คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ ๕ : : มินโฮ
ภายในห้องประชุมฝั่งตะวันออกดูเคร่งเครียด
ขุนนางน้อยใหญ่ต่างประชุมถกถึงปัญหาเรื่องที่เพิ่งเกิด
เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาเป็นปัญหาแต่ก็เกิดขึ้นจนได้
ยังกวอนซึ่งตอนนั้นอยู่ในวัยสามสิบสองนั่งขมวดคิ้วให้กับที่ประชุมซึ่งประเด็นที่พูดออกมา
แม้จะไม่มีใครพูดออกมาตรงๆแต่ต่างก็ตำหนิเขาอยู่ในใจ
เหตุเพราะความคะนองในวัยหนุ่มของเขาแท้ๆเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นมา
เมื่อเช้าวานนี้มีเด็กหนุ่มวัยสิบเอ็ดคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นบุตรอันเกิดจากเขาและหญิงสาวชาวบ้านนางหนึ่ง
ตัวยังกวอนเองก็ปฏิเสธไม่ออกเช่นกันเพราะสมัยวัยหนุ่มนั้นตัวเขาเองก็เสเพลฝักใฝ่เรื่องอย่างนี้อยู่ไม่น้อย
จนได้มาเจอโซฮยอนเขาถึงได้หยุดทุกอย่าง
และตอนนี้เขากับนางก็มีบุตรชายวัยเก้าเดือนอันเกิดจากความรักด้วยกันอย่างฮันบิน
"จากที่สืบมามีความเป็นไปได้ว่าเด็กชายคนนั้นเป็นบุตรของท่านจริง
เพราะท่านกับแม่ของเด็กคนนั้นเคยมีความสัมพันธ์กันอยู่ช่วงหนึ่ง"
ขุนนางผู้หนึ่งกล่าวขึ้น พร้อมกับเสียงทอดถอนหายใจของคนในที่ประชุม
เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น
ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครยินดี
ประเด็นเรื่องบุตรนอกสมรสเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับคนที่นี่
เพราะเหตุการณ์กบฏจนต้องแยกแคว้นครั้งก่อนผู้ก่อการก็คือบุตรชายนอกสมรส
ความเงียบเกิดขึ้นทั่วบริเวณยังไม่มีใครกล้าออกความเห็นในสิ่งที่ตนคิดอยู่
จนกระทั่งยองแดขุนนางคนหนึ่งได้กล่าวขึ้น
"หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนจะมีคุณชายฮันบิน
ข้าคงไม่พูดอย่างนี้ แต่นี่เมื่อคุณชายน้อยได้เกิดมาแล้วตามครรลองความถูกต้อง
ข้าจึงไม่สะดวกใจจะยินดี
และคิดว่าตำแหน่งผู้รับช่วงต่อของคุณชายน้อยกำลังถูกสั่นคลอน"
ขุนนางในที่ประชุมต่างเห็นด้วย
"ต่อไปอาจมีปัญหามากกว่านี้หากมีบุตรนอกสมรสคนที่สามสี่ห้า
ออกมาแสดงตัวด้วย"
"แล้วท่านเห็นควรทำอย่างไร"
ยังกวอนถามอีกฝ่าย
"การมีอยู่ของบุตรนอกสมรสไม่ควรมีตั้งแต่แรก
นับจากบทเรียนครั้งก่อนเราควรได้เรียนรู้จากมันแล้ว ไม่ว่าจะท่านรึข้า ต่างก็รู้ดีว่าควรทำสิ่งใดเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม"
ทั้งห้องประชุมต่างหายใจติดขัดกับการกล้าบอกให้ผู้ครองแคว้นกำจัดบรรดาบุตรนอกสมรสทิ้งเสียของขุนนางผู้นี้
สั่งให้พ่อกำจัดลูกที่ไม่ตั้งใจให้เกิดทิ้งไป
แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังลงมติเห็นด้วย
ยังกวอนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม หน้าตาคมดุของชายหนุ่มครุ่นคิด
เป็นงานบาปไม่ใช่น้อยยังกวอนรู้ดี แต่นึกถึงสิทธิ์ผู้สืบทอดของฮันบิน . . .
บุตรเพียงคนเดียวสำหรับเขา และมติในที่ประชุมต่างก็เห็นด้วยเขาก็ตัดสินใจในที่สุด
"อย่างนั้นช่วยจัดการเด็กที่มา
และที่เหลือด้วยแล้วกัน"
ใครว่ากัน สีแดงของราชสีห์ไม่ได้หมายถึงเลือดผู้บริสุทธิ์
✥✥✥
ภายในตรอกคับแคบ ส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปในสุด
และเป็นส่วนที่โสมมเสื่อมทรามที่สุดในตัวเมือง ผู้คนส่วนใหญ่เต็มไปด้วยพวกกักขฬะ
ขอทาน โสเภณีชั้นเลว มิจฉาชีพ เด็กหนุ่มในวัยสิบสามคนหนึ่ง เนื้อตัวผอมแห้ง
ผิวคล้ำ เสื้อผ้ามอซอขาดและดูจะไม่ได้มีผู้ที่จะสนใจทำการปะชุนให้
ผมยุ่งยาวมาจนถึงไหล่
ภายใต้ดวงตาคม ที่ลึกโหล
กำลังจับจ้องชายวัยสี่สิบกว่าสองคนซึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่หน้าร้านแล่เนื้อสัตว์
เด็กชายร่างผอมย่อตัวลงคลานลงไปใต้โต๊ะที่เขากำลังแล่เนื้ออยู่
กลิ่นคาวคลุ้งของซากสัตว์ปะทะในจมูก แต่ก็ไม่ใช่กลิ่นที่แย่สำหรับมินโฮนัก
เพราะหากได้อยู่ที่นี่มานานตั้งแต่เกิดอย่างเขา
เชื่อเหอะนี่มันไม่ใช่กลิ่นที่แย่ที่สุดหรอก
ดวงตาลึกโหลยังจับจ้องชายสองคนที่ยังคุยกันอยู่หน้าร้าน
โดยจุดที่มองของเด็กชายคือถุงเงินสีดำข้างเอวของชายที่อยู่ในนั้น
'ไปเอาเงินกูคืนมา
ไม่งั้นกูจะตีให้มึงเดินไม่ได้เลยมินโฮ'
เป็นคำบอกของคนเป็นแม่
และมินโฮก็อยู่กับผู้หญิงคนนี้นานพอที่จะรู้ว่ามันไม่ใช่คำขู่
หากใครได้เห็นสารรูปมินโฮก็จะรู้ว่าผู้หญิงซึ่งให้กำเนิดเขามาคนนี้พูดจริงทุกคำ
ทั้งที่ตอนนี้มินโฮโตขึ้น สูงจนเกือบเท่าผู้หญิงคนนั้น
แต่ผลของการกระทำร้ายร่างกายต่างๆมาตั้งแต่เด็กทำให้เขายังกลัวผู้หญิงคนนั้นอยู่
และเธอยังเป็นคนที่เขากลัวที่สุด
