เปย์ให้ได้รัก - เปย์ให้ได้รัก นิยาย เปย์ให้ได้รัก : Dek-D.com - Writer
NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด

    เปย์ให้ได้รัก

    โดย Asher2398

    ผู้เข้าชมรวม

    40

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    40

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ม.ค. 67 / 10:17 น.
    คำเตือนเนื้อหา NC

    มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ



    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

     

     

    อ๊ะ! ...

     

     

     

    อ๊าา ...

     

     

     

    อ๊ะะะ ...

     

     

     

    อื้มมม ...

     

     

     

    อืมมม ...

     

     

     

    เวรเอ๊ย!!

     

     

     

    บัดซบที่สุด!

     

     

     

    ....!!

     

    "พอก่อน.."

     

    "ทำไมครับ?"

     

    "..."

     

    "คุณลุกซ์คุณ-"

     

    "ไม่มีอารมณ์"

     

    "แต่ว่า.."

     

    "พุฒ!"

     

    เสียงถอดถอนการเชื่อมติดกันดังหยาบโลน ลุกซ์ขยับเรือนกายถอยห่างจากชายหนุ่มร่างกายสูงโปร่งที่ยังคงเกิดอารมณ์ค้างส่วนแข็งขึงกลางกายปวดตึงน่าสงสาร

     

    "คุณลุกซ์"ชายหนุ่มยืนทำหน้าเครียดขึงตรงปลายเตียงนอนภายในโรงแรมม่านรูดที่เจ้าตัวเพิ่งเข้ามาใช้บริการเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนมองคนที่มีใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ทั้งที่เมื่อสิบนาทีก่อนอีกฝ่ายยังทำหน้าสุขสมอยู่เลยตอนที่เขาปรนเปรอให้ ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น เขาพลาดรงไหน 

     

    "หุบปากแล้วไปไกลๆ ไป "ลุกซ์เอ่ยปากไล่ชายหนุ่มร่างกำยำที่ตนเพิ่งเสียเงินซื้อมาเพื่อหวังให้อีกฝ่ายปรนเปรอให้ทว่าความรู้สึกเขากลับดิ่งลงไร้ความสุขสมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

    "ทำไม? ผมทำให้คุณไม่พอใจอะไรหรือเปล่า คุณลุกซ์อยากได้แบบไหน บอกผม-"ชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกพลอยทำให้อีกคนที่คอยให้บริการรู้สึกไม่ดีและเริ่มไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองเมื่อได้รับสีหน้าเยียบเย็นแววตาไร้อารมณ์

     

    "ไม่มีอารมณ์ "เสียงห้วนสั้นตอบกลับมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์ พุฒจึงเลือกเงียบเก็บความอึดอัดส่วนกลางกายเดินเข้าห้องน้ำเพื่อใช้สายน้ำเย็นชโลมความร้อนรุ่มราวเปลวเพลิง

     

    ลุกซ์สวมชุดคลุมอาบน้ำลวกๆ เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำออกมาเปิดดื่มเพื่อดับโทสะที่กำลังตีรวนข้างใน ไม่ใช่พุฒบริการไม่ดีแต่วันนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าจนเครียดเกินไปทำให้ไม่มีความสุขกระนั้นจะให้เขาพูดอธิบายด้วยคำพูดดีๆ คงไม่ใช่คนชื่อลุกซ์

     

     

     

    "ลุกซ์ เราเลิกกันเถอะ"

     

     

     

    "พี่ลุกซ์ ผมจะไม่ทนคนอย่างพี่แล้ว...เลิกกันเถอะ"

     

     

     

    "พอกันทีกับคนแบบคุณ คนสันดานหยาบรักใครไม่เป็น เชิญอยู่คนเดียวไปเถอะ!"

     

     

     

    "เห็นแก่ตัว รักแต่ตัวเอง ใครมันจะไปทนรักได้วะ!"

     

     

     

    "ด้วยความหวังดีนะลุกซ์ ถ้าคุณยังมีหัวใจ อยากมีความรักแบบที่รักจริงๆ ไม่ใช่รักเพื่อผลประโยชน์ ผมแนะนำให้คุณอย่างหนึ่ง "แววตาชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยความขุ่นเคืองไร้ซึ่งเยื่อใยที่ดี

     

    "หัดถนอมน้ำใจคนอื่นบ้าง หัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องง่ายๆ คุณทำมันได้ เชื่อผมสิ"

     

    "ถ้าคุณทำเหมือนคนอื่นอยู่ใต้อาณัติแบบนี้ก็ไม่ต้องมีหรอกคนรักน่ะ! พอกันทีกับคนเย็นชาใจหยาบอย่างคุณ"

     

    "หึ! " ลุกซ์เหยียดปากคว่ำลงไม่แคร์กับบรรดาคนที่ตนเคยคบหาเท่าไร เขาตามใจไม่ยื้อไม่ตามไม่ง้อให้เสียเวลา

     

    ปล่อย...

     

    ในเมื่อทนไม่ได้ก็ต่างคนต่างเดิน

     

    แม้จะรู้สึกดีมีความสุขกับการมีใครสักคนอยู่ร่วมกันแต่พอถึงเวลาที่อีกฝ่ายไม่ต้องการหรือไม่พอใจอยากถอยห่าง ทุกคนต่างก็พากันโยนความผิดใส่เขา ทิ้งคำพูดร้ายๆ ใส่แล้วหันหลังเดินจากไป โดยไม่ย้อนดูตัวเองสักคนกระนั้นคนอย่างเขาไม่แคร์ เขารักตัวเองมากพอจะไม่เอาคำพูดเหล่านั้นเรื่องแย่ ๆ มาบั่นทอนให้ไม่มีความสุขหรอก

     

    คนอย่างลุกซ์ที่รวยและหล่อมีหรือจะแคร์คนพวกนั้น

     

    I don't care..

     

    เดี๋ยวก็มีคนใหม่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลามีรัก ลุกซ์จึงขอใช้เงินแลกใจไปพลาง ๆ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเปย์ด้วยเงิน! อย่างนี้สิถึงจะใช่คนอย่างเขา

     

    มือขาวก้านนิ้วเรียวยาวสวย ฝ่ามือนุ่มอย่างคนที่ไม่เคยทำงานหนักจับแก้วทรงสวยข้างในบรรจุน้ำสีอำพันโครงไปมาหันสายตาเอี้ยวมองด้านหลัง

     

    เสียงดนตรีบีทหนัก ๆ กระแทกเข้าหู ลุกซ์มองชายหญิงมากมายรอบกายโยกย้ายส่ายสะโพกไปมาตามจังหวะดนตรีสนุกสนาน ยิ่งดึกผู้คนที่มาแสวงหาความสุขความสนุกผ่อนคลายยิ่งหลั่งไหลเข้ามาจนตอนนี้แน่นขนัดไปด้วยเหล่านักท่องราตรี

     

    เขาโยกศีรษะเบาๆ ตามจังหวะเพลงพลางจิบเหล้าในแก้วที่พร่องไปเกินครึ่ง ก่อนจะเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอยไร้จุดโฟกัส

     

    นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตกับคนที่ตนเองเคยคบหา'ฉาบฉวย' หลายสิบคนที่เขาคบเป็นแฟนไม่เคยเกินสามเดือน เขาเป็นฝ่ายถูกบอกเลิกก่อนทุกครั้งทุกรายก็ไม่ได้เสียใจเสียความรู้สึกสักเท่าไร อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยให้ใจใครนอกจากเงินทองและสิ่งของที่เขามีให้เพื่อแลกกับความสุข

     

    พวกคนเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะรักเขามากมายจนชีวิตนี้ขาดกันไม่ได้ แม่งก็หวังเงินของเขาทั้งนั้น

     

    "หึ!" ยกยิ้มหยามเหยียดกับความรักที่ผ่านมาก่อนจะหันกลับมาสนใจแก้วเหล้าที่เพิ่งสั่งมาใหม่

     

    "เห้ย! เชี่ยรินมายังวะ"

     

    "ยัง แม่งสงสัยกำลังเอาเด็กไอ้ห่า"

     

    "ปล่อยแม่งเหอะ"

     

    "ก็คงปล่อยปะ หรือพวกมึงจะโทรตามมัน555"

     

    "ใครกล้าขัดมันวะแม่งโมโหขึ้นมากระทืบกูไส้แตก "

     

    "คนยิ่งอัดอั้นมานาน 5555"

     

    "เออ555"

     

    "เมาเชี่ยไรแต่หัววันวะ"ปรินทร์เดินเข้ามาหาเพื่อนที่โต๊ะที่นัดกันไว้ก่อนจะเห็นเพื่อน ๆ ในกลุ่มนั่งหัวเราะครื้นเครงสนุกสนานเสียงดังจนกลัวว่าคนที่อยู่ใกล้ ๆ จะลุกขึ้นมาทุบหัวพวกแม่งข้อหากวนตีนเสียงดังรบกวนคนอื่น

     

    "อ้าวมาแล้วเหรอมึง มัวเอาอยู่ไงวะช้าโคตร"

     

    "กินข้าวกับที่บ้าน"

     

    "ใช่เร้อออ?"

