Symphony Of Love...บทบรรเลงของหัวใจ
เธอจะขอลองเสี่ยงกับความรักครั้งแรกนี้ดู การพัฒนาพันธุ์ต้นไม้ของเธอยังต้องอยู่บนความเสี่ยงในหลายๆ ด้าน เธอยังกล้าที่จะลองเสี่ยง แต่นี่คือความสุขของตัวเองแท้ๆ เธอก็ไม่ควรขี้ขลาดหนีหัวใจตัวเอง
ผู้เข้าชมรวม
1,697
ผู้เข้าชมเดือนนี้
10
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
รถยนต์สีดำมันวาวแสดงถึงความเคร่งขรึมและจริงจังของเจ้าของเลี้ยวเข้าจอดในที่จอดรถของคณะวิทยาศาสตร์ เจ้าของรถเหลียวมองกลุ่มนักศึกษาในชุดเครื่องแบบที่เดินจับกลุ่มคุยกันบริเวณหน้าตึกเรียน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นส่งผลให้มุมปากเคลือบลิปกรอสสีใสยกขึ้น ภาพนั้นเรียกความทรงจำซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นส่วนหนึ่งของมัน ชวนให้นึกถึงวันเวลาเดิมๆ แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องในอดีต คิดมาถึงตอนนี้หญิงสาวก็หุบยิ้ม คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนหน้าผากย่น
อ๊ะ เธอไม่ได้หมายความว่าตัวเองแก่หรอกนะ มันก็ไม่ได้ผ่านมานานขนาดนั้นเสียหน่อย แค่...สอง ไม่สิ สามต่างหาก เอ หรือสี่นะ หา ไม่นะ ห้าปีเลยหรอ?
กมลเนตรทำหน้าเซ็งๆ เมื่อหักพวงมาลัยเข้าช่องว่าง ถึงเธอจะอายุยี่สิบห้าย่างยี่สิบหกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มันก็ไม่ถือว่าแก่อะไรหรอก แต่ถ้าเปรียบเทียบกับบรรดาหนุ่มสาวในชุดนักศึกษาข้างนอกนั่นมันก็ถือว่าอาวุโสอยู่ดี ในที่ทำงานเธอถือว่าเป็นคนอายุน้อยที่สุด แต่พอกลับมายังสถานศึกษาเดิมเหมือนจะกลายเป็นตรงกันข้าม มันเลยอดรู้สึกถึงเรื่องอายุขึ้นมาไม่ได้เท่านั้นเอง
เสียงเมโลดี้เพลงสากลอมตะสำหรับใครหลายคนดังขึ้น กมลเนตรที่จอดรถเรียบร้อยแล้วเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าหนังใบใหญ่แบบเรียบสุดๆ จากเบาะข้างๆ ควานหาโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบจอสัมผัสเครื่องบางขึ้นมาดู ชื่อของคนโทรเข้าทำให้ใบหน้าที่มักเรียบเฉยปรากฏรอยยิ้มกว้างขวาง นิ้วเรียวกดปุ่มรับสายก่อนยกขึ้นแนบหู เสียงใสๆ ของปลายสายดังขึ้นมาทันที
“พี่เนตร อยู่ไหนแล้วคะ ถึงหรือยังเอ่ย”
“จ้า พี่ถึงแล้วละน้ำหวาน จอดรถอยู่” หญิงสาวกรอกเสียงผ่านสายไป ได้ยินดังนั้นอีกฝ่ายก็ร้องออกมาเบาๆ ด้วยความลนลานเล็กน้อย
“อ้าย พี่เนตรจอดตรงไหนคะ ลานหลังแล็บหรือลานหน้าคณะ”
“หน้าคณะจ๊ะ น้ำหวานมีอะไรหรือเปล่า” ถามกลับเมื่อได้ยินปลายสายอุทานออกมา เริ่มสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยกับอาการของรุ่นน้องที่ขณะนี้เรียนอยู่ปีสุดท้ายแสดงออกมาให้จับได้ เมื่อพี่สาวถามสาวน้อยเลยได้แต่อุบอิบตอบ
“คือแบบว่า...น้ำหวานเพิ่งเลิกแล็บ เพิ่งถึงหอ ยังไม่ได้แต่งตัวเลยค่ะ” ฟังสาเหตุกมลเนตรก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ รู้แล้วว่าอาการนั้นเกิดจากการร้อนรนเพราะความขี้เกรงใจที่ติดเป็นนิสัยของเจ้าตัวนั่นเอง
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ พี่ว่าจะเข้าภาควิชาไปหาอาจารย์หน่อยเหมือนกัน ความจริงยังไม่ถึงเวลานัดของเราเลยนี่นา พี่มาก่อนตั้งชั่วโมง...เอาเป็นว่าอีกชั่วโมงตามเวลานัดให้ไปเจอกันที่เดิมแล้วกัน อย่าลืมโทรบอกคนอื่นด้วยละ” ปลายสายรับคำเบาๆ หญิงสาวจึงวางสายไป
อยู่คนเดียวกับตอนเย็นเย็น
และก็ไม่เห็นว่าจะต้องมีใครใครมาเคียงข้าง
อยู่ลำพังกับความอ้างว้าง
นั่งมองดูแสงรำไรของดวงตะวันจนลับไป
เหม่อมองจันทร์ที่ลอยขึ้นมา
ดึกดื่นอย่างนี้แล้วเพื่อนที่มีที่ดีที่สุดคือหมอนข้าง
อยู่เหงาเหงาอย่างคนที่ปล่อยวาง
ก็อยู่อย่างนี้จนชิน
ไอ้คนไม่รู้ก็คอยจะถามทำไมไม่หาใคร สักคน
เข้าใจ และรักจริง ก็ทุกคน ดูแสนดี ดูจริงใจ
ก็ยินดีที่ได้เจอ แต่ no no no no no no wo wo*
(*เพลง อยู่คนเดียว ศิลปิน:เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์ อัลบั้ม:อาสาสนุก)
จังหวะที่กำลังเอี้ยวตัวไปหยิบถุงกระดาษของฝากที่เบาะหลัง เครื่องเสียงติดรถยนต์ซึ่งเธอเปิดวิทยุค้างไว้ก็เล่นเพลงจี้ใจจำ คนโสดที่โสดมาตั้งแต่เกิดยันวัยเบญจเพสเลยอดปล่อยลมหายใจออกมาดังพรืดด้วยความเซ็งไม่ได้ ก็อยู่คนเดียวน่ะสิจะย้ำอะไรนักหนา หญิงสาวคิดอย่างพาลๆ นึกค้อนดีเจที่ทำหน้าที่เปิดเพลงของสถานี รู้ว่าเขาคงไม่รับรู้แต่มันก็อดเคืองไม่ได้ เพราะดูเหมือนช่วงนี้จะขยันเปิดเพลงนี้กันจริงๆ สงสัยต้องงดฟังเพลงไทยไปฟังคลื่นเพลงสากลคลื่นประจำอย่างเดียวเสียแล้วกระมัง จะได้ไม่ต้องมาจิตตกแบบนี้อีก คิดพลางปิดเครื่องเสียงพร้อมดับเครื่องยนต์
หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วอ้อมไปยกกระเช้าผลไม้กระเช้าใหญ่จากเบาะหลัง ดูเหมือนมันออกจะเกินความสามารถของผู้หญิงร่างโปร่งในชุดกระโปรงยาวไปสักหน่อย สภาพที่เห็นจึงดูน่าสงสารปนน่าอนาถเล็กน้อย เพราะนอกจากกระเช้าใบใหญ่แล้วยังมีถุงกระดาษขนาดกลางอีกหลายใบ แถมด้วยกระเป๋าของเจ้าตัว ระหว่างที่กำลังพยายามลากกระเช้าลงมาจากรถอย่างระมัดระวังไม่ให้มันครูดกับเบาะจนเกิดรอยนั้นเสียงฝีเท้าสองสามเสียงก็หยุดชะงักอยู่ด้านหลัง อึดใจต่อมาเสียงห้าวบอกเพศก็ดังขึ้น
“ผมช่วยไหมฮะพี่เนตร” เจ้าของชื่อหันกลับไปมองก็พบนักศึกษาชายในเสื้อกาวน์ยืนอยู่ คนหน้าสุดนั้นคุ้นตากว่าใคร นึกอยู่ชั่วครู่ชื่อของเจ้าตัวก็แวบเข้ามาในสมอง
“อ้าว เต๋หรอกหรอ ไม่เจอตั้งนานยังเหมือนเดิมนี่เรา” เธอทักรุ่นน้องหัวหน้าคณะคนปัจจุบันซึ่งมีชื่ออันเก๋ไก๋ว่า ‘โต๋เต๋’ แต่ด้วยไม่อยากเรียกหลายพยางค์และคำหน้าก็ไปซ้ำกับชื่อนักร้องนักดนตรีดังไปหน่อย จะให้เรียกก็กระดากปากเพราะนายคนนี้ตรงข้ามกับนักร้องคนดังกล่าวแบบชนิดสุดขั้ว เธอจึงสมัครใจเรียกคำหลังแทน เจ้าของชื่อก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังหัวเราะและเห็นด้วยอีกต่างหาก
“หวัดดีฮะ แฮะๆ” ยกมือขึ้นไหว้พรางหัวเราะแห้งๆ เดาไม่ถูกว่าคำว่า ‘เหมือนเดิม’ ของรุ่นพี่มีความหมายในแง่ไหน หล่อเหมือนเดิมหรือซกมกเหมือนเดิม?
