คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ ๑๐
รถม้าที่วิ่งจากนอกเมืองมาจอดลงที่หน้าตัวปราสาทโดยผู้ที่ลงมาคือชายร่างสูงซึ่งครองแคว้นตะวันตกในปัจจุบัน
ตอนนี้ล่วงพลบค่ำไปแล้วเป็นเวลาที่คนในปราสาทต่างพาตัวอยู่ในห้องเตรียมเข้านอน
จีวอนเดินเข้าไปภายในไม่ได้ใส่ใจสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมอาหารมาให้
ด้วยตอนนี้ไม่ได้รู้สึกหิวอะไรมากแม้จะเดินทางมาไกลและเลยเวลาอาหารค่ำแล้วก็ตาม
เพียงแค่เดินผ่านแต่ละห้องของตัวปราสาทอย่างทุกที
จีวอนก็อดจะนึกรำคาญไม่ได้เมื่อเห็นร่างหนึ่งเดินออกมาจากห้องของตัวเด็กหนุ่มเอง
ชานอูไม่ได้ทำอะไรผิด
และพวกเขาก็ไม่ได้เป็นพี่น้องที่เกลียดชังหรือมีปมหมางใจอะไรกันมา
แต่จะให้พูดตามตรง เด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นรูปแบบที่ทำให้จีวอนคิดว่าคำว่าเห็นแล้วรำคาญคงจะเหมาะที่สุด
และจีวอนก็รู้ดีเพราะชานอูก็ไม่เคยปิดบังอะไรว่าอีกฝ่ายก็คิดเห็นไม่ต่างกันกับเขา
"เห็นว่าท่านไปทำธุระหัวเมือง"
ชานอูถามเขา จีวอนเพียงพยักหน้ารับ
"ไกลขนาดนั้น ต่อให้ท่านไปค้างที่นั่นก็ไม่มีใครว่า"
ด้วยระยะทางที่ไกลลำพังเดินทางก็สี่ชั่วยาม
แต่จีวอนกลับเดินทางไปกลับ มันออกจะเหนื่อยเกินไปสักหน่อย
"จะค้างทำไมในเมื่อธุระข้าเสร็จแล้ว"
จีวอนตอบเสียงเรียบขณะชานอูกลับเลิกคิ้วสูงขึ้นคล้ายได้ยินเรื่องตื่นใจ
"นั่นสิ พักหลังมานี้ท่านจัดการธุระทุกอย่างเร็วนัก
กลับถึงเร็วเสียจนข้าคิดว่าตำแหน่งผู้ครองแคว้นก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่ลำบากอะไร"
หัวคิ้วจีวอนขมวดหากันเล็กน้อย
ดวงตาเรียวภายใต้แว่นกรอบใสจับจ้องเข้าไปในดวงตาน้องชาย
โดยที่เจ้าของดวงตาคมคู่โตก็มองกลับมา ภายในดวงตาคู่นั้นไม่มีหลุกหลิกแม้แต่น้อย
นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่ารำคาญ
"จะคิดอะไรเป็นเด็กอย่างเจ้ามันก็สบายดี"
จีวอนตอบตั้งใจจะเดินผ่านเด็กหนุ่ม
ปากชานอูเหยียดยิ้มแต่ด้วยใบหน้าที่เพียงเรียบนิ่งเท่านั้น
"เพิ่งรู้ว่าท่านก็มีมุมอย่างนี้ด้วย"
จีวอนไม่อยากสาวความต่อเรื่องมุมที่ว่าของชานอู
ร่างสูงเพียงแต่พาตัวเองเดินต่อขึ้นไปอีกชั้น ก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง
แล้วเคาะประตูลงบนห้องนั้น ไม่ได้ไขเข้าไปเองอย่างทุกที
✥✥✥
หัวคิ้วฮันบินขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่หน้าห้อง
สองอาทิตย์มานี้ ห้องนี้มันแทบจะกลายเป็นห้องนอนของผู้ครองแคว้นไปอยู่แล้ว
อาจจะมีบ้างในบางคืนที่ไม่ได้มา แต่เมื่อเทียบกันแล้วมันก็น้อยนักอยู่ดี
อย่างในคืนนี้ที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไปทำธุระนอกเมือง
ความหวังที่จะไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูนี้ของฮันบินเป็นอันต้องจบไป
ร่างโปร่งผอมพาตัวเองไปยังประตูห้องก่อนที่จะต้องจำใจเปิดออกมา
ทำใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไรตอบรับอีกฝ่าย
ในห้องที่แสงเทียนถูกจุดให้ความสว่างจีวอนปรายตามองเด็กหนุ่มผู้ครองห้องซึ่งนั่งอยู่บนเตียงนิ่งตั้งแต่ตนมา
ตลอดสองอาทิตย์ที่ฮันบินเริ่มจะ . . .