รอยแผลที่หลังจากการถูกน้ำร้อนราดเขายังปวดทุกครั้งเมื่อนึกถึงมัน
และตอนนี้เขามีงานที่ต้องทำจากที่ผู้หญิงคนนั้นสั่งคือเอาเงินคืนจากชายสองคนนี้
เงินที่มาร่วมรักสมสู่กับเธอแล้วไม่ยอมจ่ายให้
ใช่แล้ว ผู้หญิงที่ให้กำเนิดเขาเป็นโสเภณีราคาถูกคนหนึ่ง
ถึงเธอจะพร่ำเพ้อทุกครั้งในวันที่เธอเมาอย่างหนักว่าเธอเคยมีจุดที่รุ่งเรืองมาก่อน
ไม่ว่าเศรษฐีรึเจ้าผู้ครองแคว้นก็ต้องการตัวเธอทั้งนั้น
แต่ดูจากสารรูปเธอตอนนี้มินโฮไม่แน่ใจเท่าไรว่าที่เธอพูดคือเรื่องจริง
มือผอมแห้งของเด็กชายค่อยๆเอื้อมออกไปจากใต้โต๊ะ
และอย่างรวดเร็วที่มือนั้นจับถุงเงินได้เขาก็รีบกระชากถุงเงินนั้นกลับมา
ซุกมันไว้ในเสื้อเกรอะกรังของตัว
หลังจากนี้มินโฮได้แต่ภาวนาในใจให้ชายสองคนนั้นไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเขา
แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะผ้าที่คุมโต๊ะอยู่ถูกเปิดออกแล้วมือใหญ่ของชายที่เพิ่งโดนมินโฮฉกถุงเงินมากระชากเขาออกจากใต้โต๊ะ
จนร่างเด็กหนุ่มถูไปกับพื้น
"ไอ้ลูกหมาสารเลวเอ๊ย"
ชายคนนั้นพูดพร้อมกระชากเสื้อมินโฮค้นหาถุงเงินในนั้น
มือเด็กหนุ่มพยายามกุมถุงเงินไว้แต่ไม่สำเร็จ ถุงเงินถูกกระชากออกมาได้สำเร็จ
ตามด้วยแรงที่กระทืบหน้าท้องของเขาอีกเป็นสิบครั้ง
"ของกู"
มินโฮพยายามโต้กลับ
แต่ชายสองคนนั้นยังช่วยกันกระทืบเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวต่อ
จนร่างนั้นนอนแน่นิ่งกับพื้นแล้ว ชายสองคนนั้นจึงพากันออกไป
✥✥✥
ในกลางดึกคืนนั้นซึ่งเป็นคืนเดือนมืด ร่างชายพร้อมถุงเงินสีดำเดินโซซัดโซเซมาตามตรอกถนน
ความเมามายจากการหาสิ่งภิรมย์มาได้ตลอดทาง
จนกระทั่งเดินผ่านข้างตรอกมืดเล็กๆแห่งหนึ่งอย่างไม่สนใจ
โดยไม่ทันคิดว่าจะเป็นสถานที่สุดท้ายที่จะได้หายใจ
มีดแล่เนื้อก็ปักเข้ากลางอกพอดิบพอดี จากเจ้าของมือผอมแห้งซึ่งขโมยมีดมาจากร้านแล่เนื้อ
ก่อนที่มีดนั้นจะถูกชักออกจากอก แล้วปักลงอกซีกซ้ายอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
มินโฮไม่เคยกลัวใครไปกว่า มารดาของตัวเอง
ถุงเงินสีดำถูกฉกจากกระเป๋า
เงินในนั้นพร่องไปกว่าครึ่งแต่ก็มากเกินจะจ่ายให้โสเภณีราคาถูกสักคน
มินโฮยัดถุงเงินเข้าไปในเสื้อ ตรงกลับบ้านไปด้วยความสบายใจ
อย่างน้อยวันนี้เขาอาจไม่ต้องเจ็บตัวจากผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่
แต่ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียวเพราะเมื่อเขาเข้าบ้านไป
ขวดเหล้าที่ดื่มจนเกลี้ยงหมดแล้วถูกเขวี้ยงมายังหน้าผากเขาอย่างเหมาะเจาะ
"มึงไปไหนมาไอ้หมาข้างถนน กูไม่มีอะไรจะแดกแล้วเห็นไหม"
หญิงสาววัยสามสิบรูปร่างซีดผอม
แต่งหน้าจัดจ้านแต่เสื้อผ้ากลับดูเก่าปอนเต็มทีจนแทบบอกไม่ได้ว่าแต่เดิมชุดที่เธอใส่อยู่คือสีอะไร
ดวงตาเหลือกลึกโหลจับจ้องลูกชายที่เพิ่งเดินเข้ามา
"ไปเอานี่มา"
มินโฮบอกป้ายคราบเลือดออกจากหน้าผาก แล้ววางถุงเงินไว้บนโต๊ะให้หญิงสาว
ใบหน้าเธอคลายบิดเบี้ยวเล็กน้อยแล้วสนใจกับสิ่งที่อยู่ในถุงเงินโดยไม่สนใจอะไรมินโฮอีก
ไม่ว่าจะคำขอบคุณ แน่นอนมินโฮไม่เคยได้รับ แผลบนหน้าผากที่เธอเพิ่งปาขวดใส่
รวมไปถึงรอยเลือดตามร่างกาย ซึ่งไม่ใช่รอยแผลแตกบนหน้าผาก ว่ามาได้อย่างไร
เกิดขึ้นยังไงและไปทำสิ่งใดมา ไม่มีคำถามหรือสนใจสิ่งเหล่านั้น
มินโฮเดินออกไปหลังที่พักเพื่อล้างคราบเลือดออกจากร่างกายไม่ว่าจะเลือดตนรึว่าเลือดจากร่างไร้วิญญานที่เขาเพิ่งปลิดชีวิตไป
ทั้งทั้งที่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฆ่าคน แต่มือเขากลับไม่สั่น
ไม่มีความรู้สึกผิด กลัว
หรืออะไรที่นอกเหนือไปจากเขารอดจากผู้หญิงคนนั้นไปได้อีกวันหนึ่ง
มินโฮเดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่คิดว่าจะพบสิ่งที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล
✥✥✥
ร่างหญิงสาวของหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่
โดนชายร่างสูงใหญ่ล็อคคอไว้จากด้านหลัง และมีชายอีกสองคนยืนคุมเชิงไว้
ดูเพียงแวบเดียวมินโฮก็รู้ว่าไม่ใช่คนกักขฬะแถวนี้
ดวงตาของแม่เขาเหลือกขึ้น น้ำตาคลอเบ้า
มินโฮไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้อยู่ในสภาพกลัวอะไรเช่นนี้มาก่อน และเพียงพริบตาต่อมา
มีดสั้นขนาดพอดีมือก็ปาดลึกลงไปบนคอของเธอด้วยมือชายที่ล็อคเธอจากด้านหลัง
เลือดสีสดกระฉูดออกจากคอคนเป็นแม่
ร่างผอมแห้งของเธอกระตุกไปมาอยู่ที่พื้น แล้วแน่นิ่งไปในที่สุด เธอตายแล้ว
มินโฮรู้ในทันทีอย่างไม่อยากเชื่อ . . . สำหรับมินโฮ เขาไม่ได้เห็นคนเป็นแม่ที่ตายไป
