ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Rebels' Saga - กบฏมายา มนตราเทวยุทธ

    ลำดับตอนที่ #13 : -- 1.11 – เปลี่ยนแปลง - “ข้าว่า...ท่านควรเปลี่ยนคำพูดใหม่”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 168
      1
      30 ต.ค. 53

    บทที่ 11เปลี่ยนแปลง

     

    เพอร์นิลล่า? นายกองอัศวินเลิกคิ้ว

    ท่าน...รู้จักนางใช่ไหม ดีนัวถามอย่างหมายมาด

    แต่ไม่คาด...ความผิดหวังกลับมาเยือนรวดเร็วนัก

    ข้ารับใช้เพียงกิจของคณะนักบวช ไหนเลยจะมีเหตุให้รู้เรื่องหญิงรับใช้ในนั้น คู่สนทนาเอ่ยเคร่งขรึม ที่สำคัญ ผู้อุทิศตนให้มหาวิหารเท่ากับตัดขาดญาติมิตรสิ้นแล้ว ท่านควรถือและพึงระวัง ไม่ว่าเมื่อก่อนเคยเกี่ยวข้องกันอย่างไร บัดนี้ก็เหมือนอยู่คนละโลก ถือว่าต่างฝ่ายตายจากกันเสียจะดีกว่า

    รองหัวหน้าหมู่บ้านเผยอริมฝีปากค้าง ไม่ทันรั้งร่างที่เดินจากไปอีก

    ข้าขอตัว ยังมีธุระอีกมากต้องจัดการ

     

    ...................

     

    ถึงเออร์ลีอา

    ข้าหวังว่าเจ้าสบายดี พวกเราทุกคนที่นี่สบายดี บัดนี้มัธคาร์ยี่สิบแล้ว เข้าฤดูใบไม้ผลินี้ เมลิสซ่าก็จะสิบสี่ เด็กทั้งสองยังอยู่อย่างเข้มแข็ง ดูแลตนเองได้เป็นอย่างดีจนข้าชื่นชม แต่บางทีก็อดกังวลไม่ได้

    คนที่สถานีการค้าของมอร์ติกาบอกว่าเจ้าไม่ได้มารับจดหมายเลย เขาจึงทำลายทิ้งทุกครั้งที่ถึงกำหนด แต่ข้าก็คิดว่าคงต้องเขียนไปเรื่อยๆ เมื่อไรเจ้าพร้อม จะได้มารับจดหมายเหล่านี้ไป และถ้าเป็นไปได้ จะได้นัดให้เด็กทั้งสองได้มาพบเจ้าด้วย

    ข้าอยากให้มัธคาร์กับเมลิสซ่าอยู่ที่ไฮฟ์ ให้มัธคาร์ช่วยดูแลหมู่บ้านต่อไปจากข้า แต่เด็กคนนั้นคงไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกแล้วกระมัง เขาเหมาะกับชีวิตแบบเจ้า มากกว่าชีวิตแบบข้าหรือมัธซาร์ หากพวกเขาอยากไปแดนพายัพกับเจ้า ข้าก็ยินดี ข้าทำให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์มากเกินกว่าจะรั้งพวกเขาไว้จริงๆ

    ข้าหวังว่าเจ้าจะได้รับจดหมายฉบับนี้

    มูอาทา

     

    เมื่อได้รับทีแรก เซอร์โวอ่านจดหมายนั้นจบโดยเร็ว แต่เมื่อขอตัวกลับห้องพักแล้ว ก็ยังคงอ่านซ้ำอีกหลายรอบ สังเกตวันที่เขียนซึ่งลงไว้เมื่อต้นปีนี้ และจับความนัยซึ่งแฝงอยู่ในนั้น

    อาเบลล่าคงจะยังมีชีวิตอยู่จริง...แม้ไม่รู้ว่าบัดนี้นางไปอยู่ที่ใด กระทั่งลูกทั้งสอง นางก็ไม่ได้กลับมาพบหน้า หรือแม้แต่จะติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี

    ...ปีนี้ มูอาทาป่วย จึงวานผู้อื่นส่งจดหมายให้ ข้าเห็นจดหมายนี้จ่าหน้าประหลาด เกรงเป็นเรื่องผิดต่อหมู่บ้านหรือศาสนจักร จึงได้เปิดอ่านดู และเก็บไว้ หมายว่าหากมีหลักฐานอื่นชัดเจนขึ้น จะนำส่งศาสนจักรในทันที... หัวหน้าหมู่บ้านหนวดโง้งบอกตอนนั้น ...สวรรค์ทรงโปรดจริงๆ ที่พวกท่านมาในเวลานี้...

    ชายวัยกลางคนยังพูดต่อไปอีกมาก ...หากเออร์ลีอามาจากแดนพายัพ...ซึ่งหมายความเป็นที่ใดอื่นไม่ได้นอกจากเนิร์ฟเธน ก็เท่ากับนางเป็นจอมเวท ที่จริงนางมีพิรุธมาแต่เดิมแล้ว ตรงที่ผึ้งตัวใดก็ไม่เคยทำร้ายนางเลย ลูกสาวของนางที่มีเชื้อสายเผ่าพันธุ์ชั่วช้านั่นก็เป็นเหมือนกัน ส่วนมัธคาร์ลูกชายเป็นคนเลือดร้อนมุทะลุ ช่างก่อเรื่องในหมู่บ้านมานักต่อนัก วิวาทกับลูกชายข้าก็หลายครั้ง มันอ้างว่าช่วยท่านหญิงภิกษุณี แต่ที่แท้เก็บนางไว้บ้านตนโดยไม่ยอมแจ้งทางการถึงสองวันแล้ว เหตุใดจู่ๆ วันนี้จึงทิ้งนางไว้ลำพัง วิ่งวุ่นตามหาน้องสาว แล้วเหตุใดท่านหญิงภิกษุณีจึงต้องหนีออกจากบ้านของมัน...

    ...เป็นไปไม่ได้เชียวหรือ ว่าที่แท้มัธคาร์ต่างหากที่กักขังนาง หมายครอบครองหรือข่มเหง รูปโฉมนางงามงด ทั้งเขาพบร่างนางตอนเปลือยเปล่า ไหนเลยจะไม่เกิดจิตอกุศล พอร้อนตัวกลัวถูกจับได้ จึงเร่งป้ายสีให้ซอร์ดีโอซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่...

    สารพัดเหตุผล สารพันคำอ้าง ทว่านายกองอัศวินฟังมาถึงตอนนี้ ย่อมรู้แจ้งเห็นจริงถึงลิ้นไก่

    ชายตรงหน้าไม่ต้องการให้ลูกของตนถูกจับกุมลงโทษ จึงขุดความผิดของมูอาทาที่ตายไป นำเอาชาติกำเนิดของอาเบลล่ากับลูกๆ ของนางมาป้ายสี...ทั้งๆ ที่พยานหลักฐานยังไม่ชัดเจน มิเช่นนั้นก็ชี้ชัดไปอีกทาง

    เป็นคนประเภทที่เซอร์โวจงชังที่สุด

    หากไม่ติดภารกิจ...คำเรียกอาเบลล่าว่าเป็น เผ่าพันธุ์หยาบช้า ก็เพียงพอแล้วที่เขาจะใคร่บั่นคอมันเสียตรงนั้น

    แต่เซอร์โวไม่มีหน้าที่ตัดสินชายคนนั้น ความผิดฐานพยายามล่วงละเมิดท่านหญิงเป็นของลูกชายดีนัว ไม่ใช่ตัวรองหัวหน้าหมู่บ้านเอง นั่นเป็นเรื่องที่ปากคำของท่านหญิงและพยานหลักฐานที่ค้นได้จากที่เกิดเหตุจะจัดการ

