ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คาลิโดร่า..สาวงามแห่งเคลาคัส

    ลำดับตอนที่ #18 : เล่นตลก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 719
      0
      22 พ.ค. 52




     
    ป่าแห่งความตายอยู่เบื้องหน้าแล้ว แม้เป็นเวลาเช้าตรู่หากก็เสมือนมีม่านหมอกปกคลุมอยู่ภายใน ไม่สามารถมองเข้าไปได้ลึกเท่าใดนัก ราวเป็นลำธารสายหมอกให้เหล่าสิ่งมีชีวิตแหวกว่ายๆ นาธานเนลชักบังเหียนให้ม้าของตนเริ่มต้นย่างก้าวเข้าไปก่อน อาชาเลี้ยงส่งเสียงฟืดฟาดขึ้นจมูกอย่างไม่เห็นด้วยที่จะก้าวตาม


    “หึ สัตว์มันยังรู้ว่าสถานที่ใดไม่ควรเข้าไป” เสียงทุ้มเปรยอย่างเข้าใจ มือใหญ่ตบหลังคอมันเบาๆดุจจะปลอบโยน


    “เราคงต้องทิ้งม้าไว้ที่นี่” สไกซอนเอ่ยอย่างหมดหวัง เพราะม้าของตนก็ไม่ยอมก้าวเดินเข้าป่าเช่นกัน ซิลลาควบม้าหมายจะทดสอบบ้าง หากม้าของตนก็ไม่แตกต่าง ผ่านศึกมานักต่อนัก แต่กลับไม่ยอมย่างเข้าป่าไร้นามแห่งนี้ เขาไม่รู้ว่าป่านี้มีอะไรหนักหนาที่ม้าคู่ใจถึงไม่อยากให้เขาเข้าไป แต่รู้อย่างว่า สัตว์..สัญชาตญาณดีกว่าคนนัก


    “เดินก็เดิน” นาธานเนลยอมรับ แล้วลงจากหลังม้า รอทหารจัดรูปขบวน บางส่วนถูกทิ้งไว้ที่นี่เพื่อดูแลม้าและสัมภาระขนาดใหญ่ที่ติดตัวไปไม่ได้ จนเหลือไม่กี่สิบคนที่เข้าสู่ป่าไร้นาม


     
    อากาศเย็นยะเยือกจนเหมือนเมื่อคืนอย่างที่รู้สึกได้ ชายหนุ่มมองเพ่งตรงเข้าไป ในม่านหมอกที่กำลังจะจางเมื่อพวกเขาก้าวล่วงเข้ามาเหมือนมีบางอย่างแวบวับไปมา เสียงแหวกกิ่งไม้ใบหญ้าเป็นของขบวนเดินทาง แต่เสียงพูดคุยจางหาย ไม่มีใครกล้าเปิดปาก 


    เมื่อเดินตรงเข้าไปเรื่อยๆ แม้แต่พรานป่าเองก็ยอมรับว่าผู้ที่ย่างก้าวเข้าป่าไร้นามไม่มีใครเคยพบเจออีกเลย การเดินทางต้องคาดเดาเพียงอย่างเดียว ไร้ทางเดินสัตว์ป่า ทำได้เพียงดูทิศทางของแสงอาทิตย์และสังเกตจากต้นไม้ใบหญ้า เขาเองก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตรอดกลับไป ด้วยเงินที่เพียงพอเลี้ยงปากท้องครอบครัวได้ทั้งชาติ แค่นี้ก็เกินพอที่จะยอมเสี่ยง แต่ทหารอื่นที่ไม่คิดจะมาตายลอบกลืนน้ำลายกันถ้วนหน้า แม้รู้ว่ายากลำบาก แต่พวกเขาไม่มีใครคิดเอาชีวิตมาทิ้งในที่แบบนี้ สไกซอนตบหลังพรานป่า


    “อย่าพูดทำลายขวัญทหาร พวกนี้ผ่านสงครามมาเยอะ เอาตัวรอดได้แน่”


    “ระวังหน่อย” พรานป่าอีกคนทัก เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า “อาจจะมีลมพายุได้ในไม่ช้า..”