แต่เขาเห็นคนที่เขากลัวที่สุดต่างหาก
ที่ตายไปแล้ว
มินโฮตะลึงกับภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง
มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมัวยืนอึ้งรึประมวลเหตุการณ์อะไรตอนนี้
เขาต้องหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่เด็กหนุ่มขยับได้เพียงสองก้าว
ผมยาวยุ่งของเด็กชายก็ถูกจิกกระชากลากให้เขามาอยู่ในวงล้อมชายทั้งสามใกล้ศพคนเป็นแม่
"คนที่เก้า คนสุดท้ายแล้ว"
คนที่จิกหัวมินโฮพูดขึ้น
เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องราวการตามหาเจ้าชายตกยากเพื่อกลับมาครองบัลลังก์
ตอนนี้จึงมีศพเด็กหญิงชายก่อนหน้าเขามาแปดศพแล้วที่ถูกปลิดชีพ เพียงเพราะเกิดมาจากน้ำเชื้อที่เกิดจากความสนุกสนานของเจ้าผู้ครองแคว้นเมื่อครั้งอยู่ในวัยคะนอง
และตอนนี้เหลือมินโฮเป็นคนที่เก้าซึ่งจะเป็นศพสุดท้าย
ชายร่างสูงอีกคนพยักหน้าให้คนที่จิกหัวมินโฮอยู่
แล้วร่างใหญ่นั้นก็กดร่างมินโฮให้นอนคว่ำลงกับพื้น
คนตัวใหญ่เอาหัวเข่ากดทับหลังให้ขยับไปไม่ได้
มือจิกผมรั้งมากขึ้นกว่าเดิมจนมินโฮแหงนคอขึ้น
"จะทำอะไรกู ไอ้เหี้ย ไอ้พวกหมาหมู่"
มินโฮร้องด่า ทั้งที่รู้ว่าอยู่ในท่าพร้อมที่จะโดนเชือดคออีกคน
มีดสั้นถูกจ่อที่คอมินโฮ
ภาพเหตุการณ์การเชือดคอคนเป็นแม่เขายังติดตา มันดูทรมานมาก
และเขากำลังจะถูกทำอย่างนั้น . . . น่าตลกดี
เขาได้มีโอกาสหายใจโดยไม่ต้องกลัวผู้หญิงคนนี้เพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น
และเขาก็กำลังจะตามเธอไป
ตัวมินโฮสั่นด้วยความกลัว เมื่อมีดเย็นเฉียบกดเข้ามา
ในหัวมีแต่ภาพความเจ็บทรมานที่เขากำลังจะได้รับ
"หยุดเดี๋ยวนี้"
อยู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้น
และช่วยให้มีดที่อยู่บนคอเขาละออกไปได้แต่มือที่ขยุ้มผมและร่างที่ทับนั้นยังคงอยู่
"ท่านโซฮยอน"
หนึ่งในชายพวกนั้นพูดขึ้น
"ข้าบอกให้ปล่อยเด็กนั่นไง" เสียงหญิงสาวออกคำสั่ง
"คงจะไม่ได้
เพราะนี่เป็นคำสั่งท่านยังกวอนเอง"
"ข้ารู้แล้ว
และรู้สึกอดสูกับเรื่องอย่างนี้นักถึงต้องมา กี่ชีวิตบริสุทธิ์แล้วกัน
ที่ท่านพรากไป"
หญิงสาวตอบ มินโฮรู้สึกงุนงงกับบทสนทนาที่เกิดขึ้น
แต่ก็หวังเพียงชายที่กดร่างเขาไว้อยู่จะเชื่อฟังคำสั่งของหญิงสาว
"มันเป็นคำสั่ง"
"อย่างนั้นคงต้องมีการปะทะกัน"
สิ้นเสียงหญิงสาว มินโฮคิดว่าได้ยินเสียงเท้าของคนอีกประมานสิบคนเดินเข้ามา
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีมากกว่าฝ่ายที่มีเพียงสามคนจึงต้องจำยอม
"ท่านทำให้พวกข้าลำบากใจ
หวังว่าท่านจะไปอธิบายเรื่องนี้กับท่านยังกวอนเอง"
พูดจบชายทั้งสามคนนั้นก็พากันออกไป
เมื่อร่างที่ทับเขาอยู่ลุกออกไปแล้ว มินโฮจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งได้
ตาคมของเด็กหนุ่มมองร่างไร้วิญญาณที่อยู่ใกล้ตัว
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วอย่างกับความฝัน ผู้หญิงคนนี้ตายแล้วจริงๆสินะ
แต่เขา . . . รอด
"ข้าเสียใจจริงๆที่มาช้าไป
เจ้าอย่าเสียใจไปเลย" เสียงหญิงสาวปลอบขึ้น
คงเข้าใจว่าเขากำลังเสียใจกับการจากไปของคนเป็นแม่ มินโฮหันไปมองหญิงสาวคนนั้น
คนที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้
เท่าที่เห็นเธอเป็นหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง
ความจริงต้องบอกว่าตลอดสิบสามปีที่เขาอยู่นี่เขาไม่เคยเห็นใครสวยขนาดนี้มาก่อน
มินโฮไม่แน่ใจหรอกว่าหญิงผู้ให้กำเนิดเขาซึ่งเคยรำพันว่าแต่ก่อนตัวเธองดงามเพียงใด
จะงามได้เท่าหญิงคนนี้หรือเปล่า มันเป็นความงดงามในแบบที่ดูน่ารัก
ทั้งที่ดูแล้วหญิงสาวคงอายุมากกว่าเขาสักเจ็ดปีเห็นจะได้
เมื่อเห็นเด็กชายเอาแต่จ้องหน้าเธอโซฮยอนก็เข้าใจว่ามินโฮกำลังตกใจกับเหตุการณ์เกือบตายและการจากไปของคนเป็นแม่อยู่
หญิงสาวย่อตัวลงแล้วกอดเด็กหนุ่มเอาไว้เพื่อปลอบโยน
นึกไปถึงฮันบินหากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้บ้างลูกชายเธอจะเป็นอย่างไรหากเธอไม่อยู่
มินโฮได้แต่นั่งอึ้งกว่าที่เคย ใจของเขากำลังสั่นรัว
ไม่เคยมีใครกอดเขา ไม่ว่าจะใครก็ตาม เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการกอด
และยิ่งเป็นกอดที่อบอุ่นถึงเพียงนี้
"ไปเถอะ ไปกับข้า
ข้าจะรับรองความปลอดภัยชีวิตเจ้าเอง"
หลังจากนั้นมินโฮก็ถูกพากลับไปที่ปราสาท
และได้รับรู้เรื่องราวที่ราวกับนิทาน . . . เขาเป็นบุตรชายของผู้ครองแคว้น
แต่ก็เป็นนิทานที่โหดร้ายพอดูที่พ่อแท้ๆต้องการให้เขาตาย . . .
ซึ่งมินโฮคิดในแง่ตลกร้ายว่า . . .
