ที่เราพบกัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
การมีชีวิตอยู่ด้วยหัวใจที่ซื่อตรงมันไม่ใช่เรื่องน่าเศร้านะ อย่ามัวขังตัวเองกับความรู้สึกผิดหรือกลัวจนปฏิเสธสิ่งดีๆ ที่เข้ามา ลองท้าทายกับมันสิ เพราะเมื่อกล้าเผชิญหน้าแล้ว คุณก็จะวิ่งหนีมันไม่ได้อีก
ผู้เข้าชมรวม
183,823
ผู้เข้าชมเดือนนี้
293
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทนำ >>กลับมาแล้วค่ะ
“กลับมาอยู่บ้านเรานะลูก ต่อไปนี้ไม่ต้องไปไหนไกลแล้วนะ ที่ผ่านมาปู่คิดถึงจะแย่”
เสียงเนิบช้ากับสัมผัสอ่อนโยนส่งผ่านมากับมือหนักๆ ที่ลูบศีรษะไปมาขณะเขมจุฑาคุกเข่าประนมมือก้มกราบลงบนตักชายชรา ปองภพ ผู้เป็นเจ้าบ้านใหญ่ของครอบครัวติรพงศา
“ค่ะ” เพียงคำนั้นน้ำก็รื้นขอบตา เธอยกศีรษะขึ้นแล้วเขยิบเข้าโอบกอดเอวหนาของชายชราวัยแปดสิบห้า “หอมจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนปู่ ปู่จะได้ไม่เหงาไงคะ เดี๋ยวหอมจะเล่าเรื่องสนุกๆ ตอนอยู่ญี่ปุ่นให้ปู่ฟังทุกวันเลย”
ปองภพหัวเราะเบาๆ “ดีๆ ปู่อยากฟัง เห็นรูปที่น้ำหอมส่งมาให้ดูแล้วก็รู้สึกว่าบ้านเมืองเค้ามันน่าอยู่จริงๆ" ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาก้มลงหอมศีรษะรับขวัญหลานสาว
“ที่ไม่น่าดูมันก็มีนะคะ แต่หอมไม่เอาให้ดูหรอก”
“ดีแล้วล่ะ ถ้าย่ายังอยู่แล้วเกิดเห็นขึ้นมา ใครจะรับมือไหวล่ะ”
“แหม กลับมาวันแรกก็อ้อนปู่เชียวนะ แม่มะพร้าวน้ำหอม” เสียงหยอกเย้าดังมาจากเคาน์เตอร์เตรียมอาหารหน้าห้องครัว นวลพรรณ บุตรสาวคนโตของปองภพ หรือ ป้านวลของหลานๆ ยกจานผลไม้รวมใบใหญ่ออกจากตู้เย็นเดินมาวางบนโต๊ะอาหารบริเวณโถงหน้าที่มองออกไปเห็นสวนเขียวครึ้มด้านหลัง
“เอ้า มากินผลไม้ให้ชื่นใจก่อน อยู่ทางโน้นคงไม่ค่อยได้กินผลไม้ไทยล่ะสิ” ว่าพลางหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนกอดอกอมยิ้มอยู่ “เต้ก็มากินก่อน ออกไปรับน้องตั้งแต่เช้ามืด กินอะไรบ้างรึยังล่ะ”
“ได้กาแฟกับครัวซองต์ที่สนามบินไปแล้วครับ” เตวิชเดินไปที่โต๊ะอาหาร ดึงเก้าอี้ออกมานั่งลงหยิบส้อมจิ้มมะละกอสุกเข้าปากชิ้นหนึ่ง
“แล้วพ่อแม่เรารู้รึยังว่าน้องมาถึงแล้ว” นวลพรรณถามถึงต่อพงศ์ น้องชายคนรองของเธอ กับนงพงา น้องสะใภ้ ซึ่งเป็นพ่อแม่ของสามหนุ่ม โตมร ติณภัทร และเตวิช