“เรารีบไปไหนหรือเปล่า ช่วยพี่หน่อยสิ” เมื่อเห็นตัวช่วยมาปรากฏตัวก็ไม่รอช้ารีบใช้ เอ้ย รีบขอความช่วยเหลือทันที
“จะไปหาอะไรกินน่ะฮะ ไม่ได้รีบอะไรหรอก มาเดี๋ยวพวกผมช่วยถือ พี่เนตรจะเอาไปไหนละ” กมลเนตรเบี่ยงตัวหลบให้รุ่นน้องเข้ามาหิ้วกระเช้าเจ้าปัญหา น้ำหนักของมันต้องใช้สองคนถือ ส่วนถุงกระดาษที่น้ำหนักก็ไม่ได้เบานั้นตกเป็นหน้าที่อีกหนึ่งหนุ่ม
“ไปส่งพี่ที่ภาควิชาหน่อยแล้วกัน จะไปหาอาจารย์ที่ภาคหน่อยไม่ได้มาตั้งนาน” เธอตอบก่อนปิดประตูแล้วกดล็อครถยนต์ ออกเดินนำตัดข้ามลานจอดรถบริเวณหน้าคณะเพื่อไปยังอาคารวิทยาศาสตร์หนึ่งซึ่งภาควิชาของเธออยู่ที่นั่น
“แค่มาหาอาจารย์หรอพี่เนตร ทุกทีเห็นใส่ชุดทำงานมา ทำไมวันนี้แต่งตัวสวยละ” นายโต๋เต๋ยังไม่วายตั้งข้อสงสัย คนแต่งตัวสวยอดก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเองไม่ได้ ชุดกระโปรงสายเดี่ยวสีอ่อนยาวถึงข้อเท้า กับเสื้อกั๊กตัวสั้นสีขาวที่ใส่ทับ คงจะแปลกตามากกว่าสวยกระมังในสายตาของเจ้ารุ่นน้องตัวดี เพราะปกติเธอจะใส่เสื้อเชิ้ตสีพื้นกับกระโปรงคลุมเข่าหรือไม่ก็กางเกงผ้าขายาว นั่นเป็นชุดทำงานอันเป็นสไตล์การแต่งตัวในชีวิตประจำวันของเธอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ใช่แค่ตอนไปทำงาน
“จะไปดู Symphony” กมลเนตรเลือกที่จะตอบสั้นๆ ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมเพราะรู้ว่าคนถามต้องเข้าใจเพราะเจ้าตัวเองก็เคยไปดูกับเธอเมื่อปีที่แล้ว
“อ้อ ของเด็กดุฯ ที่ผมไปกับพี่เมื่อปีก่อนน่ะหรอ เออ วันนี้แล้วนี่หว่าผมก็ลืมไป” เขาพยักหน้าเข้าใจ ปีนี้เขาไม่ว่างเลยไม่สามารถไปดูด้วยได้ แม้กมลเนตรจะเป็นรุ่นพี่ที่จบไปแล้วหลายปี แต่เพราะเธอเรียนต่อปริญญาโทในคณะเดิมทำให้วนเวียนอยู่จนได้พบกัน ถึงจะอยู่คนละภาควิชาแต่ด้วยความมีน้ำใจของเธอที่เปิดติวให้บรรดารุ่นน้องโดยไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียวนอกจากค่าชีส ทำให้ได้รู้จักและสนิทสนม เขาออกจะนับถือพี่สาวคนนี้อยู่ไม่น้อยที่แม้จะเรียนไปด้วย กิจกรรมเองก็ทำอย่างสม่ำเสมอ เกรดของเธอก็ไม่หลุดจากเกียรติยม ซิวไปนอนกอดตามความคาดหมายของบรรดาอาจารย์
เมื่อปีที่แล้วเขาได้ไปดูดนตรีที่ว่ากับรุ่นพี่สาว ตอนนั้นเองเขาก็ได้รู้ว่ากมลเนตรไม่เคยพลาดงานนี้แม้แต่ปีเดียวตั้งแต่เข้ามาตอนปีหนึ่ง เป็นมุมโรแมนติกเล็กๆ ในจำนวนไม่น้อยซึ่งแฝงอยู่ในมาดคงแก่เรียน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครมองเห็นมันจนทำให้พี่สาวของเขาคนนี้ครองตัวเป็นโสดไร้เงาคนรู้ใจมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่ติดว่าเขารู้สึกรักและเคารพเธอแบบพี่สาว และเธอหันมองคนอายุน้อยกว่าตัวเองแล้วละก็ เขาคงไม่ลังเลที่จะจีบเธอแน่นอน
“แล้วปีนี้ไม่มีหนุ่มไปดูด้วยอีกแล้วหรอพี่เนตร ไม่เหงาหรอพี่เขาไปกันเป็นคู่ฟังเพลงรักรับวันวาเลนไทน์ในอีกสี่ห้าวันข้างหน้านะ สาวโสดไปคนเดียวมันจะดีหรอฮะ” อดแซวไม่ได้ วินาทีนั้นเองร่างบางที่เดินนำหน้าก็ชะงักกึก หมุนตัวช้าๆ กลับมามอง พร้อมปล่อยรังสีอำมหิตในระยะประชิดจนนายโต๋เต๋จอมปากดีอดเสียวสันหลังไม่ได้
“ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกนะไอ้เต๋ ถ้าเดินไปเงียบๆ แบบไม่มีปากมีเสียงน่ะ” กมลเนตรยิ้มหวาน จะย้ำเอาโล่หรืออย่างไรนะ หัวหน้าคณะคนเก่งถึงกับก้าวผงะถอยหลังแบบไม่รู้ตัว ลองพี่สาวคนนี้ขึ้น ‘ไอ้’ นำหน้าชื่อเมื่อไหร่เตรียมตัวใส่เกียร์หมาโกยได้เลย
“ขอโตดคร้าบ พี่สาว” รุ่นน้องหลายคนเริ่มเมียงมองด้วยความสงสัยว่าทำไมหัวหน้าคณะจอมโหดระดับมหาโจรในแง่หน้าตาและนิสัยถึงออกอาการหงอขนาดนี้ ทำให้กมลเนตรซึ่งไม่ชอบการเป็นจุดสนใจหันหลังเดินหน้าอีกครั้ง พลอยทำให้คนปากเสียได้หายใจทั่วท้อง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม เพราะเขารู้ว่าพี่สาวของเขาคนนี้เป็นคนความจำดี
******
กมลเนตรก้าวลงบันไดไม่กี่ขั้นจากตัวอาคารของภาควิชามายังบริเวณลานกลางคณะ โต๊ะหินอ่อนโต๊ะหนึ่งของลานถูกจับจองด้วยกลุ่มคนเกือบสิบคนทั้งชายหญิง ทุกคนอยู่ในชุดดูดี นอกจากกระเป๋าแล้วยังมีถุงใส่ของขวัญกันคนละกล่อง เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะไม่เบานัก จนเมื่อหญิงสาวก้าวเข้าไปในระยะสายตาและสาวน้อยคนหนึ่งร้องเรียกนั่นละเสียงจอแจนั้นจึงเงียบลง สายตาทุกคู่เบนมามองพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่ง
“พี่เนตร...หวัดดีค่ะ/ครับ” ร้องทักเป็นเสียงเดียวกัน กมลเนตรส่ายหน้าระอาขณะยกมือขึ้นรับไหว้ ภาพแบบนี้มีให้เห็นทุกครั้งที่คนกลุ่มนี้มารวมตัวกัน และนับวันจะยิ่งทวีความอึกทึกเพราะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี
“เสียงดังกันจริงๆ เลย เกรงใจคนอื่นเขาบ้าง แล้วแก้ว...ทำไมไม่เตือนน้อง เราโตสุดนะ” วิญญาณแม่แก่ประทับร่างเรียกรอยยิ้มแหยๆ ของรุ่นน้องได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะแก้วเจ้าจอมผู้มีชื่อในประโยค
บรรดาหนุ่มสาวกลุ่มนี้เป็นน้องรหัสของกมลเนตรเกินครึ่ง ซึ่งส่วนมากค่อนไปทางสาวๆ มากกว่า ส่วนหนุ่มๆ นั้นกมลเนตรอดกรอกตาอย่างเซ็งๆ ไม่ได้...แฟนของรุ่นน้องเธออย่างไรละ แม้แต่สาวน้อยคนล่าสุดของรหัสก็มีคนจับจ้องแล้ว เพียงแต่วันนี้ไม่ได้มาเท่านั้น สรุปแล้วนอกจากเธอและ ‘ชาช่า’ ซึ่งมีชื่อจริงว่านายอเนชา ผู้มีร่างกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง น้องรหัสปีสามของเธอเท่านั้นที่ยังโสด แต่เดี๋ยวก่อน...รู้สึกว่าเจ้าตัวเพิ่งโทรมาหาเธอเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าพบรักกับหนุ่มรุ่นน้องชาวต่างชาติที่เรียนอยู่วิทยาลัยนานาชาติของมหาวิทยาลัย นั่นก็หมายความว่ามีเพียงเธอคนเดียวที่ยังนอนกอดคานเอาไว้อย่างเหนียวแน่น คิดแล้วชวนให้หดหู่ใจพิลึก
“ขอโทษค่ะพี่เนตร” แก้วเจ้าจอม รุ่นน้องอายุน้อยกว่าเพียงปีเดียวกล่าวเสียงอ่อย กมลเนตรโบกมือไปมาไม่ถือสาหาความ ส่งสัญญาณเมื่อมองนาฬิกาพบว่าใกล้เวลาที่งานแสดงดนตรีกำลังจะเริ่ม
“ไปช่วยพี่ยกของก่อน
