ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #14 : -- 1.12 - ประหลาด - "พลังนั่น มนุษย์มีอำนาจถึงขั้นนั้นได้ยังไง"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 150
      1
      3 พ.ย. 53

    บทที่ 12 - ประหลาด

     

    คืนนี้ อิเรทัสพบเจอเรื่องแปลกสี่ประการ

     

    ...................

     

    ประการแรก พอเหยียบย่างเข้าบริเวณโถงส่วนหน้าของวิหารเลวิส เจ้าฟีรัส สุนัขคู่ใจบอกว่าได้กลิ่นเลือด

    ชายหนุ่มทดลองสูดจมูกลึก ๆ ก็พบตามนั้น เบาบาง แต่มีแน่ ๆ

    เมื่อลองสังเกตรอบด้านให้ละเอียด ยังเจอร่องรอยตามจุดต่าง ๆ บนกำแพง พื้นหิน เพดาน เหมือนเพิ่งเกิดความเสียหายและถูกซ่อมแซมกลบเกลื่อน อย่างเร่งด่วนแต่แนบเนียนพิถีพิถัน ชนิดที่คงมองไม่ออกหากไม่ใช่สายตาของผู้มีประสาทสัมผัสแหลมคมเช่นฟีราเคนิสและเขา

    อิเรทัสนึกสงสัย หรือในช่วงราวไม่กี่วันมานี้ ที่นี่เคยมีเหตุฆ่าฟัน ตนอาจไม่ใช่คนแรกที่บุกเข้ามา

     

    ...................

     

    ประการที่สอง เป้าหมายของเขา...ไอ้ดาบแห่งแสงสุริยันนั่น

    วิหารเลวิสแม้ซับซ้อนกว้างขวาง ทั้งยังวางกำลังอัศวินศักดิ์สิทธิ์คุ้มกันตรวจตราละเอียดถี่ถ้วน แต่มีฟีรัสนำทาง อิเรทัสย่อมเสาะหาคนที่ต้องการพบได้โดยง่ายดาย

    คริสซอร์เดินอยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่ส่วนหลังของวิหาร นั่นเองที่ชายผมชี้ชันฉงน เขาเข้าใจว่าสิ่งปลูกสร้างของพวกมนุษย์มักออกแบบให้ส่วนหลังคือพื้นที่ของบริวาร นักบวชชั้นสูงมาเสนอหน้าอะไรในสถานที่คนรับใช้

    แต่ปัญหาไม่ใช่ตรงนั้น

    ที่แปลกคือวิธีต่อสู้ของมัน

    อิเรทัสพุ่งออกจากที่ซุ่ม หมายปลิดชีพในคราวเดียว ที่แล้วมาชายหนุ่มเกลียดชังการลอบกัด แต่ครั้งนี้ต่างไป เขาไม่เลือกวิธีที่ใช้

    พลาด

    เถระผมทองเบี่ยงตัวเล็กน้อย กรงเล็บของผู้ลอบสังหารก็แฉลบผ่าน ไม่แม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วน

    คริสซอร์ไม่ตระหนกแม้สักนิด ในมือปราศจากอาวุธทว่าไร้ความร้อนรน เขาขยับกายแช่มช้า ย่างเท้าขวานำ ไขว้ฉากแขนสองข้าง สันมือตั้งตรงต่างดาบ

    โฮ่ อิเรทัสไม่เคยเห็นมนุษย์คนใดทำเช่นนี้มาก่อน เขากางแขนชี้เฉียง เกร็งมือทั้งคู่ กล้ามเนื้อเหยียดตึง หมอบร่างต่ำลงประหนึ่งเจ้าป่าเตรียมตะครุบเหยื่อ สัตว์นักล่าคู่ใจก็ทำเช่นเดียวกัน

    ฉับพลัน หนึ่งจอมเวทหนึ่งสัตว์ตวัดกรงเล็บขย้ำคมเขี้ยว กระโจนกลุ้มรุมบนล่างซ้ายขวาหน้าหลัง อีกฝ่ายคล้ายไม่เกี่ยง เพียงรับมืออย่างรัดกุม ไม่เรียกร้องขอความช่วยเหลืออย่างที่ควรทำ แสดงว่าถือดีในศักดิ์ศรี

