ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [[พันธนาการแห่งบัลลังก์]] เป็น eBook ครบสี่เล่มแล้วนะคะ ^^

    ลำดับตอนที่ #38 : = 29 = ไม่ทันได้ลงสนามแข่งก็แพ้หมดรูป + แจ้งข่าวอีบุ๊คค่ะ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 47
      3
      2 ม.ค. 62



    เรื่องบัลลังก์แห่งรัตติกาลออกเป็นอีบุ๊คแล้วนะคะ

    ลิงก์สำหรับเล่ม 1
    http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NDoiNzU0NiI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijg3Mjg0Ijt9

    ลิงก์สำหรับเล่ม 2

    ซื้อช่วงนี้ลด 55% ทั้งสองเล่มค่า  และสำหรับท่านใดที่อ่านเรื่องนี้แล้ว
    อาชูร่าฝากรีวิวหนังสือและให้ดาวที่ meb ให้หน่อยนะเจ้าคะ
    เพราะการรีวิวหนังสือจะทำให้ผู้อ่านที่ไม่เคยอ่านงานเขียนของอาชูร่ามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้นค่ะ ^^

    นี่เพจของอาชูร่านะคะ
    แวะมาหามาพูดคุยติดตามข่าวสารกันได้ค่า

    www.facebook.com/TheThroneOfDark/



    สวัสดีปีใหม่ ขอให้ทุกท่านโชคดีมีชัยตลอดปีกันค้าาาาา









            “แล้วมิลชอบเขาหรือเปล่า”


            “นางว่าไม่ แต่..”


            “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่กันเอง” ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามา ดวงตาสีเทายังจับจ้องอยู่ที่ร่างน้อยในอ้อมกอดบุรุษ บางทีก็นึกอยากกระชากแขนสองข้างนั้นให้หลุดออกมา


            “เราขอให้ท่านช่วยรามตรวจดูเครื่องเรือนที่เก็บเอาไว้ ท่านทิ้งงานมาได้อย่างไร”


            แวมไพร์หนุ่มถอนหายใจ


            “ขอข้าคุยกับเมโลดี้เป็นการส่วนตัวได้ไหม”


            ร่างบางรีบยึดเสื้อของคนรักไว้แน่นขึ้น บ่งบอกไม่ยินยอมพร้อมใจ เอเรียลอดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ นางปีศาจตัวน้อยกำลังใช้เขาเป็นเกราะกันภัย ใจกล้าสั่งงานกับแวมไพร์เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียก็มีคนให้ท้ายนางทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ริมฝีปากใหญ่แตะที่ขมับสาวเจ้า ก่อนจะหันไปหาภูตรับใช้ทั้งสาม


            “ขอความเป็นส่วนตัว..ให้พวกเราสาม..สี่คนหน่อยก็แล้วกัน”


            ภูตทั้งสามผงกศีรษะรับ แล้วถอยห่าง เอเรียลดันตัวเมโลดี้ลุกขึ้นยืน


            “มีอะไรก็พูดออกมาเลย ข้า..ในฐานะคู่หมั้นของนางขออยู่ฟังด้วยก็แล้วกัน”


            ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือก จับจ้องไปที่เด็กสาว ดวงตาคมกริบราวกับกำลังต่อว่าต่อขานที่นางทำตัวเหมือนเด็กๆ


            อีกแล้ว.. ความรู้สึกนี้


            เมโลดี้ยิ่งกำเสื้อของเอเรียลแน่นมากขึ้น เมื่อรู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่ผิดแปลกไปทุกครั้งที่พบคนคนนี้ เดาได้ไม่ยากว่าเป็นความรู้สึกของน้องสาวฝาแฝด หัวใจที่เต้นผิดจังหวะกับคนคนหนึ่งเช่นนี้ จะให้นางทำใจเชื่อได้อย่างไรว่าน้องสาวไม่รู้สึกอะไรเลยกับแวมไพร์ตรงหน้า


            “ข้าทำอะไรผิด” ซอเรนเซนเอ่ยอย่างข้องใจ เริ่มนับนิ้ว “เจ้าใช้ให้ข้าทำงานออกห่างกาย หนีหน้าไม่พูดคุยตั้งแต่รู้ว่าตัวเองมีฝาแฝด แล้วยัง..ขมวดคิ้วทุกครั้งที่ข้าเข้าใกล้ นางในรัตติกาล..แจงเหตุผลให้ข้าฟังที”


