คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ ๑
ในครั้งกาลที่ท้องฟ้ายังเป็นเพียงสีฟ้าที่โปร่งสดใส
ใบไม้กิ่งไม้แผ่กิ่งก้านเขียวขจีเพียงให้ความร่มรื่น
นกสัตว์นานาส่งเสียงร้องโดยปราศจากเสียงแปลกปลอมใดๆ
และดวงอาทิตย์ที่ฉาดแสงเพียงแต่ให้ความอบอุ่นไม่แผดเผา
หากเมื่อมองลงไปยังแคว้นแคว้นหนึ่งแล้วท่ามกลางหมู่ไม้ทุ่งหญ้า
ตามซอกโขดหินของหน้าผาและน้ำตกจะปรากฏดอกไม้สีแดงชูช่อให้เห็นอยู่ทั่วบริเวณ
จนทั้งแคว้นดูจะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงของดอกอมาริลิส
มือขาวนวลของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอื้อมไปเก็บเจ้าดอกไม้สีแดงที่กลีบอันอ่อนบางของมันคลายตัวเบ่งบานเต็มที่เชิญชวนให้เด็กหนุ่มร่างผอมเข้าไปเด็ดออกจากลำต้น
โดยที่ทั่วทั้งปราสาทโบราณอันก่อสร้างจากอิฐมีเจ้าดอกอมาริลิสสีแดงสดทั้งขึ้นเองตามธรรมชาติและถูกปลูกอยู่เต็มไปหมด
เจ้าของร่างโปร่งที่ติดออกจะผอมไปสักหน่อยสำหรับเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดมองไปทั่วบริเวณของปราสาท
ทั้งโต๊ะอาหาร เครื่องดนตรีกำลังถูกจัดเตรียมมาในงานสำคัญเพื่อต้อนรับ 'แขกพิเศษจากต่างเมือง' คำที่ใช้เรียกเพียงเพื่อความสุภาพ
ผ้าคลุมโต๊ะรวมทั้งข้าวของที่ประดับประดาทุกอย่างในวันนี้ล้วนตกแต่งด้วยสีขาวและแดงสลับกันไปอันเป็นสีประจำตระกูลทั้งสองหรือความจริงจะบอกว่าตระกูลเดียวกันก็ไม่ผิดนักเพียงแต่แยกกันออกเป็นสองฝั่ง
ตะวันตกเป็นสีขาวและฝั่งตะวันออกอย่างพวกเขาคือสีแดง
มันก็หน้าตลกดีเหมือนกันที่จัดงานเชื่อมสัมพันธภาพสมานฉันท์สร้างความปรองดองมาได้ทุกหกปี
ทั้งที่รู้ว่าจัดไปก็ไม่ทำให้ทั้งสองฝั่งสร้างความปรองดองขึ้นมาได้
แต่เด็กหนุ่มก็โตพอที่จะรู้ว่ามันเป็นงานทางการเมืองที่ต้องสวมหน้ากากบังหน้าเท่านั้นและนี่ก็เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในงานนี้ซ้ำยังในฐานะทายาทผู้ซึ่งจะปกครองแคว้นของฝั่งตะวันออกต่อไป
ฮันบินรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ใช่ความประหม่า
ตั้งแต่ที่เขาอายุสิบหกมาจนถึงตอนนี้ตลอดหนึ่งปีเขาได้รับโอกาสเข้าร่วมประชุมและออกงานสังสรรค์ทางการเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน
หากจะตื่นเต้นก็คงเป็นเพราะแขกคนสำคัญทางการเมืองของเขาครั้งนี้
คือพวกผู้ปกครองแคว้นฝั่งตะวันตก พวกกลุ่มสีขาวซึ่งเป็นอริศัตรูกันมาตลอดสองร้อยปี
พวกกลุ่มคนที่อดีตมาจากรากเหง้าเดียวกัน
นิ้วเรียวสวยไล้ไปตามนิ้วกลางข้างขวาซึ่งมีแหวนเงินสลักตราราชสีห์อันเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลไว้อยู่