    พวกเขาล้วนมือเปล่าเท้าเปลือย ทว่าห้ำหั่นเหี้ยมเกรียมยิ่งกว่าใช้อาวุธ จู่โจมแต่ละครารุนแรงว่องไว ใช้ความเด็ดเดี่ยวดุดันเข้าฟาดฟัน

    เสียงจากการต่อสู้ย่อมดังไปถึงทหารรักษาการณ์รอบด้าน บรรยากาศอันเงียบสงัดเริ่มแว่วเสียงเอะอะสับสน

    ทั้งสามไล่ล่าไปบนเส้นทางเชื่อมต่อห้องหับ พันตูดุเดือดไปได้ชั่วระยะร้อยก้าว สุนัขดำฟีรัสก็กระเด็นออกไปนอกวง

    แม้สูญเสียรูปแบบการประสานกำลังไป แต่อิเรทัสไม่ได้ตกเป็นรอง ตรงกันข้าม เขาไม่ต้องระวังว่าเพื่อนคู่หูจะถูกลูกหลง ความรวดเร็วจึงยิ่งเพิ่มพูน

    คริสซอร์ย่อมรวดเร็วขึ้นเฉกเช่นกัน

    กรงเล็บและมือดาบต่างไล่ต้อนบีบคั้น ระดับการขับเคี่ยวถูกขับดันให้เหนือชั้นขึ้นไปอีก จนสุดท้าย ทั้งสองฝ่ายกลับกลายเป็นแสงขาวหนึ่งลำและเงาดำหนึ่งสายพุ่งเข้าปะทะหักล้าง

    ตอนนั้นเอง อิเรทัสพบว่าเป้าหมายของตนยิ่งแปลกพิสดาร

    ความเฉียบคมของมัน มีบางอย่างที่ขัดแย้งในตัว

    ทั้งที่บางจังหวะ เขาพลาดพลั้งเปิดช่องว่างแท้ ๆ หากยอมแลก อาจก่อความเสียหายแก่เขาได้คุ้มค่า แต่มันกลับเลือกที่จะไม่ทำ

    มันยึดติดความสมบูรณ์แบบ ยึดมั่นปานกฎเหล็ก เหมือนไม่อาจยอมให้ตัวเองเกิดบาดแผลแม้เพียงริ้ว

    ไม่นาน บรรดาอัศวินศักดิ์สิทธิ์จะยกโขยงมา ต้องเร่งเผด็จศึก...ผู้มีพลังของหมาป่าคิดขณะรุกรับเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นยิ่งมายิ่งกล้าแลก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน โจมตีต่อเนื่องไม่ขาดตอน ไม่ถดถอย ไม่รั้งยั้ง ไม่เผื่อทางหวนคืน

    และเมื่อคริสซอร์ไม่เป็นเช่นกัน ความเหลื่อมล้ำย่อมบังเกิด ทีละน้อย ค่อย ๆ ชัดเจน

    กระทั่งมือขวาของอิเรทัสตะปบเข้ากลางลำตัวเถระหนุ่มได้สำเร็จ

    ...เพียงชั่วแวบที่จอมเวทกระหยิ่มใจ

    ...ทันทีที่บาดแผลของนักบวชผมทองหายไปราวกับโกหก

    ใต้ท้องฟ้ามืดมนอนธการ ปรากฏสุริยันสาดแสง

    ทั่วร่างคริสซอร์คล้ายแปรสภาพเป็นใบดาบ ทิ่มแทงโหมทะลวงทั่วทุกทิศทาง เสมือนดวงตะวันส่องผืนพิภพทำลายเงามืด แผดเผา เกรี้ยวกราด คมกล้า ประดุจแรงโทสะทับทวี

    ท่ามกลางกระแสดาบนับร้อยพันปกคลุม ไร้ช่องโหว่ให้ฉกฉวยอีก อิเรทัสหมดหนทางโต้ตอบโดยสิ้นเชิง

    เขาล้มลง พ่ายแพ้ราบคาบ ได้แต่มองดูคู่ต่อสู้เงื้อมือต่างดาบข้างนั้น ฟาดฟันลงมา

     

    ...................