            หล่อนทำตัวน่ารังเกียจแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ


            “เรา..ไม่ชอบ”


            “ไม่ชอบข้า? เหตุผลล่ะ” ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาอีกก้าว นางก็ถอยไปหลบด้านหลังภูตมังกรเสียเลย


            พี่หญิงให้ข้าเป็นคนจัดการเขาดีไหม


            เมโดลี้เห็นดีเห็นงาม ไหนๆ อีกฝ่ายก็เข้ามาใกล้ชิดเพราะผู้เป็นน้องอยู่แล้ว จะไล่ไปไกลๆ หรือปล่อยให้เข้าใกล้ ก็สมควรเป็นน้องสาวกระทำ


            ร่างบางหยิบเม็ดยาที่ฟูมินเตรียมไว้ให้ออกจากถุงหอม ยาที่ทำให้ไม่ได้สติหนึ่งชั่วยามเผื่อจำเป็นต้องสลับตัวกะทันหัน เอเรียลรีบช้อนตัวคนรักขึ้นเมื่อร่างนั้นทรุดลงกับพื้นหลังจากใส่ยาลูกกลอนเข้าไปในปาก เพียงไม่นานก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง


            “มิล..” ซอเรนเซนยิ้มกว้างขึ้นมา 


            “ท่านต้องการอะไร” มิโดว์ลาร์กผละออกจากอ้อมกอดที่ทำให้กายาร้อนวูบวาบ ไปหยุดอยู่ตรงหน้านักล่ายามราตรี ส่วนสูงที่แตกต่างทำให้นางจำต้องเงยหน้าขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายมีดวงตาพราวระริกก้มลงมา


            “ช่วยเจ้า เจ้าเคยบอกเอเรียลใช่ไหม ถ้างานสำเร็จ ชิงบ้านเมืองได้ เจ้ากับเมโลดี้ก็แยกออกจากกันได้ ให้ข้าช่วย..”


            “เผ่าพันธุ์แวมไพร์แยกสันโดษ สมัยก่อนแวมไพร์กับนางในรัตติกาลแทบจะห่ำหั่นกันด้วยซ้ำเพราะต่างถือเป็นจ้าวแห่งราตรี เสียแต่นางในรัตติกาลรวมกลุ่มได้ แต่แวมไพร์ไม่ได้ พวกท่านเลยแพ้ต้องหลบหลีกไปอยู่แดนมรนะ ถ้านางในรัตติกาลย่อยยับ แวมไพร์ก็สามารถ..”


            “เรื่องเก่าเรื่องแก่ ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” ร่างสูงใหญ่โบกมืออย่างไม่เห็นความสำคัญ ถ้าอยากจะออกจากที่นั่นจริงๆ อย่างเขาก็แอบหลบออกมาบ่อย ทำไมจะทำไม่ได้ ที่ยังอยู่เพราะเงียบสงบดีต่างหาก “ข้าไม่สนเรื่องเผ่าพันธุ์ ข้าสนแต่..เรื่องระหว่างเรา”


            “ไม่มีคำว่าเรา ท่าน..คิดอะไรไปเอง” สีหน้าเริ่มแดงขึ้น หากพยายามทำเสียงเย็นชาเข้าใส่


            “เจ้าหวั่นไหว พี่สาวเจ้าถึงได้ถอยห่าง”


            “ยกตนมากเกินไป แวมไพร์”


            “ยอมรับว่าเจ้ารักใครสักคน ยากขนาดนั้นเลยหรือ”


            มิโดว์ลาร์กกำมือแน่น


            ยากสิ.. ยาก อยากให้เขาทั้งรู้และไม่รู้ และอยากให้ตนเองไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ตลอดกาล


            นางคือผู้ไม่มีอนาคต ไม่มีทางได้ลงสนามแข่งขันนางก็พ่ายแพ้หมดรูป


            “คนที่ข้ารักไม่ใช่ท่าน”


            “มิล” ซอเรนเซนกดเสียงหนัก “อย่า..พูดอะไรที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจภายหลัง”


            “โอหังอวดดี” หล่อนทำเสียงชิงชัง สมจริงเสียตนเองยังประหลาดใจ “พวกเรารู้จักกันนานเท่าไร บุญคุณที่ติดค้างช่วยชีวิต เจ้าต้องการอะไรตอบแทน? ร่างกายนี้? ใบหน้างดงามนี้? หรือมนตราของเผ่าพันธุ์”


