ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [[พันธนาการแห่งบัลลังก์]] เป็น eBook ครบสี่เล่มแล้วนะคะ ^^

    ลำดับตอนที่ #37 : = 28 = ให้ตายทั้งเป็น..ตลอดกาล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 55
      3
      25 ธ.ค. 61




     


            “ฟู่.. โชคดีที่จ้าวชีวิตไม่เอาเรื่องกับความผิดพลาดของข้า” มิไนท์ถอนหายใจ แล้วสำรวจห้องนอนของตนเองที่ไม่ได้อยู่อาศัยมาหลายปี ฟูมินกอดอกยืนพิงประตู


            “แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่หนีออกมา”


            “ข้ารอสังหารราชาแก้วผลึก ใช้ยาพิษที่ทรงประทานให้ เลย..หนีไม่ทัน”


            “หนีไม่ทัน? ปีศาจอย่างเจ้าเนี่ยนะ หนีมนุษย์ไม่ทัน” ฟูมินย่างสามขุมเข้ามา อีกฝ่ายหลบสายตา


            “อโดนิสมีภูตรับใช้ด้วย เป็นภูตชั้นกลางร่วมกับกองอัศวิน..”


            “มองตาข้า!” ร่างทรงนาฬิกาทรายตะคอกออกมา “มัน..เกิด..อะไร..ขึ้น”


            ดวงตาสีม่วงปิดลง ทิ้งร่างกับพื้นห้อง ยกสองมือขึ้นปิดใบหน้า


            “ข้าไม่รู้ แต่..ถ้าเขาตาย ข้าก็อยากอยู่ข้างๆ เขา”


            “จะ..เจ้า!” ฟูมินย่อตัวนั่งลงบนส้นเท้า “เจ้าไม่รู้ผลลัพท์ของการตกหลุมรักมนุษย์หรือไงกัน เจ้า.. เจ้า..” ท้ายสุดนางจนปัญญาจะเอ่ยความสิ่งใด มือที่กร้านเพราะจับดาบฝึกยิงธนูลูบหลังอีกฝ่าย “นี่ อย่าร้องไห้สิ”


            “ข้าผิดต่อจ้าวชีวิต”


            “พระองค์จะไม่ทรงทราบ เจ้าก็..ตัดใจซะนะ”


            มิไนท์ลดมือลง พยักหน้าช้าๆ


            “เวลานี้แล้ว ข้ากับเขายามเผชิญหน้าเป็นได้แค่ศัตรูเท่านั้น”


            ลืมเสีย ลืมคำสัญญาของสองเรา


            ลืมดวงตามุ่งมั่นที่จะรักษาแผ่นดิน


            ลืมถ้อยคำพร่ำรำพันยามรัตติกาลปกคลุม


            ลืม.. นางจะลืมทุกสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน

     



            “นายท่าน” ภูตสายแห่งลมทั้งสองเดินตามจิตจนไปพบเจ้านายของตนที่กำลังตรวจสอบความสะอาดของห้องรับรองอย่างถี่ถ้วน ท่าทางนั้นทำให้เหล่าเอลฟ์ที่อยู่โดยรอบหวาดผวา


            “อ้าว พวกเจ้ามากันแล้ว แล้ว..เอเรียลล่ะ” เมโลดี้ร้องถามเมื่อมองเห็นแค่ราซายเดินตามหลังมา


            “มีธุระ แยกไปก่อนขอรับ นายท่าน.. ท่านทำความสะอาดปราสาทนี้?” โซเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ผิดกับน้องชายที่เติบโตมาด้วยกัน รู้ดีว่าพี่หญิงของเขาทนอยู่ในที่แบบนี้ไม่ได้หรอก นี่ถ้าอยู่นานกว่านี้คงสั่งให้ขัดเครื่องเรือนด้วยเป็นแน่ เอ๊ะ..หรือว่าสั่งไปแล้วนะ


            “เราแค่ ขอ ให้พวกเขาช่วยความทำความสะอาดเพิ่มเติม” เมโลดี้เอ่ยอย่างเรียบง่ายราวกับตนไม่ใช่แขกผู้มาเยือน “ดูจากสภาพแล้ว ปกติคงทำแบบขอไปที แค่ให้มีทางเดิน ดูฝุ่นตรงมุมห้องสิ หนาเตอะเลยเชียวล่ะ เจ้าเห็นตรงราวบันไดที่ขึ้นมาไหม มัน..”