ไม่หนักหรอก มีแต่พวกตุ๊กตากับหนังสือนิทานเล่มบางๆ สองสามกล่อง” หญิงสาวขยายความเมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มๆ เพราะทั้งหมดตกลงใจว่าจะเดินไปยังสถานที่จัดการแสดงซึ่งอยู่บริเวณข้างมหาวิทยาลัย ระยะทางไม่ไกลมากแต่ก็ไม่ใกล้เลยถ้าเดินเท้า
คนที่จะเข้าชมการแสดง Symphony งานนี้จะต้องนำของขวัญหนึ่งชิ้นติดตัวไปด้วย ของขวัญที่ว่าจะเป็นอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ของเล่น เสื้อผ้า ของใช้ เมื่อจบงานจะถูกมอบให้กับเด็กด้อยโอกาส ถือว่าได้ทั้งความสุขจากเสียงเพลงและความสุขจากการทำบุญ กมลเนตรชอบฟังเพลงคลาสสิกมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่พลาดงานดีๆ แบบนี้แม้แต่ปีเดียว แม้ช่วงการทำวิทยานิพนธ์จบปริญญาโทจะยุ่งมากแค่ไหนเมื่อถึงงานเธอก็ฝากน้องรหัสซื้อตั๋วให้ เรียกว่าไม่มีอะไรมาขวางกั้นความสุขเล็กๆ นี้ได้
ระยะทางระหว่างคณะกับศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติหรือที่เรียกกันย่อๆ ว่าศูนย์ศิลป์สถานที่จัดงานแสดงดูเหมือนจะหดสั้นลงไปโดยปริยายเมื่อสาวๆ ควักกล้องถ่ายรูปขึ้นมาแชะภาพตลอดทาง ไม่ว่าด้านหลังจะเป็นสะพานข้ามสระน้ำกลางมหาวิทยาลัย วิวยอดนิยมที่สวยขนาดเคยมีภาพยนตร์มาใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำมาแล้ว หรือแม้แต่อาคารอธิการบดีก็ไม่เว้น ใช้เวลามากไปหน่อยกว่าจะมาถึง แต่ก็คุ้มค่าเพราะในกล้องของแต่ละคนอัดแน่นไปด้วยภาพสวยๆ ของนางแบบมือสมัครเล่น โดยเฉพาะกล้องของศิษย์เก่าอย่างกมลเนตร แก้วเจ้าจอมและนัชนารี น้องรหัสอายุน้อยกว่าเกือบสี่ปี เป็นปีหนึ่งตอนกมลเนตรอยู่ปีสี่ ถือว่าเป็นน้องรหัสคนสุดท้ายในชีวิตการเรียนปริญญาตรี และเพิ่งสวมชุดบัณฑิตรับพระราชทานปริญญาบัตรไปหมาดๆ เมื่อกลางปีที่แล้ว
ผู้คนเริ่มทยอยมา เพราะบัตรเข้าชมเป็นบัตรราคาเดียว ฉะนั้นจะนั่งตรงไหนก็ได้ เรียกว่าใครมาก่อนได้นั่งหน้าใครมาหลังได้นั่งหลัง ทำให้แม้ตอนนี้จะเหลือเวลาอีกกว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะได้เวลาแสดง ของขวัญก็มีให้เห็นแล้วพอสมควร แต่จะถือว่าใช้เส้นนิดหน่อยก็ว่าได้ จากการมาทุกปีจนครั้งนี้เป็นครั้งที่แปด ที่นั่งด้านหน้าถัดลงมาจากที่นั่งวีไอพีสำหรับคณบดีและอาจารย์จึงถูกกั้นไว้ให้โดยเฉพาะ ออกจะดูน่าเกลียดไปสักนิดก็เถอะ กมลเนตรก็อดรู้สึกขอบคุณไม่ได้ สถานที่จัดงานเป็นศูนย์ศิลป์ฯ ไม่ใช่โรงอุปรากรหรือโรงละคร แถวหน้าๆ จึงเป็นทำเลทอง
หญิงสาวให้บรรดาน้องๆ ขึ้นไปส่งมอบของขวัญให้เจ้าหน้าที่หน้างานก่อน เธอทักทายและพูดคุยกับสตัฟฟ์ที่คุ้นเคยกันดีเล็กน้อยแล้วขอตัวแวะเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว เพียงไม่นานกมลเนตรก็เดินออกมาเป้าหมายคือชั้นสองของอาคาร แต่แล้วเหตุการณ์ต่อมาก็เกิดขึ้นเร็วมากจนเธอตั้งตัวไม่ติด รู้ตัวอีกทีพื้นหน้าห้องน้ำก็ห่างจากใบหน้าเพียงไม่กี่นิ้ว ระหว่างตกใจอยู่นั้นเอวบางถูกท่อนแขนแข็งแรงดึงจนตัวกลับมาตั้งฉากกับพื้นโลกอีกครั้ง หญิงสาวทำอะไรไม่ถูกนอกจากมองเจ้าของท่อนแขนผู้ช่วยไม่ให้เธอต้องลงไปวัดพื้นตาปริบๆ สมองที่เคยทำงานได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบดูเหมือนจะรวนไปหมด
“คุณครับ ไม่เป็นไรนะครับ” ผู้ชายตรงหน้าเอ่ยถาม เสียงนุ่มๆ ของเขาแทงทะลุโสตประสาทอันมึนงง นิ้วเรียวสวยบนฝ่ามือขาวสะอาดเคลื่อนที่ผ่านหน้าไปราวกับจะทดสอบว่ายังมีสติรับรู้ดีอยู่หรือไม่ ชายหนุ่มเอียงคอมองผู้หญิงที่เขาชนด้วยความรีบร้อนอย่างงงๆ ก่อนสรุปในใจว่าอาจจะยังตกใจอยู่ จึงลองเรียกอีกสองสามครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงตอบรับ
“คะ?” กมลเนตรส่งเสียงออกไปโดยอัตโนมัติ ดึงสติกลับมา สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรนะครับ” อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะดวงหน้าล้อมด้วยเส้นผมสีดำเป็นลอนยาวจรดกลางหลังนั้นยังดูงุนงงอยู่หลายส่วน
“ไม่ค่ะ ฉันสบายดีไม่เป็นไร” ทุกอย่างกลับเข้าที่เข้าทาง ความคิดฉับไวเหมือนเดิม วินาทีนั้นจึงเข้าใจว่าทำไมใบหน้าของคนตรงหน้าถึงได้ดูพร่าเลือนนัก บนดั้งจมูกเคยมีแว่นสายตาเปลือยกรอบวางอยู่ บัดนี้ว่างเปล่า เป็นที่มาของอาการมึนงง “โอ๊ะ แว่นฉัน” ไม่ว่าเปล่าทรุดตัวลงใช้มือควานเปะปะไปตามพื้น คีตากวาดสายตาเพียงชั่วครู่ก่อนเดินไปหยิบแว่นสายตาที่กระเด็นตกห่างออกไปประมาณสามก้าว
“นี่ครับ” หญิงสาวรับไว้พร้อมกล่าวขอบคุณเบาๆ ชายหนุ่มกระพริบตาถี่ๆ ดูเหมือนแว่นสายตาของเจ้าตัวจะลดความน่ามองของใบหน้าหวานไปเยอะเลย
“ขอโทษนะครับที่ชนคุณ พอดีผมกำลังรีบ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” กมลเนตรอดสำรวจรูปร่างหน้าตาของเขาตามประสาผู้หญิงไม่ได้
เขาเป็นคนตัวสูง อาจจะเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร รูปร่างกำลังดีเห็นได้ชัดว่าเป็นคนดูแลตัวเองดีคนหนึ่ง ชายหนุ่มอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนพับแขนขึ้นไปถึงข้อศอก ชายเสื้ออยู่ในกางเกงยีนสีดำพอดีตัวเผยให้เห็นขายาวได้สัดส่วน รองเท้าหนังกลับทรงแปลกตา แต่อดยอมรับไม่ได้ว่ามันเข้ากับเขาไม่น้อย มองเลยขึ้นไปยังใบหน้าแล้วเธอก็ต้องร้องอื้ออึงในใจว่ามันช่างดูดีจนปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งประกอบกับทรงผมยาวระต้นคอซอยไล่ระดับแล้วปัดไปมาคล้ายไม่ตั้งใจนั้นด้วยแล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่าผู้หญิงร้อยทั้งร้อยต้องมองจนเหลียวหลัง
ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ไม่แปลกหรอกจะมีอาการกับคนหน้าตาดี แต่เพียงไม่กี่วินาทีหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเพราะความหล่อเหลานั้นก็กลับมาอยู่ในความเร็วปกติอย่างรวดเร็ว