            “เจ้ารู้คำตอบของมันดี”


            “รู้ว่าอะไร? รัก..? คิกๆ” หล่อนหัวเราะเย้ยหยัน ริมฝีปากเหยียดออกอย่างน่ารังเกียจ “เพิ่งรู้จัก จะรักกันได้เช่นใด ก็แค่..ของเล่นที่น่าสนใจ”


            “ความรักไม่จำเป็นต้องใช้เวลา”


            “ไม่อยากจะเชื่อว่าคำนี้จะออกมาจากปากแวมไพร์ พวกเราก็แค่ของเล่นฆ่าเวลากันทั้งสองฝ่าย เบื่อหน่ายก็หยิบมาพินิจ เล่นพอแล้วก็ไปเสีย ไม่มีความรักอะไรทั้งนั้น”


            “เจ้าจะดูถูกความรู้สึกของเจ้าเองแบบไหนก็ได้ แต่อย่าดูถูกความรู้สึกของผู้อื่นเมื่อเจ้าไม่รู้จักมัน” ร่างกายใหญ่โตให้ความรู้สึกคุกคามจนนางต้องถอยออกมาก้าวหนึ่ง ก่อนจะเชิดหน้าเสแสร้งไม่แยแส


            “เจ้าต่างจากบุรุษคนอื่นๆ ตรงไหน ตกหลมุรักแรกเห็น? คิดว่าบุรุษอื่นไม่เป็นเช่นเจ้าเวลาได้สบตาแม่มดหรือไร”


            “ข้าไม่ได้ตกหลุมรักเจ้าแต่แรกพบ ข้าสนใจตัวตนของเจ้า สนใจความเข้มแข็งที่แสนเปราะบางของเจ้า สนใจจนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าพลาดจากเจ้าไป อีกนานแค่ไหนที่จะพบเจอผู้หญิงที่ทำให้ข้ารู้สึกแบบนี้ได้อีก”


            น้ำเสียงของเขา ความจริงจังทั้งจากน้ำเสียงและดวงตาตรึงร่างกายของมิโดว์ลาร์กเอาไว้ แม้จะรู้ว่าเขากำลังเข้ามาใกล้เกินควรก็ไม่อาจก้าวหนีได้


            “ในเมื่อพวกเจ้ามีโอกาสแยกกัน ทำไมไม่ให้ข้าช่วย ถึงเวลานั้นการตัดสินใจเลือกคู่ครองยังเป็นของเจ้า จะรีบตัดรอนไปไย”


            “อยากรู้ไม่ใช่หรือว่าข้ารักใคร” มิโดว์ลาร์กสะบัดหน้าหนี ทำลายเวทมนต์ที่ตรึงทั้งคู่ไว้ “เจ้ารู้ไหม แม่มดสามารถผูกพันความรักของคนสองคนได้ ร่างนี้..” นางแตะที่ทรวงอก “อุทิศแด่มังกรที่สละชีพเพื่อพวกเรา ราชินีแห่งแก้วคริสตัลลงอาคมให้หัวใจของร่างนี้และภูตมังกรตนสุดท้ายที่เหลืออยู่รักกัน เจ้าคิดว่าข้าจะขืนมนตรานั้นได้หรือ”


            ว่าพลางหันไปทางร่างสูงสง่า เขาทำตัวเหมือนคนนอกไม่ยุ่งเกี่ยวจนอดนีกน้อยใจไม่ได้


            “ข้าเห็นมัน ขวดแก้วที่เมื่อหลายปีก่อนเคยเห็นมาแล้ว ขวดนั้นกักเก็บความรักของเจ้ากับเมโลดี้ แต่..ข้าและเมโลดี้ใช้ร่างเดียวกัน ก็ถือเสียว่ามีข้าเป็นตัวแถมไปด้วย มนตราผูกพัน ข้าจะ..รักคนอื่นได้เช่นใด” แม้ในยามเอ่ยกึ่งสารภาพรัก คิ้วคันศรเพียงขมวดขึ้นเท่านั้น


            “อาคมนั้นผูกสัมพันธ์ของเมโลดี้กับเอเรียล” ซอเรนเซนเอ่ยจุดอ่อน “เจ้าแค่..ถูกลูกหลงจากอาคมเท่านั้น ถ้าแยกออกจากกัน..”