    นาธานเนลไม่ได้ฟังที่ผู้อื่นคุยโต้ตอบกันมากนัก เขาเดินอยู่กลางขบวน แต่ระยะห่างระหว่างกันและม่านหมอกถึงไม่เข้มจัดเท่าตอนเช้าแต่พอมีบ้างก็ทำให้รู้สึกไม่ต่างจากเดินคนเดียวเท่าไร เขาพยายามใช้หูฟังเสียงสรรพสิ่งรอบข้าง มิรู้ว่าเป็นอุปทานไปเองหรือไม่ที่นอกจากเสียงฝีเท้าของทหารเกือบยี่สิบนายแล้ว ยังได้ยินเสียงคิกคักของผู้หญิงแว่วมากับสายลมด้วย


    ชายหนุ่มหยุดฝีเท้ากึกทันทีที่รู้สึกเหมือนว่าสรรพเสียงรอบข้างหายไป ราวเขาอยู่คนเดียวท่ามกลางสายหมอก นาธานเนลยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็แน่ใจว่าต้องมีอะไรเล่นตลกเป็นแน่ เพราะไม่มีคนข้างหลังเดินขึ้นมาเลยสักคน พลันเสียงหัวเราะเบาๆ ราวเสียงกระซิบในหมู่มวลไม้ก้อนหินก็เหมือนจะชัดเจนมากขึ้น


    กลางหมอกขาวเห็นเป็นเงาอิสตรีขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ครันแล้วก็ปรากฏขึ้นมาอีกในตำแหน่งที่แตกต่าง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนรอบกายเขาเต็มไปด้วยอิสตรีที่ดูเหตุการณ์อย่างมีความสุข บ้างเห็นเงานอนเท้าคางอยู่บนก้อนหิน บ้างนั่งอยู่บนกิ่งไม้ และอีกหลายเงาที่เหมือนจะยืนอยู่รอบข้าง แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นเสมือนมายาภาพที่เมื่อพยายามมองก็ไม่เห็นสิ่งใด


    “นางไม้เล่นกลเช่นใดกันข้า โกรธาที่ถูกรุกล้ำดินแดน หรือพิโรธที่ข้าไม่อาจมองเห็นความงามของท่านได้” เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยราวเจรจากับอะไรบางอย่างที่ไม่มีตัวตน เสียงพูดที่เป็นจังหวะคล้ายเสียงสวดมนต์ในวิหารทำให้เหล่าไดรแอดรู้ว่าบุรุษผู้นี้ไม่ละเลยในการเคารพเทพเจ้า เหมือนเช่นที่เขาบวงสรวงพวกตน


    “ช่างเจรจาความนัก มนุษย์” เงาหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้างอย่างฉับพลันไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตาเรียวสีเขียวเรืองรอง ริมฝีปากอวบอิ่ม ลำคอยาวระหง เส้นผมยาวสยายแต่คล้ายกับส่วนปลายที่ยาวจรดปลายขาหายไปในอากาศ กระโปรงยาวคลุมเท้าไม่ติดพื้น ร่างอรชรหากโปร่งใสอย่างที่ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิต


    ปลายนิ้วเรียวแหลมยื่นมาตรงหน้า สัมผัสใบหน้าชายหนุ่มช้าๆก่อนจะประคองให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน


    “ข้ารู้นะ ข้าเห็นสิ่งที่เจ้าปรารถนาที่สุด” เสียงของนางทรงเสน่ห์ยั่วยวนเกินจะผลักไส คล้ายกับทุกบุรุษจะต้องตกอยู่ในเล่ห์กลมนตรา ดวงตามรกตสว่างดุจจะสะกดทุกสรรพสิ่งให้เงียบงัน “เจ้าปรารถนาสาวงาม”