“เดี๋ยวเอากระเป๋าน้องไปเก็บแล้วจะแวะไปบอกครับ”
“แล้วน้ำหอมจะไม่อยู่บ้านใหญ่นี่จริงๆ เหรอ ห้องเดิมของเราน่ะ เมื่อวานข้าวปุ้นเพิ่งเข้าไปทำความสะอาดให้อีกรอบ แค่ยกกระเป๋าเข้าไปก็นอนได้แล้ว” นวลพรรณเอ่ยปากด้วยสีหน้ากังวล “ป้าไม่อยากให้ไปอยู่ที่บ้านเล็กนั่นคนเดียวเลย”
“หอมอยู่ได้ค่ะ ป้าไม่ต้องเป็นห่วง”
“แต่ว่า …”
“เอาน่า” ปองภพยกมือขึ้นโบกเบาๆ เป็นเชิงปราม “น้ำหอมคงอยากอยู่กับพ่อแม่เค้าละน่า”
“ตอนบอกว่าน้องจะกลับมาอยู่บ้านเล็ก แม่ก็โวยวายเหมือนกันครับ จนพ่อต้องบอกว่า น้ำหอมอยู่ญี่ปุ่นคนเดียวมาสิบกว่าปีแล้วนะ แม่ถึงยอมเงียบ” เตวิชเล่าขำๆ ก่อนจะจิ้มสับปะรดเข้าปากอีกชิ้น
นวลพรรณถอนหายใจจำยอมอย่างเสียไม่ได้ “ตามใจ โตๆ กันแล้วนี่นะ ป้าก็แค่กลัวว่าอยู่คนเดียวจะเหงา แล้วเวลาเกิดอะไรขึ้นมามันจะแย่เอาน่ะสิ”
เขมจุฑารีบเดินเข้าไปสวมกอดแล้วหอมแก้มป้าฟอดใหญ่ “แหม ญี่ปุ่นอยู่ตั้งไกล หอมยังอยู่ได้ แล้วบ้านเล็กอยู่แค่นี้เอง ร้องกรี๊ดเดียวก็ได้ยินหมดสามบ้านแล้ว จะกลัวอะไรล่ะคะ"
นวลพรรณค้อนขวับ มือผลักศีรษะหลานสาวเบาๆ “จ้า แม่ตัวดี แม่คนเก่ง" แล้วหันไปทางหลานชาย “เต้ช่วยน้องเอากระเป๋าไปเก็บได้แล้ว จะได้รีบไปทำงาน สายมากแล้วนะ”
“ครับ” เตวิชจิ้มผลไม้เข้าปากอีกชิ้นแล้วรีบลุกขึ้นเดินนำน้องสาวออกไป
เขมจุฑาถอดรองเท้าบนชานบ้านแล้วเลื่อนประตูกระจกบานใหญ่ออกจนสุด ก่อนจะเลื่อนบานมุ้งลวดนิรภัยที่เตวิชบอกว่า ติณภัทรแนะนำให้ติดตั้งเพื่อความปลอดภัย แล้วยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ก้าวเข้าไปในห้องโถง ภายในห้องราวกับถูกหยุดเวลาไว้ ต่อให้หลับตาเดินเธอก็ยังรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน
อัพไรท์เปียโนสีดำริมผนังฝั่งซ้ายยังสะดุดตาตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา ด้านเดียวกันนั้นยังมีกีตาร์โปร่งสีมะฮอกกานีแขวนติดอยู่บนผนัง ใกล้ๆ กันยังมีที่แขวนว่างอยู่อีกหนึ่งอัน เธอเดินไปยังตู้ไม้โบราณมุมห้องที่จัดวางกรอบรูปไม้สีเข้มสองอันคู่กัน รูปแรกเป็นชายหนุ่มสวมหมวกแก๊ปหัวเราะร่าดวงตาเป็นประกาย อีกรูปเป็นหญิงสาวผมยาวยิ้มหวานเห็นรอยบุ๋มสองข้างแก้ม ด้านหน้ากรอบรูปคู่มีพวงมาลัยมะลิสดห้อยอุบะกุหลาบแดงสามชายวางบนจานแก้วส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งห้อง
ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน รอยยิ้มของทั้งสองคนยังคงสดใสไม่เปลี่ยน เขมจุฑาประนมมือก้มศีรษะไหว้ชิดพวงมาลัย ใบหน้าสัมผัสกลีบดอกมะลิบางเบาเย็นชื้นกรุ่นกลิ่นหอมพาชุ่มชื่นหัวใจ เธอสูดกลิ่นหอมเย็นนั้นเข้าไปเต็มปอดเสมือนได้รับอ้อมกอดอบอุ่นของผู้เป็นที่รัก
“พ่อคะ แม่คะ น้ำหอมกลับมาแล้วนะคะ”
“เห็นอิดออดไม่อยากให้มาอยู่ แต่ป้านวลเข้ามาทำความสะอาดบ้านเล็กทุกอาทิตย์เลยนะ พวงมาลัยก็เปลี่ยนบ่อยไม่เคยแห้งคาห้อง” เตวิชยกกระเป๋าเดินทางอีกสองใบเข้ามาในห้อง ทำจมูกฟุดฟิดแล้วว่า “กลิ่นมะลิอบอวลขนาดนี้ ท่าทางจะเพิ่งเปลี่ยนพวงมาลัยใหม่เมื่อเช้า”
เขมจุฑาหันมายิ้มให้พี่ชาย “พี่เต้รู้มั้ย เวลามัทสึริกะบานทีไร หอมคิดถึงบ้านทุกที ถึงมันจะเป็นมะลิเหมือนกันก็เถอะ แต่ยังไงก็รู้สึกว่ากลิ่นมันไม่หอมเหมือนมะลิบ้านเราเลยแฮะ”
“คิดถึงแล้วทำไมไม่กลับมาล่ะ” เขาลากกระเป๋าเข้าไปเรียงชิดโซฟาเบดทางฝั่งขวาของห้อง “ตอนแรกบอกจะไปแลกเปลี่ยนแค่ปีเดียว เล่นไปซะยาว” ท้ายคำทิ้งน้ำเสียงประชดประชัน
“แหม หอมก็กลับมาทุกปีนะ”
“ปีนึงกลับมาแค่อาทิตย์เดียวเนี่ยนะ”
“ก็ถ้าวาร์ปกลับมาได้ทุกวันก็คงทำแหละ”
เขมจุฑาเดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมเย็นๆ จากสวนพัดเข้ามาพร้อมกับเสียงนกกางเขนบ้านเจื้อยแจ้ว พอมองโซฟาสีเบจรูปตัวแอลที่สามารถยกส่วนที่ทบซ้อนกันออกมาเป็นเตียงใหญ่ได้ก็ผุดยิ้ม “นึกถึงตอนเด็กๆ ที่พวกเรามานอนกลิ้งดูหนังกันเนอะ”
“ตอนนั้นบ้านเล็กเธียเตอร์ของอาเขมนี่คือบันเทิงที่สุดแล้ว” เตวิชเดินมาทิ้งตัวลงยืดแขนขาบนโซฟา “ส่วนตอนนี้ก็ทางใครทางมัน พี่โตก็นอนดูการ์ตูนกับลูกไป ส่วนพี่ติณนี่ อาทิตย์ไหนเจอหน้ากันครบเจ็ดวันนี่ซื้อหวยได้เลย ข้าวปุ้นก็ทำทั้งงานหลักงานเสริม ไม่ค่อยว่างกันหรอก” เขายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแวบหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปยังกระเป๋าเดินทางที่วางเรียงกัน “แล้วสมบัติเรามีเท่านี้เหรอ จะมีส่งตามมาอีกรึเปล่า”