            “ข้า..” มิโดว์ลาร์กก้มหน้าลง ร่างสูงใหญ่เข้ามาใกล้มากขึ้น เพียงเอื้อมก็สัมผัสกันและกันได้


            มือเรียวเล็บแหลมยกขึ้นขวางระหว่างสองคน


            “ถอยห่างจากร่างกายนี้หน่อย”


            เอเรียลเอ่ยเสียงเย็นชา ยอมให้พูดคุยก็ส่วนหนึ่ง หากไม่ยอมให้ชายใดแตะต้องร่างกายของนางอันเป็นที่รักได้ มิโดว์ลาร์กมองดูใบหน้างดงามของภูตมังกร หัวใจเต้นเป็นจังหวะผิดแปลกทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ ทั้งยินดีทั้งชิงชัง


            นางจะรักคนอื่นได้เช่นใด เมื่อหัวใจไม่มีอิสระที่จะรักใครอีก


            อยากรู้นัก ถ้าไม่มีมนตราควบคุม หัวใจที่แท้จริงของนางจะรักใครกันแน่


            “แต่เอาเถอะ ถ้าท่านอยากจะช่วยนัก” ร่างบางเอ่ยตัดบทก่อนจะโยนตนเองขึ้นหลังอาชาสีน้ำตาลเข้ม “สัญญาไหมจะไม่ขัดขวางเวลาที่ข้ากับเมโลดี้ต้องทำพิธีแยกออกจากกัน”


            “แน่นอน” ซอเรนเซนรีบเอ่ย เขาแทบจะรอเวลานั้นไม่ไหวแล้ว



     

            “พี่หญิง” ร่างเล็กขมุกขมัวด้วยฝุ่นวิ่งมาหาเมื่อม้าทั้งหกตัววิ่งกลับเข้าคอก เอเรียลมองดูร่างบางที่อยู่ท่ามกลางคนของนาง น้องชายที่นางรักอยู่ในอ้อมกอดเอ่ยรายงานเสียงใส ให้วางใจ ก็แยกออกมาตรงไปยังห้องนอนของตน


            ขวดแก้วใสยังตั้งอยู่ที่เดิม ความงดงามแห่งความรักยังถูกบรรจุอยู่ภายใน มือขาวเอื้อมไปแตะยังเนื้อแก้วที่เย็นกว่าอุณหภูมิห้อง พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นในความทรงจำ กลางม่านหมอกที่ถูกกดหนัก เสียงหวานใสแทรกออกมา


            “สวัสดี..” น้ำเสียงกึ่งเขินอายกึ่งอยากรู้เอ่ยขึ้น


            “เจ้าชื่ออะไร?” เด็กชายตัวน้อยเอ่ยถามเมื่อเห็นร่างเล็กหลบอยู่หลังมารดาของนาง ใบหน้ากลม แก้มแดงชวนให้นึกเอ็นดู


            “ตอบเขาไปสิลูก” อดีตราชินีแห่งแก้วผลึกบอกลูกสาวของตนด้วยความปรานี “บอกชื่อของเจ้าไปสิ”


            เหมือนได้แรงกระตุ้น บอกสิ.. ชื่อของตน ริมฝีปากบางจึงส่งเสียงออกมาเบาๆ


            “มิล..”


            “ไปเล่นกับพี่ชายสิ” เสียงสตรีอีกผู้หนึ่งเอ่ยบอก “เดี๋ยวพวกแม่จะคุยกันหน่อย เจ้าพาน้องไปเล่นที่อื่นก่อน”


            “ครับ” เด็กน้อยผมสีขาวฟ้าหากสั้นระต้นคอดึงมือเล็กออกวิ่งไปในทุ่งดอกไม้ทันที “มิล ทางนี้”


            เด็กหญิงร่างเล็กวิ่งตาม แต่ด้วยความที่ใส่กระโปรงยาวกรอมเท้าทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกนัก วิ่งเท่าไรก็ไล่ตามไม่ทัน จึงหยุดเปลี่ยนเป็นเดินไม่ยอมวิ่ง เด็กชายจึงหันกลับมา


            “มิล.. เป็นอะไร”


            “ข้าไม่อยากวิ่ง” ร่างเล็กร้องบอกแล้วนั่งลงกับพื้นไม่ยอมพูดเหตุผลอื่นทำให้เด็กชายไม่รู้ว่าเพื่อนเล่นโกรธอะไรตน