โอนอ่อนผ่อนตามให้ตน จีวอนก็ใช้ห้องนี้เป็นที่พักยามค่ำคืนอยู่บ่อยครั้ง
จีวอนมองเด็กหนุ่มผ่านกรอบแว่น เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในท่านิ่งเฉยเช่นเคย
ปากหนายกขึ้นมาเล็กน้อย นึกขำในกิริยา
ก็คนยั่วยวนล่อลวงที่ไหนบ้างที่เอาแต่นั่งเฉยทำหน้าอย่างนี้
"เดินทางมาไกล เมื่อยนัก"
จีวอนเปรยขึ้น มองเด็กหนุ่มที่ยังคงเพียงนิ่งเฉย
คิ้วจีวอนเลิกสูงให้เด็กหนุ่มพร้อมมองไปอย่างสื่อความหมาย
ฮันบินจึงขยับตัวเข้าหาตนก่อนจะใช้แขนผอมนวดลงไปบนไหล่ชายโตกว่าจากด้านหลัง
เป็นอีกกิริยาตอบรับอย่างหนึ่งที่ทำให้จีวอนนิ่งไปอยู่เล็กน้อย
ความจริงตัวเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กหนุ่มจะมาทำอะไรให้หรอก
จีวอนหลับตารับแรงนวดจากเจ้าของมือขาว มันก็ดีไม่น้อยหรอก แต่มันคงจะดีกว่านี้
"ฝืนใจมากไหม"
ถามฮันบินออกมา มือที่นวดไปหยุดเพียงพัก ก่อนที่จะนวดต่อ
"ไม่ฝืนเลยสักนิด
ข้าทำด้วยความเต็มใจ"
ปากอิ่มพูดไปอย่างนั้น
จีวอนจึงจับคนที่นั่งอยู่ด้านหลังให้มาอยู่ด้านหน้าสบตากับตน
ดวงตาที่จ้องกลับไม่ได้คิดจะปิดบังแม้แต่น้อยว่าที่เพิ่งพูดออกไปนั้นเป็นคำปด
ดูเอาเหอะคนทั้งโลกนี้ที่ไม่คิดจะหวั่นเกรงกับสายตาของจีวอนอยู่รวมกันในปราสาทนี้หมดแล้ว
ทั้งผู้ให้กำเนิดอันเป็นอดีตผู้ครองแคว้น . . . ชานอูผู้เป็นน้องชาย และอีกคนก็คือเจ้าของใบหน้าขาวตรงหน้า
หลายคนที่เก่งกล้าแต่สายตากลับกลิ้งกลอกไปมาไม่มากก็น้อยยามถูกจับจ้อง
เพราะแต่ละคนล้วนต่างมีความลับในใจไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้าถึงหรือแสดงตัวว่ารู้สิ่งนั้น
แต่สำหรับฮันบินเด็กหนุ่มกลับไม่เกรงหรือจะกลัวเลยสักนิดว่าจีวอนจะรู้สิ่งเหล่านั้น
สายตาตอบกลับมาด้วยความไม่ปิดบังด้วยซ้ำไป
"ข้ารอวันที่คุณชายน้อยเต็มใจจริงอย่างปากว่าอยู่"
กล่าวกับฮันบินแล้วจับมือขาวที่เพิ่งนวดให้ตนนั้นมาจุมพิตลงไปตรงข้อมือ
ถึงจีวอนจะพูดอย่างนั้นแต่คำโกหกที่ต่างทราบกันดีก็ยังคงออกมาจากปากอิ่ม
"ข้าก็ยังยืนยันว่าทำให้ท่านด้วยความเต็มใจ"
✥✥✥
ช่วงคล้อยบ่ายเป็นเวลาที่ว่างและน่าเบื่อยิ่งกว่าตอนไหนๆ
เด็กหนุ่มต่างเมืองหย่อนกายภายใต้ซุ้มไม้ที่แต้มไปด้วยสีขาวของดอกวิสทีเรีย
ดวงตาคู่สวยเพียงมองทุกอย่างรอบตัวปราสาทก่อนจะจมจ่อมอยู่กับความคิดวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้
ในทุกวันความเจ็บปวดเหมือนใจจะแหลกสลายมันทุเลาลงไปบ้างแล้ว