อย่างน้อยเขาก็รู้อย่างหนึ่งว่าพ่อกับแม่ของเขามีอะไรที่เหมือนกัน
มินโฮรู้มาว่าโซฮยอนเกลี้ยกล่อมยังกวอนอยู่นานจนในที่สุดยังกวอนก็ยอมไว้ชีวิตมินโฮและเลี้ยงเขาไว้ในปราสาทในฐานะบุตรชายนอกสมรส
ซึ่งมันเป็นชื่อที่เพราะกว่า 'ไอ้หมาข้างถนนนั่น' แบบที่ใช้เรียกเขาตอนเถียงกับโซฮยอน
มินโฮพบว่าสายตาเขามองหาโซฮยอนอยู่หลายครั้ง
อยู่ในปราสาทนี่เขาได้ร่ำเรียนพอสมควร ถึงเขาจะไม่ชอบแต่ก็คงดีกว่าถูกเชือดคอตาย
เด็กหนุ่มเดินเล่นอยู่ในปราสาทหลังถูกสั่งให้เรียนหนังสือเสร็จเห็นโซฮยอนนั่งเล่นอยู่ที่สวน
ข้างตัวมีเด็กชายวัยไม่ถึงขวบกับบ่าวรับใช้อีกหนึ่งคน
เมื่อเห็นเขาเธอก็ร้องเรียกให้มาหา
"เรียนหนังสือมาอย่างนั้นรึ"
โซฮยอนถาม เขาพยักตอบ เขาไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว รึเป็นเพราะแต่ก่อนเขาไม่มีคนให้พูดด้วยมินโฮก็ไม่แน่ใจ
"ชอบไหม" โซฮยอนถาม
เห็นเด็กหนุ่มยิ้มแค่มุมปากก็รู้ว่ามินโฮคงไม่ชอบเท่าไร
"อะนี่ มาเล่นกับน้องแก้เครียดไหม
เล่นกับน้องแล้วไม่เครียดนะ" เธอถามเขา แต่เขาไม่อยากให้เธอทำอย่างนี้
ไม่รู้สิเขาไม่ชอบสิ่งมีชีวิตแบบเด็กนี่
ที่ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ความรักมากมายแล้ว
และดูโซฮยอนจะรักฮันบินอย่างแก้วตาดวงใจ
ความรักในแบบของคนเป็นแม่ที่เขาไม่เคยเห็น
ไม่เคยได้รู้จัก อย่าพูดถึงคนเป็นพ่อเลย
เพราะสำหรับคนผู้นั้นฮันบินคือบุตรเพียงคนเดียวที่เขามี
"ฮันบินไปหาพี่ไหมคะ พี่มินโฮพี่ชายของหนูไง
จำได้ไหม อะมินโฮอุ้มน้องหน่อยสิ"
เขากระอักกระอ่วนใจที่โซฮยอนทำอย่างนี้
แล้วดูไอ้เด็กนี่สิเขาเจอมันแค่ไม่กี่ครั้งยังกล้าอ้าแขนออกจะให้เขาอุ้มอีก . . .
เขาไม่ชอบอะไรอย่างนี้เลยจริงๆ
"ข้าอุ้มเด็กไม่เป็น ยังไงข้าขอตัวก่อนดีกว่า
คงไม่ดีแน่หากใครมาเห็นข้าเถลไถลอยู่แถวนี้"
✥✥✥
ถึงเขาจะมาอยู่ในปราสาทในฐานะบุตรชายนอกสมรสแต่เขาก็ไม่ได้เจอคนที่นี่บ่อยนัก
เพราะต้องไปเรียนวิชาทหารกับกลุ่มกองนอกปราสาทซึ่งเขาคิดว่าดีกว่าการมาท่องหนังสือเป็นไหนๆ
นานครั้งทีเขาถึงจะกลับมาในปราสาทเป็นอย่างนี้มาตลอดห้าปี
ห้าปีหลังจากประจำกองทหารเขาแวะกลับเข้ามาปราสาทอีกครั้งพบโซฮยอนเธอยังคงไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบเขาอย่างดีเช่นเคย
และสำหรับเขาเธอก็ยังคงสวยมากในสายตาเขาอยู่ดี
และหลายครั้งสำหรับร่างกายของชายหนุ่มในวัยสิบแปดเขาจินตนาการถึงเธอบ่อยครั้ง
ไม่เว้นแม้กระทั่งยามร่วมรักกับหญิงสาวคนอื่นอยู่
เขาเดินเล่นอยู่บริเวณภายนอกปราสาทหลังจากครั้งสุดท้ายที่เขามาคือเมื่อหนึ่งปีก่อน
ที่นี่ยังคงเหมือนเดิมอะไรๆก็ไม่เปลี่ยนไปนัก รวมไปถึงร่างเล็กๆที่เดินตรงเข้ามาหา
จากที่ดูคงสูงกว่าปีที่แล้วนิดหน่อย ฮันบินในวัยเกือบหกขวบเดินเข้ามาในมือมีตุ๊กตาหน้าโง่อยู่ตัวหนึ่ง
"มินโฮ"
เด็กชายยิ้มตรงมาหาเขาซึ่งเขาไม่เข้าใจว่าจะมาหาเขาทำไม
เขาไม่เคยเชื้อเชิญให้เข้ามาใกล้ และที่สำคัญเขาเกลียดเด็กนี่
"เล่นไหม"สุดปัญญาของเด็กวัยหกขวบที่จะให้พี่ชายเล่นด้วย
ฮันบินจึงยกตุ๊กตาในมือให้ร่างสูงดู
ซึ่งภายใต้ความรู้สึกรำคาญเต็มทนของมินโฮ
ร่างสูงเพียงแต่ทำตัวนิ่งเฉยไป
ร่างสูงได้แต่สบถในใจว่าคิดจะเอาตุ๊กตายัดนุ่นหน้าโง่มาหลอกล่อผู้ชายอายุสิบแปดให้เล่นด้วยเนี่ยน่ะ
เขาถึงได้เกลียดและรำคาญเด็กแบบอีกฝ่ายที่ดูเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรให้ต้องวิตกและกังวล
ทั้งที่ตอนเขาหกขวบเรื่องที่เขากังวลไม่ใช่เรื่องที่ใครจะไม่เล่นกับเขาด้วยแน่นอน
มีแต่ภาวนาขอให้วันนี้ไม่ต้องเจ็บตัว
มินโฮไม่ได้สนใจเจ้าของมือที่ถือตุ๊กตามากนักและเขาก็รู้ว่านอกจากโซฮยอนก็ไม่มีใครนึกอยากให้เขากับฮันบินสนิทกัน
แน่นอนฮันบินคือทายาทที่จะได้ครองแคว้น ส่วนเขาคือหมาข้างถนนที่ไว้ใจไม่ได้
ลูกนอกสมรสที่สมควรตายไปตั้งนานแล้ว
"มินโฮ นี่มินโฮ"
ฮันบินร้องเรียกแต่มินโฮกลับหันหลังให้เขาแล้ว
ปากเล็กเบะลง
ทั่วทั้งปราสาทด้วยตำแหน่งในอนาคตไม่มีใครกล้าเล่นกับเด็กชาย
จึงคล้ายมีเพียงผู้เป็นแม่ที่เป็นเพื่อนเล่นอยู่คนเดียว
เด็กหกขวบไม่มีเพื่อนเล่นด้วยมันเหงายิ่งกว่าอะไร
แต่พอทุกครั้งที่เห็นมินโฮฮันบินจะรีบวิ่งเข้าไปหา เพราะแม่บอกว่า
พ่อกับแม่รักฮันบิน พี่มินโฮก็รักฮันบิน เป็นพี่น้องก็ต้องรักกัน
"ท่านพี่"
มินโฮชายตามองหน้าร่างเล็กที่กำลังเบะปากลง
หันหลังกลับไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะก้มตัวลงไปจับไหล่เล็กทั้งสองข้าง
จ้องเข้าไปดวงตากลมใส
"เลิกยุ่งกับข้า