            “มิล? เป็นอะไร”


            “เปล่า” แต่สีหน้าไม่ได้เป็นอย่างที่ว่า ดวงตาสีน้ำเงินกะพริบถี่อย่างไม่รู้เรื่องแล้วนั่งลงข้างๆ ดึงดอกไม้ดอกเล็กใกล้ๆ ส่งให้


            “โกรธอะไร”


            “บอกว่าเปล่า” มือบางรับดอกไม้นั้นไปสีหน้าจึงแจ่มใสขึ้น “เจ้ายังไม่ได้บอกชื่อของเจ้าเลย”


            “ข้ายังไม่มีชื่อ”


            มิโดว์ลาร์กเอียงคอทำหน้าฉงน


            “เสด็จแม่ตรัสว่า รอจนตีเมืองแก้วผลึกได้ ถึงจะบอกชื่อให้ข้ารู้”


            “ทำไมล่ะ..”


            เด็กชายส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ร่างเล็กกว่าทำหน้าครุ่นคิด ก่อนเอ่ย


            “ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีไหม”


            “เอ๋...?”


            “นะคะ.. ให้ข้าตั้งชื่อให้” มิลเอ่ยอ้อนอย่างนึกสนุก เพื่อนเล่นคนแรกของนาง หากไม่มีชื่อ จะเอ่ยเรียกถนัดได้เช่นใด


            “ชื่ออะไรล่ะ” เด็กชายถาม สิ่งที่ทำให้ยอมตาม อาจเป็นเสียงอ้อนอ่อนหวานก็ได้


            “อืม...” พลันหัวใจนึกไปถึงคนที่ตอนนี้หลับอยู่ข้างใน ชื่อ..ที่จะเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน “เสด็จแม่เคยเล่าให้ฟังว่ามีผู้ชายสามคนที่เสด็จแม่สั่งให้พวกเราจำไว้ บอกว่าอย่าลืมเป็นอันขาด คนหนึ่งคือพ่อ อีกคนเป็นภูตรับใช้ของเสด็จแม่ ส่วนอีกคนเป็นคนที่ยอมตายเพื่อพระองค์ แม่ไม่อยากให้พวกเราลืม จึงตั้งชื่อพี่สาวข้าตามชื่อน้องสาวของคนคนนั้น เจ้าก็ใช้ชื่อของเขาแทนนะ”


            “ชื่อของใคร”


            “เป็นคนที่เสด็จแม่นับถือ เขาเก่งมากนะ ได้เป็นหัวหน้าอัศวินตั้งแต่อายุยังน้อย ชื่อว่าเอเรียล”


            “เอเรียล?”


            “ใช่ เอเรียล”

     


    ............................


     

            เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอกของห้องทรงพระอักษร มหาดเล็กผู้เฝ้าประตูเข้ามารายงาน


            “ภูตรับใช้ของฝ่าบาทขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ”


            วรองค์สูงศักดิ์พยักเศียรเพียงเล็กน้อย มหาดเล็กจึงถอยกลับไปแจ้งความ ภูตในชุดขาวสะอาดเดินเข้ามา ผมสั้นระต้นคอ มีขนนกประดับเป็นต่างหูที่หูข้างซ้าย


            “นายท่าน หอคอยกักกันแม่มดซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ เพียงแต่สามารถซ่อมแซมได้เฉพาะตัวหอคอยเท่านั้น ส่วนมนต์ลวงตาและพื้นที่ปกปิดจิตที่ได้รับผลกระทบไปด้วยไม่อาจแก้ไขได้ ถ้านายท่านต้องการข้าสามารถติดต่อพวกเอลฟ์ได้ เผื่อว่า..”


            “ไม่จำเป็น แล้วห้องขังล่ะ”


            “ไม่ได้รับความเสียหาย ภายในลูกกรงยังไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้ดังเดิม ถ้าไม่นับห้องขังนี้และกลไกในการเปิดประตู หอคอยนี้ก็กลายเป็นหอคอยธรรมดาไปแล้วขอรับ”


            “มันผู้นั้น?”