มันกลายเป็นความเศร้าที่ยังตกไม่ถึงก้นบึ้งอยู่เงียบๆมากกว่า
เด็กหนุ่มครุ่นคิดอย่างที่คิดมาตลอดว่าที่เลือกทำอยู่นี้มันมีประโยชน์และโอกาสรอดมากเพียงไหน
ทุกอย่างมันเป็นเพียงการคาดเดาของเด็กหนุ่ม หากไม่มีสิ่งใดเป็นไปดังที่คิดสักอย่าง
มันก็เท่ากับที่ทำอยู่นี่มันสูญเปล่า
แต่ถึงอย่างนั้นหากจะให้นั่งหายใจทิ้งไปเฉยๆเหมือนคนตาย
สิ่งนั้นคงเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ยิ่งกว่า
"นั่งแช่งชักหักกระดูกใครอยู่กัน"
ฮันบินมองไปยังต้นเสียงก็พบว่าชานอูพาตัวเองมานั่งตรงข้ามฮันบินแล้ว
เด็กหนุ่มที่มาใหม่ทำหน้าเหมือนรอคำตอบ ซึ่งมันใช่คำถามที่ควรรอเอาคำตอบเสียที่ไหน
เมื่อเห็นฮันบินมองหน้ายังไม่พูดอะไร ปากหนาก็เหยียดยิ้มคล้ายล้อเลียนอีกฝ่าย
"คนที่เจ้าแช่งให้ตกรถม้าตายอยู่ในใจไม่อยู่
เจ้าสามารถพูดออกมาได้ . . . . ข้าหมายถึงหากรายชื่อคนที่เจ้าอยากสาปแช่งมันไม่มีชื่อข้าอยู่ในนั้นน่ะนะ"
ชานอูบอกไม่ได้สนใจฟังคำตอบจากฮันบินเช่นชานอูคนปกติ
ฮันบินอยากจะยิ้มให้อีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้น
ตนรู้ว่าชานอูกำลังพยายามทำให้ฮันบินอารมณ์ดีอยู่
ด้วยสถานะของชานอูฮันบินก็นึกขอบคุณอีกฝ่ายกับความพยายามนี้
"ทุกวันนี้ที่มีท่านอยู่มันเปรียบเสมือนน้ำหยดเล็กๆช่วยปลอบประโลมข้า
แล้วข้าจะสาปแช่งท่านชานอูได้อย่างไร"
ฮันบินบอกด้วยสิ่งที่ไม่ผิดจากที่คิดนัก
แม้จะไม่มากแต่การที่ได้คุยกับชานอูหรือแม้แต่ฟังอีกฝ่ายพูดอยู่คนเดียว
ช่วงเวลานั้นมันเต็มไปด้วยความสบายใจ
ชานอูจ้องหน้าฮันบินนิ่งค้างเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง
ก่อนจะเปลี่ยนมาโวยวายแทน
"คิดจะยั่วยวนข้าอีกคนหรืออย่างไร
ไม่ได้ผลหรอก ข้าไม่ใช่พี่ข้า" ชานอูเถียง
"ข้าไม่เคยคิดทำสิ่งนั้น
และแน่นอนการยั่วยวนท่านชานอูไม่มีทางได้ผลอยู่แล้ว" ฮันบินบอกโดยที่ชานอูพยักหน้ารับ
หันหน้าไปทางอื่นเพียงครู่ก่อนจะหันมาจิ๊ปากออกมาให้ได้ยิน
"สารภาพก็ได้ . . . มัน . .
ได้ผลนิดหน่อย"
ร่างสูงกว่าบอกพร้อมทำนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมาชนกันโดยเหลือพื้นที่ด้านบนไว้เพียงนิดประกอบในท่าทางและนั่นทำให้ฮันบินขยับปากคล้ายยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนเพราะตลกในตัวเด็กหนุ่ม
ชานอูบ่นอะไรอยู่คนเดียวเพียงพัก
ก่อนจะหันกลับมาพูดกับฮันบินตามปกติ
"แล้วจะทำสิ่งใดต่อ
เจ้าต้องรู้ว่าพี่ข้าไม่ใช่คนที่จะล่อหลอกอะไรได้อยู่แล้ว . .