“คุณคงกำลังรีบมาก ไปเถอะค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว” หญิงสาวบอกยิ้มๆ และประโยคนั้นเองทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังรีบจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะครับ” ก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงลา ก่อนจะพาร่างสูงใหญ่ของตัวเองจากไป กมลเนตรมองตามเขาไปจนลับตาจึงเดินตามไปในทางเดียวกัน เขาคงมาดูดนตรีเหมือนกัน อาจจะมีแฟนสาวแสนสวยรออยู่ถึงได้รีบร้อนแบบนั้น เธอคิดพลางยักไหล่ คนหล่อและโสดไม่มีทางเหลือรอดมาจนถึงผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างเธอหรอก ถ้าจะมีมันก็มีแต่ในนิยายเท่านั้น หญิงสาวระบายลมหายใจออกทางปากก่อนกระชับกระเป๋าก้าวตามไป
เนื่องจากการแสดงยังไม่เริ่มคนที่ทยอยมาจึงจับกลุ่มคุยกันอยู่ด้านหน้า กมลเนตรกวาดสายตามองหากลุ่มน้องรหัส อีกฝ่ายคงกำลังรออยู่เหมือนกันว่าทำไมรุ่นพี่ถึงหายไปนานผิดวิสัย เมื่อสังเกตเห็นจึงโบกไม้โบกมือให้เป็นที่สังเกต หญิงสาวกระตุกยิ้มโบกมือกลับเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าเธอก็เห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน จังหวะที่กำลังจะก้าวตรงไปหาสายตายังอดมองหาชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปมือบางก็ยกขึ้นเคาะศีรษะตัวเองตามความเคยชินเวลาทำอะไรโง่ๆ อย่างลืมตัว สะบัดหน้าไปมาคล้ายจะเรียกสติให้กลับมาก่อนก้าวไปหาน้องๆ ด้วยความมั่นคงดุจเดิม
*****
เสียงปรบมือดังกระหึมห้องจัดแสดงเป็นการให้เกียรติแก่นักดนตรีและวาทยกร การแสดงเดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย ผู้ดำเนินรายการประกาศการแสดงชุดพิเศษปิดท้ายจากศิษย์เก่าของคณะดุริยางคศาสตร์ เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกระรอกเพราะเมื่อช่วงต้นนักศึกษาของคณะที่เรียกได้ว่าเสียงดีกันแทบทุกคนได้ออกมาร้องเพลงร่วมกับวง Symphony ปีนี้ถือว่าเป็นปีพิเศษอีกปีหนึ่งในความเห็นของเจ้าประจำอย่างกมลเนตร ด้วยว่าคอนเซ็ปงานของปีนี้เป็นการนำเอาเพลงรักใหม่ๆ มาเรียบเรียงเสียงประสานโดยนักศึกษาของคณะ ให้อารมณ์แตกต่างจากการฟังเพลงในเวอร์ชั่นปกติในระดับหนึ่ง แต่ก็เพราะมากในความรู้สึกของคนฟัง
อิเล็กโทนถูกยกมาวางด้านหน้า เนื่องจากพื้นที่อันจำกัดของเวทีเปียโนหลังใหญ่จึงไม่สามารถนำขึ้นมาได้ ส่วนคนที่จะเล่นมันนั้นก้าวออกมาหลังจากจัดวางเครื่องดนตรีเรียบร้อย ร่างสูงคุ้นตานั้นตรึงสายตากมลเนตรให้นิ่งค้าง ชายหนุ่มที่ชนเธอเมื่อสามชั่วโมงก่อนตอนนี้ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนเวที เขายังอยู่ในชุดเดิมเพียงแค่เพิ่มสูทสีเดียวกับกางเกงเข้ามาบนตัว เขาโค้งตัวให้ผู้ชมพลางโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ให้สาวๆ ตาพร่าเลือน ขนาดรุ่นน้องของเธอที่มีแฟนหนุ่มขนาบข้างยังอดส่งเสียงกรีดร้องเบาๆ ออกมาไม่ได้ นับประสาอะไรกับสาวโสดสนิท โสดตลอดกาลอย่างเธอกันเล่า
“ขอเสียงปรบมือให้กับคุณคีตา สิรินันทวรรณ ศิษย์เก่าคณะดุริยางคศาสตร์ ซึ่งตอนนี้เป็นนักแต่งเพลงให้กับนักร้องที่มีชื่อเสียงหลายท่าน แล้วยังร้องเพลงประกอบละครดังๆ หลายเรื่องที่คุ้นหูกันดี อย่างเพลง ‘เธอคือดวงตะวัน’ ของละครอาทิตย์กลางฟ้า หรือจะเป็นเพลง ‘ผู้ชายเดินดิน’ จากละครสวรรค์บ้านไร่ครับ” ผู้ดำเนินรายการประกาศชื่อพร้อมผลงาน หลายคนส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น เพราะชื่นชอบเพลงดังกล่าวแต่ยังไม่เคยเห็นหน้านักร้องเสียที
เสียงต่างๆ เงียบลงเมื่อชายหนุ่มนั่งประจำที่ เขาเริ่มการแสดงด้วยเพลงยอดนิยมอย่างเพลง Cannon in D major แต่มันเป็น Cannon in D ที่เพราะที่สุดเท่าที่เธอเคยฟัง รู้สึกถึงความอบอุ่นอ่อนโยนราวกับนั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นยามเช้าในสวนดอกไม้ ตามมาด้วยเพลงประกอบละครดังที่เขาร้องอีกสามเพลง เสียงร้องคลอและแท่งไฟเรืองแสงถูกโบกให้เข้ากับจังหวะเพลง
เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือดังกระหึ่ม ก่อนที่ทุกคนจะยืนขึ้นร้องคลอเพลงประจำมหาวิทยาลัยไปพร้อมกับวง Symphony จบงานแสดงได้อย่างสวยงามและน่าประทับใจ
เสียงปรบมือดังก้องห้องจัดแสดง นักดนตรีและวาทยกรยืนตรงแล้วโค้งตัวให้กับผู้ชมด้วยร้อยยิ้ม เช่นเดียวกับคีตาที่ลุกจากหลังอิเล็กโทนอ้อมออกมายืนข้างหน้า สาวๆ หลายคนตรงดิ่งหอบดอกไม้ไปมอบให้จนเต็มไม้เต็มมือ ผู้ชมเริ่มทยอยออกจากห้องจัดแสดง เสียงพูดคุยดังจอแจค่อยๆ เบาบางลงเมื่อคนออกไปแล้วหลายส่วน กมลเนตรและรุ่นน้องนั่งรอเพราะไม่อยากไปเบียดเสียดกับผู้คน จนคนเริ่มน้อยลงนั่นละจึงลุกขึ้นตรงไปยังประตูทางออก แต่ในระหว่างนั้นเองสตัฟฟ์งานคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหา
“พี่เนตรคะ พี่เนตร” เจ้าของชื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นน้องคนหนึ่งที่เคยพบกันอยู่หลายครั้ง เมื่อเธอหยุดคนอื่นก็หยุดตามไปด้วย
“อ้อ หลิวนั่นเอง มีอะไรหรือเปล่า” หญิงสาวถามอย่างสงสัย
“อาจารย์ท่านเชิญหลังเวทีหน่อยค่ะ” อีกฝ่ายบอกจุดประสงค์ กมลเนตรเลิกคิ้วนิดๆ คงจะเป็นอาจารย์ดลพัฒน์ ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงานครั้งนี้นั่นเอง เพราะมาทุกปีจึงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ยิ่งช่วงปีหลังๆ มานี้เธอขนของขวัญมาเข้าร่วมหลายลังใหญ่ แถมเธอยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับท่าน เนื่องจากบิดาของหญิงสาวเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับอาจารย์คณะดุริยางคศาสตร์ท่านนี้ในระดับเข้าขั้นเพื่อนซี้เพราะจบมัธยมปลายจากโรงเรียนเดียวกัน
“งั้นแก้วพาน้องไปก่อนเลยนะ ไปรอร้านเดิมนั่นละ เดี๋ยวพี่ตามไป” หันไปบอกรุ่นน้อง ให้ล่วงหน้าไปก่อน หากแต่ละคนกลับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นทิวแถว
“เรารอดีกว่าค่ะ มันอยู่ตั้งหน้ามอนะพี่เนตร มืดแล้วด้วย อันตรายตายเลยเดินไปคนเดียวแบบนั้น” แก้วเจ้าจอมค้าน
“เพิ่งจะสี่ทุ่มเอง คนเยอะแยะไม่ต้องห่วงพี่หรอก” กมลเนตรแย้งขันๆ เธออยู่นี่มาตั้งแต่ปีหนึ่งจนจบปริญญาโท มีงานทำมาเกือบสองปี เรียกว่าถิ่นเก่าก็ว่าได้