     

    "เออ! "

     

    ลุกซ์เหลือบสายตามองกลุ่มผู้ชายที่ส่งเสียงดังอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่ชายหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่ และกำลังถูกกลุ่มเพื่อนถามซักไซ้ สีหน้าคนถูกถามแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่ายเอือมระอาเพื่อน

     

    "เสือก!"จนสุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวจึงฝากฝ่ามือไปที่ศีรษะคนละทีสองที

     

    สีหน้าท่าทางเจ็บเกินจริงของเพื่อนของอีกฝ่ายทั้งกลุ่มตลกจนลุกซ์เผลอหัวเราะออกมากับท่าทางตลกพิลึกนั่น ก่อนจะนั่งมองคนกลุ่มนั้นด้วยความตลกขบขัน

     

    ความเฮฮาของพวกเขาทำให้ลุกซ์นึกถึงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แม้ตัวเองจะไม่ได้มีกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่แต่เวลาไปเที่ยวหรือรวมกลุ่มเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนทีไร บรรยากาศก็จะประมาณนี้

     

    สนุกสนานครื้นเครงไม่เกรงใจใคร

     

    "เฮ้ยพวกมึง! กูรู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองพวกเราว่ะ"สถาพร หรือ ไอ้โต ก้มหน้าทำตาหลุกหลิกหล๊อกแหล๊กไปมาป้องปากพูดเหมือนกลัวใครได้ยินแต่เสียงนั้นกลับตะโกนดังให้ได้ยินทั่ว

     

    "เออ กูก็รู้สึกเหมือนมึงโต"อัษฎา หรือ ไอ้สองกระซิบพูดเสริมความรู้สึกที่ตนเองรู้สึกแต่ไม่กล้าหันกลับไปมองเพราะความรู้สึกนั้นมันอยู่ด้านหลังตรงบาร์สำหรับนั่งดื่ม รู้ว่ากลุ่มพวกเขาเสียงดังแต่ด้วยความคะนองสนุกจึงปัดความเกรงใจทิ้งไปแล้วเลือกเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่สนใคร

     

    ก็มาเที่ยวในสถานที่แบบนี้อ่ะนะ จะมานั่งดื่มเงียบ ๆ เหมือนรับประทานอาหารอยู่บนภัตคารหรูก็ไม่ใช่ปะวะ

     

    "หึ ก็แม่งแหกปากพูดกันเสียงดังขนาดนี้ไม่แปลกมั้ยไอ้โต ไอ้สอง ดีแล้วเขาไม่เอาแก้วเหล้าเขวี้ยงใส่หัวมึง"ปรินทร์ส่ายหน้าให้เพื่อนก่อนจะพูดต่อว่า

     

    ปรินทร์มองข้ามไหล่ไอ้โตไอ้สองไปมองคนที่กำลังมองกลุ่มของตนเอง ก่อนจะก้มหัวลงน้อยๆ เป็นการขอโทษหากทำให้รำคาญ ทว่าอีกฝ่ายกลับยกยิ้มพยักหน้าให้พร้อมชูแก้วเหล้าขึ้นดื่ม แล้วมองมาที่เขาแปลกๆ

     

    ไม่รู้ปรินทร์คิดไปเองหรือเปล่า

     

    ภาพสายตาเหมือนเชิญชวนนั้นหมายความว่าไง?

     

    แต่ก็ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เมื่อเพื่อนเร่งเร้าให้เขายกแก้วดื่มเครื่องดื่มสีเข้ม

     

    ใบหน้าคร้ามคมดูรับกับผิวเข้มตามแบบฉบับชายไทย ลุกซ์จ้องมองชายหนุ่มอย่างตั้งใจ ริมฝีปากหยักหนาได้รูป ยิ่งพอได้สบกับดวงตาคมใต้เรียวคิ้วเข้มหนาที่โก่งรับกับจมูกโด่งเป็นสันก็ทำให้คนมองนิ่งดั่งต้องมนต์สะกด

     

    ถูกใจจนไม่อยากหันมองใครอีก

     

    ปรินทร์มองข้ามไหล่เพื่อน ยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสายตามองสบมายังตนเอง

     

    มือหนายกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันจรดริมฝีปาก ขยิบตาส่งให้อีกฝ่ายอย่างมีชั้นเชิง

     

    "หึหึ.."ลุกซ์หัวเราะถูกใจเมื่อความรู้สึกว่าคืนนี้ตนเองจะไม่ต้องนอนเหงาเดียวดาย

     

    ขาเรียวยาวก้าวเข้ามาช้าๆ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่ม

     

    ลุกซ์ยืนนิ่ง ไม่พูดอะไร..

     

    ส่วนเขาเอี้ยวตัวหันมองนิ่ง..รออีกฝ่ายพูดอะไรสักอย่าง

     

    เราสบตากัน...

     

    "สวัสดีครับ "ลุกซ์ขยับเข้ามาใกล้ โน้มตัวลงกระซิบทักทายเสียงพร่า

     

    ปรินทร์ช้อนสายตาขึ้นมอง มุมปากยกยิ้มอย่างมีชั้นเชิง เขามองเข้าไปในนัยน์ตาหวานล้ำ กวาดสายตามองเครื่องหน้าไร้ที่ติ รูปหน้า คิ้ว ตา ปาก จมูก คาง รับกันลงตัว อีกฝ่ายหล่อเหลามีเสน่ห์ แม้จะดูอายุมากกว่าตนเองทว่าปรินทร์ชอบคนตรงหน้ายอมรับกันตรงๆ

     

    ริมฝีปากสวยได้รูปขยับเข้าใกล้เรียวปากเขา มันใกล้จนชิดติดกันจนได้กลิ่นลมหายใจอีกฝ่าย

     

    "เฮ้ยๆๆ!!"เสียงตะโกนของบรรดาเพื่อนชายหนุ่มดังลั่น เมื่อเห็นเพื่อนตนเองกับชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคนกำลังใช้ปากแนบชิดกัน

     

    "ไอ้เหี้ยรินมึง! "

     

    "สุดแม่งเพื่อนกู ฮิ้ว~"เสียงโห่แซวดังลั่น ทว่าชายหนุ่มสองคนที่กำลังจ้องสบตากันกลับไม่มีใครสนใจ

     

    ปรินทร์นั่งนิ่งให้อีกคนทำตามใจโดยไม่ห้ามและขัดขืน เรียวลิ้นเล็กไล้เลียริมฝีปากเขา อีกฝ่ายขยับปากอิ่มละเลียดชิมราวกับกินไอศกรีม ฟันซี่คมกัดลงบนริมฝีปากของเขาไม่แรงเหมือนเย้าหยอกเล่น

     

    เขาหลับตาสูดลมหายใจระงับพายุอารมณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นนิดๆ

     

    เพียงแค่สัมผัสผะแผ่วจากอีกฝ่าย หัวใจของเขาระรัวเร็วจนเหนื่อยหอบ

     

    ตื่นเต้นไปกับสัมผัสหวามไหวนั้นแถมมีสายตาหลายสิบคู่เป็นพยานห้อมล้อมรอบกาย

     

    "ผมชื่อลุกซ์ครับ"

     

    "ผมรินครับ"

     

     

     

    •••

     

     

     

     

     

    "พี่โอนเงินให้แล้วนะ"ลุกซ์บอกขณะที่กำลังจัดเสื้อผ้าและทรงผมให้พร้อมสำหรับทำงาน ถึงจะอยู่ในออฟฟิศไม่ได้พบใครเป็นพิเศษทว่าคนอย่างลุกซ์ต้องรักษาภาพลักษณ์ตัวเองอย่างดี

     

    "...."

     

    "อยากได้อะไรเพิ่มก็บอกแล้วกัน"เมื่อดูความเรียบร้อยจนแน่ใจว่าตนเองดูดีแล้วจึงหันกลับไปมองชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ร่วมห้องด้วยกัน

     

    ทว่า

     

    "หึ"

     

    ตาคมที่มองมานั้นว่างเปล่าไม่ยินดีกับคนที่เสนอความสุขสบาย ปรินทร์กับทำเพียงส่งเสียงผ่านลำคอออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน ทว่ายังรักษาน้ำใจคนเป็นพี่กล่าวขอบคุณตามมารยาม

     

    "ขอบคุณครับ "ลุกซ์และปรินทร์ตกลงคบกันหลังหนึ่งเดือนที่ทั้งคู่ทำความรู้จักกันคงมากพอสำหรับคนทั้งคู่ โดยฝ่ายลุกซ์เสนอดูแลเลี้ยงดูชายหนุ่มระหว่างที่คบหากันด้วยความเต็มใจ เนื่องจากอีกฝ่ายยังเป็นเพียงนักศึกษาปีสี่ จึงไม่มีรายได้จากทางไหนรอเงินเดือนจากพ่อแม่ที่โอนให้ใช้รายเดือน ซึ่งปรินทร์ไม่เคยเรียกร้องขออะไรจากลุกซ์สักครั้ง ทว่าคนอายุมากกว่ามีกจะเสนอซื้อนั่นนี่ให้จนคนอายุน้อยกว่าคร้านจะปฏิเสธน้ำใจอีกฝ่าย

     

    "เย็นนี้ผมมีทำงานกลุ่มกับเพื่อนอาจต้องนอนค้างหรือกลับดึก"ปรินทร์บอกอีกคนที่ตนเองตัดสินใจมาอยู่ด้วย ถึงแม้จะไปๆ มาๆ กับบ้านและคอนโดของลุกซ์ทว่าเพราะความเคยชินกับการต้องบอกไปไหนทำอะไร จะกลับบ้านกี่โมงจากที่บ้านทำให้ปรินทร์เผลอบอกออกไป คนที่รอจะได้ไม่ห่วง

     

    "โอเค"ลุกซ์พยักหน้ารับทราบก่อนจะหยิบกุญแจรถยนต์และกระเป๋าเอกสารที่ต้องหิ้วกลับมาทำต่อที่ห้องพร้อมออกไปทำงานตนเอง

     

    เราคบกันก็จริง แต่ลุกซ์ไม่ได้ยึดติดกับอีกฝ่ายมากนัก ไม่ได้ต้องการให้อีกคนมาอยู่ด้วยทุกวัน จะไปไหนอยู่กับที่บ้านหรืออยู่กับเพื่อนเขาไม่เคยว่าหรือโทรตาม ลุกซ์ให้อิสระแฟนเด็กได้เต็มที่ทุกอย่าง เพียงแต่อย่าคิดมีใครอีกคนเพิ่ม หากจับได้ว่าคบซ้อน หรือสร้างโลกของตัวเองอีกใบ เขาก็พร้อมตัดความสัมพันธ์ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน!