ข้ายืนยันมาอยู่กับข้าดีกว่า อย่าได้พยายามอะไรที่เปล่าประโยชน์เลย"
หลายครั้งนอกจากตน
คนทั้งปราสาทก็เห็นความสัมพันธ์ที่ไร้ซึ่งการขัดขืนของฮันบินกับพี่ชายตน
จนบ่าวรับใช้เอาไปนินทากันจนสนุกปาก
ฮันบินส่ายหน้าตอบให้กับคำพูดของเด็กหนุ่ม
"ข้าไม่ได้คิดล่อลวง
แค่ขอความเมตตาเอ็นดูเพียงนิดจากพี่ชายท่านเท่านั้น"
ชานอูเลิกคิ้วขึ้น
คนอย่างฮันบินน่ะรึจะต้องการความเมตตาเอ็นดูจากพี่ชายตน แต่ฮันบินไม่ได้บอกอะไรต่อ
ดวงตากลมอยู่ในความคิด
ก่อนหน้านี้ฮันบินมาคิดดูแล้วว่าการจะฆ่าจีวอนให้ตายนอกจากได้ความสะใจก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
มีเพียงตนจะถูกคนที่นี่ฆ่าให้ตายตาม และทุกอย่างก็จบลงที่ฮันบินช่วยให้ศัตรูทั้งสองของมินโฮจบชีวิตไป
แต่จะให้ลำพังตนคิดสู้หรือล่อลวงอะไรจีวอนย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
แต่หากให้ฮันบินวิเคราะห์เหตุการณ์ฝั่งตะวันออกดู
การก่อกบฏในครั้งนี้ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ ถึงจะอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทหารมินโฮ
ฮันบินเชื่อว่าต้องมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจและต่อต้าน
โดยคนกลุ่มนี้ต้องสนับสนุนคนอื่นขึ้นมาแทนที่และต้องเป็นคนที่คนพวกนั้นจะชักจูงให้คนอื่นคล้อยตามมาเป็นพวกให้ได้มากที่สุดและคนที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือฮันบินซึ่งเป็นทายาทที่ถูกต้องมาตั้งแต่แรก
ก็ได้แต่หวังให้มันเป็นเช่นนั้น
ลำพังอยู่แต่ในปราสาทมันเหมือนมีปราการชั้นดีทำให้ไม่มีใครทะลวงพาฮันบินออกมาหรือส่งข่าวมาได้
สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ฮันบินเพียงแต่ต้องขอความเอ็นดูจากจีวอนเพียงน้อยนิด
เพียงน้อยนิดที่จะยอมพาฮันบินออกมาหายใจนอกปราสาทบ้างสักหน่อยเท่านั้น
เพื่อความหวังว่าจะได้มีโอกาสรับข่าวจากกลุ่มคนที่ฮันบินคิดว่าอาจจะมี
✥✥✥
โถงปราสาทของฝั่งตะวันออกขณะนี้ไม่ใช่สถานที่อันทรงเกียรติอีกต่อไป
การร่ำสุราจนเมามาย
อีกทั้งการเสพสมในพื้นที่โล่งแจ้งอย่างไม่คิดจะปิดบังหรืออับอายต่อสิ่งใดเกิดขึ้นจากเหล่าทหารระดับหัวหน้าตำแหน่งสูงต่ำต่างกัน
โดยมินโฮซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ครองแคว้นตะวันออกอยู่ก็ไม่ได้คิดจะว่ากล่าวหรือสนใจจะห้ามปรามแม้แต่น้อย
เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นปกติเมื่อตอนอยู่ชายแดน
มินโฮไม่ได้สนใจอะไรนักหากคนพวกนั้นจะเอานิสัยนั้นมาใช้ที่นี่ อย่างไรเสียที่แห่งนี้ก็ไม่เคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับมินโฮมาแต่ไหนแต่ไร