“ใช่เจ๊ วันนี้เจ๊ยิ่งสวยๆ อยู่ด้วย เดี๋ยวโดนฉุดเข้าซอยกันพอดี ประเทศไทยยังต้องการนักวิทยาศาสตร์พัฒนาพันธุ์พืชมากฝีมือและน่าเกรงขามแบบเจ๊นะ” ชาช่าจีบปากจีบคอเสริมด้วยความเป็นห่วง
“นั่นเป็นห่วงใช่ไหมเนี่ย...ไม่ต้องห่วงหรอกหน้าตาพี่มันเป็นอาวุธมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รับรองไม่มีใครตาถั่วมาดักฉุดหรอกน่า” หญิงสาวค้อนขวับ บรรดารุ่นน้องส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของพี่สาวใหญ่ สาวหลิวมองคนนั้นทีคนนี้ทีก่อนเข้าช่วยคลี่คลายปัญหาให้
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวหลิวไปส่งพี่เนตรให้เอง หลิวเอามอ’ไซด์มา”
“เอ้า งั้นก็ได้ ฝากพี่สาวพี่ด้วยนะ คนนี้อนาคตของวงการพันธุ์ไม้เมืองไทยเลยนะ” แก้วเจ้าจอมฝากฝังราวกับรุ่นพี่เป็นน้องน้อยๆ กระนั้น ถ้ามีคนอาสาไปส่งแบบนี้ค่อยเบาใจเพราะถ้าได้ลองไปคุยกับอาจารย์คนนี้...ยาวแน่นอน
“สั่งอาหารไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวพี่ตามไป” โบกมือไล่น้องๆ ก่อนเดินตามหลังคนมาเรียกไปยังหลังเวที ตอนนี้ด้านหลังเวทีกำลังเริ่มเก็บเครื่องดนตรีและอุปกรณ์ต่างๆ เสียงพูดคุยถึงการแสดงที่ผ่านมาดังคับห้อง หลายคนโบกมือตระโกนทักทายหญิงสาวผู้มาใหม่ กมลเนตรยกนิ้วโป้งขึ้นให้เป็นเชิงชื่นชมพรางยิ้มให้เล็กน้อย บ่ายหน้าไปหาอาจารย์วัยใกล้เกษียรที่ยืนคุยกับชายหนุ่มเจ้าของนามคีตา เธอชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก่อนก้าวเข้าไปอย่างมั่นคง
“สวัสดีค่ะลุงดล” ยกมือขึ้นไหว้ ดลพัฒน์ยิ้มพร้อมรับไหว้
“เป็นไงยัยหนูเนตร นึกว่าจะมาไม่ได้แล้ว เห็นว่างานยุ่งนี่” ‘ยัยหนูเนตร’ หัวเราะเบาๆ กับประโยคทักทายนั้น “คนนี้เห็นบนเวทีแล้วสิยัยหนู...นายคีย์ ส่วนคนนี้กมลเนตร มาดูทุกปีไม่เคยพลาดแฟนพันธุ์แท้แบบเหนียวแน่น” ผู้อาวุโสแนะนำ หญิงสาวก้มศีรษะเป็นการทักทาย คีตาทำแบบเดียวกัน ความแปลกใจในทีแรกหายไป ความยินดีก้าวเข้ามาแทนที่
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปและมีท่าทีว่าจะยาวนานกว่านี้อีกถ้าไม่มีคนตะโกนขึ้นมาว่าหิว อาจารย์ดลพัฒน์จึงก้มลงมองนาฬิกา พบว่าเข็มสั้นเดินผ่านเลขสิบไปกว่าครึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถามไปถามมาปรากฏว่ากำลังจะไปร้านอาหารเดียวกัน จึงกลายเป็นว่าต้องร่วมเดินทางไปด้วยกัน กมลเนตรไม่ได้รับรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ชีวิตอันเงียบเหงาของเธอต้องเปลี่ยนแปลงไป
*****
“คุณคีย์!” เสียงอุทานดังขึ้นเมื่อกมลเนตรเงยหน้ามองเจ้าของมือข้างที่ชิงตัดหน้าหยิบแผ่นเพลงแผ่นสุดท้ายจากชั้นวางไป พบว่าผู้ชายคนนั้นคือคีตานั่นเอง หญิงสาวอดรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญมากไปหน่อย เพราะตลอดเกือบสองเดือนหลังจากงานแสดงดนตรีครั้งนั้นเธอเป็นอันได้พบกับเขาอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะตามร้านหนังสือ ห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟ อ้อ นั่นยังไม่นับการที่บ้านของเขาและเธออยู่กันคนละทางด้วย
“อ้าว คุณเนตร” คีตาแสดงอาการแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ที่แท้คนที่กำลังจะเปิดศึกชิงซีดีเพลงแผ่นสุดท้ายคือคนคุ้นเคยกัน “งั้นซีดีแผ่นนี้คุณเนตรเอาไปเถอะครับ” ยื่นแผ่นเพลงในมือให้กับคนตัวเล็ก
“ไม่ดีหรอกค่ะ คุณคีย์เอาไปเถอะ” โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ถึงใจจริงจะอยากได้แต่เขาเป็นฝ่ายหยิบไปก่อน จะให้อาศัยความเป็นผู้หญิงชุบมือเปิบแบบนี้ออกจะน่าเกลียดไปสักหน่อย ชายหนุ่มคะยันคะยอให้รับแต่เธอก็ปฏิเสธท่าเดียว คีตาจึงเดินไปที่เคาท์เตอร์ถามพนักงานขายว่ายังพอจะมีของอีกสักชุดหรือไม่ ไม่นานพนักงานคนเดิมก็กลับมา กล่าวขอโทษและบอกประโยคที่ทำให้ทั้งคู่ต้องผิดหวัง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันได้หนังสือมาแล้วสองเล่ม ซีดีแผ่นนี้คุณคีย์เอาไปเถอะค่ะ” กมลเนตรยืนยันเจตนาเดิม ยื่นหนังสือในมือให้พนักงานคิดเงิน คีตาจำนนในความตั้งใจยื่นของในมือให้คิดเงินเช่นกัน
“เย็นแล้วจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มชวนคุยระหว่างรอ
“ค่ะ เดี๋ยวต้องกลับไปให้อาหารเจ้าสายไหมอีก ป่านนี้ไม่รู้โมโหหิวทำลายข้าวของไปถึงไหนแล้ว” พูดเคล้าเสียงหัวเราะเมื่อนึกถึงกระต่ายขนปุยที่เลี้ยงไว้ เวลานั้นเองเสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกระเป๋าก็กรีดร้องขึ้นขัดจังหวะ หญิงสาวควานหาเมื่อได้มาไว้ในมือก็ไม่รอช้าที่จะกดรับสาย
“เนตรพูดค่ะ อะไรนะคะ แล้วมีใครตรวจสอบหรือยัง...ค่ะ เนตรจะกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้ค่ะ คิดว่าน่าจะไม่เกินสองชั่วโมง พี่สาจัดการเบื้องต้นไปก่อนเลยนะคะ ค่ะ” กมลเนตรวางสายด้วยความกลัดกลุ้ม พืชตัวอย่างระยะต้นกล้าเกิดความเสียหายขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ...เธอต้องรีบกลับไปดู
“มีปัญหาที่ทำงานหรอครับ” คีตาที่เฝ้ามองอยู่อดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้
“ค่ะ” หญิงสาวตอบสั้นๆ กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี ห่วงงานก็ห่วง ห่วงเจ้าขนปุยที่คอนโดก็ห่วงเพราะกำลังยุ่งๆ ทำให้วันนี้ไม่ได้ทิ้งอาหารไว้ให้มัน นี่คงจะหิวโซมาทั้งวัน ถ้ากลับไปที่ห้องวิจัยก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับเมื่อไหร่ เผลอๆ อาจต้องค้างคืนก็ได้ และเหมือนชายหนุ่มจะเดาออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่จึงออกปากเสนอตัวอย่างไม่แน่ใจ
“ถ้าคุณเนตรห่วงสายไหม ผมแวะไปให้อาหารมันให้ก็ได้นะครับ กำลังรีบนี่นา”
กมลเนตรเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความคาดไม่ถึง ยอมรับว่าความสัมพันธ์ของเธอและเขาเข้าขั้นสนิทสนม เพราะเจอกันสองครั้งต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย และหลายครั้งถึงขนาดนั่งคุยกันครึ่งค่อนวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เพิ่งรู้จักกันได้เพียงสองเดือนเท่านั้น เธอไม่เถียงว่ารู้สึกสนิทใจกับเขาพอสมควร รู้เรื่องกันและกันมากในระดับหนึ่งเพราะชอบอะไรหลายอย่างคล้ายกัน หากมันจะดีหรือที่จะยอมให้เขาก้าวเข้ามาในโลกของเธอด้วยระยะเวลาอันรวดเร็วแบบนี้