            โซยกมือขึ้นห้าม


            “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”


            ลูริหัวเราะทั้งดวงตา พลันเหลือบเห็นอายาเมะโผล่ศีรษะเข้ามาในห้อง ใบหน้าภูตสายแห่งดินขมุกขมอมกว่าปกติเล็กน้อย


            “ข้าจัดการเก็บกวาดวัชพืชในสวนแล้ว พลิกดินใหม่เรียบร้อย ภูตสายแห่งน้ำกำลังรดน้ำอยู่ แต่ข้าปลูกได้แค่ดอกไอริสเท่านั้น ถ้านายท่านต้องการอย่างอื่นแซมสลับ คงต้องลงเมล็ดเอง มิเช่นนั้นก็หาภูตต้นไม้ตนอื่นเข้ามาช่วยเจ้าค่ะ”


            “ขอบใจมากจ้ะ” เมโลดี้ยิ้มรับกับคำรายงานยาวเหยียด อายาเมะเห็นภูตรับใช้อีกสองตนมาถึงแล้วก็อดแลบลิ้นใส่ไม่ได้


            “เพิ่งเคยมีคนใช้ข้าปลูกต้นไม้เป็นครั้งแรก ปกติแค่ทำให้ผลิบานเท่านั้น” ร่างเล็กถอนหายใจ การปลูกยุ่งยากกว่ากว่าทำให้ผลิบานมากนัก


            ภูตหนุ่มแอบลอบถอนหายใจเช่นกัน ดีที่ตนไม่ใช่ภูตสายแห่งดิน มิเช่นนั้น อาจจะต้องลดขั้นจากภูตชั้นสูงกลายเป็นคนสวนเอาดื้อๆ


            “รามล่ะครับ พี่หญิง”


            “พี่ให้เข้าไปดูห้องเก็บของว่ามีอะไรเอามาซ่อมแซมใช้งานใหม่ได้ไหม”


            เอาเป็นว่าโดนใช้งานกันถ้วนหน้า


            “นายท่านสั่งทำความสะอาดขนาดใหญ่แบบนี้ ไม่ใช่ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือเจ้าคะ” ลูริเอ่ยถาม เมโลดี้ชะงักไปชั่วครู่ มองไปรอบด้าน น่าแปลกที่ราวกับได้ยินเสียงของกำแพง เสียงของพื้นหินที่เหยียบราวกับกำลังยินดีที่นางอยู่ที่นี่ เสียงที่ต้อนรับการกลับมาของนาง


            ปากอยากเอ่ยว่าไม่ ที่นี่ไม่ใช่บ้านเมืองของนาง แต่..กลัวว่าการพูดแบบนั้นจะทำร้ายจิตใจของตัวปราสาทที่ไม่ควรมีความรู้สึก


            “อย่างไรเสีย เราก็ต้องอยู่ที่นี่จนกว่าสงครามจะสิ้นสุด ทำความสะอาดมากๆ เข้าไว้ ไม่เสียหายอะไร” ร่างบางเบี่ยงเบนคำตอบ




     

            มือเรียวเล็บแหลมแตะขวดแก้วที่มีสายรุ้งแหวกว่ายอยู่ข้างใน


            “แม่มีอีกเรื่องที่ปิดบังเจ้า” ว่าพลางดันขวดแก้วแปลกประหลาดออกมา “แม่ลงมนตราระหว่างเจ้ากับเมโลดี้ไว้”


            “ทรงหมายถึงอะไร เสด็จแม่”


            “แม่แท้ๆ ของเจ้า..ริวโก นางต้องการให้เจ้าแต่งงานกับลูกสาวของแม่ แต่..แม่ไม่คิดจะมีเด็ก เลยขอลูกสาวของฝาแฝดแม่มาเป็นตัวแทน หากพวกเจ้าสองคนอยู่ห่างไกล แม่กลัวว่ากว่าจะได้พบกัน พวกเจ้าจะ..ไปรักชอบผู้อื่น จึงได้ลงมนตราเสียตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อไม่ให้รักผู้ใดได้อีก”


            ร่างสูงนิ่งงัน ซึมซับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป


            “ทรงหมายความว่าที่ข้ารักกับเมโลดี้เพราะมนต์ของนางในรัตติกาล?”