     

    "พี่ไปทำงานก่อน"

     

    "ผมไปส่ง "

     

    "ไม่ต้องพี่ขับรถเองได้"

     

    "ตามใจ"

     

    จุ๊บ!

     

    "อื้ออออ "แทนที่ลุกซ์จะได้ออกไปจากคอนโดทันทีทว่ากลับถูกปรินทร์คว้าหมับที่เอวกอดรัดเอาไว้ก่อนจะประกบปากจูบด้วยความมันเขี้ยวในความวางมาดราวกับเขานั้นเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาทำตัวสูงส่งทั้งที่ก็แค่ผู้ชายธรรมดา ที่มีใบหน้าหล่อเหลา มีผิวขาว บุคลิคดี ก็เท่านั้น

     

    "ปรินทร์! ปล่อย! เสื้อผ้ายับหมดแล้ว"

     

    "ผ่อนคลายลงหน่อยก็ดีนะ"ปรินทร์บอกด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าก็ดูจริงจังในน้ำเสียงนั้น

     

    "ถ้าคิดจะคบกัน ผมอยากให้พี่มีความสุขนะไม่ใช่มาก่อกำแพงใส่กันแบบนี้"

     

    "...."

     

    "จะมีความสุขแค่เซ็กส์อย่างเดียวพี่ไม่หาซื้อกินล่ะ เด็กขายบริการน่าจะเอาใจพี่มากกว่าผมด้วยซ้ำ"ปรินทร์ประชดอีกฝ่ายไปทั้งที่จริงแล้วตนเองก็ไม่ต่างจากเด็กเลี้ยงของลุกซ์สักนิด เนื่องจากอีกฝ่ายให้เงินเดือนเขาเดือนละสามหมื่นแลกกับความสุขที่ต้องมอบให้ ซึ่งเขาไม่ได้อยากได้สักนิดเดียว เขาไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน เขามีรายได้จากการลงทุนมากพออยู่แล้ว แต่ลุกซ์เข้าใจว่าเขายังขอเงินพ่อแม่ ยังเรียนไม่จบจึงอยากช่วยซึ่งเขาก็ขี้เกียจอธิบายจึงยอมรับข้อเสนอนั้นให้จบไป

     

    "พี่ชอบนายไงถึงเลือกนาย"ลุกซ์ไล้ปลายนิ้วกับแก้มเนียนใสของคนเด็กกว่า แต่ไม่ได้พูดออกมาว่าอีกฝ่ายก็ถูกเขาซื้อด้วยเงิน

     

    "ชอบผมก็ควรลดการ์ดลงบ้าง ผมอึดอัดไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ พี่ไม่ต้องเอาคนเก่าๆ ของพี่มาเปรียบเทียบกับผม ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองดีหรอกนะ แต่ไม่เคยทำอะไรไม่ดีลับหลังพี่แน่ๆ"ปรินทร์งับปลายนิ้วเรียวของลุกซ์เล่น เขาไม่ชอบที่อีกฝ่ายก่อกำแพงปิดกั้นแบบนี้

     

    "หึ"

     

    "ถ้ายังอยู่กันแบบนี้ผมคงต้องถอย"สายตาคมมองจ้องข่มขู่ออกไป ปรินทร์พูดอย่างที่คิดเอาไว้ ในเมื่อพี่ลุกซ์ก่อกำแพงสูงขึ้นเรื่อยๆจนเขาเหนื่อยที่จะเอื้อมคว้า คำพูดและการวางตัวของพี่ลุกซ์บางทีก็ทำให้เขาหงุดหงิดแทบจะบีบคออีกฝ่ายให้เลิกสักทีเถอะกับพฤติกรรมเมินเฉยเหมือนจะไม่แคร์กัน

     

    ทำเป็นปากเก่งไม่แคร์ใคร นึกว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่น ทว่าในยามเผลอพี่ลุกซ์ก็มักจะเผยความอ่อนแอออกมาให้ได้เห็น แม้จะเพียงแค่เสี้ยววินาทีแต่ปรินทร์นั้นดูออกว่าอีกฝ่ายนั้นเปราะบางแค่ไหน

     

    "..."

     

    "ไปทำงานเถอะครับเดี๋ยวสาย"เมื่อคนอายุมากกว่าอย่างลุกซ์หลุบตาลงเพื่อหลบเลี่ยง คนอายุน้อยกว่าอย่างเขาก็คร้านจะพูดอะไรให้ดีขึ้น หลายครั้งที่ต้องคุยกันเรื่องนี้แล้วก็จบที่ความเงียบดื้อของพี่ลุกซ์

     

    เอาแต่ใจจนคนเด็กกว่าอยากฟาดก้นแรงๆ สักที

     

    "อืม "

     

    ปรินทร์พรูลมหายใจออกช้าๆ เมื่อลุกซ์ปิดประตูห้องลง หงุดหงิดกับท่าทางเย็นชาของอีกฝ่าย รำคาญกับความหวาดระแวงทั้งที่ปากบอกว่าไม่สนใจ อยากทำอะไรไปไหนก็ได้ ทว่าแววตาที่มองกันก็รู้แล้วว่าคนอายุมากกว่าระแวงไม่เชื่อใจกัน

     

    คนแก่ปากแข็งเอ้ย!

     

    เมื่อเจ้าของคอนโดออกไปแล้วปรินทร์จึงลุกขึ้นจัดการตัวเองเพื่อออกไปมหา'ลัยก่อนเวลาเนื่องจากอยู่ไปก็ไม่รู้จะทำอะไร สู้เขาออกไปหาข้าวทานก่อนเวลานัดเพื่อนดีกว่า ช่วงบ่ายเขามีเรียนหลังจากนั้นจึงนัดกันทำงานกลุ่มส่งอาจารย์ ปีสุดท้ายไม่ค่อยมีเรียนแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานส่งเสียส่วนใหญ่ ฝึกงานเสร็จไปแล้วตั้งแต่เทอมแรกเขาจึงไม่กังวลอะไรมากนัก

     

    "มาเร็วจังวะ?"เพื่อนในกลุ่มเดินมาวางกระเป๋าแล้วจึงเดินไปสั่งเครื่องดื่มก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ว่างข้างปรินทร์

     

    "ไม่มีอะไรทำ ออกมาหาอะไรกินก่อนเข้าเรียนดีกว่า" ชายหนุ่มตอบปลายนิ้วไถหน้าจอสมาร์ทโฟนไปพลาง

     

    "อืม "เพื่อนตอบเท่านั้นก่อนจะนั่งเงียบเพราะปกติก็พูดน้อยอยู่แล้วจึงไม่มีอะไรจะถามหรือคุย ซึ่งก็เป็นปกติของเพื่อนคนนี้

     

    อย่าลืมทานข้าวนะครับ

     

    ปรินทร์ส่งข้อความหาอีกคนที่กำลังน่าจะทำงานอยู่ ซึ่งอีกฝ่ายอ่านทันทีที่เขากดส่งไป ก่อนจะตอบกลับมาสั้นๆ

     

    อืม

     

    ได้รับคำตอบห้วนสั้นจนปรินทร์รู้สึกไม่พอใจ ทว่าเขาก็ไม่ได้พิมพ์อะไรกลับไปเพิ่มเพื่อรบกวนเวลาทำงานของอีกฝ่าย เขาจึงกดออกจากหน้าแชทนั้นเพื่อหาอย่างอื่นทำต่อ

     

    ทางด้านลุกซ์ทันทีที่มาถึงออฟฟิศ เขามีงานที่ต้องทำทันทีหลังจากเลขารายงานว่ามีออเดอร์เข้ามาเพิ่มเป็นจำนวนมากจากการร่วมออกแบบของเขาและทีมงานที่ร่วมกันคิดผลงานนั้น

     

    ลุกซ์เปิดบริษัทออกแบบสิ่งทอเสื้อผ้า รวมทั้งการออกแบบเนื้อผ้า หรือลายผ้าสวยงามเหมาะกับแฟชั่นแต่ละยุคสมัยให้แก่บุคคล และวิธีการตัดเย็บหรือผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปในทางอุตสาหกรรม และมีการพัฒนาเพื่อให้มีการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศได้ ถึงแม้ราคาจะสูงกว่าบางประเทศทว่าเขามั่นใจว่าคุณภาพนั้นดีกว่าหากเทียบในหลายๆ ปัจจัย

     

    "ช่วงบ่ายเดี๋ยวผมจะเข้าโรงงานเองนะครับคุณปลา" ลุกซ์แจ้งกับเลขาตนเองทันทีหลังจากที่อีกฝ่ายเข้ามาเสิร์ฟมื้อเที่ยงพร้อมกาแฟหอมกรุ่น แทบจะทิ้งงานตรงหน้าเพื่อรับมื้อเช้ารวบมื้อเที่ยงเป็นมื้อเดียวกัน

     

    นิสัยเสียของเขาเมื่อได้ทำงานแล้วจะไม่ยอมวางงานลงเพื่อหาอะไรทาน ทั้งที่หิวจะแย่แต่ก็อยากให้งานเสร็จก่อนแล้วค่อยทำอย่างอื่น จนบางครั้งก็มักจะปวดท้องเป็นประจำ ทำให้เลขาคอยจัดการเป็นธุระให้โดยที่เขาไม่ต้องร้องขอ

     

    "ค่ะบอส"

     

    จบมื้ออาหารเที่ยงลุกซ์ขับรถเข้าโรงงานในจังหวัดปริมณฑล ใช้เวลา2ชั่วโมงกว่าจะถึงโรงงานของตน เข้าไปดูการผลิตและสุ่มตรวจคุณภาพเสื้อผ้า ได้รับรอยยิ้มพึงพอใจกับคุณภาพเสื้อผ้าที่ตัดเย็บออกมา ทักทายพูดคุยกับฝ่ายต่างๆ จนถึงเวลาเลิกงานลุกซ์จึงขับรถกลับออฟฟิศอีกครั้งเพื่อเข้าไปเคลียร์งานที่ยังค้างคา

     

    Rrr..