     

    ประการที่สาม เพื่อนของเขา...ลิเบอร์ เจ้าแว่นตัวแสบ พริบตาที่คิดว่าตายแน่แล้ว อยู่ดี ๆ มันก็โผล่หัว

    ชายสวมแว่นฝ่าแนวกั้นของอัศวินเกราะเหล็กเข้ามาทางด้านหลัง กระชากคอเสื้ออิเรทัสหลบพ้นวงดาบได้ทันหวุดหวิด

    พริบตาถัดมา พวกเขาก็ออกมาอยู่ด้านนอกวิหาร ข้างมุมอาคารบ้านเรือนดังเดิม

    "เคยบอกตั้งไม่รู้กี่หนแล้วว่าให้หัดฝึกฝนมนต์ย้ายร่าง" ลิเบอร์ว่าเรียบ ๆ

    ฟีรัสเดินโซซัดโซเซมาหาเจ้านาย อิเรทัสนอนหมดสภาพอยู่กับพื้น ไร้เรี่ยวแรงหยัดยืน แต่ปากยังดี

    วิชาที่เอาไว้ใช้หนีน่ะข้าไม่สนหรอก"

    "เจ้าทะนงตนเกินไป ตายแล้วก็จบเท่านั้น หน้าที่หลักของเราคือจรยุทธ วิชาสำหรับบุกจำเป็นต้องมี วิชาสำหรับถอนตัวก็ต้องไม่ละทิ้ง"

    ชายผมเม่นไม่โต้เถียง เพียงเกาศีรษะแกรก ๆ ก่อนจะพูด เสียงห่อเหี่ยวต่างจากที่เคย

    โหสิว่ะ ลิเบอร์ ข้าห่วยแตกเอง รักษาเงื่อนไขที่เจ้าวางไว้ไม่ได้ ข้าพยายามจัดการให้เงียบเชียบรวดเร็วที่สุดแล้ว แต่..."

    เจ้าทำดีแล้ว อีกฝ่ายกลับชมเสียอย่างนั้น อิเรทัสงวยงง แต่ไม่ทันได้ถามก็ต้องหยุดคำ

    กลุ่มบุรุษในชุดคลุมสีดำพรางตัวกลมกลืนกับความมืดเผยตัวออกมาจากส่วนลึกของตรอกอีกฟากถนนนับจำนวนได้ราวสิบกว่าคน

    พวกเขาค้อมกาย ทำความเคารพต่อลิเบอร์โดยพร้อมเพรียง

    "คำสั่งลับเพิ่มเติมจากท่านเซ็นซูร่า 'หากสืบชัดแล้วว่าฆาตกรคือคนของศาสนจักรจริง ให้เตรียมการสำหรับทำศึก' " ชายสวมแว่นพูดขึ้น "ระหว่างที่เจ้าพัวพันอยู่กับดาบแห่งแสงสุริยัน กำลังทหารในนั้นระส่ำพอควร ส่วนหนึ่งถูกโยกไปเพื่อตามปิดล้อมเจ้า ข้าก็ถือโอกาสส่งพรรคพวกไปสำรวจตามช่องโหว่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ต่อจากนี้ คิดใช้มนต์ย้ายร่างยกพลบุกเข้าวิหารเลวิสก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร"

    หลังจากฟังจบ อิเรทัสลุกขึ้นได้ในที่สุด ชายหนุ่มทำทีตบฝุ่นผงตามตัว ไล่สายตามองเหล่าคนที่เรียงแถวอยู่เบื้องหน้าแล้วเหยียดยิ้ม

    "นึกว่าพวกลับ ๆ ล่อ ๆ ที่ย่องตอดตามเรามาตลอดทางเป็นใคร ที่แท้ก็คนของเจ้านี่เอง"

    ประคองเขา เจ้าหมานั่นด้วย ลิเบอร์สั่งสั้น ๆ ชายในชุดดำสองคู่ตรงเข้ามาช้อนใต้แขนซ้ายขวาของอิเรทัส และอุ้มฟีรัสขึ้น