            “ใช่..”


            ภูตหนุ่มพลันลุกขึ้นยืนด้วยโทสะ ไซคีรีบจับท่อนแขนของลูกเลี้ยงตนเอาไว้


            “ทรงทำแบบนี้ได้เช่นใด!


            “แม่ไม่ทำไม่ได้” ไซคีบีบแขนอีกฝ่ายเอาไว้ ไม่ให้เขาหุนหันออกจากห้อง “แม่กำหนดเวลาให้เมโลดี้อายุครบสิบแปดเป็นผู้ใหญ่มากพอจะเดินทางมาที่นี่ มาช่วยแม่ปกครองบ้านเมือง สิบแปดปี..ระหว่างนี้ ถ้าพวกเจ้าไปรักชอบคนอื่น โดยเฉพาะ..มนุษย์ อาจจะทำให้แผนที่แม่วางไว้พังทลายอีก แม่ยอมไม่ได้”


            “แต่ความรู้สึกของข้า.. ทรงล้อเล่นกับความรู้สึกของข้า บังคับให้พวกเรารักกัน”

    เขา..รักนางเพราะมนตรา? เพราะเวทมนต์คาถาให้เป็นไป? ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ใดนี้กลับมีมาได้เพราะมนต์สะกด จะให้เขาไม่รู้สึกผิดหวังได้เช่นใด


            “แม่ให้เจ้ารักคนอื่นไม่ได้..” 


            เอเรียลอ่อนลงเมื่อได้ยินน้ำเสียงราวเจียนตายของอีกฝ่าย


            “เช่นนั้น เรื่องระหว่างข้ากับนางจะเป็นเช่นใด”


            “นี่เป็นความรักของพวกเจ้าสองคน” ไซคีชี้ไปที่ขวดแก้วที่มีสีสันอยู่ภายใน “มนต์ของนางในรัตติกาลดึงเอาความรักของพวกเจ้ามาไว้รวมกัน ถ้า..แยกพวกมันออก มนต์ก็จะหายไป หรือถ้าสีในขวดจางลงจนหายไปเมื่อใด มนตราก็สูญสลายเช่นกัน”


            เอเรียลมองจ้องขวดนั้นจนได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อเอ่ยปากอนุญาต ร่างบางก็โผล่หน้าเข้ามาด้านใน ชายหนุ่มเดินเข้าไปหา อมยิ้มขบขัน ดวงตาพร่างพราว ยื่นมือไปเช็ดแก้มเปื้อนฝุ่นให้


            “นึกสนุกหรือ” เขาหมายถึงทำความสะอาดปราสาท ร่างเล็กเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย


            “มิลบอกเราว่าทำได้”


            “หือ..”


            “เราคุยกับนาง พวกเราสามารถคุยกันในใจได้ นางบอกว่า..”


            แต่เดิมปราสาทนี้ก็เป็นของเผ่าพันธุ์พวกเรา พี่จะจัดการอย่างไรก็ตามแต่ใจ ไม่มีใครกล้าว่าอะไรแน่ นอกจากท่านน้าแล้วไม่มีใครมีสิทธิ์ห้ามพี่ทั้งนั้น แถมพี่ยังเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายพวกเขาด้วยนะเพคะ


            “ว่า?”


            “นางว่าเราสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ในปราสาทนี้ได้”


            ร่างสูงหรี่ตาสงสัย


            “ก็ได้อยู่”


            ร่างบางยิ้มรับทันที นำความสดใสเข้ามาในห้องแห่งนี้


            “อย่าบอกนะว่าที่เข้ามาเพื่อจะทำความสะอาดห้องนี้ต่อ”


            เมโลดี้ย่นจมูกใส่


            “เอลฟ์พวกนั้นฉลาด ถ้าห้องมีคนอยู่พวกมันเก็บกวาดให้อย่างดี ไม่ต้องถึงมือเราหรอก”


            “เช่นนั้นแล้ว เจ้าหญิงน้อย ทรงเข้ามาห้องของบุรุษคิดการควรไม่ควรหรือเปล่าพระเจ้าคะ”