     

    ปรินทร์..

     

    "ครับ"

     

    "พี่ลุกซ์ถึงคอนโดยังครับ"

     

    "พี่ยังทำงานอยู่ "

     

    "ดึกแล้วนะครับทำไมไม่กลับไปพัก"

     

    "งานยังไม่เสร็จ รินมีอะไรหรือเปล่า? คืนนี้นอนกับเพื่อนใช่ไหม?"

     

    "งานเสร็จแล้ว เดี๋ยวผมไปหา ส่งโลเคชั่นมาเร็ว หิวไหมเดี๋ยวซื้ออะไรเข้าไปกิน"

     

    "ลำบากเปล่าๆ พี่ทำงานเสร็จเดี๋ยวกลับไปเจอกันที่ห้อง"

     

    "อย่าดื้อสิ "

     

    "หึหึ.."

     

    หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงครึ่งปรินทร์ก็มาพร้อมถุงอาหารเต็มสองมือ คนอายุมากกว่าเห็นอีกฝ่ายหิ้วของกินมามากมายจึงวางมือจากงานเพื่อสนใจชายหนุ่ม

     

    "ไปอดมาจากไหนซื้อมาเยอะแยะเชียว.. วางตรงโต๊ะนั่นแหละ"เอ่ยแซวชายหนุ่มตัวโตที่กำลังมองหาที่วางถุงอาหาร ก่อนจะชี้นิ้วให้อีกฝ่ายวางถุงอาหารตรงนั้น

     

    "ซื้อให้พี่นั้นแหละ ให้เดาพี่ก็คงไม่ได้กินอะไรเลยใช่ปะ"

     

    "อืมยังไม่หิวเลย"

     

    "ไม่หิวแต่ก็ต้องกินนะคะคุณลุกซ์ ไม่เคยได้ยินเหรอกองทัพต้องเดินด้วยท้อง หื้ม"ปรินทร์เดินเข้าไปหาคนอายุมากกว่าก่อนจะโน้มตัวลงไปหอมแก้มเนียนใสของอีกฝ่าย

     

    พี่ลุกซ์อายุสามสิบห้าปีแก่กว่าเขาตั้งเป็นรอบทว่าอีกฝ่ายดูหน้าเด็กจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โตขนาดนี้

     

    "หึหึ.. อ้อนเอาอะไรหื้ม?"ลุกซ์แย้มยิ้มพอใจกับการกระทำเอาใจใส่ของเจ้าเด็กตัวโต

     

    การมีใครมาเอาใจ ดูแล ห่วงใย ได้เป็นผู้รับอย่างนี้ มันรู้สึกดีไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    "ไม่อยากได้อะไรเลยครับ เห็นพี่ทำงานหนักขนาดนี้กลัวจะป่วยเอา นอนน้อยมาหลายคืนแล้วนะคะคุณ "ปรินทร์ว่าพลางเปิดฝากล่องที่บรรจุอาหารวางบนโต๊ะเพื่อรออีกฝ่ายมารับประทาน

     

    "ขอบคุณครับน้องริน"ลุกซ์ขยับร่างเหยียดยืดเพื่อไล่ความเมื่อยล้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปตามกลิ่นอาหารที่โชยกลิ่นอบอวลชวนให้ท้องร้องประท้วง

     

    "น้ำส้มครั้นเย็นๆ ครับ"ปรินทร์เปิดฝาขวดน้ำส้มสดเสียบหลอดเข้าไปพร้อมนำไปจ่อริมฝีปากอิ่มของคนทำงานหนัก

     

    รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานของน้ำส้มให้ความรู้สึกสดชื่นดี

     

    "ซื้อที่ไหนมาอร่อยมาก"ลุกซ์ถามขณะที่กำลังเคี้ยวข้าวผัดต้มยำกุ้ง ซดน้ำแกงจืดเต้าหู้หมูเด้งเคี้ยวไปอีกหลายคำจนแก้มป่อง

     

    "ค่อยๆ กินก็ได้ครับ.. "ปรินทร์ยิ้มระอากึ่งเอ็นดูให้กับคนที่บอกว่าไม่หิว

     

    "ผมซื้อแถวหอเพื่อนน่ะ "ตอบไปพลางส่งน้ำเปล่าให้อีกฝ่ายดื่มไปพลาง

     

    ปรินท์นั่งมองพี่ลุกซ์ทานอาหารที่เขาตั้งใจซื้อมาให้เพราะรู้ว่าพี่ลุกซ์คงยังไม่ได้ทานมื้อเย็น หนึ่งเดือนที่ได้พูดคุยทำความรู้จัก อีกฝ่ายมักจะทำงานเพลินจนเลยเวลาพักผ่อน บางวันกว่าจะตอบข้อความเขาก็เลยวันใหม่ไปแล้ว เรื่องอาหารการกินไม่เคยทานเป็นเวลาสักวัน บ่นว่าปวดท้องบ้าง ปวดหัว ปวดหลัง แต่ก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายจะใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเอง

     

    ปรินทร์ที่อยู่กับพ่อแม่ เขาจึงถูกแม่พูดเช้าเย็นย้ำเสมอว่าต่อให้เรียนหนักหรือทำงานหนักแค่ไหน แต่เราต้องดูแลตัวเองกินให้อิ่มนอนให้พอออกกำลังกายตามสมควรจะได้ไม่เจ็บป่วยง่าย พลอยให้เป็นภาระคนอื่นเขา ซึ่งเขาก็ติดนิสัยดูแลตัวเองแต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นเพราะตัวเขายังปาร์ตี้ดื่มเที่ยวกับเพื่อนตลอด พ่อแม่ไม่ได้ห้ามเรื่องดื่มเที่ยวกับเพื่อนแต่ขอแค่ให้บอกว่าไปไหนทำอะไรและดูแลตัวเองให้ดี

     

    "ไม่กินด้วยกันเหรอ?"ลุกซ์เงยหน้าขึ้นถามเมื่อเห็นคนเด็กกว่านั่งอมยิ้มมองตนเองทานอาหารและคอยหยิบนั่นตักนี่บริการเงียบๆ

     

    "หึหึ ไม่ค่ะ" เสียงหัวเราะเบาๆ แววตาเจือความเอื้อเอ็นดูมองมาให้คนที่ถูกมองทำตัวไม่ถูกเสียอย่างนั้น

     

    ลุกซ์หลุบตาลงมองกล่องข้าวผัดต้มยำกุ้งที่เหลือเพียงเศษข้าวติดนิดหน่อย จู่ๆ ใบหูและแก้มก็เห่อร้อนเมื่อมองซากอาหารที่ตนเองเผลอกินไปคนเดียวจนหมดเกลี้ยง เพิ่งรู้สึกตัวก็ตอนที่กินอิ่มแล้ว น่าอายชะมัด!

     

    "ขอบใจนะ "ลุกซ์พูดขอบคุณอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความเก้อเขิน

     

    "ยินดีค่ะ"ปรินทร์ไม่ได้พูดล้อเลียนหรือมองพี่ลุกซ์ให้รู้สึกอึดอัด ทำเพียงเก็บกล่องอาหารเปล่าใส่ถุงเตรียมนำไปทิ้งให้เท่านั้น หลังจากนั้นจึงชวนคนอายุมากกว่ากลับเพื่อไปพักผ่อนแล้วค่อยมาเริ่มทำงานต่ออีกครั้งในวันพรุ่งนี้

     

     

     

     

     

    •••

     

     

     

     

     

    "หึหึ.."ปรินทร์มองคนที่นอนหายใจหอบเหนื่อยบนเตียงนอนด้วยแววตาหลงใหลรักไคร่ ขยับตัวขึ้นไปนอนบนฟูกนอน สอดแขนเข้าไปโอบกอดร่างบอบบางกว่าตนเอง

     

    กดปากจูบขมับชื้นเหงื่อ พี่ลุกซ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง แววตาจ้องมองเขานิ่งไม่พูดอะไร จนเขาส่งยิ้มบางกลับไป

     

    "ผมว่าผมรักพี่แล้วล่ะ"ปรินทร์บอกกับคนอายุมากกว่าอย่างที่รู้สึก ทั้งๆ ที่ในตอนแรกตัวเขาไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับพี่ลุกซ์ แค่ความสนุกอยากลองเล่นกับอีกฝ่ายเท่านั้น แต่เมื่อได้มาพูดคุยทำความรู้จักก็เกิดความชอบ พี่ลุกซ์เป็นผู้ชายที่น่าสนใจดี อีกฝ่ายน่าค้นหาจนเขาอยากอยู่ต่อเพื่อให้ได้รู้จักมากกว่าเดิม ทว่าตอนนี้เขายิ่งได้รู้จักความรู้สึกยิ่งชัดเจน

     

    เขารักพี่ลุกซ์

     

    "......"