“ผมแค่อยากจะช่วยน่ะครับ ถ้าคุณเนตร...” คีตารีบออกตัวเมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งเงียบไป แต่ยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยคเสียงหวานก็แทรกขึ้นมา
“ขอบคุณมากค่ะ ยังไงรบกวนคุณคีย์ด้วยนะคะ ฉันจะโทรไปบอกที่ล็อบบี้ให้เอากุญแจสำรองให้ ช่วยหน่อยนะคะ” กมลเนตรตัดสินใจเมื่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังขึ้นอีกครั้ง เธอฝากฝังเขาก่อนรับโทรศัพท์และเดินแกมวิ่งออกไปจากร้าน ทิ้งให้ชายหนุ่มรับหนังสือและแผ่นเพลงที่ใส่ถุงเรียบร้อยแล้วจากพนักงานมองตามไปจนลับตา
*****
กมลเนตรไขกุญแจเข้าไปในห้อง แสงอาทิตย์วันใหม่มาเยือนแล้วตอนที่เธอเปิดม่าน หลังจากเสร็จภารกิจที่ห้องวิจัยเธอก็ขับรถกลับคอนโดทันที สิ่งแรกที่มองหาคือสัตว์เลี้ยงแสนรัก เจ้าสายไหมกระต่ายสีขาวขนฟูเพศผู้อายุเกือบสองปีนอนขดอยู่ในตะกร้าบุหมอนนุ่มอันเป็นที่นอนของมัน เสียงก๊อกแกรกเรียกมันให้ตื่นจากการนอน หูยาวกระตุกดุกดิกก่อนมันจะพาร่างปราดเปรียวกระโจนเข้ามาหานายสาว กมลเนตรยิ้มพรางย่อตัวลงอุ้มมันขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด
“เป็นไง อารมณ์ดีแบบนี้แสดงว่ากินอิ่มนอนหลับละสิ เมื่อวานขอโทษนะสายไหม แกคงไม่โกรธฉันใช่ไหมที่ไม่ได้กลับมาให้อาหารแก” ลูบขนนุ่มนิ่มของมัน ก้าวเข้าไปในส่วนของครัว ในถังขยะสดมีก้านผักสองสามอย่าง เธอเห็นก้านกะเพราด้วย อดยิ้มไม่ได้ คีตาคงรู้เรื่องการเลี้ยงกระต่ายเหมือนกัน กะเพราจะช่วยไม่ให้มันท้องอืด ฉะนั้นเธอจึงมีติดตู้เย็นไว้ตลอด คอยแทรกให้มันกินทุกวัน
ข้อความในกระดาษโน้ตบนตู้เย็นส่งผลให้กมลเนตรชะงัก กระพริบตาปริบๆ เมื่ออ่านข้อความที่เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบนั้นจบ
ผมทำข้าวต้มหมูไว้ในตู้เย็น ไม่รู้ว่าคุณจะกลับมากี่โมงแต่น่าจะหิว เอามาอุ่นทานนะครับ ส่วนสายไหมผมให้อาหารมันเรียบร้อย กุญแจห้องก็คืนที่ล็อบบี้แล้วนะ อ้อ ซีดีแผ่นนั้นวางอยู่ในชั้นซีดีนะครับ ไม่ต้องคืนนะผมให้แล้วไม่รับคืน
ลงชื่อ คีตา
หญิงสาวบรรยายความรู้สึกของตัวเองขณะนี้ไม่ถูก มันก้ำกึ่งระหว่างความอบอุ่นกับความสับสนในใจ เขาทำดีกับเธอแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่ เธอโตเกินกว่าจะคาดหวังความสัมพันธ์อันสวยงามแบบในนิยายที่ชอบอ่าน เวลาสอนให้รู้ว่าชีวิตจริงไม่ได้สวยงามไร้ขวากหนาม ในแง่ความรักเธออาจจะด้อยประสบการณ์เพราะไม่เคยได้สัมผัสจริงจังสักครั้ง แต่ในแง่ของการได้เฝ้ามองความรักของคนหลายคู่มันทำให้เธอรู้สึกเข็ดขยาดกับมันไม่น้อย แล้วความสัมพันธ์ในระยะเวลาอันสั้นระหว่างเธอกับคีตาละ กมลเนตรไม่อยากเข้าข้างตัวเอง เวลาอาจจะเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด เมื่อเวลานั้นมาถึงคงจะได้รู้เอง
หลังจากวันนั้นมันกลายเป็นความเคยชินไปได้อย่างไรหญิงสาวก็ไม่อาจบอกได้ ทุกวันข้อความของเขาจะถูกส่งเข้าโทรศัพท์มือถือของเธอ คำถามหนึ่งที่ต้องมีคือ ‘วันนี้กลับดึกไหม?’ ถ้าคำตอบคือดึก เมื่อเธอกลับมาถึงห้องอาหารง่ายๆ จะถูกเตรียมไว้ เจ้าสายไหมก็อิ่มท้องนอนหลับฝันดี ชั้นวางแผ่นเพลงของเธอเองนับวันดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลับใสปกรูปบรรทัดห้าเส้นของนักร้องผู้ไม่เคยเปิดเผยตัวต่อสื่อ เจ้าของชื่อคีตา...ที่สำคัญเสียงนุ่มๆ และเปียโนของเขานั้นติดอยู่ในหูแทบตลอดเวลา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องกระชากกมลเนตรจากหนังสือในมือ เหลียวมองไปยังประตูห้องเพื่อเงี่ยหูฟังอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูแว่วไปเองหรือเปล่า เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องเสียงถูกเบาลง เมื่อเสียงเคาะดังขึ้นอีกชุดเธอก็แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง มือบางหยิบที่คั่นหนังสือวางคั่นหน้าที่อ่านค้างไว้ ก้มลงมองความเรียบร้อยของตัวเองว่าเรียบร้อยพอจะรับแขกหรือไม่...เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสามส่วน
หญิงสาวออกจะแปลกใจเล็กน้อยว่าจะมีใครมาหาเธอในตอนเที่ยงวันหยุดแบบนี้ บิดามารดาและน้องสาวอายุห่างกันหลายปีเพิ่งกลับไปตอนสายๆ หลังจากเมื่อวานมาเยี่ยมและค้างด้วย จะบอกว่าเป็นเพื่อนๆ ก็ไม่น่าใช่อีกเพราะเมื่อเช้าโทรมายกเลิกนัดและขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เห็นว่าติดธุระที่บ้านซึ่งตอนแรกตกลงกันว่าจะไปร้องคาราโอเกะด้วยกัน
ประตูเปิดออกพร้อมรอยยิ้มสว่างไสวของบุคคลเบื้องหลังบานประตู คีตามาในชุดที่กมลเนตรเห็นว่ามันทำให้เขาดูดีกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“คุณคีย์!” หญิงสาวอุทานด้วยความแปลกใจ
“สวัสดีครับเนตร” เสียงนุ่มกล่าวทักทายอย่างชื่นบาน ดวงตาสีเข้มของเขาพราวระยับราวกับมีดวงดาวมากมายทอประกายอยู่ในนั้น ทุกอย่างของเขาทำเอาสายตาของเธอพล่าเลือน “จะไม่ให้ผมเข้าไปหน่อยหรอครับ” ชายหนุ่มกลั้นหัวเราะเมื่อผ่านไปหลายนาทียังไม่มีคำเชื้อเชิญเขาเหมือนทุกครั้ง ดูเหมือนประโยคนั้นจะกระชากสติของใครบางคนให้กลับมาได้ องศาประตูจึงกว้างขึ้น
“เนตรครับ” เสียงเรียกนั้นส่งผลให้เจ้าของชื่อหยุดชะงัก หมุนตัวกลับมามองแขกด้วยความสงสัยว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป และมีจุดประสงค์อะไรที่เรียกเธอไว้ “วันนี้ว่างใช่ไหมครับ” เมื่อคำตอบคือการพยักหน้าใบหน้าดูดีนั้นก็กระจ่างขึ้นกว่าเดิม
“ถ้างั้นออกไปข้างนอกกับผมได้ไหม”
“จะไปไหนคะ” อดถามอย่างงุนงงไม่ได้
“ผมมีที่ที่อยากจะให้เนตรไปด้วย ไปกับผมได้ไหม” คำตอบของเขาไม่ได้ให้ความกระจ่างแต่อย่างใด แต่กมลเนตรรู้ดีว่าคีตาไม่เคยขอร้องอะไรเธอ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