            ร่างบางหัวเราะเสียงใสทันที


            “ฝ่าบาทว่าหม่อมฉันควรคิดอะไรหรือเพคะ”


            “อย่างเช่น..” มือหนึ่งเอื้อมมาคว้าเอวบางไว้ “ห้องที่เข้าง่ายออกยาก”


            “อืม..” เมโลดี้ทำได้เพียงส่งเสียงประท้วงในลำคอ ริมฝีปากหยักประทับลงมา ชิมความหอมหวานราวรวงผึ้ง “ยะ..อย่าซน” กระซิบแผ่วเมื่อมือนั้นทำท่าจะลงต่ำไปยังจุดล่อแหลม ริมฝีปากย้ายไปแทะเล็มข้างใบหู ลมหายใจร้อนเป่ารดกระหม่อมบาง


            ริมฝีปากใหญ่กลับลงมาที่จุดอ่อนไหวอีกครั้ง ตักตวง เรียกร้อง ปรนเปรอลมหายใจ แทรกปลายลิ้นชิมรสหวานในโพรงปาก


            “เจ้า..เพิ่งกินน้ำผึ้งมา?”


            “ปะ..เปล่า”


            “แล้วเหตุใดถึงหวานเช่นนี้”


            ปลายลิ้นกวาดเลียไปทั่วโพรงปากราวเสาะหาน้ำหวานเพิ่มเติม ปล้นชิงลมหายใจให้ขาดห้วง ก่อนจะยอมถอยออกเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายดึงอากาศเข้าปอดเพียงชั่วขณะ แล้วกลับเข้ามาอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนางเอนกายเข้าหาไร้เรี่ยวแรง มือเล็กปัดไปถูกขวดแก้วล้มกลิ้ง


            ร่างสูงรีบคว้าไว้ทันก่อนตกลงจากโต๊ะด้วยความตกใจ


            “เราไม่ได้ตั้งใจ” เมโลดี้รีบขอโทษเมื่อเห็นชายหนุ่มกำสิ่งนั้นไว้แน่นราวกับเป็นของสำคัญ เขามองใบหน้าสาวงามพลางใช้ความคิด แล้วตัดสินใจเก็บขวดแก้วนั้นไว้บนแท่นบรรทม ไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม ร่างบางรู้สึกเหมือนบรรยายกาศเมื่อครู่จางหายไปสิ้น


            เพราะอะไร? ขวดแก้วนั่น..สำคัญมากขนาดนั้นเชียวหรือ


            “ข้าจะพาไปดูของดี” มือแห่งบุรุษฉุดร่างบางให้ก้าวตามออกจากห้อง ทิ้งขวดแก้วไว้เพียงลำพัง



     

            ม้าหลายตัวถูกควบขี่ออกจากคอกม้าไปทางทิศเหนือ นอกเมืองแก้วคริสตัลตรงเข้าป่าแห่งการเปลี่ยนแปลง เมโลดี้มองคนนำหน้าที่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาพานางและภูตรับใช้ออกนอกเมืองมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทิวทัศน์รอบด้านก็แปรเปลี่ยน บรรยากาศราวกับหลงเข้าไปอยู่ในอีกดินแดนหนึ่ง


            ด้านหน้าของนางคือเหล่าปีศาจที่เคยวาดภาพไว้ในจินตนาการแต่เด็กจำนวนมากราวกับกองทัพ ทุกตนสูงใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไปมาก แต่ละตนมีรูปลักษณ์แตกต่าง บ้างรูปร่างคล้ายหมีขนาดยักษ์ที่ไร้ขนตัวโตผิดรูป ผิวหนังหนา บ้างมีหางยาวเต็มไปด้วยหนามฟาดไปมา บ้างคลานสี่ขาคล้ายจระเข้ตัวเขื่อง ฟันซี่แหลมแกร่งที่บดได้แม้กระทั่งหิน บางตนนั่งนิ่งไม่สนใจสิ่งใด บางตนเดินวนไปมา บ้างก็ทะเลาะขบกัดกันเอง


            “นะ..นั่น” หล่อนเพิ่งเคยเห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ จึงอดชักบังเหียนขยับม้าเข้าใกล้ชายหนุ่มไม่ได้ “ปีศาจจริงๆ หรือคะ”