ในตอนนี้ทั่วทั้งโถงปราสาทจึงกลายเป็นดินแดนของพวกกักขฬะไร้อารยธรรมไปโดยปริยาย
มือหนาเคาะไปตามโต๊ะรอฟังข่าวที่สั่งลูกน้องไปอยู่
ก่อนที่ซึงฮุนจะเดินเข้ามาหลังจากฟังคำรายงานของลูกน้องตน
"ยังตามตัวตาแก่ยองแดไม่ได้สินะ"
เป็นมินโฮที่ถามขึ้นมาก่อนกลบกับเสียงครวญครางจากการโดนรุมชำเราของบ่าวรับใช้สาว
ซึงฮุนก้มหัวยอมรับกับผู้เป็นนาย มันทำให้มินโฮขุ่นใจไม่น้อย
หลังจากการกบฏจบลง ทั้งในเมืองและนอกเมืองเกิดสงครามกลางเมืองอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากความไม่พอใจของประชาชนแล้ว เท่าที่รู้ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้
ก็คือเจ้าแก่ยองแดที่หนีรอดไปได้จากการสังหารหมู่ขุนนางคนสนิทครั้งนั้น
ตอนนี้คงรวบรวมกองกำลังทหารที่ลี้สงครามไว้กับตน
"เมื่อไรกัน
ต้องรอให้มันเดินเข้ามาปราสาทเองไหมพวกเจ้าถึงจะจับได้" มินโฮพูดอย่างหัวเสีย
ซึงฮุนไม่ได้ตอบอะไร
"ข้าอยากไปรับฮันบิน"
เป็นอีกครั้งที่มินโฮพูดเรื่องนี้แต่ซึงฮุนก็ตอบเช่นเคย
"บ้านเมืองวุ่นวายอยู่
ท่านไม่ควรทิ้งปราสาทไปตอนนี้"
ซึงฮุนกล่าวกับผู้เป็นนาย
ทุกวันนี้ความโกลาหลก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากผู้ครองแคว้นจะออกไปเมืองอื่นยิ่งเป็นการเปิดช่องให้คนพวกนั้น
"ดีไม่ดี . .
ไม่สิมีโอกาสสูงนักที่พวกนั้นจะดักโจมตีท่านระหว่างทาง"
มันจริงอย่างที่ซึงฮุนว่าแต่มันทำให้มินโฮหงุดหงิดนัก
ไม่อาจไปรับฮันบินกลับมาได้ ครั้นเมื่อส่งจดหมายไปให้ทางนั้นส่งตัวฮันบินคืนมา
กลับมีจดหมายตอบกลับอ้างถึงสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยเป็นห่วงความปลอดภัยของฮันบิน
แต่ความหมายแฝงในจดหมายนั้นความไม่ปลอดภัยที่ว่ากลับเป็นตัวเขามากกว่าที่อีกฝ่ายหมายถึง
มินโฮกำหมัดเมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้เขียนจดหมาย
. . . ผู้ครองแคว้นตะวันตกคนปัจจุบัน เขาเกลียดสายตายามใช้มองแต่ละบุคคลของอีกฝ่าย
แต่ที่เกลียดที่สุดก็คือยามที่มันใช้มองฮันบิน
ที่ทำเป็นอ้างโน่นอ้างนี่ ไม่พ้นที่คิดจะเก็บฮันบินไว้กับตัว
มือหนามองจดหมายในมือที่ร่างขึ้นใหม่อีกครั้ง
ในครานี้เขาแนบสัญญาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของแคว้นไปด้วยแลกกับตัวฮันบิน
เขาไม่อาจทนเฉยนั่งคิดว่ามันจะทำสิ่งใดกับฮันบินบ้างเมื่ออยู่ที่นั่น
หากคราวนี้ปฏิเสธอีกไม่พ้นต้องยกข้อเสนอที่สูงกว่าไปอีกเรื่อยๆ
ใจมินโฮอยากจะไปเจรจาด้วยตัวเองนักว่าต้องการสิ่งใด
ตนจะได้ยกให้ ให้มันหมดๆเรื่องกันไปเสียที
"แล้วเมื่อไรข้าจะไปได้" บ่นกับซึงฮุนขึ้นมาอีก