     

    ลุกซ์ยกยิ้มมุมปากส่งเสียง'หึ' ในลำคอ ไม่ได้พูดอะไร

     

    "ทำไม? ตลกหรอ?"เขาจับปลายคางมนแหงนเงยขึ้นสบ เกิดคำถามมากมายตามมา

     

    "เธอก็แค่หลงใหลมันเท่านั้นแหละริน"

     

    ลุกซ์ไม่ได้รู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่อถูกบอกรัก เขาคิดว่าเร็วเกินไป รู้จักกันแค่นี้มาบอกรักกัน ลุกซ์คิดว่าอีกฝ่ายแค่ลุ่มหลงในตัวเขาเท่านั้น

     

    ถึงจะลึกซึ้งกันไปไกล ทว่ามันแค่ร่างกาย ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนฉาบฉวยเกินจะเป็นความรัก

     

    ถึงเขาจะชอบและถูกใจในตัวปรินทร์แค่ไหน ทว่าในความรู้สึกของเขายังไม่ถึงขั้นรักอีกฝ่าย เขาเพียงชอบและเอ็นดูนิสัยที่น่ารักของปรินทร์ ปรินทร์เป็นเด็กที่อ่อนโยนใส่ใจเขาเกือบทุกเรื่อง จะนึกถึงเขาเสมอเมื่อเราอยู่ด้วยกัน คอยถามไถ่ห่วงใยเมื่อเราต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ตนเอง เขาจึงชอบและเอ็นดูอีกฝ่ายเป็นพิเศษ

     

    "เธอยังเด็กอาจยังแยกไม่ออกว่าอันไหนคือความรักอันไหนคือความไคร่" ลุกซ์พูดด้วยน้ำเสียงเนิบนิ่งไม่ได้ใส่อารมณ์หรือความรู้สึกลงไป

     

    "หึ!"คนเด็กกว่าแสดงสีหน้าไม่พอใจ ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เลือกเก็บความไม่พอใจไว้ข้างในเพื่อไม่อยากทะเลาะกับอีกคนที่ทำตัวเย็นชาไร้หัวใจ

     

    "ยังไงเราก็ยังคบกันเหมือนเดิม เธอก็ยังเป็นแฟนเด็กของพี่เหมือนเดิม จะคิดอะไรเยอะแยะหื้ม?"ลุกซ์กระตุกแขนชายหนุ่มลงมาเพื่อกกกอดปลอบโยน

     

    ในเมื่อเขาเลือกที่จะใช้เงินซื้อความสุข เขาจำเป็นต้องหวังความรักจากอีกฝ่ายไหม? คำตอบคือไม่จำเป็น.. ลุกซ์ขอแค่ให้เด็กที่ตัวเองเลือกซื่อสัตย์ต่อกันเท่านั้นพอ

     

    จะบอกว่าเขาระมัดระวังมากขึ้นก็คงใช่ เพราะเมื่อก่อนเขาอาจจะใช้หัวใจใช้ความรักได้สิ้นเปลืองจนมันยากที่จะไว้ใจหรือเชื่อใจใครง่ายๆ หลายต่อหลายคนก็เหมือนปรินทร์ พร่ำบอกรักกันง่ายดาย สุดท้ายพอจะไปจากกันก็โทษว่าเขาไม่ดี!

     

    "ผมรักพี่.. อนาคตไม่รู้หรอกว่าจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกดีกับพี่ อยากคบไปนานๆ "ลุกซ์บอกกับคนที่คอยระแวงตั้งกำแพงสูงไม่ยอมให้เข้าไปถึงตัวตนข้างใน อยากบอกให้รู้ว่าเขาจริงใจแต่พี่ลุกซ์จะยอมรับไหมนั่นสุดแล้วแต่อีกฝ่ายจะพิจารณา

     

    "ขอบคุณนะ"ลุกซ์ตอบรับความรู้สึกอีกฝ่ายเท่านั้นไม่ได้พูดอะไรออกไปเพื่อไม่หักหาญน้ำใจอีกฝ่ายเพิ่ม

     

    เขาคิดว่าเด็กหนุ่มคงหลงใหลแค่ร่างกายของเขา จึงคิดไปเองว่าเขาใช่สำหรับตนเองทุกอย่าง ซึ่งคนก่อนๆ ที่ผ่านมาก็เป็นเหมือนอย่างปรินทร์ รักเขาหรือรักเงินของเขาอันนั้นแยกไม่ออกเลย

     

    "ใหม่ๆ ก็หอมหวานแบบนี้แหละ อีกสักปะเดี๋ยวก็จืดจาง"ลุกซ์หลุบตามองผ้าปูที่นอนยับย่น พรึมพรำเสียงเบาราวกับพูดกับตัวเองเสียมากกว่า

     

    "คงจะใช่ล่ะมั้ง...เพราะผมก็ไม่เคยคบใครเป็นแฟน "ปรินทร์สวนกลับไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดพี่ลุกซ์

     

    "ไปอาบน้ำเถอะจะเช้าแล้ว"เมื่อเห็นพี่ลุกซ์นิ่งเงียบไม่รู้สึกยินดีกับคำพูดเขา เขาจึงบอกให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำล้างคราบเหนอะหนะ

     

    เขายังไม่อยากอารมณ์เสียกับเรื่องนี้ ทั้งที่เราควรจะพัฒนาความสัมพันธ์ กลับกลายเป็นถอยห่างและหวาดกลัว ไม่ใช่เขาแน่นอนแต่เป็นคนอายุมากกว่าที่ขี้ระแวงไปเอง

     

    ปรินทร์มองพี่ลุกซ์เดินเข้าห้องอาบน้ำไปเงียบๆ โดยไม่คิดจะเข้าไปช่วยประคองหรือสนใจ

     

    การพบกันระหว่างเราสองคนมันยากที่จะพัฒนาความสัมพันธ์เพราะเราสองคนเริ่มต้นด้วยเซ็กส์ ตั้งใจให้มันจบเพียงค่ำคืนนั้น ทว่ากลับไม่เป็นอย่างนั้น เราสองคนกลับมีครั้งที่สอง สาม สี่ เรื่อยมา จนอีกฝ่ายเสนอเงินเพื่อได้อีกฝ่ายมาครอบครองโดนชอบธรรม จนเกิดความรู้สึกที่ยากจะควบคุม

     

    สุดท้ายคืนนั้นปรินทร์และลุกซ์จึงต่างฝ่ายต่างนอนหันหลังให้กัน เพื่อเว้นระยะให้เวลาแต่ละฝ่ายได้คิดไตร่ตรองตัวเอง ทว่าเมื่อตื่นนอนทุกความรู้สึกที่มึนตึง ไม่พอใจ หรือแม้กระทั่งกำแพงหัวใจที่ปิดกั้นไว้ก็ค่อยๆ คลายออก เพื่อให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไป

     

    "หลงเสน่ห์พี่หรือคะ" ปรินทร์ยกยิ้มมุมปาก เอ่ยถามหยอกเย้าคนอายุมากกว่าด้วยอารมณ์ดี วางมือทาบทับกับผิวแก้มใส

     

    "อืม หลงมากเลยตอนนี้ "น้ำเสียงนุ่มเอ่ยตอบทันที พลางคว้ามือขึ้นมาจูบ แถมยังไม่ยอมปล่อย กุมกำซุกซบไว้ข้างแก้มแล้วหลับตาลงใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อน

     

    ลุกซ์ชะโงกหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ ใบหน้าคมคร้ามหล่อเหลานั้นอย่างพิจารณา เป็นครั้งแรกที่ตนเองได้มองใบหน้าปรินทร์แบบใกล้ชิด สังเกตุผิวแก้มของอีกฝ่ายแบบที่ไม่มีสายตาคมจ้องมองกลับมา

     

    เจ้าเด็กคนนี้เป็นผู้ชายที่ดูดีมีเสน่ห์ ลุกซ์เชื่อว่าหากปรินทร์เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มวัย ชายหนุ่มจะเป็นผู้ชายที่สาวๆ หรือหนุ่มๆ แบบเขาพร้อมมอบกายถวายตัวให้ บุคลิคที่นุ่มนวลอบอุ่นดูแลใส่ใจคำพูดคะขาของอีกฝ่าย หาดใครได้ฟังคงละลายซบอกแกร่งไม่ยาก

     

    ใบหน้าปรินทร์เนียนใสมีไรหนวดขึ้นมาจางๆ จมูกโด่งคมโดยไม่ต้องแต่งเติม คิ้วเข้มได้รูป ริมฝีปากหยักสีชมพูระเรื่อ ไหล่กว้างที่ลุกซ์เคยซบมาแล้ว แขนแกร่งที่เคยโอบกอดเขาเอาไว้นั้นมันช่างดูแข็งแรงและอบอุ่น รวมทั้งกล้ามหน้าอกแน่นหนั่น

     

    สายตาลุกซ์ไล่ต่ำลงมาจนมาหยุดอยู่ตรงกล้ามหน้าท้องแข็งได้รูป รูปร่างของปรินทร์เหมือนคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแข็งแรงและแข็งแกร่งจนเขาเผลอวางมือสัมผัส

     

    "อ๊ะ!!" ลุกซ์เผลอร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกมือหนากดโน้มคอลงไป

     

    "ทำอะไรครับ"ปากเอ่ยถาม ทว่าตายังไม่ได้ลืมขึ้น ส่งรอยยิ้มจนน่ามันไส้ มือไม้อีกฝ่ายกอดเอวแน่นหนึบ

     

    "อ๊ะ!" สุดท้ายเมื่อเขาเงียบแฟนเด็กจึงจับตัวคนอายุมากกว่าลงนอนโดยให้ลุกซ์อยู่ด้านบนทับบนตัวชายหนุ่ม

     

    "เธอ~~"ลุกซ์พยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกแขนแกร่งนั้นรัดแน่นเข้าไปหาจนตัวเราสองคนแนบชิดติดกัน

     

    "ผมง่วง" ปรินทร์พรึมพรำพูดเสียงเบา ดันให้พี่ลุกซ์นอนด้วยกันบนโซฟาตัวใหญ่

     

    "หรืออยากทำอะไรกันดีครับ?"ปรินทร์ลืมตาขึ้นมองดวงตาพราวระยับ

     

    ใบหน้าเราสองคนใกล้ชิดจนได้กลิ่นลมหายใจกันและกัน

     