    “ผิดแล้ว ไดรแอดผู้เลอโฉม สิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุดไม่ใช่สาวงาม..” นาธานเนลตอบกลับ หากสติราวถูกกระชากให้มึนงงจนแทบไม่สามารถระลึกได้ว่าควรทำอะไรต่อไป เสียงของชายหนุ่มขาดหาย เมื่อมือเรียวปล่อยใบหน้าของเขาเป็นอิสระ แล้วจางหายไปต่อหน้าต่อตา จากนั้นพลันรู้สึกถึงความหนาวเย็นยะเยียบที่ต้นคอ ปลายนิ้วเรียวขาวซีดแตะแผ่วที่ตรงนั้น อิสตรีอีกนางปรากฏจากด้านหลัง มือข้างหนึ่งแตะบ่า อีกข้างแตะต้นคอให้รู้สึกเย็นวาบ ริมฝีปากคล้ายอยู่ไม่ห่างใบหูชายหนุ่มนัก


    “น่าสนใจความคิดของเจ้านัก ไม่ว่าจะเป็นเช่นใด เจ้าก็ ‘รัก’ งั้นรึ ไม่ลองเลือกใหม่ล่ะ” ไดรแอดตนหนึ่งเอ่ยขึ้น แล้วจับใบหน้าเขาหันมองนาง “พวกเราให้อายุแก่เจ้าได้ เจ้าจะมีชีวิตยืนยาวว่ามนุษย์ตนใด เจ้าสามารถเรียนรู้ความลับของสรรพวิชาได้ตามปรารถนา และในป่าแห่งนี้เจ้าจะมีเสรีอย่างที่เคยต้องการ”


    ชายหนุ่มหลับตา ปล่อยให้สัมผัสเย็นวาบนั้นคงอยู่ แต่เมื่อใจเขาปฏิเสธการรับรู้ สัมผัสของอิสตรีก็ไม่เคยทำให้เขาปั่นป่วนได้


    “ตัวเลือกของท่านช่างเย้ายวนใจนัก เสียก็แต่..” นาธานเนลลืมตาขึ้น ดวงตาแกร่งที่ไม่มีสิ่งใดสั่นคลอนความตั้งใจได้ หลายปีที่ยึดติดอยู่กับสิ่งเดียวจนเหมือนคนโง่งม หากที่ทำไปทั้งหมดกลับไม่เคยรู้สึกว่ามันไร้ค่า “บัดนี้ ข้ามีพันธะแล้ว คงไม่อาจตอบรับความหวังดีของนางได้” 


    “งั้น..คำปรารถนาแด่เจ้า ผู้มีศรัทธาในเทพเจ้าคือสิ่งใด”


    เสียงของนางเหมือนจะค่อยๆ จางหาย แล้วเงารูปลักษณ์แบบอิสตรีก็หายไปเช่นกัน


     
    นาธานเนลรู้สึกว่ากลับมายืนอยู่ที่จุดเดิม หรืออันที่จริง เขายืนอยู่ที่เดิมอยู่แล้วก็ไม่แน่ใจนัก แต่อากาศกลับไม่เป็นดั่งเดิม ลมพายุเริ่มพัดกระหน่ำ ผู้คนรอบข้างต่างแยกย้ายหาที่กำบัง เสียงทหารมากมายตะโกนก้องเพื่อแข่งกับเสียงฟ้าคะนอง ฝนลงเม็ดเบาๆก่อนจะกลายเป็นกระหน่ำในเวลาไม่กี่นาที สายหมอกถูกฝนชะล้างให้เห็นสภาพชัดเจน แต่ได้ไม่นานนักเมื่อเม็ดฝนแรงขึ้นผสมไปกับลมพายุ


    “บ้าเอ๊ย!” สไกซอนกระโจนจับร่างของชายหนุ่มที่ยังมึนงงอยู่ในหมอบกับพื้น วินาทีต่อมาสายฟ้าฟาดเปรี้ยงในที่ไม่หายไกลนัก เสียงของมันเหมือนเสียงกลองที่ดังเพียงครั้งเดียวก็กระตุกหัวใจให้วายเอาได้ง่ายๆ “พายุกำลังจะมาทางนี้แล้ว อย่ายืนที่โล่ง”


    นาธานเนลรู้แล้วว่าตอนนี้ทหารทุกคนเริ่มสับสน เขาตั้งสติได้ แล้วมองขึ้นฟ้าลมพายุก่อนตัวแม้ไม่รุนแรงจนพัดพาต้นไม้ขนาดใหญ่ได้ แต่ก็แรงมากพอที่คนธรรมดาจะต้านไม่อยู่ เวลานี้ ได้เกาะต้นไม้สักต้นคงปลอดภัย แต่เสียงฟ้าผ่าเมื่อครู่ ถ้าเลือกต้นไม้ผิดก็คงดับเป็นตอตะโกได้ง่ายๆเช่นกัน