            “ยังมีลมหายใจ”


            “ดี ยืดชีวิตมันเอาไว้ อย่าให้มันตายง่ายๆ”


            บางครั้งโทริก็ไม่เข้าใจ เจ้านายของเขาแม้ผู้คนจะลือกันว่าโปรดการทหาร ชื่นชอบการสู้รบ ช่วงสองสามปีมานี้งบของฝั่งกลาโหมเพิ่มขึ้นกว่าเดิมแม้ในขณะดำรงตำแหน่งรัชทายาท แต่เมื่อได้รับใช้ใกล้ชิด กลับรับรู้ได้ถึงความเที่ยงธรรมและน้ำพระทัย แม้แต่พระชายาปีศาจที่ทรยศยังปล่อยไปไม่ติดสาวเอาความ จึงไม่รู้ว่ามนุษย์ที่ถูกคุมขังในหอกักกันแม่มดผู้นั้นทำสิ่งใดให้ระคายเคืองพระบาทจึงได้ทรมานให้ตายทั้งเป็นเช่นนี้


            “นายท่าน แล้ว..สงคราม”


            “ข้าแต่งตั้งให้แกมลัมเป็นแม่ทัพในกองทัพหลักครั้งนี้แล้ว หัวหน้าอัศวินโตม่าเป็นทัพปีกซ้าย รองหัวหน้าอัศวินคูมินเป็นทัพปีกขวา พวกเขาเพิ่งมารายงานว่ากองทัพปีศาจกำลังจัดรูปขบวนคงจะเดินทางมาถึงเมืองเราในอีกไม่กี่ราตรีเพราะเดินทางได้ไกลมากกว่ามนุษย์และใช้เวลาในการพักผ่อนน้อยกว่า สงครามครั้งนี้คงยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว เจ้าบอกให้คนป่าวประกาศออกไป เก็บเกี่ยวทุ่งนาเสีย ขนเสบียงเข้าเมือง ใครที่อาศัยด้านนอกกำแพงก็อพยพมาอยู่ในกำแพงก่อน”


            “ขอรับนายท่าน”


            “มีอีกเรื่อง” หัตถ์ใหญ่ส่งสารฉบับหนึ่งให้ภูตรับใช้อ่าน โทริมุ่นคิ้ว


            “ภูผาหอม?”


            “ครั้งนี้มาเยือนอย่างเป็นทางการ ส่งสารนัดหมายล่วงหน้า ช่างมาได้ผิดเวลานัก คงจัดงานเลี้ยงต้อนรับยิ่งใหญ่เหมือนสมัยที่เจ้าหลวงเสด็จฯ มาไม่ได้ พวกเขาคงเข้าใจ”


            ภูตนกก้มอ่านราชสารอีกครั้ง ระบุว่าเจ้าชายสองพระองค์และราชองครักษ์จากภูผาหอมจะเสด็จเยือนแก้วผลึกด้วยไมตรีจิต


            “มาวันรุ่งขึ้นเจ้าก็ช่วยจัดขบวนไปต้อนรับที่หน้าประตูเมืองด้วย และหลังจากนี้ เมื่อชาวบ้านเข้ามาเรียบร้อย พวกเราจะปิดประตูเมือง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตห้ามคนเข้าออก”


            “ขอรับ”


            ภูตหนุ่มโค้งลง เตรียมจะออกไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมาย หากกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวหล่นจากโต๊ะทรงอักษร ชายหนุ่มก้มลงเก็บหมายจะวางที่เดิม ตามองผ่านรายละเอียดเพียงแวบเดียวก็ต้องก้มซ้ำอ่านอีกรอบอย่างเสียมารยาท ลายพระหัตถ์ชัดเจนไม่ได้ถูกปลอมแปลง เงยหน้ามองนายเหนือหัว


            “นายท่าน..”


            “ข้าตัดสินใจแล้ว”


            “แต่ประกาศฉบับนี้..” ภูตสายแห่งลมคราง “ถ้าพระองค์ประกาศออกไป มันอาจเกิดจลาจลได้ ไม่ต้องดูจากที่ไหน แค่ในวังก็วุ่นวายพอดู ข้าไม่คิดว่าพวกคณะเสนาบดีจะยอมให้พระองค์ทำเช่นนั้น เรื่องใหญ่เกินกว่าจะล้อเล่นนะขอรับ


            เราก็ต้องลองสู้กันดูสักตั้ง สุรเสียงแจ่มใสไม่มีเคร่งเครียดในสิ่งที่ดำรัส “เจ้าคิดว่าเราพลีพลามที่ทำเช่นนี้หรือ พวกเราเตรียมการกันมาหลายปีแล้ว”


            “พวกเรา?”