หากไม่อยากตายก็อย่าเข้ามาใกล้" มินโฮบอกเด็กชายชัดทุกถ้อยคำ
สีหน้าฮันบินดูจะอึ้งไป ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ น้ำตาสายเล็กไหลลงมา
"แกทำอะไรฮันบิน" เสียงเสียงหนึ่งตวาดขึ้น เมื่อมินโฮหันไปดูก็พบชายผู้ที่ชื่อว่าเป็นพ่อมองเขาอย่างโกรธจัด
และมีหญิงรับใช้อีกคนอุ้มฮันบินออกไป เมื่อเห็นทั้งคู่ตั้งท่าจะทะเลาะกัน
"เปล่า" มินโฮตอบแค่นั้น
แต่ยังกวอนไม่เชื่อ เขาเห็นมินโฮจ้องตาฮันบินเหมือนกำลังขู่อะไรอยู่
และหลังจากมินโฮพูดอะไรสักอย่างฮันบินก็ร้องไห้ออกมา
"อย่ามาโกหกแกทำอะไรลูกข้า"
ลูกข้าสินะ มินโฮยิ้มเยาะในใจ
เพราะที่อยู่ตรงหน้าไม่เคยถูกนับว่าเป็นลูกเลยสักครั้ง
"แค่ขู่อะไรนิดหน่อย" มินโฮประชด
"แกขู่อะไรฮันบิน"
มินโฮเหยียดมุมปากเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา
เขารำคาญท่าทีทะนุถนอมบุตรชายของอีกฝ่ายนี่เต็มทน
มันน่าจะเผื่อแผ่ไปถึงบุตรคนอื่นๆที่ตัวเองสั่งฆ่ารวมไปถึงเขาที่เกือบตายมาแล้วบ้าง
"มีความสุขกับตำแหน่งทายาทนี่ให้ดี
เพราะไม่กี่ปีมันจะตายด้วยมือข้า"
มือหนาตบไปที่หน้ามินโฮอย่างแรงจนเด็กหนุ่มหน้าหันไปอีกทาง ยังกวอนดูโกรธจัดเพราะเขาไปจี้จุดที่อีกฝ่ายกลัวที่สุด
และไม่คิดว่าคำประชดในครั้งนั้นจะทำให้เขาโดนขับไล่ให้ไปอยู่กองทหารแทบชายแดน
เพื่อให้พ้นหูพ้นตาและห่างไกลจากฮันบิน
กองทหารชายแดน แดนของพวกเหลือเดน กักขฬะ
อีกฝ่ายคงคิดว่ามันเหมาะกับเขาที่สุด
✥✥✥
มินโฮได้มีโอกาสกลับมาปราสาทอีกครั้งก็อีกหกปีต่อมา
การอยู่อย่างพวกเดนตายทำให้เขามองที่นี่ต่างจากที่เคย
มันดูทั้งสวยงามและฟุ้งเฟ้อในคราวเดียวกัน
ทหารที่ไปประจำการที่นั่นมีแต่พวกเหลือเดน
หญิงสาวที่เขาร่วมรักด้วยก็มีแต่เพียงหญิงชาวบ้านหน้าตาธรรมดา
แต่มันก็ช่วยแก้ขัดได้ดีกว่าไม่มีหญิงใดเลย
มินโฮเลยออกจะรำคาญอยู่สักหน่อยเมื่อที่ประชุมพูดถึงเรื่องเขาควรแต่งงานมีครอบครัวเสียที
ด้วยอายุยี่สิบสี่แล้วมันสมควรแก่เวลา
เขาเลยตอบขุนนางผู้นั้นกลับไปว่าจะให้แต่งกับตัวละมั่งรึอย่างไรกัน
ทั้งห้องประชุมจึงอยู่ในความเงียบ เขาจึงได้รู้ตัวว่าอยู่กับพวกชายแดนมานานเลยลืมเรียนรู้ที่จะสวมหน้ากากของคำว่ามารยาทไป
สิ่งที่เปลี่ยนไปของที่นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกหรูหราอู้ฟู่อย่างคนที่จากเมืองไปนาน
แต่มีอีกสิ่งที่ค่อนข้างแปลกไป คือฮันบิน
ฮันบินโตขึ้นมากจนเขาเกือบจำไม่ได้ตอนเห็นเด็กหนุ่ม ซึ่งแน่นอนครั้งสุดท้ายตอนเขาเห็นฮันบินอีกฝ่ายเพิ่งจะหกขวบ
ตอนนี้เด็กหนุ่มอายุสิบสองแล้ว เมื่อโตขึ้นใบหน้าเด็กชายที่มีโครงว่าจะคล้ายโซฮยอน
ตอนนี้ยิ่งเห็นชัดขึ้นกว่าเดิม
ในความคิดของเขามันออกจะหวานเกินไปหน่อยสำหรับเด็กผู้ชาย
ไม่ใช่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอก ลักษณะท่าทางของฮันบินด้วยที่เปลี่ยนไป
ฮันบินทักทายเขาเมื่อเจอ อีกทั้งยิ้มให้ด้วยซ้ำ
แต่กลับไม่เซ้าซี้ยุ่งอะไรกับเขาอีก
มินโฮไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นโซฮยอนก็เลิกที่จะพูดเรื่องมินโฮกับฮันบินอีก
เพราะแค่เหตุการณ์ขู่กันของเด็กๆครั้งนั้นก็ทำให้มินโฮต้องไปตกระกำลำบากที่ชายแดน
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่มินโฮอยู่ในปราสาทเพื่อรายงานความเป็นไปของเขตชายแดน
เขายังเห็นฮันบินอยู่กับโซฮยอนประจำเหมือนเคย
น่าแปลกที่ตอนนี้เขากลับนึกขำเด็กหนุ่มที่คงไม่มีเพื่อนเล่นด้วยจริงๆ
ถึงได้ติดอยู่กับแม่
การได้เจอกับโซฮยอนครั้งนี้มันทำให้เขานึกเป็นห่วงเธอ
ร่างผอมบางดูผอมซูบกว่าที่เคย และเขาก็ได้รู้ว่าเธอกำลังป่วยอยู่
ภายในห้องที่ใช้เป็นที่ทำงานส่วนตัวของยังกวอน
เขากับอีกฝ่ายพูดคุยกันอยู่ ไม่ใช่ด้วยในฐานะของพ่อกับลูก เพราะพวกเขาไม่เคยเป็นอย่างนั้น
เมื่อโตขึ้น พอที่จะดูคนออก
มินโฮจึงได้รู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขารักใครไม่เป็น
และไม่คิดจะมีความรักไว้เผื่อแผ่ใครนอกจากโซฮยอนและบุตรที่เกิดจากนาง
มันไม่ใช่เรื่องจะให้มินโฮเสียใจหรือน้อยใจอะไรพวกนั้น
ตอนนี้เมื่อเขาพิจารณาดูตัวเอง มันก็เป็นเรื่องตลกอย่างหนึ่งที่เขากับคนเป็นพ่อจะมีอะไรที่พอคล้ายกัน
เพราะนอกจากโซฮยอนก็ไม่มีมนุษย์คนไหนที่เขาใส่ใจว่าจะเป็นหรือจะตายเลยสักนิด
"คงต้องหลีกเลี่ยงการปะทะกันตรงเขตชายแดน"
ยังกวอนพูดขึ้นหลังจากเรียกเขามาคุยในฐานะหัวหน้าผู้คุมกองทหารเขตชายแดนทั้งหมด
มินโฮพยักหน้ารับ
การพูดคุยของพวกเขามีเพียงธุระหน้าที่ในการทำงานเท่านั้น