    “ท่านไปรวมกลุ่มทางโน้น” มือแกร่งของทหารที่จับอาวุธมาช้านานผลักอีกร่างให้ไปในทิศทางที่บอก ฝนเริ่มลงเม็ดหนักจนเกินกว่าสิบก้าวก็มองไม่เห็นสิ่งใดแล้ว


    ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนยังคงได้ยินเสียงหวานเคลือบน้ำผึ้งกระซิบอยู่ข้างหู เสียงแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนกว่าสายฝน


    “คนศรัทธาเอ๋ย ความปรารถนาของเจ้าคืออะไร”


    แล้วเสียงร้องก็เหมือนดังขึ้นจากทั่วสารทิศเมื่อพายุพัดเข้ามาในบริเวณที่ทหารกำลังกระจายตัวอยู่พอดี จากนั้นสติก็ดับวูบ


     
    .............................................


     
    อา.. เจ็บ ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาเมื่อได้สติ ขยับตัวเล็กน้อยแม้เพียงปลายนิ้วก็รู้สึกราวกับร่างกายเหมือนถูกแยกชิ้นส่วน ปวดไปทั้งตัวดุจถูกเข็มนับพันทิ่มแทงเข้ามา


    ดวงตากลมปรือขึ้นลง พยายามให้ร่างกายนิ่งที่สุดเพื่อไม่ต้องเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น รอบด้านยังคงเป็นป่าเขียวอย่างที่รู้สึกได้ แต่เสียงฝนเทกระหน่ำที่ได้ยินก่อนหน้าหายไป กลิ่นใบไม้พื้นดินที่เปียกชื้นผสมไปกับความเจ็บปวดให้รู้ว่านี่คือความจริง ไม่ใช่ฝัน


    คาลิโดร่าพยายามยันตัวขึ้นนั่ง แต่พยายามไม่ได้นานก็ต้องนอนนิ่งชั่วครู่เมื่อความเจ็บปวดแล่นไปทุกเส้นประสาทให้รู้สึกรวดร้าว เธอมองไปรอบๆเท่าที่จะพอขยับลำคอได้ ก็พบสายหนึ่งคู่หนึ่งจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว


    “ฟื้นแล้วหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นเป็นการทักทาย วูบหนึ่งเธอกลัวว่าแผนทุกอย่างพังหมด แต่เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วน ก็พบว่าเขาห่างจากเธอไปพอประมาณ ร่องรอยเคลื่อนไหวที่พื้นดินซึ่งหลังฝนตกทิ้งร่องรอยเป็นอย่างดีว่า เค้านอนไม่ห่างจากจุดที่เขานั่งพิงก้อนหินอยู่ตอนนี้ แสดงว่าเขาน่าจะฟื้นก่อนเธอไม่นาน และรวบรวมแรงที่มีเพียงพอแค่ลุกขึ้นมานั่งได้เท่านั้น


    หญิงสาวนิ่งเงียบ รู้ดีว่าแม้เธอจะปลอมตัวได้มากแค่ไหน แต่เสียงของเธอไม่มีวันเลียนแบบเสียงผู้ชายได้เหมือนสนิท และยิ่งตอนนี้ห่างเท่าไรได้ยิ่งดี สายฝนชำระคราบผงถ่านไปจากร่างกายของเธอแล้ว เหลือเพียงใบหน้าซึ่งยังคงมีแผลเป็นที่เธอบรรจงแต่งติดไว้อย่างดีทับด้วยผ้าพันหน้าอีกชั้น ใบหน้าใต้ผ้าพันแผลเธอตกแต่งเป็นรอยนูนทำให้รูปหน้าของเธอบวมขึ้น จนไม่เหลือเค้าความสวยงามเช่นคาลิโดร่าคนเก่า