    ไม่ต้องโว้ย แค่มดกัด คนเจ็บโวยวายทันที สุนัขดำเห่าโฮ่งผสมโรงเจ้านาย

    แผลเกลื่อนเต็มตัวแล้วยังปฏิเสธความหวังดีของผู้อื่นให้มันได้อะไร แค่เพื่อที่จะอวดว่าเข้มแข็งรึ จอมเฉยชาตอกนิ่ม ๆ

    ฟีรัสครางหงิง ชายผมเม่นจำยอมให้พยุงแต่โดยดี ลิเบอร์สาวเท้าออกเดินนำ พลางเอ่ยถาม

    "ทีนี้ชัดหรือยัง ฝีมือของคนที่เจ้าต้องการสังหารนักหนา"

    "ประมาณสามเท่าของข้า...ถ้ามันเอาจริงแล้วล่ะก็นะ" ผู้ปราชัยมาหมาด ๆ กัดฟัน ตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว "พลังนั่น มนุษย์มีอำนาจถึงขั้นนั้นได้ยังไง"

    "ยังไม่รู้ว่าต้นตอของการได้มาซึ่งพลังระดับนี้คืออะไร" ลิเบอร์พูดเนิบเนือย "แต่อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับ...พวกมันก้าวผ่านขีดจำกัดที่เราเคยเข้าใจมาแล้ว และยังอาจข้ามพ้นเราด้วยซ้ำ ชายคนนั้นคือผู้เลิศล้ำเหนือทุกอัศวินในศาสนจักร จะบอกว่าเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ไม่เกินเลยไป เจ้าชนะสิถึงแปลก"

    โดนสบประมาทกันระยะเผาขนเช่นนี้ หมาป่าหนุ่มชักเดือดปุด

    "อ้อ ใช่ล่ะ ข้ามันบัดซบ แต่เจ้าเถอะ รู้ทั้งรู้ว่าแพ้แหงแซะก็ยังส่งข้าเข้าไปเรอะ"

    "เจ้าเดินเข้าไปด้วยขาของตัวเอง และความตั้งใจของตัวเอง"

    "ข้าอาจตายได้นะเว้ย ไอ้เพื่อนเปรต !"

    "ข้าก็ไปช่วยเจ้าออกมาแล้วไง"

    ชายผมเม่นเถียงไม่ออก ลิเบอร์จึงพูดต่อไป

    "คนประเภทเจ้าน่ะ หากไม่ได้มองด้วยตา ยินด้วยหู รับรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีทางยอมรับได้หรอก ถ้าข้ายืนกรานให้เจ้ากลับ เจ้าย่อมดึงดันจะเข้าไปให้ได้แม้ต้องต่อสู้กับข้าก็ตาม ข้าไม่คิดจะมาต่อสู้กันเองในเขตของศัตรู"

    "แต่...พวกเราก็ต้องเข้าไปอยู่แล้ว เจ้าบอกข้าได้นี่หว่าว่ามีแผนการในใจ" อิเรทัสยังฮึดฮัด

    "ลองบอกว่ามีแผนจะบุกแต่แรก เจ้าคงอาละวาดฟาดฟันซะเต็มเหนี่ยว ข้าต้องการคนก่อกวนดึงความสนใจแค่ชั่วขณะ ไม่ได้หวังเปิดฉากนองเลือดมโหฬาร เมื่อโจมตีสุดแรง ฝ่ายตรงข้ามต้องทุ่มสุดกำลังโต้กลับ แบบนั้นเจ้าจะเสี่ยงเกินไป"

    ชายผมเม่นทุบอกตนเอง "เพื่อเนิร์ฟเธน ข้ายินดีเสียสละให้แผนการบรรลุ"

    ลิเบอร์หยุดเท้า

    "อย่าพูดแบบนั้นอีก อิเรทัส นั่นถือเป็นการดูถูกข้า"