จนกระทั่งยังกวอนพูดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
"เมื่อไรจะแต่งงานมีครอบครัว"
มันคงเหมือนเรื่องของครอบครัวทั่วไปที่คนเป็นพ่อกำลังยุ่งเรื่องส่วนตัวของบุตรชาย
แต่มินโฮรู้ทันความหมายของอีกฝ่ายว่ามันไม่ใช่
ยังกวอนแค่ต้องการให้เขาไปตั้งรกรากอยู่ชายแดน ห่างไกลจากเมืองหลวงและฮันบินที่สุด
"ไม่มีคนที่ถูกใจ
ท่านก็รู้ว่าหญิงบ้านป่าหน้าตาดีกว่าตัวสมันนิดเดียว"
คำตอบบ่ายเบี่ยงที่ตั้งใจยอกย้อนอารมณ์คนฟัง
แต่ก็พอมีส่วนจริงในคำพูดอยู่ เขายังไม่เคยนึกถูกใจสตรีใดจริงๆสักที
อย่าให้พูดไปถึงเรื่องสร้างครอบครัวเลย บางทีเขาคงเป็นเช่นเดียวกับยังกวอน
นอกจากโซฮยอนก็ไม่มีสตรีใดสามารถสั่นคลอนหัวใจเขาได้
"หากเจ้ายังเรื่องมากอยู่อย่างนี้ข้าอาจหาสตรีที่ดีให้เจ้าสักคน"
"แล้วสตรีที่ดีของท่านจะยินดีไปอยู่ชายแดนกับข้ารึ"
มินโฮย้อนกลับ ก่อนจะพูดต่อ
"รึท่านจะให้ข้าสร้างครอบครัวอยู่ที่เมืองหลวงกัน" ตอบกลับด้วยคำถามที่รบกวนจิตใจผู้ฟัง
ยังกวอนจ้องหน้าชายที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับเขาไม่น้อย
ก่อนจะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างตรงไปตรงมา
"ไปให้ห่างข้า เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของเจ้าจะดีกว่า"
คำขู่ฆ่าลูกชายที่ออกมาจากปากคนเป็นพ่อ
มินโฮยิ้มเหยียดหยันใส่อีกฝ่าย
ตอบกลับไปด้วยคำพูดที่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายโกรธจัด
"ถึงข้าจะอยู่ไกลก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตฮันบินจะปลอดภัย
ท่านก็รู้ว่าข้าอยากให้ไอ้เด็กนั่นตาย"
ยังกวอนโมโหจนแทบจะคว้ามีดมาปาดคอมินโฮให้ตายเสียตรงนี้
รู้ว่าชายหนุ่มกำลังพูดเพื่อยั่วโมโห
แต่ใครจะรู้ว่าสักวันสันดานหมาข้างถนนจะไม่กลับมาแว้งกัดเขาเข้าจริง
มือที่ถือหนังสือเล่มหนากำลังสั่น
ก่อนจะปามันไปที่หน้ามินโฮ
หากไม่ใช่เพราะโซฮยอนขอชีวิตมันเอาไว้ไหนเลยมันจะมีหน้ามาหายใจพูดจาอวดดีเขาอย่างนี้
ร่างสูงของมินโฮพร้อมกับรอยบนหน้าผากที่ปวดตุบ ตุบ
เดินออกจากตรงนั้น เพราะบทสนทนาที่จะพูดคุยกันมันได้จบไปแล้ว
แต่ไม่คิดว่าเมื่อเปิดประตูออกมาจะเจอเข้ากับฮันบินที่อยู่ข้างนอก
จากใบหน้าที่ดูตกใจน้อยๆตอนเห็นเขา
มินโฮคิดว่าเด็กนี่คงได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดกันข้างใน . . . แต่ก็ช่างเหอะ
มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสนใจความรู้สึกเด็กผู้ชายคนนี้อยู่แล้ว
มินโฮจึงเพียงเดินผ่านตัวเด็กชายไป
✥✥✥
หลังจากที่เขากลับจากปราสาท
หกเดือนต่อมาเขาได้ทราบข่าวร้ายว่าโซฮยอนได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยปัญหาทางสุขภาพ
มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะทำใจยอมรับความจริง
ว่าคนเพียงคนเดียวที่ปกป้องชีวิตเขาจากความตาย
และคนเพียงคนเดียวที่เขาจะใส่ใจการมีอยู่ของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ
มินโฮไม่ยอมรับความจริง
จนตลอดเกือบสองปีนั้นเขาหลีกเลี่ยงที่จะกลับไปปราสาท
ไม่ว่าจะเป็นพิธีศพรึอะไรก็ตามเขาก็ไม่ไป
เพราะไม่ต้องการสิ่งที่ยืนยันการจากไปของเธอ
แต่เวลาก็ยังต้องเดินต่อไปพร้อมกับหน้าที่ที่เขาต้องทำ
เพราะสองปีต่อมาเขาต้องกลับเข้ามาปราสาทอีกครั้ง
โดยปราศจากโซฮยอนที่เขาจะได้เห็นเธออีก
ทุกอย่างที่นี่ดูจะหม่นลงในความรู้สึกเขา
แต่ก็แค่ความรู้สึกเขาเท่านั้น จนกระทั่งเขาได้พบกับฮันบินอีกครั้ง
ตอนนั้นเขาถึงกับพูดอะไรไม่ออกตอนเจอเด็กหนุ่ม
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กชายที่ถอดแบบจากคนเป็นแม่ ชวนมองมากกว่าที่เคย
จริงๆต้องเรียกว่าชวนมองมากที่สุดตั้งแต่เขาเคยพบมา
ฮันบินในวัยสิบสี่โตขึ้นมาก
ไม่ใช่แต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก ลักษณะท่าทางของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อพบเขา ฮันบินก้มศีรษะทักทายเขาอย่างมีพิธีรีตอง
ซึ่งมันแตกต่างจากเดิม ใบหน้าที่เคยแต่งแต้มรอยยิ้มของเด็กหนุ่มนิ่งเรียบ
นอกจากการยกยิ้มตามมารยาทแล้ว ฮันบินก็ไม่ยิ้มอย่างแต่ก่อนอีก
เมื่อมองเข้าไปในดวงตา
เขาก็รู้ว่าฮันบินไม่ใช่เด็กชายที่ไม่เคยแบกรับความทุกข์อะไรอีกต่อไปแล้ว
เขาไม่รู้หรอกว่าสองปีของการจากไปของโซฮยอนเด็กหนุ่มผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นด้วยความรู้สึกอย่างไร
แต่มันก็หล่อหลอมให้ฮันบินเป็นอีกคนที่เขาไม่คุ้นตา
ไม่ใช่เพียงแต่เขาที่ผ่านช่วงเวลาที่ทรมานกับการจากไปของโซฮยอน