    แววตาที่มองมาให้คนได้จ้องสบกระตุกสั่นไหว

     

    ตึก! ตึก! ตึก! ๆๆๆๆๆๆๆ

     

    ทำไมลุกซ์ต้องหัวใจเต้นแรงเมื่อเจอสายตาคมจ้องมองอย่างนี้ ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อเห่อร้อน เริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกอีกฝ่ายจับต้องสะกดให้ตัวเองตกอยู่ในภวังค์

     

    "หึหึ... หลบตาทำไมครับ? เมื่อกี้ยังแอบมองอยู่เลย"ปรินทร์ถามพี่ลุกซ์พร้อมหัวเราะในลำคอพอใจกับอาการเขินอายนั้น

     

    ลุกซ์ไม่ตอบได้แต่นอนนิ่งปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้น พร้อมหัวใจที่สั่นไหวกับอ้อมกอดอบอุ่น และความรู้สึกดีๆ ที่ได้อยู่อย่างนี้ จะว่าใจง่ายก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดหรือเปล่า

     

    "พี่ง่วงแล้ว" ลุกซ์หลับตาลงพูดเสียงเบาอยู่ในอ้อมแขนแกร่งที่อบอุ่น

     

    "หึหึ.." สายตาคมมองคนในอ้อมกอดด้วยความรู้สึกขบขันระคนเอ็นดู

     

    ฟอด! โน้มใบหน้าก้มลงสูดกลิ่นหอมอ่อนจากเส้นผมนุ่ม

     

    ฟอด! กดปลายจมูกจูบหน้าผากมน

     

    จุ๊บ! หอมแก้มนวลเนียนอีกเมื่อรู้สึกยังไม่พอ

     

    "อื้อ... "หอมแก้มแล้วอยากได้มากกว่านั้น เขาจึงจับใบหน้าเรียวแหงนขึ้นรับจูบของเขา

     

    ได้ใกล้ชิดพี่ลุกซ์แบบนี้ เขาอดใจไม่ไหวจริงๆ ที่จะไม่รังแก ขอแค่ได้กอด ได้หอม ตัวเขาเหมือนไอ้คนคลั่งคนหนึ่งเลยทีเดียว

     

     

     

     

     

    วันนี้กลับไปนอนที่บ้านนะคะ

     

    อย่าลืมหาอะไรทานด้วยนะ

     

    เป็นห่วง (อิโมจิยิ้ม)

     

    ลุกซ์เปิดอ่านข้อความที่ปรินทร์ส่งให้เขาในช่วงบ่ายแก่ๆ ก่อนจะตอบข้อความนั้นไปด้วยสติ๊กเกอร์โอเคง่ายๆ ก่อนจะกลับมาทำงานของตัวเองอีกครั้ง

     

    เขากับปรินทร์ค่อนข้างไปกันได้ดี ปรินทร์เป็นเด็กที่ไม่ค่อยเอาแต่ใจ ไม่เคยร้องขออยากได้อะไรจากเขาสักชิ้นเดียว หนำซ้ำยังคอยดูแลเอาใจใส่เขาเรื่องอาหารหรือแม้กระทั่งการออกกำลังกาย แทบจะบังคับกันเลยทีเดียวเมื่อเขาอ้างเหนื่อยจากงาน สุดท้ายก็ต้องยอมเมื่อปรินทร์จะอุ้มเขาเข้าฟิสเนต แต่เมื่อได้มีกิจกรรมทำร่วมกันบ่อยครั้งลุกซ์จึงเกิดความเคยชินกับการที่มีปรินทร์

     

    ติ๊ง!

     

    เสียงข้อในสมาร์ทโฟนเครื่องหรูแจ้งเตือน ลุกซ์หยิบขึ้นมาเปิดเมื่อคิดว่าเป็นปรินทร์ที่ส่งเข้ามา ทว่ากลับไม่ใช่ เป็นคนเก่าที่เขาเคยคบ

     

    ลุกซ์ครับสะดวกคุยมั้ย ภามอยากคุยกับลุกซ์ครับ

     

    ลุกซ์นิ่งไม่ตอบข้อความอีกฝ่ายกลับไป นึกถึง 'ภาม' ในความทรงจำ

     

    ภาม.. เราเคยคบกันเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเขาเพิ่งเริ่มสร้างตัวใหม่ๆ ธุรกิจยังไม่เติบโตเท่าตอนนี้ ความทรงจำในตอนนั้นจำได้ว่าตัวเองยุ่งวุ่นวายแค่ไหน คอยประสานงานกับหลายๆ ส่วนด้วยตัวคนเดียว คุยกับทีมช่าง หาทีมงาน หรือแม้กระทั่งขับรถหาสถานที่สำหรับทำโรงงาน เอกสารต่างๆ ที่ยุ่งยากจนเขาเครียดกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในหัวคอยวางแผนงานทุกวินาทีต้องทำยังไงให้ธุรกิจเติบโตเป็นที่รู้จัก ยังโชคดีได้ภามเป็นที่ปรึกษาที่ดีเนื่องจากอีกฝ่ายเรียนบริหารธุรกิจ

     

    ความรักระหว่างเราตอนนั้นมันดีนะ ถ้าอีกฝ่ายไม่แต่งงานจากการถูกที่บ้านคลุมถุงชน

     

    ภามโทรหานะครับ

     

    ไม่ถึงสามวินาทีอีกฝ่ายก็โทรหาเขาทันที ลุกซ์โครงศีรษะเล็กน้อยไม่คิดอะไรก่อนจะรับสายจากคนที่เคยคุ้น

     

    "......"เขารับมาแนบใบหูไม่ได้เอ่ยทักทายอะไร

     

    "ลุกซ์ครับ"น้ำเสียงทุ้มนุ่มแทรกเข้ามา เพียงได้ฟังน้ำเสียงนั้น คนที่เคยได้คบหาได้รู้จักและลึกซึ้งกันหลายปีจึงเกิดอาการประหม่า

     

    "สบายดีมั้ยครับ?"

     

    ภามเป็นผู้ชายที่สุภาพพูดจาดี อีกฝ่ายเกิดในตระกูลที่ดี ทางบ้านร่ำรวยมากจากธุรกิจโรงแรมหลายแห่งทั่วประเทศ เขาได้เห็นอีกฝ่ายบ้างตามข่าวสังคมไฮโซเซเลเบตี้ ทว่าไม่ได้ใส่ใจ

     

    "ครับ"ลุกซ์ตอบเมื่ออีกฝ่ายถาม

     

    "ผมอยากเจอลุกซ์ได้มั้ยครับ"

     

    "...."ลุกซ์ไม่ได้ตอบภามกลับไปทิ้งไว้เพียงความเงียบ เขาไม่อยากมีปัญหาภายหลังเมื่อภรรยาของอีกฝ่ายรู้ว่าสามีตนเองแอบโทรหาอดีตแฟนอย่างเขา

     

    "เรายังเป็นเพื่อนกันได้มั้ย.. "เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบคนปลายสายจึงหาวิธีให้ได้พูดคุย ความรู้สึกผิดยังเกาะกินหัวใจคนที่เป็นฝ่ายหันหลังให้ในยามที่อีกฝ่ายต้องการกำลังใจ ในตอนนั้นภามไม่อยากปล่อยมือจากลุกซ์ทว่าเขาต้องตามใจครอบครัวเนื่องจากเขาเป็นทายาทคนเดียว การแต่งงานครั้งนั้นเป็นเพียงการแต่งเพื่อให้ธุรกิจของครอบครัวขยายเติบโตขึ้นเท่านั้น

     

    "ภามขอโทษนะที่เพิ่งโทรหาลุกซ์ คือภาม..."

     

    ความระอายใจที่ทำไว้กับอีกฝ่ายทำให้ภามหายเงียบไม่กล้าติดต่อโทรหาลุกซ์ กว่าจะกล้าโทรหาก็ใช้เวลาหลายปีจนไม่แน่ใจลุกซ์จะยังให้อภัยเขาหรือไม่

     

    "ให้โอกาสเราได้เป็นเพื่อนกันได้มั้ยครับลุกซ์"น้ำเสียงสั่นเครือในปลายสายทำให้ลุกซ์หลับตาสูดลมหายหายใจเข้าลึก นึกถึงเรื่องราวระหว่างเขาและภาม

     

    เขาไม่ได้โกรธภามแล้ว มันนานจนเขาได้ลืมเลือนความรู้สึกแย่ๆ ที่มีต่ออีกฝ่าย แค่เสียใจแต่เขาไม่เคยเกลียดภาม

     

    "ได้สิ "ลุกซ์ตอบรับคนปลายสายน้ำเสียงนุ่มเบา

     

    "ขอบคุณนะลุกซ์"

     

    "อืม.."

     

    หลังจากวันนั้นภามนัดลุกซ์ไปรับประทานอาหาน การพบเจอหลังเลิกรากันไปทำให้ทั้งสองคนประหม่าแต่ก็ผ่านไปด้วยดีกับการพบเจอกันในฐานะเพื่อนใหม่

     

    แต่ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างลุกซ์กับปรินทร์กลับแย่ลงเมื่อคนเด็กกว่าเข้าใจว่าลุกซ์มีคนอื่น ปรินทร์เห็นภาพความสนิทสนมระหว่างลุกซ์กับผู้ชายคนนั้น ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าเป็นแค่เพื่อนแต่ภาพที่เขาเห็นมันชวนให้คิดดีไม่ได้เลย

     

    เราทะเลาะกัน ปรินทร์อยากได้ความชัดเจนจากพี่ลุกซ์ ส่วนลุกซ์ไม่ยอมอธิบายอะไรนอกจากพูดว่า 'ภามเป็นแค่เพื่อน' ซึ่งคนที่รักอีกฝ่ายอย่างปรินทร์ไม่พอใจกับคำพูดที่สวนทางการกระทำ

     

    "พี่ว่าเราสองพอเถอะ แค่งานอย่างเดียวพี่ก็ปวดหัวมากแล้ว อย่าให้พี่ต้องมาปวดหัวกับเรื่องไร้สาระแบบนี้เพิ่มเลย"

     

    "พี่ลุกซ์.."ปรินทร์ชะงักค้างกับคำพูดไม่รักษาน้ำใจกัน

     

    เรื่องของเรามันไร้สาระหรือ?