"คงต้องรอให้บ้านเมืองเข้าที่
ปราบปรามพวกยองแดได้"
มินโฮรู้ดีทุกอย่างว่าสิ่งใดควรทำ
มันเป็นไปตามที่ซึงฮุนว่าแต่ไม่อาจหยุดความไม่พอใจในคำตอบได้
"ไม่ต้องรอเป็นปีเลยรึ"
ต่อให้ต้องรอเป็นปีหรือนานกว่านั้นก็ต้องรอเป็นสิ่งที่ซึงฮุนคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมาให้เป็นการเพิ่มโทสะแก่อีกฝ่าย
✥✥✥
ห้องอาหารภายใต้คฤหาสน์ของเสนาบดีใหญ่ของแคว้นตะวันตก
หัวโต๊ะคือจีวอนอันเป็นตำแหน่งทรงเกียรติแก่ผู้ครองแคว้นคนปัจจุบัน
ด้านซ้ายมือคือซูยอนส่วนอีกด้านคือภรรยาและบุตรสาวเจ้าของคฤหาสน์นี้
การพูดคุยเรื่องงานสลับเรื่องทั่วไปแสดงความเป็นกันเองตามแต่สมควรของคนบนโต๊ะ
จนกระทั่งภรรยาเสนาบดีใหญ่ถามคำถามหนึ่งออกมาแก่ผู้มาเยี่ยมเยียนที่นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามอาทิตย์
"งานช่วงนี้ของท่านจีวอนคงยุ่งกว่าที่เคย
เลยไม่ค่อยสะดวกมาที่นี่"
จากแต่เดิมมาที่นี่เพียงสองอาทิตย์ครั้งหรืออย่างบ่อยก็หนึ่งอาทิตย์ถึงจะมาว่าน้อยแล้ว
แต่ตอนนี้กลับล่วงไปเกือบเลยอาทิตย์ที่สามชายหนุ่มถึงได้มาที่นี่
ทั้งที่คฤหาสน์นี้ก็ไม่ได้ไกลหรือลำบากแก่การเดินทางมาจากตัวปราสาทแต่อย่างใด
ที่ถามไปก็ด้วยเป็นห่วงใจบุตรสาว
เป็นสตรีจะทำสิ่งใดได้นอกจากรอให้อีกฝ่ายเป็นผู้มาหา
"ท่านก็ทราบดี
ตอนนี้ข้าเพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่อีกทั้งปัญหาชายแดนก็ยุ่งยากนัก
เพราะสงครามฝั่งตะวันออกประชาชนฝั่งนั้นพากันอพยพลักลอบมาทางฝั่งนี้ไม่ใช่น้อย"
จีวอนอธิบายบอกถึงสาเหตุไป
"ทุกวันนี้ข้าก็ยุ่งอยู่กับการไปหัวเมืองบ่อยนัก
หวังว่าท่านจะไม่เข้าใจผิดเรื่องไม่สะดวกของข้าเป็นอื่น"
อธิบายตอบคำถามแก่คนถามแต่สายตาจับจ้องไปยังหญิงสาวที่อ่อนเยาว์กว่า
"ข้าไม่เข้าใจผิดเป็นอื่นแน่
เพียงแต่ทุกวันนี้ก็เกรงแก่คำครหา
อยากให้ทุกอย่างมันถูกต้องไปโซราบุตรข้าจะได้พ้นจากคำนินทาด้วย"
พูดออกมาอย่างตรงประเด็นแม้จะเป็นฝ่ายหญิงแต่เมื่ออีกฝ่ายยังไม่นำเรื่องนี้มาพูดอย่างตรงไปตรงมาเสียที
นางจึงเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเอง
ใจชายไว้ใจได้ที่ไหนกัน
ยิ่งมีอำนาจวาสนามากกว่าแต่ก่อน มีแต่จะยิ่งหยิ่งผยองและเป็นที่หมายปองมากขึ้น
ถึงแม้ทั่วทั้งแคว้นรูปสมบัติทรัพย์สมบัติบุตรสาวตนไม่มีใครเทียมได้แต่ก็ควรทำทุกอย่างให้ถูกต้องไปเสียที
"ใครกันมันกล้าว่าร้าย"
จีวอนตอบอย่างใจเย็น
"ส่วนเรื่องความถูกต้องก็อย่างที่ข้าบอกไปตอนนี้ทุกอย่างยังไม่ลงตัว
ขอเวลาข้าอีกสักพัก ให้ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเข้าที่ก่อน . . .
