เกิดสมาธิสามารถนั่งกรรมฐานวิปัสสนาอยู่อย่างเป็นปกติวิสัยของผม และด้วยเหตุนี้ผมจึงออกธุดงค์ไปเรื่อยเพื่อการฝึกตนให้เข้มแข็งในการทำลายจิตกิเลสที่อยู่ในจิตของตัวผมให้หมดไป”ครูบาเสือขยายความเพิ่ม

              “ในทุกปีผมจะเดินธุดงค์มาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้เสมอ”พระภิกษุธุดงค์รูปงามท่านกล่าวทิ้งไว้

             ในที่สุดความจริงทั้งหมดก็กระจ่างเกี่ยวกับเรื่องราวของภิกษุท่านนี้ อีกทั้งตัวผมก็ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของครูบาเสือ จึงได้มาฝึกนั่งสมาธิกรรมฐานวิปัสสนากับท่าน ตลอดเวลาหนึ่งไตรมาสของระยะเวลาในการจำพรรษาของผม

              ท้ายสุดในช่วงเวลาออกพรรษาก็มาถึง ผมก็ได้กราบลาหลวงพ่อเจ้าอาวาส จากนั้นผมก็เดินทางไปกราบลาสิกขาบทต่อพระอาจารย์อุปัชฌาย์ ผมก็ไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับครูบาเสืออีกเลย ท่านก็เดินทางออกจากวัดแห่งนั้นไปโดยที่ตัวผมไม่ทราบว่าครูบาเสือจากไปเมื่อใด จนในวันหนึ่งหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้ฝากคำพูดหนึ่งซึ่งบอกว่าครูบาเสือฝากถึงตัวผม เมื่อครั้งที่ไปกราบลาเจ้าอาวาสในวันนั้น หลวงพ่อกล่าวว่า

              “ครูบาเสือฝากบอกถึงครูบาเสกว่า ลืมบอกสิ่งหนึ่งกับครูบาเสก นั้นก็คือขอให้ครูบาเสกดูแลมารดาของท่านให้ดีนะ”

              ผมกลับมาเป็นฆราวาสเป็นที่เรียบร้อยก็มาดำเนินชีวิตตามปกติ ผมก็ไม่ได้คิดใส่ใจกับสิ่งที่ครูบาเสือฝากคำพูดไว้กับหลวงพ่อ ภายหลังวันออกพรรษาได้ล่วงมาประมาณสองสัปดาห์ มารดาของผมก็มาเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน แล้วก็เสียชีวิตไปในวัยเพียงห้าสิบสองปีเท่านั้น

             ในช่วงนั้นผมไม่ได้คิดถึงครูบาเสือแม้สักนิดเดียว ในคืนวันหนึ่งผมก็ฝันเห็นครูบาเสือ ท่านเดินทางมาหาผมที่บ้าน ภาพในความฝันของผมนั้นแลเห็นใบหน้าเคร่งขรึมและดวงตาฉายแววให้เห็นว่าท่านกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับผม แต่ทว่าผมรับสื่อสัมผัสนั้นไม่ได้ราวกับว่าตัวผมเองกำลังลอยเคว้งหมุนไปมาลอยขึ้นลอยลง แต่ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นกำลังลอยไปในสถานที่แห่งใด

             ภายในห้วงความคิดของผมขณะนั้นได้หวนนึกถึงคำพูดของครูบาเสือว่าคนที่ตายส่วนมากเป็นคนที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงผูกพันใกล้ชิดกับตัวท่าน

              ผมจึงบอกกับตัวเองว่านี้เราตายไปแล้วหรือยังไง...

     

     

    จบ

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×