     

    "เลิกกันดีไหม? "

     

    "...."กระบอกตาคนเด็กกว่าร้อนผะผ่าวกับคำพูดชวนตัดสัมพันธ์ น้ำเสียงเย็นชาแววตาที่มองมาเหนื่อยหน่ายเต็มทน ปรินทร์เจ็บแปลบกลางอกเมื่อได้รับแววตาและคำพูดของคนที่ตนเองมอบหัวใจให้ทั้งหมด

     

    ปรินทร์เชื่อเสมอว่าหากอยากได้ความรักและความจริงใจจากใคร เราก็ควรมอบมันให้อีกฝ่ายก่อนจึงจะได้กลับคืน ทว่าสิ่งที่เขาได้รับตอนนี้ มีแต่ความเจ็บปวดเสียใจ

     

    "ห่างกันสักพักแล้วกัน.." ลุกซ์เสสายตามองชั้นหนังสือเมื่อเห็นหยาดน้ำใสไหลซึมออกมาจากชายหนุ่มอายุน้อยที่เขาเรียกแฟน

     

    ปรินทร์สูดลมหายใจเข้าลึกพยายามกลั้นกดความรู้สึกเสียใจจากปากคนที่ตนเองรัก

     

    "ตลอดที่เราคบกันพี่คงไม่เคยรู้สึกดีกับผมเลยใช่ไหมถึงได้พูดตัดกันได้โดยไม่ลังเลแบบนี้"พูดตัดพ้อกับคนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทำงานของอีกฝ่ายโดยไม่หันหลังกลับไปมอง

     

    หยาดน้ำตาไหลลงอาบแก้ม ชายหนุ่มร่างสูงเม้มริมฝีปากแน่นกดกลั้นเสียงสะอื้นไห้เสียใจเมื่อนึกว่าตนเองไม่มีควาสำคัญกับอีกฝ่าย

     

    ลุกซ์มองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินออกไปจนประตูห้องปิดลงภาพตรงหน้าเขาจึงมีเพียงผนังทึบปิดกั้น เขาเอนหลังพิงพนักโซฟาแหงนเงยใบหน้าทิ้งตัวหลับตาลงให้กับทุกความรู้สึกที่ตีรวน ไม่ใช่เขาไม่รู้สึกกับคำพูดตัวเองแต่ในเมื่อปรินทร์ไม่เชื่อใจกันจะให้เขาทำอย่างไร อธิบายไปอีกคนก็ไม่พอใจ อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะจึงจะพอใจ

     

    ปรินทร์หึงเขากับภาม ซึ่งมันไม่มีอะไรเลย เราสองคนอาจจะมีนัดทานข้าวหรือออกไปนั่งดื่มกันบ้างตามประสาเพื่อน เหมือนอย่างที่เขาให้อิสระปรินทร์ให้มีสังคมมีเพื่อนหรือครอบครัวตัวเอง

     

    เขาไม่อยากทะเลาะและไม่อยากอธิบายซ้ำซาก จึงพูดอย่างนั้นเพื่อให้ปรินทร์กลับไปคิดทบทวน

     

    เอาไว้ให้อารมณ์เย็นลงกว่านี้เราคงต้องกลับไปคุยกันใหม่

     

     

     

     

     

    •••

     

     

     

     

     

    เฮ้อออออ... เสียงลมหายใจที่ถูกปล่อยออกมาจนหน้าท้องยุบแฟบของเจ้าของห้องให้ความรู้สึกหดหู่หมดเรี่ยวแรง

     

    ลุกซ์กวาดสายตามองเลื่อนลอยไปรอบๆ บริเวณห้องที่อาศัยอยู่มานานหลายปี ทั้งที่ควรจะชินกับความเงียบเหงาอ้างว้างเมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในที่มืดมิด แต่ความรู้สึกกลับหดหู่เหงาหงอยเซื่องซึมมากกว่าเดิม ความเงีบเชียบนั้นทำใจเขาวูบโหวงเมื่อมองไปทางไหนก็ไร้เงาของอีกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันเพียง2เดือน

     

    เดินผ่านโถงกลางห้องที่ไว้สำหรับดูหนัง หยุดมองพื้นพรมสีขาวที่เป็นมุมโปรดของอีกฝ่าย ปรินท์มักจะนั่งทำงานหรือบางทีอีกฝ่ายก็มักอยู่หน้าจอไอแพดนานนับชั่วโมงกับการมองตัวเลขที่แสดงบนหน้าจอซึ่งเขามองแล้วก็มองผ่านไม่คิดจะใส่ใจ

     

    เมื่อหยุดตรงโซนครัวภาพของปรินทร์จึงผุดเข้ามาอีกครั้ง

     

    'วันนี้อยากกินอะไรครับ? ' คำถามที่อีกฝ่ายมักจะถามทุกครั้งหลังเลิกงาน

     

    ความเอาใจใส่เล็กน้อยและนึกถึงเขาเสมอของปรินทร์ทำให้เขายิ้มกับตัวเองหม่นๆ กับความสุขที่มีอีกฝ่าย

     

    ...นึกถึงช่วงเวลาที่มีปรินทร์อยู่ด้วย ลุกซ์จึงยิ้มออกมา

     

    ภาพความทรงจำที่มีร่วมกันในทุกพื้นที่ไม่เว้นแม้แต่ห้องครัว ระเบียง ห้องน้ำ ทุกซอกทุกมุมในห้องนี้มีเรื่องราวของเราเต็มไปหมด

     

    ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ทว่ากลับพิเศษสำหรับเขา

     

    ความหวานชื่นฝังตรึงอยู่ในความรู้สึก ทั้งความเอาใจใส่ ความทุ่มเท ความพยายามที่ปรินทร์เป็นฝ่ายให้ ทุกพื้นที่ยังเหลือร่องรอยของปรินทร์ มีกลิ่นอายของการใช้ชีวิตร่วมกันสอดแทรกเข้ามาจนไม่เหลือพื้นที่ว่างเปล่า มองไปทางไหนก็เห็นภาพของอีกฝ่ายตรงนั้น

     

    ...แม้แต่หัวใจของคนอายุมากกว่าอย่างเขาก็ไม่มีพื้นที่เหลืออีกต่อไป เพราะในนั้นก็มีแค่ปรินทร์จนเต็มทุกห้อง...

     

    คงถึงเวลาแล้วล่ะ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไร โกรธจนไม่อยากไปต่อกับเขาแล้วใช่ไหม?

     

    อย่าทิ้งให้พี่รอนานนักสิ

     

    คิดถึง

     

     

     

    เสียงแจ้งเตือนข้อความ คนที่ยังไม่นอนจึงหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่าน เมื่อเห็นเป็นข้อความจากคนที่ทำให้เขาเสียใจตั้งเป็นเดือน ปรินทร์วางโทรศัพท์มือถือไว้ตรงกลางอกยกแขนขึ้นก่ายวางทับตรงหน้าผากหลับตาลง

     

    ข้อความสั้นๆ จากพี่ลุกซ์ที่อีกฝ่ายส่งมาพาลให้ใจยวบอ่อน

     

    แม่งโคตรรัก โคตรคิดถึงเลย!

     

    แต่จะให้เขารีบตอบกลับทันทีหรือแสดงท่าทีว่าเฝ้ารออีกฝ่ายอยู่นั้น ไม่เอาหรอก ทำให้เขาเสียใจตั้งนาน ไม่เคยโทร ไม่เคยส่งข้อความหา แถมยังพูดเหมือนไม่แคร์กันนั่นอีก หึ!

     

    ขอโทษนะ

     

    พี่ลุกซ์ส่งข้อความมาอีกครั้งก่อนเงียบหายไปเลยจนเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ปรินทร์จึงไม่ได้โทรกลับไปเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงหลับไปแล้ว เขาทำเพียงส่งข้อความกลับไปสั้นๆ

     

    ครับ.