    “เป็นใบ้หรือไง” นาธานเนลถามขึ้นอีกครั้ง พยายามให้เสียงที่ออกจากปอดทำร้ายตัวเองให้น้อยที่สุด แรงเหวี่ยงของลมพายุพัดพาพวกเขากระแทกจนเจ็บไปหมด โชคดีที่ไม่มีส่วนใดหัก ชายหนุ่มรออยู่อีกครู่หนึ่งก็ไม่ได้คำตอบ จึงสรุปเอาเองว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นเป็นใบ้ และที่เขาคิดว่าพวกนั้นมีแผนการอะไรสักอย่างก็ถูกแล้ว


    ให้คนใบ้มาร่วมรับฟังแผนการสำคัญ ย่อมไม่มีวันแพร่งพรายสิ่งใดออกไปได้แน่ ยิ่งถ้าเป็นคนไม่รู้จักตัวอักษรก็ยิ่งเชื่อใจได้มากขึ้นไปอีก แสดงว่าแผนการที่ปรึกษาคงจะสำคัญมากเลยทีเดียว ทว่าเขานึกออกแล้วว่าควรล้วงความลับออกมาได้อย่างไร นาธานเนลยิ้มขำในใจ


    ทำไมเขารู้สึกว่าแผนนั่นจะเกี่ยวกับเขาไม่แปดก็เก้าส่วนเลยทีเดียว


     
    คาลิโดร่าลองขยับตัวอีกหน คราวนี้พยายามให้แขนขาคลุกดินเปียกๆให้มากที่สุดเพื่ออำพรางผิวพรรณของตนเอง จากนั้นค่อยๆ ขยับคลานถอยหลังแล้วชันตัวเองลุกขึ้นนั่งกับต้นไม้ สายตาเธอจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นมิตร


    ถ่วงเวลา.. เธอคิดได้เพียงแค่นี้ ร่างกายนี้คงเคลื่อนไหวหนักๆอย่างวิ่งหนี วิ่งซ่อนแอบไม่ได้แน่ เหลือเพียงรอจนกว่าพวกที่พลัดหลงจะหาเธอเจอ แต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนพลัดหลงกันแน่ ฝ่ายองครักษ์หรือเธอ


    “คิดว่าตอนนี้เราอยู่ส่วนไหนของป่า” นาธานเนลเปรยขึ้นอย่างไม่หวังคำตอบ เมื่อสรุปเอาเองว่าอีกฝ่ายส่งเสียงไม่ได้ “ลึกกว่าเดิมแค่ไหนกันนะ”


    เสียงของเขาฟังดูสนุกกับเรื่องผจญภัยตรงหน้า และเธอก็คงรู้สึกเช่นนั้น ถ้าไม่ได้ติดแหง็กอยู่ที่นี่กับเขา!


    ทั้งสองนั่งพักอยู่ครู่หนึ่งเหมือนจะรอให้ความเจ็บปวดที่ถูกกระแทกจางหาย เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมานาธานเนลยืดขาก่อนเป็นคนแรก แล้วพลิกไปมาเหมือนตรวจสภาพร่างกายของตนเอง จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับยืนขึ้นแล้วบิดเอวเล็กน้อย เขาไม่เสี่ยงที่จะเคลื่อนไหวมากกว่านี้เพราะรู้ว่าทุกส่วนยังไม่สมบูรณ์เต็มที่


    คาลิโดร่ารู้ตัวว่าไม่มีเวลาแล้ว เมื่อเขาจัดการร่างกายของเขาเสร็จ เธอจะเป็นรายต่อไปที่เขาต้องเข้ามายุ่มย่าม หญิงสาวขยับแข้งขา ความเจ็บปวดบรรเทาลงไปมาก แม้จะยังไม่หมดเสียทีเดียว รอยช้ำที่ต้นขาหลายรอยทำให้คิ้วเรียวบางขมวดขึ้นอย่างไม่ชอบใจ ถึงเธอจะชอบเล่นผาดโผน ซ้อมดาบซ้อมธนูเพียงใด แต่ด้วยความเป็นผู้หญิง เธอก็เลี่ยงการมีร่องรอยให้มากที่สุด แล้วนี่ดูสิ รอยช้ำโผล่ขึ้นมานอกวังโดยไม่มียาทาชั้นดี ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะติดตัวเธอไปกี่วัน



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×