ข้าคิดว่าคุณหนูโซราก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรใช่หรือไม่"
เมื่อมีชื่อตนออกมา
หญิงสาวที่ถูกถามจะว่าอะไรได้เพียงแต่พยักหน้าตอบรับไป
"ข้าแล้วแต่ท่านพ่อท่านแม่และท่านจีวอนเห็นสมควร"
ขณะที่เตรียมจะขึ้นรถม้าเป็นเวลาเดียวที่จีวอนจะได้อยู่กับโซราเพียงลำพัง
เพราะด้วยความเป็นสตรีสูงศักดิ์จึงน้อยนักที่จะได้รับอนุญาตให้คุยกับชายใดโดยไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย
ชายหนุ่มจึงถามหญิงสาวขึ้นมา
"ไม่โกรธข้าใช่รึไม่ที่พูดออกไปอย่างนั้น"
หญิงสาวมองหน้าชายร่างสูงที่องอาจ
มันเป็นเพียงความน้อยใจปนความรู้สึกอับอายเพียงน้อยนิดที่ถูกตอบไปอย่างนั้น
แต่เมื่อจีวอนถามออกมาหญิงสาวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
"ไม่ ข้าเข้าใจท่าน"
จีวอนพิจารณามองใบหน้าและท่าทีของหญิงสาว ทั่วทั้งแคว้นตะวันตก
โซราเปรียบเสมือนดอกไม้ที่งดงามและเพียบพร้อมที่สุดในแคว้นนี้
เพียงแต่ว่า เมื่อได้เจอกับดอกไม้ที่หายาก . . .
ดอกไม้ที่ว่างดงามก็กลายเป็นเพียงดอกไม้ที่งดงามเมื่ออยู่ท่ามกลางหมู่ดอกไม้ทั่วไปเท่านั้นเอง
"ข้าไม่มีเจตนาให้คุณหนูรู้สึกไม่ดี
โปรดรอข้าอีกหน่อยเถอะ"
✥✥✥
ฮันบินอยากจะร้องออกมาว่าเบื่อหน่ายนักกับการที่ถูกจีวอนจับจูงมือพาเดินชมสวนในปราสาทเช่นนี้
อยากจะบอกนักว่าฮันบินอยู่แต่ในปราสาทนี้จนจะจดจำดอกไม้ทุกกอต้นไม้ทุกต้นได้อยู่แล้ว
เมื่อไรจะคิดพาฮันบินออกไปหายใจข้างนอกปราสาทบ้างเสียที
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถที่จะเป็นฝ่ายถามออกไปได้
ฮันบินมองเจ้าของมือหนาที่กุมมือตัวเองอยู่อย่างน่ารำคาญเดินชมสวนอย่างสบายอารมณ์
คิดในใจถึงท่าทีอีกฝ่าย
รู้ทั้งรู้ว่าฮันบินมีเจตนาแอบแฝงแต่ร่างสูงก็ไม่เคยถามถึงจุดประสงค์เลยสักครั้ง
มั่นใจในตัวเองเสียจนฮันบินอดคิดไม่ได้ว่าการกระทำของตัวเองเป็นเรื่องน่าตลกของอีกฝ่ายหรือไม่
"อากาศร้อนหรืออย่างไรถึงทำให้คุณชายน้อยมีสีหน้าอย่างนี้"
จีวอนแกล้งหยอกเด็กหนุ่ม
ที่ใบหน้านั้นเรียบเฉยเช่นปกติกิริยาก็ไม่ได้แสดงอาการว่าขัดขืนแต่อย่างใดแต่ในใจจีวอนรู้ว่าคงต่อต้านและหงุดหงิด
ไม่ได้ร้อน แต่เบื่อหน่ายและอยากออกไปข้างนอก
รังเกียจมือที่กอบกุมอยู่นี่ด้วยเป็นสิ่งที่สื่อความรู้สึกของฮันบินทั้งหมดแต่ไม่ได้พูดสิ่งเหล่านั้นออกไป
"นี่มันสีหน้าตอนมีความสุขของข้า"
จีวอนเกือบจะหัวเราะออกมาอยู่แล้วในคำตอบนี้
เอาเหอะอย่างน้อยก็ดีใจที่เด็กหนุ่มจะมีแก่ใจประชดประชัน
"ข้าดีใจที่เห็นคุณชายน้อยมีความสุข"
แกล้งหยอกประชดเด็กหนุ่มกลับ
มือหนายังคงกอบกุมมือเด็กหนุ่มเดินเล่นต่อไป
ตอนนี้บรรยากาศที่ทำให้สุขสบายเกิดขึ้นกับร่างสูง
จนกระทั่งได้ยินเสียงหญิงสาวสองคนพูดคุยกัน
"หากข้าหน้าตางดงามจะมีโอกาสอย่างนั้นบ้างไหม"
หญิงรับใช้ดวงตาหยีเล็กที่เด็กหนุ่มจำได้พูดต่อบทสนทนาก่อนหน้านี้ที่ฮันบินไม่ได้ยิน
ขณะที่มือก็แสร้งทำงานก้มหน้าก้มตาเก็บดอกไม้ใบหญ้าตามพื้นไปด้วย
"ฝันไปเหอะ
เป็นแค่บ่าวรับใช้อย่างท่านจีวอนเขาไม่เอาหรอก"
หญิงอีกคนที่อยู่ด้วยกันปฏิเสธ แต่หญิงคนแรกเบะปากรับ
"ท่านฮันบินเองก็เป็นชายไร้ที่อยู่" ฮันบินฟังชื่อตนที่เข้ามาในบทสนทนาแล้ว
"ต่อให้รวมเรื่องที่มีครอบครัววิปริตฆ่าฟันกันเองเข้าไปด้วย
ถามชายทั้งแคว้นเถอะว่าจะมีใครปฏิเสธ"
มันเป็นคำแก้ต่างให้ฮันบินที่ทำให้แย่ขึ้นกว่าเก่า
เด็กหนุ่มรู้สึกโกรธเคืองยิ่งกว่าคำปรามาสที่หญิงคนแรกพูดด้วยซ้ำ
"นั่น ม . . ."