     

    ช่วงสายในวันใหม่ ปรินทร์อาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาวกางเกงผ้าขากระบอกสีเบสรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง ชายหนุ่มนัดกลุ่มเพื่อนสนิทไปดูหนังและหาอะไรกินเพื่อฉลองความสำเร็จกันครบทุกคนยกแกงค์

     

    กว่าพวกเขาจะเรียนจบต่างก็ช่วยกันฉุดดึง เคี่ยวเข็ญให้เดินไปพร้อมๆ กัน มุ่งมั่นให้จบปีการศึกษาเดียวกันซึ่งกลุ่มพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ ถึงแม้จะรู้จักกันไม่นานแต่มิตรภาพระหว่างพวกเราก็เหนียวแน่นและน่าจดจำ

     

    วันนี้ทำอะไรบ้าง พี่อยากคุยกับรินครับ

     

    พี่ลุกซ์ส่งข้อความมาถามว่าทำอะไร อยู่ไหน ปรินท์จึงตอบกลับไปว่าตอนนี้อยู่กับเพื่อนดูหนังและกำลังหาอะไรกิน อีกฝ่ายจึงขอให้เขารออยู่ที่ห้างสรรพสินค้าก่อนช่วงเย็นจะไปหา ปรินทร์จะแยกกับเพื่อนเพื่อรอพี่ลุกซ์ ถูกเพื่อนๆ แซวไปตามระเบียบเมื่อรู้ว่าถูกคนอายุมากกว่าอย่างพี่ลุกซ์กลับมาง้อ

     

     

     

     

     

     

     

    •••

     

     

     

     

    "ยินดีด้วยนะ" ดอกยิปโซช่อเล็กถูกยื่นให้ชายหนุ่มตัวสูงที่สวมใส่ชุดครุยตรงหน้า

     

    บัณฑิตจบใหม่ฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้รับดอกไม้จากคนที่ตัวเองเรียก 'แฟน' ก่อนจะคว้าร่างสูงโปร่งเข้าไปกอด

     

    "ขอบคุณครับ.. "ปรินทร์โอบกอดคนอายุมากกว่าแนบแน่นจนใบหน้าคนเป็นแฟนจมหายเข้าไปในอก

     

    "ปล่อยก่อน"ลุกซ์ขืนตัวออกจากร่างหนา รู้สึกเขินอายเมื่อถูกวงแขนแกร่งโอบกอดท่ามกลางเหล่าบัณฑิตและญาติๆ บัณฑิต

     

    "วันนี้พี่ลุกซ์น่ารักจังค่ะ"วันนี้ลุกซ์แต่งกายด้วยเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนกางเกงสแลคขาเต่อรองเท้าผ้าใบสีขาวให้ลุคในวันนี้สบายๆ ไม่เป็นทางการมาก เมื่อได้ยินคำชมจากปากแฟนเด็กคนถูกชมจึงทำเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนสายตาหันไปมองรอบๆ เพื่อชมบรรยากาศที่น่ายินดี

     

    นึกถึงสมัยตัวเองที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาในรั้วมหา'ลัยโดยสมบูรณ์...และกำลังจะก้าวไปสู่ชีวิตการทำงาน ตอนนั้นลุกซ์ยังจำความรู้สึกได้อยู่เลย ดีใจที่ตัวเองก้าวข้ามความสำเร็จทางการศึกษา และตื่นเต้นเมื่อต้องก้าวออกไปสู่โลกกว้าง โลกภายนอกที่มีอะไรต่อมิอะไรให้ค้นหามากมาย ความรู้สึกของบัณฑิตใหม่ป้ายแดงของลุกซ์ในวันนั้น ทว่าเมื่อได้ออกมาใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่เต็มตัว ลุกซ์แทบอยากจะกลับไปเรียนอีกครั้ง หน้าที่และความรับผิดชอบในวัยทำงานที่ต้องแบกรับยิ่งใหญ่เหลือเกินกับเด็กไม่มีประสบการณ์ กว่าจะเป็นเขาในวันนี้เขาต้องต่อสู้กับตัวเอง อดทนทุกแรงกดดันเพื่อเอาชนะความกลัวทั้งหมด พิสูจน์ตัวเองดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในธุรกิจที่ตนเองสร้างขึ้นมาด้วยชีวิตและลมหายใจของเขา

     

    "มึง~~...มาถ่ายรูปกันก่อน "เพื่อนในกลุ่มของปรินทร์กวักมือเรียกเพื่อนเพื่อให้ไปถ่ายภาพรวมเก็บไว้หน้าป้ายคณะหน้าตึกที่เรียนกัน

     

    ลุกซ์ปล่อยให้ปรินท์ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนตัวเองเพื่อได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกในวันสำเร็จการศึกษา เสียงหัวเราะ รอยยิ้มมีความสุขนั้นพลอยให้เขาที่ยืนมองห่างๆ รู้สึกอิ่มเอมไปด้วย

     

    "พ่อ แม่" ปรินทร์ยกมือขึ้นหวักเรียกซึ่งลุกซ์รู้ว่านั่นคือพ่อกับแม่ของปรินทร์เพราะชายหนุ่มเคยให้ดูรูปภาพของคนทั้งสองหรือในไอจีก็มีภาพครอบครัวของปรินทร์ค่อนข้างเยอะ

     

    "ร้อนมากไหมคะลูกชาย"รอยยิ้มละมุนละไมมาพร้อมกับคำพูดเอื้อเอ็นดูของผู้หญิงวัยหลางคนที่มีความสวยสง่า ผิวพรรณออร่าน่ามองทั้งการแต่งตัวที่ดูดีทันสมัยยิ่งทำให้คุณแม่ของปรินทร์โดดเด่นสะดุดตา

     

    "ซับตรงนี้ด้วยค่ะ" ปรินทร์ย่อเข่าลงโน้มใบหน้าให้ต่ำเพื่อให้คุณแม่ได้ซับเหงื่อได้ถนัดขึ้น

     

    ปรินทร์เป็นผู้ชายที่อบอุ่น อ่อนโยน คงเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่สั่งสอนและเป็นแบบอย่างที่ดี เท่าที่ได้เห็นและสัมผัสอีกฝ่าย คำพูด คะ ขา หรือกิริยาออดอ้อน การกระทำนุ่มนวลที่ปรินทร์แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาตินั้นคงมาจากทั้งพ่อและแม่ของอีกฝ่าย เป็นครอบครัวที่น่ารักมาก

     

    "พี่ลุกซ์นี่พ่อกับแม่ผมเองครับ"ปรินทร์แนะนำพ่อแม่ให้คนเป็นแฟนได้รู้จักกันครั้งแรกหลังจากเก็บภาพครอบครัวกับพ่อแม่จนพอแล้ว

     

    "พ่อแม่..แฟนรินเองชื่อพี่ลุกซ์"ปรินทร์โอบไหล่แคบของแฟนตัวเองก่อนจะเอ่ยแนะนำคนเป็นแฟนให้พ่อกับแม่รู้จักด้วยความภาคภูมิใจโดยไม่มีอาการเขินอายสักนิดเดียวทั้งที่ตนเองนั้นอายุมากกว่าสิบกว่าปี

     

    "สวัสดีครับ"ลุกซ์ยกมือไหว้คนเป็นพ่อกับแม่ของแฟนเด็ก

     

    "สวัสดีค่ะได้เจอกันสักทีนะคะ "เธอมองคนเป็นแฟนลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน ส่งรอยยิ้มให้ด้วยความจริงใจ ไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจหรือแสดงออกว่าไม่ชอบออกไปจึงทำให้คนพี่เผลอพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งในอก

     

    การเป็นที่ยอมรับในครอบครัวแฟนให้ความรู้สึกดีเป็นแบบนี้เอง ตลอดการคบหากับอดีตแฟนลุกซ์ไม่เคยถูกแนะนำให้รู้จักกับครอบครัวอีกฝ่าย แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่เคยให้ครอบครัวรู้จักคนที่คบด้วย อาจจะเพราะขี้เกียจอธิบายให้ยุ่งยากวุ่ยวาย

     

     

    "พี่ลุกซ์น่ารักไหมครับ?"ปรินทร์เอียงศีรษะลงเล็กน้อยส่งรอยยิ้มอวดไรฟันขาวดวงตาเปร่งประกายขณะเอ่ยปากถามพ่อกับแม่ที่กำลังมองมาที่ตนเองกับพี่ลุกซ์

     

    "ปล่อยก่อน..."ลุกซ์ขืนตัวเองเล็กน้อยออกจากวงแขนที่กอดเขาไว้แน่นอย่างรู้สึกเขินอายเมื่อถูกสายตาผู้ใหญ่ทั้งสองจ้องมอง

     

    ถึงแม้สายตาที่มองมานั้นจะเป็นในทางเอื้อเอ็นดูระคนระเอือมระอาลูกชายของพวกท่าน ทว่าความเป็นพี่อย่างเขาก็ไม่อยากทำตัวประเจิดประเจ้อท่ามกลางคนมากมาย

     

    "ผมรักพี่ลุกซ์นะครับ..."ปรินทร์ไม่ปล่อยพี่ลุกซ์หลุดจากวงแขนมองสบตาคนพี่แน่วแน่มั่นคง

     

    "พ่อกับแม่จะว่าอะไรไหมครับหากอนาคตเราสองคนจะแต่งงานกัน"ก่อนจะหันกลับไปพูดกับคนเป็นพ่อแม่ที่มองมายังตนเองกับคนที่ลูกชายเรียกแฟน

     

    "ริน...."ลุกซ์ตกใจกับคำพูดคนอายุน้อยกว่า ไม่นึกฝันว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดแบบนั้น

     

    การแต่งงานหรือใช้ชีวิตคู่แบบคู่ชีวิตสำหรับลุกซ์มันไกลตัวมาก ในชีวิตเขาไม่เคยวาดฝันถึงมันสักครั้งเดียว

    ไม่กล้าแม้แต่จินตนาการ..

     

    "พ่อกับแม่ตามใจลูกอยู่แล้วริน ชีวิตนี้เป็นของลูก... "

     

    "อะไรคือความสุขของลูก แม่กับพ่อก็ยินดีด้วยอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลนะคะ"

     

    "ขอบคุณครับ " คนที่ไม่ค่อยจะถูกให้การยอมรับในเรื่องความรักจึงอ่อนไหวง่ายกว่าปกติ ชายหนุ่มกระบอกตาร้อนจนน้ำขังขอบตา ลุกซ์พยายามแหงนเงยใบหน้าเพื่อเก็บกลั้นอาการอ่อนไหวที่เกิดจากความรู้สึกดีๆ จากครอบครัวปรินทร์ ไม่นึกว่าพ่อแม่ของอีกฝ่ายจะปฏิบัติกับตนเองน่ารักถึงเพียงนี้

    "ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ให้โอกาสและมอบความรักดีๆให้กัน"ลุกซ์จับมือปรินทร์มากุมไว้ขณะพูด แววตาที่มองอีกฝ่ายนั้นปลื้มปิติทะลักหัวใจจนไม่รู้จะพูดคำไหนออกมาให้ดีกว่านี้นอกจาก ขอบคุณ

     

     

     

    . . . จบ  . . 


     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×