            “เจ้าพี่ฮาเดส และเรา”


            “อดีตราชาที่มีข่าวลือว่าราชินีของพระองค์คือแม่มดหรือขอรับ”


            “ไม่ใช่ข่าวลือ เป็นเรื่องจริง และสองพระองค์มีบุตรี คนที่..ช่วยชีวิตเราไว้นั่นแหละ” ยามวรกายแข็งแรงขึ้น เขาเรียกไมชาดัสไปสอบถาม ถึงไม่ได้กล่าวมาตรงๆ เพราะติดคำสัญญา แต่ก็มั่นใจได้ว่าเด็กสาวที่ช่วยเขาไว้คือราชธิดาของราชันฮาเดส อโดนิสรับประกาศฉบับนั้นมาวางลงที่เดิม “สิ่งเดียวที่ขาดตอนนี้คือเหตุผลที่ใหญ่พอ ข้าต้องการเหตุผลที่จะทำให้ประกาศฉบับนี้เป็นจริง!


            วรองค์สูงหลับเนตรลง หากพระขนงยังขมวดเป็นปมราวกับไม่อาจปล่อยวางสิ่งใดได้ ครู่หนึ่งที่รู้สึกเหมือนความเย็นสบายไหลผ่านใบหน้า เมื่อลืมเนตรขึ้นก็พบภูตรับใช้กำลังร่ายเวทอยู่


            “เวทง่ายๆ ช่วยให้ผ่อนคลายขอรับ”


            ได้ยินเช่นนั้นจึงหลับเนตรลงอีกครั้ง


            อยากจบ.. เหนื่อยมากเหลือเกิน นับแต่องค์เชษฐาเรียกเข้าเฝ้าเพียงลำพังส่วนพระองค์ ดำรัสถาม..อยู่ได้ไหมถ้าไม่มีพระองค์ อยากบอกเหลือเกิน หม่อมฉันสูญเสียพี่สาวไปแล้ว จะให้เสียพระองค์อีกหรือ แต่ก็รู้ดีเกินกว่าจะรั้งไว้ได้ ปราสาทนี้ ตำแหน่งนี้ บัลลังก์นี้ ทุกสิ่งผูกมัดพระองค์ไว้กับความเจ็บปวด อยากจะช่วย อยากจะปลดเปลื้องภาระให้พระองค์มีความสุข แม้เพียงเล็กน้อยก็ตามที ถึงได้ยอมรับตำแหน่งราชัน แม้เคยบอกปัดให้พี่คนอื่น หากพระองค์เอ่ยกล่าว


            “ตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าเป็นสิ่งที่ไซซีเลือกให้ เจ้าจะทิ้งสิ่งที่นางหยิบยื่นหรือไง”


            แล้วจะเลือกทางใดเล่านอกจากต้องน้อมรับ


            “จำไว้ นางเลือกเจ้าไม่ใช่ใครอื่น สิ่งที่นางเคยบอก เคยตักเตือน จำไว้เป็นคำสอน ข้าเชื่อว่านางมองการณ์ไกลจนเห็นวันนี้ นางต้องการให้คนที่นางสอนมาเองได้ปกครองประชาชน เพื่อให้กษัตริย์ผู้นั้นดำเนินรอยทางตามแบบที่นางวาดไว้ ทำให้ดี อโดนิส พี่เชื่อว่าเจ้าทำได้ เหมือนที่ไซซีเชื่อมั่นมาโดยตลอด”


            ยามคิดถึงผู้เป็นพี่สะใภ้ สตรีอีกคนก็ผุดเข้ามาในห้วงคะนึง


            พยายามแล้ว พยายามไม่นึกถึง พยายามลบเลือน


            โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่ต้องทอดมองพระแท่นที่ว่างเปล่า คนที่เคยร่วมหลับนอนที่จะไม่มีอีกแล้ว


            “เด็กดี.. เป็นเด็กดีแล้วพระเจ้าจะประทานพรให้” ถ้อยคำมารดาที่ได้ยินตั้งแต่ยามหัดเดิน


            พยายามถึงที่สุดแล้ว.. เป็นเด็กดี..


            แต่..ทำไมเวลานี้หม่อมฉันถึงเหลือตัวคนเดียว?