            “ใช่ กองทัพปีศาจของแก้วคริสตัล”


            แม้แต่ภูตที่ตามหลังมาทั้งสามก็ตกตะลึงเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าแก้วคริสตัลจะซุกซ่อนปีศาจจำนวนมากขนาดนี้ไว้ สิ่งนี้สินะที่ทำให้เมืองแห่งภูตถูกตีแตกได้


            หากบุกเข้าเมืองมนุษย์ได้ คงย่อยยับไม่ต่างกันเท่าใด


            “ทำไม ไม่ชอบหรือ” เอเรียลมุ่นคิ้วเมื่อร่างบางหน้าซีดลง ชายหนุ่มดึงเด็กสาวมานั่งซ้อนม้าตัวเดียวกับตน แล้วควบไปทางทิศตะวันตกทันทีจนมองไม่เห็นทัพปีศาจ “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหน”


            “เรา..ไม่อยากให้มีสงคราม”


            บ้านเมืองของนางไม่มีสงครามมานาน เนื่องด้วยความแข็งแกร่งทรหดของนักรบแห่งรูซาเวียกระเดื่องไปทั่วแดนดิน หากเผ่าอื่นๆ ยังมีการสู้รบระหว่างเผ่าปะปราย หรือการดักปล้นสินค้าเผาบ้านเรือนในแหล่งห่างไกลจากศูนย์กลางยังเกิดขึ้นทุกปี นางเคยติดตามเจ้าหลวงไปเมื่อยังเด็ก ผ่านไปพบเจอหมู่บ้านเล็กๆ ถูกเผาโดยบังเอิญ ภาพซากศพที่ถูกไฟคลอกยังติดตา ได้กลิ่นเหม็นไหม้จากเนื้อหนังมนุษย์ ความพยายามในการกวาดล้างโจรภูเขามีมาตลอด แต่ด้วยสภาพเอื้อต่อการหลบซ่อนยังไม่อาจกำจัดได้สิ้นซาก


            สงครามก็ไม่ต่างไป ผู้คนมีเลือดเนื้อต้องสังเวยโลหิต เสียงร่ำไห้จะสะท้อนไปทั่วแผ่นดิน


            “พวกเรามาไกลเกินจะถอยหลังแล้ว”


            เมโลดี้เม้มริมฝีปาก แม้จะนึกขัดแย้ง แต่ก็ต้องยอมรับความจริง สองเมืองก่อศึกมายาวนาน ใช่ว่านางที่เป็นคนนอกมาโดยตลอดจะถือสิทธิ์ใดไปหยุดยั้งได้ นึกแล้วก็ปวดหัวโดยใช่เหตุ จึงเอนกายพิงร่างสูงที่ซ้อนอยู่ด้านหลังเสีย ปล่อยให้เขานำทางไป

    หากกลับมีคนยืนขวางทางอาชากลางป่า


            เด็กสาวมองสองร่าง หนึ่งเล็ก หนึ่งใหญ่ที่จูงมือกันราวกับเพิ่งกลับจากเดินเล่น


            จะเป็นใครได้ที่กล้าเข้ามาในป่าลึกเช่นนี้


            ภูตรับใช้ที่อยู่ด้านหลัง กระตุกม้ากระจายตัวออก ขวางระหว่างนางแปลกหน้าสองร่างกับเจ้านายของตนไว้


            “ท่านเทพเสด็จเยือนโลกมนุษย์หรือไร” อายาเมะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา “ป่าแห่งการเปลี่ยนแปลงช่างมีวาสนายิ่งนัก”


            ร่างเล็กเด็กกว่าเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ตอบรับไม่ขับขาน ส่วนร่างงามสาวผู้พี่จับจ้องอยู่แต่ที่เมโลดี้ แล้วก็ถูกร่างของภูตชั้นสูงที่เสือกม้าเข้ามา ใช้กายตนต่างกำบังให้ผู้เป็นนายพ้นจากสายตา