แต่มีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งที่เป็นยิ่งกว่าเขา
ในค่ำคืนนั้นหลังจากการประชุมจบลง เขาเดินไปในห้องหนังสือ มันไม่ใช่สถานที่ที่เขาชอบเท่าไรนัก
แต่เขาก็เพียงแค่อยากเข้าไปซึมซับบรรยากาศเก่าๆ เมื่อครั้งเก่าก่อน
แต่พอเขาเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ามันไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะได้อยู่คนเดียว
เพราะมีร่างเล็กของฮันบินจับจองพร้อมกองหนังสือที่เต็มโต๊ะไว้ก่อนแล้ว
ฮันบินเหลือบมาเห็นเขาอาจจะแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีบุคคลใดรุกล้ำเข้ามาภายในห้องที่เต็มไปด้วยกองหนังสือของเด็กหนุ่ม
"อยากจะหาหนังสืออ่านกับดูแผนที่สักหน่อย"
เขาบอกเด็กหนุ่ม
น่าแปลกทั้งที่แต่ก่อนฮันบินต้องเป็นฝ่ายหาเรื่องชวนเขาคุยแท้ๆ
แต่คราวนี้เขากลับเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน
"อย่างนั้นข้าไม่รบกวนเวลาท่านดีกว่า
ท่านจะได้ทำงานสะดวก" ฮันบินบอกทำท่าคล้ายจะออกไปแต่เขาห้ามไว้
"ไม่ต้องหรอก เจ้าดูหนังสือไปเถอะ
ข้าแค่อยากอ่านเงียบๆอยู่ตรงนี้"
มินโฮบอก พร้อมหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้เบาะนวมสีแดง
ตรงข้ามโต๊ะเด็กหนุ่ม ฮันบินพยักหน้ารับ ก่อนจะกลับมาก้มเพ่งความสนใจไปที่กองหนังสืออีกครั้ง
กองหนังสือรวมทั้งแผนที่วางอยู่หน้ามินโฮ
แต่มันกลับดึงความสนใจเขาได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว
เพราะหลายครั้งสายตาเขากลับเบนไปยังเด็กหนุ่มที่ยังคงให้ความสนใจกับตัวหนังสืออยู่
เด็กตัวแค่นี้คิดจะอ่านหนังสือของพวกผู้ใหญ่ไปถึงเมื่อไรกัน
ตามินโฮกดความสนใจไปยังแผนที่อีกครั้ง
นึกถึงเรื่องราวในที่ประชุม
น่าตลกดีที่เขาตอนนี้อายุยี่สิบหกแล้วคนพวกนั้นยังไม่ทอดถอนใจที่จะพูดเรื่องเขาควรสร้างครอบครัวของตัวเองอีก
ตาคมเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่ม สายตาไล่จ้องใบหน้าขาว ดวงตากลม
เส้นผมเคลียไหล่ของเด็กหนุ่ม ก่อนจะสะบัดหัวตัวเองออกไป
เมื่อรู้สึกว่าในใจมันไหวสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
สำหรับโซฮยอน
เธอสร้างความสงบในจิตใจให้เขาทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้หรือคิดถึง แต่กับฮันบิน
ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังทำให้ภายในใจเขาไม่สงบ
ภายใต้ท่าทีที่ให้ความสนใจหนังสือและแผนที่ของมินโฮ
ชายหนุ่มยังคงเฝ้าลอบมองเด็กหนุ่มที่ยังคงเคร่งอยู่กับกองหนังสือ
เขาอยากรู้นักใจคอฮันบินจะอ่านไปถึงเมื่อใดกัน จนกระทั่งเขาเผลอตัวหลับไป
เมื่อตื่นขึ้นมา ฮันบินก็ยังคงอยู่ที่เดิม
มินโฮขมวดคิ้วมองเด็กหนุ่มอย่างไม่อยากเชื่อ
มองท้องฟ้าภายนอกที่บอกเวลาใกล้รุ่งสาง สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นอย่างนี้คง
เพราะภาระหน้าที่ทายาทซึ่งจะปกครองแคว้นต่อไปถูกแบกไว้บนบ่า
ทั้งที่บ่านั้นก็เล็กแค่นี้ แต่ภาระกลับยัดเยียดให้เด็กชายเกินวัยที่สมควร
อีกทั้งสองปีที่ผ่าน
คนที่จะอยู่เคียงข้างฮันบินเสมออย่างโซฮยอนก็ได้จากไปแล้ว
ฮันบินจึงไม่ใช่เด็กชายที่ไร้ทุกข์อีกต่อไป
ตอนนี้ฮันบินกลัวเป็น กังวลเป็น วิตกและตึงเครียด
รู้จักคำว่าเดียวดาย และความกดดัน
สำหรับมินโฮ เขาสนใจฮันบินที่เป็นอย่างนี้มากกว่า
ในคืนนั้นกว่าฮันบินจะออกจากห้องหนังสือก็รุ่งเช้าไปแล้ว
เมื่อสบตาเข้ากับเขา เด็กหนุ่มก็เพียงแต่ก้มหัวให้และเดินออกไปจากห้อง
✥✥✥
คืนต่อมามินโฮเข้ามาในห้องหนังสืออีกครั้งและพบฮันบินอยู่ในนั้นจริงตามที่คิด
ชายหนุ่มนั่งลงบนที่นั่งตัวเดิม มือเพียงแต่กางแผนที่
แต่สายตากลับหันเหความสนใจมายังน้องชายที่ตัวเองเคยเกลียดและรำคาญ
แต่ก็เอาเหอะ มินโฮไม่เคยเห็นฮันบินเป็นน้องอยู่แล้ว
เพราะแม้แต่ตัวยังกวอนเองยังไม่เคยคิดว่าเขาเป็นลูก
ตาคมไล่มองผิวพรรณอ่อนบางของเด็กหนุ่ม จมูกได้รูป
และปากอิ่มสีระเรื่อ มินโฮเผลอคิดว่าหากฮันบินเผลอหลุดไปอยู่ชายแดน
คงไม่มีทางเหลือรอดมือจากพวกเดนตายที่ไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตอย่างฮันบินแน่นอน
ลำคอระหงที่ขาวผ่องของเด็กหนุ่ม
ปากอิ่มที่เผลอขบกันเล็กน้อยเมื่อเด็กหนุ่มกำลังใช้ความคิดอยู่
มินโฮรู้ว่าใจเขากำลังเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เคยเป็นอะไรถึงเพียงนี้
ตอนนี้ในหัวเขากำลังจินตนาการว่าลากเด็กหนุ่มออกจากกองหนังสือ กดร่างผอมแนบลงกับพื้นแล้วทำสิ่งกักขฬะที่สุดกับอีกฝ่ายจนนับครั้งไม่ถ้วน