สีแดงราชสีห์ฝั่งตะวันออก สีขาวสุนัขจิ้งจอกฝั่งตะวันตก
จำได้ขึ้นใจที่คนเป็นบิดาอันเป็นเจ้าผู้ปกครองแคว้นฝั่งตะวันออกเคยบอกเอาไว้
ว่าสีแดงสำหรับเราไม่ได้แสดงถึงโลหิตผู้บริสุทธิ์ฉันท์ใด
สีขาวก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์สะอาดฉันท์นั้น
เพราะสีขาวของฝั่งตะวันตกคือสัญลักษณ์ของความตาขาว ปลิ้นปล้อนมากอุบาย
เฉกเช่นกับสุนัขจิ้งจอกที่เป็นตราประจำตระกูล
เจ้าผู้ปกครองฝั่งตะวันออกยิ้มหยันเมื่อครั้งเล่าให้บุตรชายฟังแล้วพูดต่อว่า
'ช่างกล้าที่จะเอาสัตว์ชั้นต่ำเช่นนั้นมาเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูล
แต่ก็เหมาะกับพวกกบฏอย่างมันดี '
ฮันบินนึกถึงคำบอกเมื่อครั้งก่อน
เขากำลังได้เห็นกับตาเพราะนึกสงสัยว่าความปลิ้นปล้อนของฝั่งตะวันตกเป็นเช่นใด
ขณะเจ้าของผิวขาวละเอียดมองการตระเตรียมงานซึ่งใกล้พร้อมเสร็จและแขกต่างเมืองคงกำลังจะมาถึงในตอนพลบค่ำหากไม่เถลไถลหรือเกิดสิ่งใดขึ้นในระหว่างทางซึ่งไกลถึงหกร้อยไมล์จากฝั่งตะวันตกมาถึงฝั่งตะวันออก
ดวงตาคมคู่สวยมองไปเห็นชายร่างสูงผิวเข้มอยู่ในชุดสีดำปักดิ้นทองเดินออกมาจากตัวปราสาทที่มีอายุในการก่อสร้างมานับพันปี
มินโฮพี่ชายร่วมสายเลือดของเขานั่นเอง
เมื่อใบหน้าหล่อคมคายมองเห็นเขาฮันบินก็ก้มศีรษะทักทายไปให้อีกฝ่ายก่อนเล็กน้อยโดยที่ศีรษะอีกฝ่ายก็ก้มตอบกลับมา
พวกเขาทั้งคู่เป็นพี่น้องที่ห่างไกลจากคำว่าสนิทสนมด้วยอายุที่ห่างกันถึงสิบสองปี
อีกทั้งเหตุผลทางการเมืองจึงทำให้พวกเขาไม่ควรสนิทกันมากนัก ต่างจากพี่น้องทั่วไป
เมื่อครั้งเป็นเด็กสมัยที่เขาไม่รู้อะไร
ฮันบินมักเข้าไปหาอยากเล่นกับอีกฝ่ายที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดกับตน
แต่ก็โดนอีกฝ่ายปฏิเสธบ่ายเบี่ยงไม่ให้เข้าใกล้ทุกครั้งไป
มันเป็นเรื่องน่าเศร้าและเหงาสำหรับเด็กอายุไม่กี่ขวบปีในเมื่อนอกจากมินโฮเขาก็ไม่มีพี่น้องร่วมสายเลือดคนไหนอีก
แต่เมื่อโตขึ้นฮันบินก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะรู้จักเว้นระยะห่างที่เหมาะสมสำหรับอีกฝ่าย
"เตรียมตัวเสร็จแล้วอย่างนั้นรึ"
มินโฮเดินมาใต้ต้นไม้ใหญ่ที่น้องชายยืนอยู่ ฮันบินอยู่ในชุดผ้ากำมะหยี่สีแดงอันเป็นสีประจำตระกูลโดยรอบตัวผ้ามีขลิบทองจากเส้นไหมที่ถูกทักทออย่างประณีตรายรอบ
ผมสีดำสนิทยาวปกคลุมไหล่ถูกมัดรวบด้วยริบบิ้นสีดำสนิทเช่นเดียวกับสีผมเจ้าของอย่างเรียบร้อย
เปิดเผยใบหน้าเต็มอิ่มและผิวพรรณผุดผาดของเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มวัยดีได้อย่างชวนมอง
"ครับท่านพี่มานานแล้วหรือยัง"
ฮันบินถามกลับเพราะไม่บ่อยนักหรอกที่จะเห็นมินโฮอยู่ในปราสาท อีกฝ่ายมักไปอยู่กับกลุ่มกองทหารหรือสำรวจตามชายแดนมากกว่า