            “พวกท่านขวางเส้นทางเราอยู่ จะจากไปโดยดีหรือไม่” โซเอ่ยเสียงเย็นชากับนางผู้พี่ แม้เทพจะเป็นที่ควรเคารพ แต่ก็เรียกได้ว่าแทบไม่มีการยุ่งเกี่ยวระหว่างกัน ที่จริงต้องเรียกได้ว่า เทพพยายามทำตนให้เป็นที่เคารพศรัทธาวางตัวสูงส่ง มิเช่นนั้น เผ่าพันธุ์ที่ไม่มีเวทมนต์หลากหลายจะมีที่ยืนในดินแดนแห่งนี้ได้เช่นใด


            ดวงตาประกายรุ้งของนางผู้น้องกร้าวขึ้น ร่างเล็กที่สูงกว่าท้องม้าเพียงเล็กน้อยฮึดฮัด หากนางผู้พี่จับแขนยั้งไว้ แล้วก้าวเข้ามา


            “ภูตผู้เป็นที่รักแห่งสายลม เราประสงค์จะเจรจาพาทีกับนางในรัตติกาล ไม่ทราบว่าจะเปิดทางได้หรือไม่”


            เสียงเรียกขานนั้นทำให้ภูตทั้งสี่ตื่นตระหนกขึ้นมา เมโลดี้ถูกปรับเปลี่ยนจิตและสีตาสีผม เทพที่ทำไม่ได้แม้กระทั่งรับรู้จิตจะสามารถล่วงรู้ได้เช่นใด


            “เทพท่านนี้ ท่านยังไม่ได้แนะนำตัวแก่พวกเราเลย” ลูริชักม้าขึ้นเคียงข้างโซ


            “เสียกิริยาแล้ว เราทั้งสองเป็นทายาทแห่งจันทรา โจงะและ..” ว่าพลางก้มหน้าลงมองดูน้องสาว “คางุยะ


            จันทรา..


            “มิล?” เมโลดี้หลุดปาก เมื่อจู่ๆ ในหัวก็มีเสียงดังขึ้น


            พวกนางเป็นทายาทคนที่เคยทรยศเสด็จแม่ พี่หญิง


            เช่นนั้นพวกเขาจะมาแก้แค้นแทนหรือ


            เทพไม่มีอำนาจในโลกเบื้องล่างมากนัก เวทมนต์ที่ใช้ได้แค่มนต์ตามหน้าที่จากพระเจ้า สู้กับภูตชั้นปลายสักตนก็ไม่อาจเทียบได้แล้ว พี่ลองถามดูว่าพวกเขาต้องการอะไร


            “ขวางทางพวกเราไว้แบบนี้ ไม่ทราบว่าท่านเทพทั้งสองต้องการสิ่งใด”


            โจงะปล่อยมือจากน้องสาว ก้าวผ่านสองภูตสายแห่งลมมาหยุดอยู่หน้าม้าตัวใหญ่ ก้มศีรษะลงเป็นเชิงทำความเคารพ


            “ไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายเพคะ แค่มีเรื่องอยากรบกวนให้ฝ่าบาทช่วยเหลือ”


            “ช่วยเหลือ?”


            “เพคะ..” ดวงตาสีรุ้งหลบต่ำ เส้นผมประกายสีทองที่รวบไว้ด้านหลังพลิ้วไหวยามสายลมโอบล้อม


            “พี่โจงะ!” ร่างเล็กร้องขึ้นด้วยโทสะ เมื่อเห็นภูตสายลมใช้เวทเป็นปราการกักพี่สาวของนางเอาไว้ภายใน


            “คางุยะ อยู่เฉยๆ เราเป็นผู้มาร้องขอความช่วยเหลือ” ดวงตาสีรุ้งมองภูตชั้นสูงราบเรียบ “เขามีหน้าที่ปกป้องผู้เป็นนายเท่านั้นเอง นางในรัตติกาล เรายังไม่ทราบนามแห่งพระองค์เลย”


            “เมโลดี้”


            “ฝ่าบาท ทรงทราบหรือไม่ว่าสมัยก่อน มารดาของหม่อมฉันได้ทำพันธะเลือดกับนางในรัตติกาลพระองค์หนึ่ง”


            กล้าดีเช่นไรที่เอ่ยถึง มันทรยศต่อพันธะนั้น


            “เรา..รู้” รู้ไม่รู้ไว้ค่อยถามมิลทีหลังล่ะกัน


            “เช่นนั้นก็ต้องทราบว่ามารดาของหม่อมฉันตระบัดสัตย์ ทำให้ถูกคำสาปเล่นงาน”