“ถ้าอย่างนั้นคุณคีย์รอเนตรเดี๋ยวได้ไหมคะ ขอเนตรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” แทนคำตอบร่างสูงก้าวเข้าไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวประจำ กมลเนตรจึงเดินหายเข้าไปในห้องนอนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ไม่ถึงสิบห้านาทีร่างโปร่งบางก็พร้อมสำหรับการเดินทาง
สถานที่ที่คีตาบอกว่าอยากให้เธอไปด้วยคือบ้านสองชั้นแถบชานเมือง อาณาเขตของบ้านกินเนื้อที่กว้างพอสมควร ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นที่ว่างราวกับรอการปลูกต้นไม้ใบหญ้า ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปก่อน ในมือขาวสะอาดถือพวงกุญแจสำหรับไขเปิดประตูไว้ เขาพากมลเนตรเดินผ่านห้องรับแขกและห้องครัวอันแบ่งส่วนไว้สำหรับนั่งรับประทานอาหาร เครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้ดูยังขาดๆ ในความเห็นหญิงสาว หากประโยคคำถามยังไม่ทันได้ออกจากปาก คนเดินนำก็หยุดลงยังห้องสุดท้ายของชั้นล่างแล้ว
เปียโนสีขาวคุ้นตาวางอยู่กลางห้อง ตู้เก็บแผ่นซีดีตู้ใหญ่และเครื่องเสียงเป็นชุดถูกจัดไว้มุมหนึ่ง เครื่องดนตรีหลายชิ้นไม่ว่าจะเป็นกีตาร์โปร่งหรือไฟฟ้า เครื่องสายอย่างไวโอลินและเซลโล่ อีกด้านของห้องเป็นกระจกใสเปิดออกสู่ด้านหลังของบ้าน ด้านนอกนั่นคือโรงเรือนขนาดเล็กที่ยังว่างเปล่า
“อะไรกันคะคุณคีย์ ที่นี่บ้านใครหรอคะ”
“บ้านผมเองครับ ผมซื้อไว้เมื่อปีก่อน เพิ่งได้มาจัดข้าวของแล้วก็สร้างโรงเรือนเมื่อเดือนกุมภาฯ เนตรชอบไหมครับ”
กมลเนตรมองหน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมต้องถามว่าชอบไหม เธอมีสิทธิ์ออกความเห็นในฐานะอะไร แล้วเขามีจุดประสงค์อะไรถึงได้ถามคำถามนี้กับเธอ
“เนตรไม่เข้าใจ” หญิงสาวบอกความรู้สึกในขณะนั้น คีตาเลิกคิ้วในแบบที่เดาความหมายได้ว่า...ไม่รู้จริงๆ หรือว่าทำไมเขาถึงถามออกไปแบบนั้น
“เนตรยังไม่เข้าใจอีกหรอครับว่าผมกำลังสารภาพรักกับเนตร แล้วก็กำลังขอเนตรแต่งงาน” เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ กมลเนตรอ้าปากค้างอย่างเสียกริยา สมองหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ เมื่อครู่เขาบอกว่าอะไรนะ สารภาพรัก? ขอแต่งงาน? กับใคร...เธอหรือ
“คุณ...ว่ายังไงนะ ขอใหม่อีกทีได้ไหมคะ” ถามแบบเบลอๆ แทบไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ประโยคคำถามดังกล่าวถือเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติมากกว่าจะถูกกลั่นกรองจากสมองโดยตรง ชายหนุ่มกลั้นยิ้มพูดช้าๆ ชัดๆ ให้ฟังอีกครั้ง
“ผมกำลังบอกเนตรว่า...ผมรักเนตร แต่งงานกับผมนะ”
ประโยคเพียงแค่สองประโยคกลับสร้างผลกระทบกับจิตใจได้อย่างมหาศาล มันสะท้อนก้องไปมาในหัวราวกับมีคนเปิดเทปแล้วกรอซ้ำ เมื่อเธอทำความเข้าใจกับมันจนถ่องแท้คำถามมากมายก็หลั่งไหลเข้ามา เหมือนเธอเป็นโขดหินถูกคลื่นซัดผ่านระรอกแล้วระรอกเล่า เนิ่นนานหลายนาทีกว่ากมลเนตรจะหาเสียงตัวเองเจอ
“ทำไม...เรา...เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่เดือนเองนะคะ คุณจะบอกว่าคุณรักเนตรแล้วงั้นหรอ คุณแน่ใจได้ยังไงว่า...ใช่เนตรที่คุณ...รัก...จริงๆ ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง” วลีเพียงคำเดียวยากมากในการพูดออกไป แต่ทำไมเขาถึงกล่าวออกมาได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น
“ใครกำหนดละครับว่าคนคนหนึ่งจะรักใครสักคนต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กัน หนึ่งปี ห้าปี หรือว่าสิบปี...แต่สำหรับผม เนตรคือคนที่ผมคิดถึงไม่ว่าจะหลับหรือตื่น เสียงของเนตร ดวงตาของเนตร รอยยิ้มของเนตร...ผมรักทุกอย่างที่เป็นเนตร” เสียงของคีตาหนักแน่นกว่าครั้งไหนๆ ที่เธอเคยได้ยินมา ดวงตาของเขามั่นคงแน่วแน่ กมลเนตรอยากจะเชื่อคำพูดนั้น แต่เธอจะเชื่อเขาได้แน่หรือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่หลอกลวงเธอ การกระทำของเขาที่ผ่านมาเพียงพอที่เธอจะวางหัวใจไว้ในมือเขาแล้วหรือยัง
หญิงสาวรู้สึกสบสน ตลอดชีวิตเธอเชื่อมาตลอดว่าความรักต้องเกิดจากความผูกพัน บ่มเพาะความรู้สึกที่มีเหมือนกับการปลูกต้นไม้สักต้น เมื่อฝังเมล็ดลงดินแล้วก็ต้องรอเวลาให้มันได้หยั่งรากแตกใบอ่อน คอยฟูมฟักจากต้นกล้าจนมันเติบใหญ่แข็งแรง หากนั่นคือจุดเริ่มต้นเท่านั้น เรายังต้องเฝ้ารดน้ำพรวนดินคอยดูไม่ให้มีแมลงหรือโรคทำลายมันได้ แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับคีตามันเพิ่งจะหยั่งรากแตกใบอ่อนเท่านั้น ในวันข้างหน้ามันจะเติบโตและแข็งแรงได้หรือไม่ก็ยังไม่สามารถบอกได้ การรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยจะสม่ำเสมอหรือเปล่า ทุกอย่างล้วนไม่แน่นอนทั้งสิ้น
“เนตรกำลังกังวลว่าผมจะรักเนตรแบบนี้ไปได้นานแค่ไหนใช่ไหม” คีตามองเห็นถึงความไม่แน่ใจในแววตาของเธอ “ผมไม่อาจให้สัญญาได้ว่าเราจะรักกันไปจนแก่เฒ่า แต่ผมอยากให้เนตรพิสูจน์เองว่าคนอย่างผมไม่เคยพูดคำว่ารักออกมาง่ายๆ แต่เมื่อผมพูดคำนี้กับใคร ผมจะไม่มีวันทวงมันคืน และจะไม่ยอมให้ส่งกลับคืนด้วย” พูดอย่างเอาแต่ใจ หากมันก็ก่อความมั่นคงขึ้นมาในหัวใจของคนฟัง
“ถ้าเนตรยังไม่พร้อมเราคบกันก่อนก็ได้นะ ส่วนเรื่องแต่งงานก็เลื่อนออกไปก่อน ผมยังต้องไปพบคุณพ่อคุณแม่ของคุณด้วย จากนั้นผมจะพาคุณไปพบครอบครัวของผม ไม่ต้องกลัวนะครับคุณแม่ท่านชอบคุณมากเลยละ” คีตาพูดแบบไม่ให้คนฟังขัดขึ้นได้เลยสักนิด ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์กะทันหันด้วยการก้าวเข้ามาประชิดแล้วคว้ามือบางไปกุมไว้ “เนตรครับ ได้โปรดเชื่อในความรักของผมสักครั้งได้ไหม เปิดใจให้ผมบ้าง ผมรู้ว่าผมไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเลิศเลอ และความรักของผมอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือมากมาย แต่ขอให้เนตรรู้ไว้ว่าหัวใจของผมดวงนี้เป็นของเนตรมาตั้งนานแล้ว”
“เนตรเชื่อคุณได้แน่ใช่ไหมคะคุณคีย์” กมลเนตรสบตาร่างสูงเบื้องหน้า เธอจะขอลองเสี่ยงกับความรักครั้งแรกนี้ดู การพัฒนาพันธุ์ต้นไม้ของเธอยังต้องอยู่บนความเสี่ยงในหลายๆ ด้าน เธอยังกล้าที่จะลองเสี่ยง แต่นี่คือความสุขของตัวเองแท้ๆ เธอก็ไม่ควรขี้ขลาดหนีหัวใจตัวเอง