มากสุดที่ฮันบินได้เจอมินโฮก็คือปีละสองครั้ง
เพราะไม่แล้วบางปีก็ไม่ได้พบกับอีกฝ่ายเลยหากไม่ใช่เพราะด้วยความสำคัญของงานที่จะจัดขึ้นนี้มินโฮคงไม่กลับมา
มินโฮพยักหน้าให้ฮันบินแทนคำตอบ
"ท่านเคยประชุมกับพวกตะวันตกมาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง"
เพราะไม่ใช่พี่น้องที่สนิทกันนอกจากเรื่องงานก็ไม่มีอะไรให้พวกเขาคุยกันนัก
ฮันบินจึงถามอีกฝ่ายที่เคยร่วมประชุมมาก่อน อีกทั้งไปอยู่ชายแดนติดฝั่งตะวันตกก็บ่อยครั้งคงพอรู้อะไรมาบ้าง
และคำตอบที่ฮันบินได้รับมีเพียง
"อย่าเชื่อที่มันพูด
ทุกคำที่มันบอกล้วนไม่เป็นความจริง"
ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักพูดคุยอีกไม่กี่คำมินโฮก็ขอผละตัวออกไป
โดยก่อนไปมือหนาก็หยิบดอกอมาริลิสที่ฮันบินเพิ่งเก็บมาจากมือน้องชายและปักมันประดับไว้บนกระเป๋าเสื้อตรงอกซ้ายของเด็กหนุ่ม
✥✥✥
ตอนนี้เลยกำหนดเวลาที่คณะฝั่งตะวันตกจะมาถึงหลายชั่วยาม
หลังจากพระอาทิตย์ที่ลาลับลงสู่ดิน
ท้องฟ้าที่มีดาวน้อยแสงไม่กี่ดวงกลับค่อยจางหายไปเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าที่ขมุกขมัวขึ้นเรื่อยๆ
สายลมหวีดหวิวเริ่มโหมกระพือหนัก
แสงสีสว่างจ้าจากฟ้าแลบร้องส่งสัญญาณว่าพายุฝนคงมาอีกไม่ช้า
ทั่วทั้งโถงอาหารขมวดคิ้วให้กับแขกรับเชิญที่ยังมาไม่ถึง
"สันดานจิ้งจอกชั้นต่ำไม่เคยเรียนรู้เรื่องมารยาท"
ยังกวอนประมุขผู้ครองแคว้นสบถออกมาขณะนั่งอยู่บนหัวสุดของโต๊ะตัวยาว
ใบหน้าคมของชายวัยใกล้ห้าสิบบูดบึ้งแม้จะเป็นประจำแต่ก็สร้างความเกรงขามให้คนรอบข้างอยู่ดี
ฝั่งซ้ายมือคือบุตรชายคนเล็กของเขา 'ฮันบิน' ผู้ซึ่งจะได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นต่อจากเขา
และที่นั่งติดกับฮันบินคือมินโฮบุตรชายคนโตที่ใบหน้าถอดจากเขามาไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่มีใครต่อบทสนทนานี้เพิ่มเติมรวมไปถึงฮันบินซึ่งเพียงนั่งสงบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เสียงดนตรีที่ดังอย่างเงียบเหงาไม่อาจช่วยกลบเสียงคราครึ้มของลมพายุจากด้านนอกได้จนกระทั่ง
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เสียงฟ้าผ่าลงมาจนทั่วทั้งปราสาทสั่นไหว
มันดูจะใกล้มากในความรู้สึก เสียงกรีดร้องของบ่าวรับใช้สาวดังให้ได้ยินกันระงม
ฮันบินขยับตัวลุกจากที่นั่ง
"เดี๋ยวข้าออกไปดูเอง"
ความรู้สึกบางอย่างปะทุขึ้นในอกมันคล้ายกับลางสังหรณ์และมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย
✥✥✥
ลมกระโชกพัดอย่างบ้าคลั่งท้องฟ้าแลบแปลบปลาบอย่างวิปริตแต่ก็ยังไม่มีเม็ดฝนตกลงมา