เป็นอย่างนั้นมาตลอดที่เขาเฝ้านึกถึงแต่ฮันบิน
แม้จะด้วยสถานะและหน้าที่ เขาก็ยังฝืนมาปราสาทจากแต่เดิมแทบไม่มาเหยียบกราย
แต่เขากลับหาเรื่องเพื่อจะมาได้
แต่ก็มากสุดเพียงปีละสองครั้ง เพราะหน้าที่ตรงชายแดนไม่มีเหตุอ้างให้มาบ่อยนัก
และทุกครั้งที่มาเขาก็ทำได้เพียงมองเด็กหนุ่ม ให้สมกับที่ในหัวมันคิดถึง
กับตอนโซฮยอนเขาไม่เคยเป็นมากถึงเพียงนี้
เธอเป็นหญิงที่การมีอยู่ของเธอทำให้เขาอบอุ่นหัวใจ แต่ฮันบินแทบจะตรงข้ามกัน
ใจเขามันแทบจะมอดไหม้เมื่อคิดถึงอีกฝ่าย
และทุกๆปีที่ฮันบินโตขึ้นใจของเขามันยิ่งไม่เป็นสุข
ในงานประชุมสร้างความปรองดองกับพวกตะวันตกเป็นโอกาสอีกครั้งที่เขาได้กลับมาเพื่อเข้าร่วมประชุมด้วย
ฮันบินในวัยสิบเจ็ดได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมจากผู้ครองแคว้น
ภายใต้ท่าทีนิ่งสงบใจเขากลับไม่เป็นอย่างนั้น ตอนเจอเด็กหนุ่ม
ฮันบินยิ่งชวนมองกว่าที่เคยเมื่อโตขึ้นและอยู่ตรงกลุ่มกอของต้นอมาริลิส
ในตอนนั้นมือของเขาลอบสัมผัสเด็กหนุ่มซึ่งได้กลับมาเจออีกครั้งแม้จะเพียงนิดก็ยังดีที่จะได้สื่อความรู้สึกออกไป
โดยการนำดอกอมาริลิสที่ฮันบินปลิดมา มาสอดไว้ตรงอกเสื้อด้านซ้ายของเด็กหนุ่ม
ในการประชุมครั้งนี้เขารู้สึกออกจะไม่ชอบตัวแทนฝ่ายตะวันตกสักเท่าไร
ถึงตัวแทนเมื่อหกปีก่อนจะเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อันเป็นคนในวงศ์ตระกูลผู้ครองแคว้นตะวันตก
แต่มันก็ไม่ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายได้เท่ากับคนผู้นี้ ผู้ที่กำลังจะขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นตะวันตกคนต่อไป
ด้วยความที่อยู่ชายแดนติดตะวันตกมานาน
เขาได้ยินข่าวลือเล่าอ้างถึงความโหดร้ายและมากเล่ห์เพทุบายของอีกฝ่ายมาไม่น้อย . .
. แต่มันก็จบด้วยการเป็นได้เพียงแค่ข่าวลือ
สิ้นคำที่คนเป็นพ่อประกาศให้เขาเป็นตัวแทนฝ่ายตะวันออกไปร่วมงานสถาปนาของคนพวกนั้น
ชายผู้นั้นจ้องลึกลงไปในตาเขาเหมือนค้นหาอะไรสักอย่าง
เป็นสายตาที่ชวนให้อึดอัดแต่มินโฮก็กล้าพอที่จะมองตอบ
โดยมินโฮไม่รู้หรอกว่าเพียงพริบตาเดียวที่เขาเผลอมองฮันบินก่อนจะกลบเกลื่อนไปมองคนที่อยู่ตรงหัวโต๊ะ
ทำให้มุมปากของจีวอนยกขึ้นด้วยความยืนยันความแน่ใจ
คนที่มีความลับอะไรในใจมักจะเผลอจับจ้องไปมองสิ่งนั้นยามรู้สึกถูกจับผิดโดยไม่รู้ตัว
โดยที่ก่อนหน้านี้ขณะรับประทานอาหารจีวอนเฝ้าสังเกตพฤติกรรมและสายตาของมินโฮมันทำให้เขาค่อนข้างสงสัยกับสายตาที่อีกฝ่ายลอบมองคนเป็นน้องชาย
มันเรียกว่าพรสวรรค์ของจีวอนก็ได้ที่สังเกตจับพิรุธของแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ
✥✥✥
"ทางนั้นส่งบุตรชายนอกสมรสมาจริงๆ
ไม่แปลกใจเลยสักนิด" จีวอนบอกจุนฮเวองครักษ์คนสนิทผู้ติดตาม
หลังจากเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารในค่ำคืนนั้น
ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้
"อย่างนี้แล้วยาที่เตรียมไว้ข้าจะเตรียมสั่งเด็กรับใช้ไว้อย่างดี
ให้ท่านแน่ใจได้ว่าบุตรชายคนโตจะดื่มมันเข้าไป"
จุนฮเวบอกถึงยาพิษที่ออกฤทธิ์คล้ายไข้ป่าซึ่งพวกเขาเตรียมมาเพื่อให้มินโฮดื่ม
แต่จีวอนส่ายหน้าปฏิเสธ
"สั่งเด็กรับใช้ให้ใส่ในแก้วของฮันบินพร้อมไวน์ใส"
คำสั่งทำให้จุนฮเวงุนงงอยู่ไม่น้อย
ในเมื่อเป้าประสงค์ของพวกเขาคือพาตัวบุตรชายคนเล็กของแคว้นตะวันออกไป
จึงได้เตรียมยาพิษให้มินโฮมาไม่ได้จนต้องส่งฮันบินมาแทน
แล้วผู้เป็นนายจะวางยาพิษนายน้อยของที่นี่เพื่ออะไร
แล้วไหนจะไวน์ใสอีกทำไมถึงต้องเป็นของสิ่งนี้
เจ้าของดวงตาเรียวคมอยู่ในความคิด สิ่งที่มินโฮจะสงสัยเมื่อเห็นไวน์อันเป็นชนวนสงครามครั้งเก่า
เป้าหมายที่มินโฮคิดว่าจะถูกลอบสังหาร
แม้ความเป็นไปได้จะมีเพียงน้อยนิดจนไม่มีใครคิดว่าจะกล้าทำ
แต่ไม่ว่าใครก็ย่อมคิดว่าโอกาสน้อยนิดนั้นเป้าหมายไม่เป็นยังกวอนก็คงเป็นฮันบิน
ซึ่งแน่นอนมินโฮที่เป็นบุตรนอกสมรสย่อมอยู่นอกสายตาจากการโดนลอบสังหาร
แม้โอกาสเพียงน้อยนิดที่จะเกิดขึ้นได้ว่าจะมีการลอบวางยาฆ่ากันให้ตาย
แต่มินโฮคงทนไม่ได้หรอกหากเห็นคนที่โดนลอบสังหารคือฮันบิน
ดังนั้นมินโฮที่อยู่ใกล้กับฮันบินจะต้องแอบสลับแก้วกับเด็กหนุ่ม
จีวอนก็หวังว่า เขาคงไม่ได้ประเมินความหลงใหลในตัวน้องชายของอีกฝ่ายสูงไปและจากที่เขาเห็นในวันประชุมนั่น
มินโฮก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
ปากหนาของจีวอนเหยียดยิ้มด้วยความพอใจกับแก้วที่อยู่ในมือฮันบินตอนนี้
✥✥✥
ความคิดเห็น