            สมควรกับความผิดที่ทรยศต่อเจ้านาย ต่อเสด็จแม่ของพวกเรา


            เมโลดี้พยายามตั้งสติอย่างมากที่จะแยกเสียงจริงๆ กับการรับรู้ในใจออกจากกัน


            “คนคนนั้นคือเสด็จแม่ของเราเอง”


            ร่างงดงามแห่งเทพถอนหายใจ


            “หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทมีสิทธิ์จะโกรธเคืองที่มารดาหม่อมฉันกระทำผิดลงไป แต่..มารดาก็ชดใช้การกระทำนั้นด้วยความทรมานมาสิบกว่าปีแล้ว ทรง..ปลดปล่อยมารดาของหม่อมฉันได้ไหมเพคะ”


            “เรา..”


            พี่หญิง!’


            เจ้าจะให้พี่ทำเช่นใด


            พวกมันทรยศเสด็จแม่ ข้าจะให้มันตายทั้งเป็น


            ตลอดไป?


            ตลอดกาล!’


            เมโลดี้มองดูร่างที่ยังก้มศีรษะในปราการแห่งสายลม มองเลยไปเด็กสาวที่น่าจะอายุไม่กี่ขวบยังมีสีหน้าไม่จำยอม


            “เรา..ขอเวลาคิดดูก่อน”


            “ขอบพระทัยที่เมตตา” โจงะโค้งต่ำลงไปอีก “หากฝ่าบาทต้องการพบหม่อมฉัน ให้เรียกชื่อหม่อมฉันเมื่อเวลาที่พระจันทร์ขึ้นสูงสุดของคืนนั้น หม่อมฉันจะมาหาพระองค์”


            “ได้”


            ปราการลมหมุนอ่อนลง โจงะก้าวถอยหลังก็สลายไป นางเดินกลับไปจูงมือน้องสาวก่อนจะลอยหายวับไปบนฟากฟ้า


            “เจ้ายังอยากเที่ยวเล่นอยู่ไหม?” เอเรียลกระเซ้าอยู่ด้านหลัง


            “หาที่นั่งพักก่อนเถอะค่ะ ข้าจำเป็นต้องใช้สมาธิฟังเสียงมิลบ่น” เมโลดี้หัวเราะ

    ร่างสูงโอบมือเข้าหาอีกครั้ง มือหนึ่งกุมเอวบาง อีกมือดึงบังเหียนให้อาชาโผทะยาน กีบม้าย่ำบนพื้นดินก่อนจะมาถึงข้างลำธารสายหนึ่ง เอเรียลลงจากหลังม้าก่อนอุ้มเด็กสาวตามลงมา ร่างเล็กที่แนบอกนุ่มนิ่มชวนให้หัวใจหวั่นไหว


            ความรู้สึกเช่นนี้ ก็เพราะมนตรากระนั้นหรือ


            ภูตมังกรอุ้มเจ้าหญิงของตนไปยังใต้ไม้ใหญ่ เงาร่มรื่น เมโลดี้นั่งลงกับพื้น ดึงอีกฝ่ายให้นั่งลงเคียงข้างก่อนจะเอนพิงเขาอย่างเอาแต่ใจ ชายหนุ่มจึงสอดมือโอบเอวนางไว้แล้วพิงยังลำต้นไม้ ปล่อยสาวเจ้าหลับตาลง


            เล่าเรื่องของพวกเขาให้พี่ฟังบ้างสิ


            ต้นเหตุจริงๆ ของเรื่องนี้ย้อนไปหลายร้อยปี พี่หญิง สมัยที่เผ่าพันธุ์พวกเรารุ่งเรืองถึงขีดสุด มีหลายเผ่าพันธุ์พยายามเข้าหา หลงใหลในความงดงามของนางในรัตติกาล เทพแห่งจันทราก็เช่นกัน บรรพบุรุษของพวกเราเห็นแก่ความพยายามของพระจันทร์จึงได้ลงมนตราในสายเลือดแบ่งปันความงดงาม จันทราจึงกลายเป็นข้ารับใช้นางในรัตติกาลเสมอมาดุจนายบ่าวแลกกับความงดงาม