ฮันบินเดินฝ่าลมแรงกระโชกมาทางฝั่งซ้ายของปราสาทอันเป็นจุดที่เห็นกองไฟลุกโชนและข้ารับใช้รายล้อมรุมดูกันอยู่บริเวณนั้น
"ไม่น่า"
ฮันบินพูดกับตัวเองเบาๆท่ามกลางลมพายุที่โหมกระหน่ำ
หากเป็นตรงนั้นมันคือจุดที่เคยเป็นรูปสลักหินราชสีห์คำรามอันเป็นสัญลักษณ์ทรงเกียรติของตระกูล
ถึงจะคิดค้านในใจแต่พอฮันบินเดินไปถึงจุดบ่าวไพร่มุงดูกันอยู่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้
ตั้งแต่ส่วนหัวราชสีห์ถูกผ่าลงมาจนถึงฐาน
จากรูปสลักอันเท่าบุรุษสองคนองอาจกลับกลายเป็นเพียงเศษหินที่ถูกสุมเผาอยู่ในกองไฟและมีกลิ่นไหม้โดยรอบ
"นี่มันลางบอกเหตุชัดๆ
ผ่าลงมาอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องปกติแน่"
"ลางร้าย"
"ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องวิบัติอะไรเกิดขึ้นกับที่นี่"
เสียงบ่าวไพร่เซ็งแซ่ล้วนแต่วิจารณ์ไปทางลบแต่ฮันบินไม่อยากตำหนิหรอกวิกฤติการณ์เช่นนี้ใครบ้างจะไม่พรั่นพรึงมองไปในแง่ร้าย
และทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุร้ายขึ้น มีก็แต่ความวิตกกลัว
"อ้าวคุณชาย"
ข้ารับใช้ชายวัยชราหันมาพบฮันบินก็ก้มหัวให้ด้วยความนอบน้อม
ไม่รู้ว่านายน้อยเหนือหัวจะได้ยินคำอัปมงคลจากบ่าวไพร่อะไรบ้าง
"รีบดับไฟให้หมดแล้วพรุ่งนี้มาจัดการที่เหลือแล้วกัน"
ฮันบินบอกชายชราซึ่งก้มหัวรับก่อนจะพาตัวเดินออกไป
✥✥✥
ร่างโปร่งบางเดินผ่านสุมทุมของต้นเฮเซลนัทอันเป็นทางกลับตัวปราสาท
ใบหน้าใสฉายความกังวลครุ่นคิด ต่อให้ไม่เชื่อในลางบอกเหตุแต่ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะรู้สึกไม่ดี
เหตุการณ์วิปลาสนี่เกิดขึ้นในวันที่พวกฝั่งตะวันตกจะมา จะไม่ให้คิดว่าเป็นลางบอกเหตุร้ายได้อย่างไร
ลมที่โหมกระพือตอนมาขณะนี้ยิ่งโหมกระพือหนักกว่าเดิม
อีกไม่นานท้องฟ้าคงกลั่นตัวเป็นพายุฝนห่าใหญ่
ร่างบางเดินต้านแรงลมจนเสื้อคลุมที่สวมใส่ลู่ไปตามลม
ได้ยินเสียงแว่วคล้ายเสียงรถม้าคิดว่าพวกฝั่งตะวันตกมาถึงแล้วก็เป็นได้
พยายามเร่งการเดินให้เร็วขึ้นเพราะคงดูไม่ดีนักหากเขาจะเข้าห้องโถงทีหลังคนพวกนี้
แม้จะอยากเดินเร็วแค่ไหนแต่ลมพายุก็ดูจะโหมกระพือเป็นใจให้เขามองไม่เห็นทัศนียภาพเบื้องหน้าเท่าไรนัก
จนกระทั่งลมวิปลาสอยู่ๆก็เปลี่ยนทิศทางพัดกระชากมาจากด้านหลังทำให้ริบบิ้นสีดำที่รัดผมไว้ปลิดปลิวไปกับสายลม
ผมสีดำยาวเคลียไหล่โบกสยายตามสายลมที่พัดมาจากด้านหลัง
ลมที่พัดอย่างบ้าคลั่งในตอนแรกอ่อนตัวลงมาเล็กน้อยทำให้ฮันบินมองเห็นทัศนียภาพเบื้องหน้าว่าไม่ได้มีแค่ตัวเองอยู่แค่คนเดียว
ชายร่างสูงผิวขาวจัดอยู่ในชุดสีขาวปักดิ้นสีเงินอย่างชนชั้นสูง