เธอส่ายหน้าแล้วว่า “หอมไม่มีอะไรเยอะหรอก เสร็จจากงานศพย่าก็กลับไปเคลียร์ทุกอย่าง อะไรที่ขายได้ก็ขาย บางส่วนก็ยกให้น้องๆ นักเรียนไทย ที่เหลือก็ฝากเพื่อนไว้บ้าง เพราะยังไงก็ต้องกลับไปสอบดุษฎีนิพนธ์อยู่แล้ว”
“จะเป็นดอกเตอร์แล้วสิเรา เฮ้อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นพี่ไปทำงานก่อนแล้วกัน" พี่ชายดีดตัวขึ้นจากโซฟาแล้วกางแขนพร้อมรอยยิ้มเชื้อเชิญ “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ไอ้ตัวเล็ก”
“แหม หอมโตแล้วนะ ไม่ได้ตัวเล็กเหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย” เธอหัวเราะคิกคักเข้าหาอ้อมกอดของพี่ชาย
“จะโตแค่ไหนก็ยังเป็นไอ้ตัวเล็กของพี่อยู่ดีละนะ แล้วนี่วันๆ กินแต่ผักรึไงน่ะเราถึงได้ผอมขนาดนี้ เดี๋ยวต้องบอกป้านวลกับข้าวปุ้นให้ขุนให้อ้วนหน่อยแล้ว”
“ถึงพี่เต้ไม่บอก ยังไงหอมก็จะสวาปามทุกอย่างที่ป้ากับพี่ปุ้นทำอยู่แล้วล่ะ คิดถึงอาหารไทยจะแย่แล้ว”
“งั้นสงสัยวันหยุดนี้ต้องจัดปาร์ตี้รับขวัญเจ้าหญิงกลับวังกันซักหน่อยแล้วมั้ง”
เขมจุฑาหัวเราะทั้งน้ำตารื้น “ไม่ต้องทุ่มทุนสร้างขนาดนั้นก็ได้”
เตวิชกระชับอ้อมแขนครั้งหนึ่งก่อนจะคลายแล้วดันตัวเธอออกเบาๆ “เอาละ ถ้ายังเหนื่อยก็นอนพักซักหน่อยนะ แล้วค่อยแวะไปหาพ่อกับแม่พี่ คงขลุกอยู่ที่บ้านพี่โตนั่นแหละ หอมจะได้ไปเล่นกับหลานด้วย ตอนเย็นเลิกงานแล้วพี่จะแวะซื้อกะเพราเป็ดเจ้าโปรดมาฝาก”
“ขอเผ็ดน้อยนะ ให้เวลาท้องไส้ปรับตัวนิดนึง”
พี่ชายหัวเราะพลางขยี้ศีรษะเธอเบาๆ “โอเค กะเพราเป็ดเผ็ดน้อยนะ” แล้วหันหลังเดินออกไป
เขมจุฑาอมยิ้มมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปก่อนจะกวาดสายตาไปรอบห้อง ในที่สุดเธอก็ได้กลับมานอนในบ้านเล็กหลังนี้อีกครั้ง แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่กลิ่นอายความทรงจำในอดีตยังไม่เลือนหาย เธอทิ้งร่างลงบนโซฟานอนเหยียดยาว เหลือบมองกระเป๋าเดินทางแวบหนึ่งแล้วคิดว่าขอนอนสักตื่นก่อนแล้วกัน มือหยิบหมอนอิงกอดแนบอกพลางสูดหายใจลึก กลิ่นมะลิหอมเย็นช่วยผ่อนคลายความอ่อนล้าจากการเดินทางไกลจนจิตใจสงบนิ่ง
“พ่อคะ แม่คะ น้ำหอมกลับมาอยู่บ้านเราแล้วนะคะ” เธอเปรยเบาๆ และปล่อยให้เปลือกตาที่ค่อยๆ หนักขึ้นปิดลงทั้งอย่างนั้น
ผลงานอื่นๆ ของ ถมกลิ่น ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ถมกลิ่น
ความคิดเห็น