            ตอนแรกก็เสด็จแม่.. แม้ไม่ได้ตายจาก หากก็เหมือนคนละโลก พี่หญิงแดฟเน่..ชิงชังพระองค์ที่ทำให้นางไม่ได้เป็นบุตรเพียงคนเดียว เจ้าพี่โครซัส..จากกันไกล จนบัดนี้ยังไม่เคยพบพักตร์อีกสักครา กับพี่หญิง..ยิ่งห่างไกลกว่า และเจ้าพี่ฮาเดส..ที่ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลังเหมือนไม่เหลือเยื่อใยให้กัน แล้วยังนางอีก.. ทุกคนก้าวออกไปทั้งที่พระองค์ยังอยู่ตรงนี้


            พระเจ้าจะพรากคนที่หม่อมฉันรักไปทั้งหมดเลยเหรอ หรือหม่อมฉันไม่มีค่าพอจะได้ความรักจากใคร


            มิไนท์.. ถ้าเจ้าตั้งใจมาเป็นสายสืบ งั้นตั้งแต่แรกเจอ..ทุกสิ่งก็ถูกจัดฉากหรือไร?


            ที่พลัดหลงจากขบวนองครักษ์ ที่เจอนางกลางป่าไพร


            อโดนิสยังคงหลับตาเมื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่พบกันเป็นครั้งแรกได้ ผ่านมานานหลายปี หาก..เหมือนเพิ่งเกิด จำได้แม้กระทั่งกลิ่นหญ้าคาและธารน้ำ กองฟางแห้งที่อยู่หลังบ้านข้างกองฟืนที่มีอยู่น้อยนิด บ้านที่นางว่าอยู่กับพี่ชายเพียงลำพัง หาก..พี่ชายเข้าป่า จากไปหลายวันไม่หวนกลับ นางจึงต้องทนอยู่เพียงลำพังและออกตามหาพี่ชายเรื่อยไปแม้ป่าจะเต็มไปด้วยอันตรายเพียงใดก็ตาม


                ใบหน้าหมองเศร้ายังคงตรึงตรา หยาดน้ำใสที่ไหลรินขณะที่คิดถึงพี่ชายก็รับรู้ได้ เพราะเข้าใจถึงความเจ็บปวดนั้น ทั้งหมด..จะบอกว่าเป็นแค่ละครหรือ อยากเห็นใบหน้างามแย้มยิ้ม อยากเช็ดน้ำตาและปลอบขวัญ หรือความคิดนี้กลายเป็นการก้าวสู่หลุมพรางซึ่งนางวางไว้ ขุดไว้อย่างดี.. กลบเกลี่ยจนไม่เห็นอันตรายเมื่อก้าวเดิน

    กว่าจะรู้..ก็พลาดลงไปทั้งตัว


            หึ.. ชายหนุ่มเยาะตัวเองในความคิด เขลานัก.. ถึงขนาดเมื่อองครักษ์ตามหาองค์เองพบก็ยังไม่ยอมกลับ สั่งตามหาพี่ชายของนางให้พบ จน..ได้ศพมนุษย์ชายตนหนึ่งที่ถูกสัตว์ป่าแทะมาหลายวันแล้ว นางพร่ำรำพันจนพระองค์ปริ่มๆ จะขาดใจเสียเอง บ้า..ถึงกับสัญญาในหทัย จะไม่ยอมให้นางเจ็บปวดอีกแล้ว ผลสุดท้ายเป็นเช่นไร


            ถ้าวันนั้น นางขอเศียรของพระองค์ อาจไม่ร้าวรานเท่านี้เลย


            ราชันประทับนั่งอยู่เพียงลำพังบนเก้าอี้พนักสูง ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อภูตรับใช้เดินออกไป ความมืดคืบคลาน ความหนาวเย็นยะเยือกปกคลุมไปทุกซอกมุมของห้อง ในยามเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ใบหน้าของนางอันเป็นที่รักก็ผุดขึ้นมาในพระทัยอีกครั้งและอีกครั้ง อโดนิสลูบพระเนตรของพระองค์เอง แล้วทิ้งพระหัตถ์ตกไปข้างพระเก้าอี้


            เจ้าพี่..ตอนพระองค์สูญเสียพระนาง พระองค์เจ็บปวดแบบหม่อมฉันหรือเปล่าคะ รับสั่งกับหม่อมฉันหน่อยเถิด พระองค์อยู่ต่อมาได้เช่นไรเมื่อขาดพระนางแล้ว..

     






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×