เส้นผมสีดำถูกหวีเรียบและรวบตึงไปด้านหลังอย่างคนเจ้าระเบียบ
จมูกโด่งได้รูปและดวงตาเรียวซุกซ่อนอยู่ในแว่นกรอบใสจากที่ประเมินคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมินโฮรึน้อยกว่าสักเล็กน้อยก็เป็นได้
แต่ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับมุมปากที่ยกขึ้นเพียงน้อยนิดแต่ฮันบินก็รับรู้ได้
ดวงตาเรียวแม้จะอยู่ภายใต้แว่นกรอบใสในเวลากลางคืนมันก็ทำให้ฮันบินรู้สึกอึดอัด
ทุกกิริยาและทุกสิ่งอย่างมันบอกโดยสัญชาตญาณว่าผู้ชายคนนี้อันตราย
โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องทำอะไรเลย
"ของคุณชายน้อย"
ชายคนนั้นบอกโดยมีริบบิ้นสีดำของฮันบินอยู่ในมือ คงเป็นตอนที่ลดพัดปลิวไป
ร่างโปร่งบางของเด็กหนุ่ม
ดวงตากลมใสซึ่งกำลังประเมินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างระวังตัว
เส้นผมยาวที่ปราศจากการมัดรวบกำลังตีไหวไปตามแรงลม
ปากอิ่มสีสดที่ตัดกับผิวขาวน้ำนมไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
ไม่ว่าใครได้มาเห็นภาพตรงหน้าก็ไม่อาจสะกดกลั้นสายตาให้มองไปทางอื่นได้
เหมือนถูกบังคับให้อยู่ภายใต้มนต์สะกดชั่วคราว
จากผิวพรรณและเสื้อผ้าที่สวมใส่จีวอนก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นบุตรชายคนเล็กอันเป็นทายาทผู้สืบทอดของพวกฝั่งตะวันออก
ร่างสูงกว่าเดินเข้ามาใกล้ฮันบินจนหยุดอยู่ตรงหน้า
มือหนาสัมผัสเส้นผมยาวซึ่งสะบัดไหวไปตามแรงลม ออกจะมากไปสักหน่อยแต่ฮันบินก็ไม่ได้ถอยหนีหรือแสดงความหวั่นกลัว
ดวงตาคู่กลมสบตรงเข้ากับดวงตาอีกฝ่าย
รู้ว่าอันตรายเพราะดวงตาคู่นั้นดูจะสามารถสำรวจลึกเข้าไปถึงทุกก้นบึ้งทางความคิดของคนที่ถูกจับจ้องได้มันน่าประหวั่น
แต่ก็มีเพียงอาการสงบนิ่งของฮันบินที่ตอบรับกลับไป
มืออีกข้างของจีวอนรวบผมฮันบินไปทางด้านหลัง
เมื่ออีกฝ่ายอยู่ข้างหน้ามันจึงดูว่าอีกฝ่ายจาบจ้วงกอดเด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าไม่มีผิด
ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นกับเส้นผม มือที่กำลังผูกริบบิ้นให้
มุมปากที่เหยียดขึ้นเพียงนิด ดวงตาเรียวที่จ้องกันเหมือนทะลุไปถึงส่วนลึกสุดทางความคิด
ภายใต้ท่าทีนิ่งเฉยใช่ว่าจะไม่ทำให้ใจเด็กหนุ่มเต้นรัวได้
มันเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยเด็กหนุ่มรู้และคิดว่าคนตรงหน้าเขาก็รู้เช่นกัน
แต่ฮันบินก็สงบพอที่จะไม่สั่นไหวไปกับเหตุการณ์ตรงหน้าและควบคุมตัวเองให้เป็นปกตินิ่งเฉยทั้งยังกล้าพอจะสบตาอีกฝ่ายไม่วางตา
เมื่อผูกริบบิ้นให้เด็กหนุ่มเสร็จ
มือจีวอนไล้เรือนผมฮันบินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนผละออก
มุมปากยกยิ้มกว่าที่เคยอย่างถูกใจ มีไม่กี่คนหรอกที่กล้าให้เขาสบตาตรงๆอย่างนี้
ซ้ำยังกล้าสบตาตอบกลับอีก ยังเด็กอยู่แท้ๆ
"เรียบร้อยแล้ว"
จีวอนบอกเด็กหนุ่ม
พินิจใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างพอใจ
โดยที่คนอายุน้อยกว่าพยักหน้าขอบคุณเล็กน้อยตามมารยาทและหน้าที่ไม่ว่าในใจจะอยากขอบคุณหรือไม่ก็ตาม
"ท่านคงเป็นแขกที่มาจากตะวันตก"
ฮันบินพูดกับอีกฝ่าย
"คงเป็นเพราะลมพายุที่ทำให้ท่านไม่สะดวกกับการเดินทาง"
"ต้องขออภัยคุณชายน้อยที่พวกข้ามาผิดเวลา"
จีวอนตอบอย่างสงบด้วยรอยยิ้มสุภาพแต่มันกลับแต่มันกลับไม่ให้ความรู้สึกของการขออภัยแม้แต่น้อย
"อีกเดี๋ยวฝนก็ตกแล้วตามข้าเข้ามาในปราสาทเถอะ"
ฮันบินรับหน้าที่เป็นเจ้าบ้านแต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ
"เดี๋ยวข้าตามเข้าไปเชิญคุณชายน้อยก่อนเถอะ"
เพราะเสียงฟ้าที่ผ่าเข้ามาใกล้ทำให้ขบวนม้าจากรถม้าตกใจวิ่งผิดทิศแทนที่จะมุ่งเข้าสู่ตัวปราสาท
และตอนนี้จีวอนกำลังกลับเข้าไปยังขบวนของรถม้าซึ่งบรรดาองครักษ์กำลังช่วยกันควบคุมให้สงบ
. . . ฮันบินเห็นสิ่งที่เกิดจากเบื้องหลังชายร่างสูงก็พอจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
"เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน"
"แล้วพบกัน"
จีวอนบอกเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่เดินกลับไปยังตัวปราสาทโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าตอนไหนกันที่ดอกอมาริลิสหายไปจากเสื้อด้านอกซ้าย
มือหนาของจีวอนนำดอกอมาริลิสไล่สัมผัสที่จมูกโด่งได้รูปและปากหยักของตน
ก่อนที่จะเดินกลับไปยังขบวนรถม้า
"บุตรชายคนเล็กเจ้าของแคว้นรึครับท่าน"
จุนฮเวองครักษ์หนุ่มวัยยี่สิบตอนต้นถามคนเป็นเจ้านายเมื่อเดินกลับมา
พอจะเห็นว่าก่อนหน้านี้ผู้เป็นนายพูดคุยกับเด็กหนุ่มชั้นสูงคนหนึ่ง
จีวอนพยักหน้าเล็กน้อยให้องครักษ์คนสนิทเป็นคำตอบ
"เป็นอย่างไรบ้างครับท่านว่าที่คนปกครองฝั่งตะวันออก
. . . ได้ยินคำเล่าต่อกันว่าเป็นเด็กหนุ่มที่รูปงามไม่ใช่น้อย"
จุนฮเวถามต่อเพราะความมืดเขาที่อยู่ไกลจึงมองเห็นหน้านายน้อยฝ่ายแดงได้ไม่ดีนัก
สีหน้าจีวอนนิ่งสงบ ดอกไม้สีสดแดงที่อยู่ในมือถูกขยี้จนแหลก
กลีบดอกอันบอบช้ำถูกปล่อยลงกับพื้น รวมไปถึงคราบสีแดงที่เปื้อนมือจีวอนร่างสูงก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดออกจนสะอาดหมด
"ไปเถอะอย่าให้เจ้าบ้านต้องรอนาน
เดี๋ยวเขาจะว่าเราเป็นพวกจิ้งจอกมารยาทต่ำ"
บอกองครักษ์หนุ่มซึ่งทำหน้าที่คุมบรรดาองครักษ์ให้ควบคุมม้าจนสงบได้
เพื่อมุ่งตรงไปยังตัวปราสาท
ความคิดเห็น