    ชายสวมแว่นหันกลับมา สีหน้าและถ้อยคำแสดงอารมณ์ให้เห็นเป็นครั้งแรก

    "ในแผนของข้าจะไม่มีการเสียสละอะไรทั้งสิ้น" เขากล่าว ชัดเจนจริงจัง ผิดจากท่าทีเฉื่อยชาที่ผ่านมา "ข้าประเมินแล้ว เจ้าแม้วู่วามมุทะลุ แต่สัญชาตญาณระวังภัยสูงลิบ มีปัญญาพอเอาตัวรอดจนกว่าข้าจะไปช่วยได้แน่ ถึงปล่อยเจ้าเข้าไป"

    สหายของตนไม่เคยเคียดขึ้งถึงเพียงนี้ อิเรทัสรู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก รีบเบี่ยงเบนบทสนทนา พยายามพูดกลั้วหัวเราะ

    ครั้งนี้เจ้าสร้างผลงานได้ไม่เลว เปิดฉากสู้รบเมื่อไร นี่ก็ถือเป็นข้อได้เปรียบหนึ่งของทางเราล่ะ

    เจ้าของผลงานกลับไม่แสดงความปรีดาแม้แต่น้อย

    "เจ้าต้องการมันมากถึงขนาดนั้นเลยรึ...สงครามน่ะ" ลิเบอร์ถาม "เพิ่งเฉียดกรายความตายมาหยก ๆ เจ้าไม่นึกอยากรักษาชีวิตไว้บ้างเลยหรือ"

    อิเรทัสนิ่งงัน ไม่สามารถตอบได้

    "เอาเถอะ" ชายสวมแว่นถอนใจ "พูดไป พวกสัตว์ป่าบ้าพลังอย่างเจ้าก็คงไม่เข้าใจ"

    "ว่าไงนะ ไอ้--"

     

    ...................

     

    ประการสุดท้าย ฟีรัสบอกเขาอีกว่า รับรู้ได้ถึงพลังเวทดวงหนึ่งระหว่างที่อยู่ในวิหาร

    ชายหนุ่มงุนงงเพราะไม่พบอย่างที่มันบอกเลย เจ้าสุนัขว่าพลังของคนคนนี้เบาบางยิ่งกว่ากลิ่นเลือดที่ได้เจอในคราวแรก เลือนรางจนไม่อาจชี้ชัดตำแหน่งทิศทาง แม้แต่เขายังสัมผัสไม่พบ

    นั่นอาจเป็นคนของลิเบอร์ที่ลอบเข้าไปในเวลาไล่เลี่ยกัน...ชายผมเม่นให้ความเห็น ฟีรัสไม่โต้ตอบ ดูเหมือนตัวมันเองก็ไม่ใคร่แน่ใจว่าสับสนจนเข้าใจผิดรึไม่

    ความสงสัยข้อนี้ อิเรทัสจึงปล่อยผ่านไป ไม่ได้นำมาใส่ใจ และไม่ได้บอกกับใคร

     

    ...................

     

    คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 12 - ประหลาด'

     

    สวัสดีครับ

    ฉากต่อสู้ เดิมทีเขียนออกมาสั้นกว่านี้จึงเติมเข้าไปอีก (แต่ก็ยังสั้นอยู่ดีสินะ) แหะ ๆ ชอบแบบนี้น่ะครับ ถ้าไม่ใช่ฉากต่อสู้ใหญ่ ๆ ก็อยากเน้นความกระชับฉับไวมากกว่า แล้วก็ถนัดไปทางบรรยายมโนภาพมากกว่าการกระทำด้วย

    และภาพรวมเนื้อหาของบทนี้ก็ค่อนข้างห้วนสักหน่อย รู้สึกว่าถ้าใส่เรื่องราวด้านอื่นเข้ามาด้วยดูจะเกิน ๆ ไม่ค่อยเข้า จึงเขียนให้เน้นเหตุการณ์นี้แค่เหตุการณ์เดียวผ่านมุมมองของอิเรทัส (เลยกลายเป็นว่าหมอนี่คือตัวละครแรกในเรื่องที่ได้เดินเรื่องคนเดียวทั้งบทซะงั้น) พอมาดูประกอบกับบทที่ 13 ที่คุณ Anithin เขียน ก็รู้สึกว่าตัดเนื้อหาไว้แค่นี้ดีแล้ว เพราะทำให้สามารถปิดฉากเรื่องในส่วนแรกได้พอดี

    bluemouse

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×