หญิงสาวคนแรกที่กำลังจะพูดโต้เถียงต่อต้องหยุดค้างไว้
ทั้งที่เรื่องการนินทาผู้เป็นนายเป็นเรื่องที่บรรดาบ่าวไพร่ทำกันเป็นกิจวัตร
แต่ทำไมต้องเป็นตนสองคนทุกครั้งที่ถูกจับได้
มิหนำซ้ำครั้งนี้มีผู้ครองแคว้นอยู่ด้วย
นางหวาดกลัวกว่าครั้งก่อนอย่างเทียบกันไม่ได้
เพียงแค่สายตานั้นจ้องมอง จากเดิมที่นั่งอยู่แล้วตัวทรุดลงไป
ตอนนี้หน้าพวกนางก็ลงไปแนบพื้นขอความเมตตา
"อภัยให้พวกข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ"
สองบ่าวรับใช้ที่ฮันบินเคยจับได้ว่านินทาตนร้องอ้อนวอน
แต่สายตาร่างสูงนั้นเย็นเยียบเสียจนพวกนางไม่กล้าสบตา
"อย่าให้พรุ่งนี้ข้าเห็นว่าพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่"
จีวอนบอกพวกนาง เสียงร้องอ้อนวอนดังขึ้นต่อ
ก่อนจะเป็นสตรีที่พูดมากสุดคลานเข่ามาหาฮันบิน
"คุณชายฮันบิน"
นางเรียกชื่อเด็กหนุ่มเพื่อร้องขอ
ฮันบินเพียงแค่จ้องมองใบหน้านั้นกลับไม่แสดงท่าทีว่าจะช่วยเหลืออะไร
"ต้องให้ข้าเลาะฟันเฉือนลิ้นพวกเจ้าออกมาก่อนไหม"
จีวอนสำทับขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงยอมหยุดทุกอย่าง
แนบศีรษะลงกับพื้นอีกครั้งไม่คิดพูดสิ่งใดอีก
"ไม่จำเป็นต้องสนคำพูดบ่าวไพร่ไร้สกุลพวกนี้"
คนที่ขู่จะเลาะฟันเฉือนลิ้นและเพิ่งไล่พวกนางออกไปบอกกับเด็กหนุ่ม
ตอนแรกฮันบินก็ขุ่นใจอยู่หรอก
แต่มาคิดถึงว่าสิ่งใดควรทำต่อจากนี้แล้วการจะมาโกรธเคืองคิดมากกับเพียงเรื่องบ่าวไพร่พวกนี้มันไร้สาระนัก
เด็กหนุ่มจึงตัดเรื่องที่ขุ่นใจคิดมากเมื่อครู่นี้ออกไป
"ข้าไม่ได้สนใจกับคำพูดบ่าวไพร่พวกนี้"
ฮันบินตอบตามที่ตอนนี้คิดจริง
จีวอนพยักหน้ารับด้วยความพอใจ
มือหนาลูบไล้แก้มเนียนของเด็กหนุ่ม
แม้จะอยู่ท่ามกลางสวนของปราสาทที่บ่าวไพร่แถวนั้นสามารถมองเห็นก็ตาม
"ดีแล้ว
เมื่อข้าพอใจใครก็ไม่มีสิทธิ์ว่าคุณชายน้อยได้"
จีวอนบอกก่อนจะก้มลงมาแนบปากลงบนปากอิ่มของเด็กหนุ่ม
ความคิดเห็น