            จนถึงวันที่พวกเราถูกคุมขัง บรรพบุรุษเห็นว่าไม่ควรดึงพระจันทร์มาเกี่ยวข้องจนต้องรับความเดือดร้อนไปกับพวกเรา จึงสั่งให้ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวให้กลับโลกเบื้องบน นางในรัตติกาลกับพระจันทร์ขาดความเป็นนายบ่าวตั้งแต่วันนั้นแต่มนตรายังไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของพระจันทร์ พวกเขาจะรับรู้ตัวตนของพวกเราได้เสมอ ไม่แปลกที่สองพี่น้องนั้นจะรู้ว่าพวกเราเป็นใคร


            แล้วเสด็จแม่มาเกี่ยวอะไรด้วย


            ซึคุโยมิ..ตำแหน่งที่ใช้เรียกเทพจันทรา..ทำพันธะเลือดกับเสด็จแม่ว่าจะช่วยชิงเมืองแก้วกลับคืนแลกกับมนต์ดำ แต่มันทรยศเสด็จแม่ วางแผนเข้ากับพวกนักบวช เป็นพยานให้แก่เหล่ามนุษย์ว่าเสด็จแม่คือแม่มด แม่ถึงต้องหนีการตามล่า


            แล้ว..คำสาปที่นางผู้นั้นเอ่ยถึง เจ้ารู้ไหมว่าคืออะไร


            ข้าไม่แน่ใจนัก จำได้ว่าเป็นคำสาปสืบทอด ทายาทแห่งพระจันทร์จะสิ้นในเงื้อมมือนางในรัตติกาลรุ่นต่อรุ่น แต่ข้าเคยคุยกับเอเรียลเห็นว่าเทพแห่งดวงจันทร์ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ทว่าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ น่าจะหมายถึงให้ช่วยเหลือคนคนนี้ ประทานความตายแก่นางเป็นทางออก อายุไขของพวกเทพสั้นเพคะ นางคงหมดอายุไขนานแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่คือต้องคำสาปของเสด็จแม่


            ...


            พี่หญิงห้ามใจอ่อนนะเพคะ


            มิล พวกเขาไม่เกี่ยว


            พี่หญิง..


            คนที่ตระบัดสัตย์คือเทพแห่งจันทรา ไม่ใช่พวกนางสองพี่น้อง พี่ไม่อยากให้ดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา เสด็จแม่เองก็เถอะ พี่เชื่อว่าแม่ลงคำสาปเพื่อขู่ไม่ให้เสียสัตย์เท่านั้น ใครจะรู้ว่านางจะเลือดเย็นถึงขนาดปล่อยให้ทายาทต้องมารับกรรมได้ ถ้าแม่อยู่ที่นี่ แม่ก็คงยอมถอนคำสาปให้เช่นกัน


            มันไม่ง่ายขนาดนั้น


            เจ้าสอนพี่สิ


            เมโลดี้ได้ยินเสียงถอนหายใจในหัวอย่างชัดเจน ถึงแม้จะไม่เห็นด้วย แต่น้องสาวก็ยอมบอกเงื่อนไข


            ต้องทำความดีชดเชยพี่หญิง เหมือนภูตมังกรที่ต้องคำสาป จะได้รับการแก้ไขเมื่อช่วยพวกเราชิงบ้านเมืองได้ พวกนางก็เช่นกันต้องมีอะไรมาชดใช้แทนถึงสามารถล้มล้างคำสาปได้


            เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เมโลดี้มุ่นคิ้วเล็กน้อย นางกำลังนึกอะไรบางอย่างออก พลันได้ยินเสียงม้าร้องดังขึ้น เมื่อลืมตาก็เห็นม้าตัวใหญ่กับบุรุษผิวสีทองแดง ยามแสงแดดตกกระทบร่างนั้นดั่งโลหะวับวาว


            เอเรียลรู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมกอดขยับตัวแข็งขืน จึงก้มศีรษะดู


            “เป็นอะไรไป”


            ร่างบางเม้มริมฝีปากอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะยอมเอ่ย


            “เขา..ซอเรนเซนดูเหมือนจะ..ชอบมิล”


            “อ้อ..เจ้าเลยหวงน้องสาว”


            หล่อนไม่ตอบ หากใบหูแดงขึ้นแทนความรู้สึก






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×