คีตาเปิดยิ้มกว้าง ดวงตาสีเข้มทอประกายยินดีเจิดจ้าจนคนมองตาพร่า ชายหนุ่มดึงร่างบางเข้ามากอดเต็มอ้อม ดีใจจนไม่รู้ว่าจะแสดงออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี แทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือความจริง เธออาจจะไม่รู้ว่าเขาต้องใช้ความกล้าหาญและความพยายามมากมายแค่ไหนจึงสามารถกลั่นกรองความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดให้เธอได้รับรู้ได้ แต่ร่างนุ่มนิ่มในวงแขนเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ได้ฝันไป...มันคือความจริง ความจริงที่ทำให้การรอคอยทุกสิ่งสิ้นสุดลง นับแต่วินาทีนี้บทเพลงรักของเขาและเธอจะเริ่มบรรเลง
ชายหนุ่มคลายอ้อมกอดแล้วดึงกมลเนตรลงนั่งบนเก้าอี้หลังเปียโนหลังใหญ่ด้วยกัน เขาไล่ปลายนิ้วบนคีย์เปียโนเป็นการวอร์มนิ้ว เงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคอไปสบสายตาที่ตรึงภวังค์ความคิดของเขาทุกวินาทีอย่างอ่อนหวาน เพลงที่เขาคิดว่าสามารถบรรยายความรู้สึกของตัวเองขณะนี้ได้ตรงที่สุดถูกบรรเลงผ่านปลายนิ้วและเสียงทุ้มนุ่ม เนื้อหาและความหมายของเพลงเรียกรอยยิ้มอ่อนหวานจากเธอ เสียงหวานร้องคลอไปกับเขา...หัวใจของเธอไม่ได้เงียบเหงาอีกต่อไป มันกำลังดังก้องไปด้วยบทเพลงแห่งความรัก
ฉันคิดว่ารักมันคือความผูกพัน
คิดว่ารักแท้ต้องเดินผ่านวันและเวลา
ยิ่งเนิ่นนานนานไปเท่าไร ความรักยิ่งมีค่า
ที่ฉันรู้ที่เคยฝัน รักที่ฉันเคยเข้าใจ
ไม่คิดไม่ฝันเมื่อเธอผ่านเข้ามา
เหมือนว่าสายตาฉันเองมองไม่เห็นใครๆ
หยุดที่เธอแค่เพียงสบตา และวินาทีนั้น
โลกทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหว ท้องฟ้ากลับสดใส
ลมหายใจ เหมือนหยุดไปในห้วงนาทีนี้
เช่นหัวใจ ลอยหลุดไปทันทีที่สบตา
เธอหยุดยั้งวันเวลา แค่เราได้พบกันในวันนี้
แค่พบเจอกับเธอ
ฉันเพิ่งเข้าใจว่ารักเป็นอย่างนี้
ฉันเพิ่งเข้าใจเมื่อได้มาเจอด้วยตัวเอง
เสี้ยวนาทีก็มีความหมาย เปลี่ยนโลกได้ทั้งใบ
ฉันเพิ่งรู้ในวันนี้ รักไม่ต้องการเวลา**
(**เพลง รักไม่ต้องการเวลา ศิลปิน:Klear อัลบั้ม:Brighter Day)
ปีการศึกษาใหม่ในสัปดาห์สุดท้ายของการประชุมเชียร์ เป็นธรรมเนียมว่าในวันจันทร์ทุกสัปดาห์ตั้งแต่สัปดาห์ที่สองจะให้พี่รหัสมาพบกับน้องปีหนึ่งพร้อมทั้งเอาของมาให้ ไม่ว่าจะเป็นของใช้จิปาถะ เครื่องเขียนหรือแม้แต่ขนมนมเนย จันทร์ที่สองเป็นคิวของพี่รหัสปีสอง จันทร์ต่อมาเป็นของปีสาม และจันทร์สุดท้ายอันเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการประชุมเชียร์ที่จะสิ้นสุดลงในปลายสัปดาห์นั้นตกเป็นของพี่ปีสี่และปีสูงกว่านั้น (หากมี) และกมลเนตรเองก็ไม่เคยพลาดงานนี้เหมือนกัน สายรหัสของหญิงสาวจึงเป็นที่กล่าวขวัญถึงทุกปี เพราะพี่รหัสที่แม้จะจบไปแล้วก็ยังฝากของมาให้ เรียกว่าเป็นสายรหัสที่น่าอิจฉามากที่สุดสายหนึ่งเลยทีเดียว
กว่าจะถึงเวลาที่กำหนดไว้คือประมาณห้าทุ่มก็อีกเกือบสองชั่วโมง เมื่อมาถึงกมลเนตรจึงโทรบอกน้องๆ เพียงไม่นานน้องรหัสก็มากันครบยกเว้นก็แต่น้องนุชสุดท้องที่ตอนนี้ก้าวขึ้นมาเป็นพี่ปีสองคอยดูแลน้องอยู่เท่านั้น และไม่ได้มีการนัดหมายทันทีที่ทั้งกลุ่มมองเห็นพี่สาวใหญ่ก็อ้าปากค้างกันเป็นทิวแถว ปฏิกิริยานั้นไม่ได้เกิดจากการที่หญิงสาวมีสิ่งแปลกปลอมงอกออกมาจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแต่อย่างใด หากมันเกิดจากร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นต่างหาก
“ทำไม เจ๊...กับคุณคีตา ถึงมา...ด้วยกันละ” ชาช่าถามตะกุกตะกัก จำชื่อชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ได้แม่นเพราะเอาเก็บไปนอนฝันถึงอยู่หลายคืน
“นั่นสิคะ น้ำหวาน...งง” สาวน้ำหวานที่กำลังจะก้าวเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในอีกไม่กี่วันกระพริบตามองปริบๆ ในขณะที่อีกหนึ่งสาวน้อยปีสามนั้นดูเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะเจ้าหล่อนปลื้มคีตาเอามากๆ มาตั้งแต่งานแสดงดนตรีครั้งนั้น
กมลเนตรแสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่ำกึ่งระหว่างความขัดเขินกับลังเลใจว่าจะบอกกับบรรดาน้องรหัสอย่างไรกับความสัมพันธ์ของเธอและเขา ผิดกับคีตา ชายหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้สาวๆ (ทั้งแท้และไม่แท้) ทั้งหลายแทบล้มทั้งยืน
“ผมมาเป็นเพื่อนเนตรครับ เราสองคน...คบกันอยู่ คิดว่าคงจะหมั้นกันในเร็ววันนี้ ยังไงเชิญทุกคนด้วยนะครับ”
หลายวันต่อมาความบังเอิญก็พาให้สองหนุ่มสาวที่ออกไปทานอาหารเย็นด้วยกันพบกับอาจารย์ดลพัฒน์และครอบครัว ท่านแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ก่อนกลับเมื่อกมลเนตรลุกไปเข้าห้องน้ำจึงอดกระซิบถามอดีตลูกศิษย์ด้วยความสงสัยไม่ได้
“นี่เจ้าคีย์ แกคบกับยัยหนูเนตรหรอ” คีตายิ้มกว้างกับประโยคคำถามนั้น กระซิบเสียงเบาพอกันตอบกลับสั้นๆ
“ครับ”
“แกพูดได้คำเดียวหรอ” ถามอย่างฉุนๆ หากชายหนุ่มเพียงหัวเราะเบาๆ ท่านจึงซักไซ้ต่อ “ฉันรู้ว่าแกแอบชอบยัยหนูมาตั้งแต่ฉันเล่าให้ฟังเมื่อสามปีก่อน แต่ทำไมไปเร็วนักเพิ่งเจอตัวจริงแค่ไม่กี่เดือนเอง”
“ผมจริงจังนะครับอาจารย์ ถ้านับกันจริงๆ ผมรักเธอมาสามปีกว่าแล้วนะ จะให้ผมรอไปอีกกี่ปีละครับ” คีตาตอบยิ้มๆ แต่ในสายตาของผู้ที่เคยสอนสั่งและรู้จักมาเกือบสิบปีดูออกว่าคำพูดทุกคำของเขาหนักแน่น
“แล้วแกทำยังไงเนี่ยถึงทำให้ยัยหนูเนตรตอบตกลงเป็นแฟนกับแกได้” ถึงอย่างนั้นความสงสัยก็ยังไม่จางหายไปง่ายๆ ลูกศิษย์ตัวดียิ้ม ดวงตาพราวระยับ
“อาจารย์ครับ ผมเป็นนักแต่งเพลงนะครับ แต่งเพลงรักมานักต่อนัก ทำไมเพลงรักของตัวเองผมจะแต่งไม่ได้ แล้วอาจารย์เคยได้ยินไหมครับ..ว่าเรื่องบังเอิญไม่เคยเกิดขึ้นซ้ำสอง”
The End
ผลงานอื่นๆ ของ Lady Aoween/ชโลธาร ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Lady Aoween/ชโลธาร
ความคิดเห็น