    ส่วนเรื่องที่มูอาทาจงใจปกปิดเกี่ยวกับอาเบลล่า ชายหนวดโง้งเปิดเผยต่อเขาเสียอีกจึงเป็นเรื่องดี หัวหน้าหมู่บ้านสิ้นแล้ว จดหมายที่มี มันก็มอบต่อเขา ต่อไปจะเอาจดหมายมาอ้างไม่ได้อีก เรื่องที่สามแม่ลูกเป็นจอมเวท...หรือที่ถูกคือหนึ่งจอมเวท และอีกสองลูกครึ่ง...จะกลายเป็นลมปากเปล่าๆ ไร้หลักฐาน

    หน้าที่ของเขายังคงเดิม ตามหาหลานสาวหัวหน้าหมู่บ้าน ลูกชายรองหัวหน้าหมู่บ้าน รวมทั้งผู้ติดตามอีกสองที่หายไป ผู้ใดกระทำความผิดก็รับคำสั่งคุมตัวส่งตุลาการตามสมควร จากนั้นจึงคุ้มกันโล่รัศมีจันทราคืนสู่มหาวิหาร

    แต่เด็กทั้งสอง...มัธคาร์กับเมลิสซ่า...

    ความเป็นอยู่ของเด็กทั้งสองยังน่ากังวล ยิ่งเมื่อสิ้นมูอาทา และดีนัวประกาศตนเป็นศัตรูชัดแจ้ง

    มัธซาร์...อาเบลล่า ท่านอยากให้ข้าทำอย่างไรกับพวกเขากัน

    มัธซาร์ไม่อาจตอบ...อัศวินวัยกลางคนรู้แล้ว เมื่อเอ่ยเรื่องงานจบสิ้น เขาลองถามหัวหน้าหมู่บ้านถึงลูกชายผู้เป็นสหายเก่า แล้วก็ได้คำตอบมา คล้ายกับเรื่องที่แม่หญิงน้อยเมลิสซ่าพูดถึงแม่ตน

    ...สิ้นแล้ว ด้วย อุบัติเหตุ...

    น่าขัน หรืออาจไม่ เขานึกภาพชายหนุ่มตายด้วยอุบัติเหตุไม่ออก พอๆ กับอาเบลล่า แม้ด้วยคนละเหตุผล ให้อดนึกไม่ได้ว่าตนคงต้องสืบเรื่อง อุบัติเหตุ ของมัธซาร์เช่นเดียวกัน หลังจากผ่านพ้นงานยุ่งยากชิ้นนี้

    ส่วนอาเบลล่า...เซอร์โวยิ่งกว่าแน่ใจ นางยังไม่ตาย แต่บัดนี้ไม่อาจตอบคำถามของเขาได้ ด้วยไม่รู้ว่าไปอยู่เสียทีใด เขารู้ว่านางคงไม่อยากกลับเนิร์ฟเธนอีก แต่ทว่า...

    ประกายแสงซึ่งแวบจากสิ่งหนึ่งใต้ผ้าคลุมขัดความคิดทั้งมวล

    เซอร์โวล้วงเข้าช่องลับในผ้าคลุม หยิบกระจกพกพาบานกลมเล็กออก ตรวจสอบกับเข็มทิศอีกครู่จึงเปิดหน้าต่างบานที่ตรงทิศทางออกมา ยืนหันหลังให้หน้าต่าง ถือกระจกให้เห็นเสี้ยวหนึ่งของท้องฟ้า

    พลันบานกระจกสะท้อนภาพฟ้ามืด...เปลี่ยนเป็นภาพนักบวชชรารูปหนึ่ง

    สีหน้าของนายกองอัศวินแปรเป็นเครียดขรึม กับเนื้อความที่ได้ทราบจากรูปในกระจก

     

    ...................

     

    เฟลีนเริ่มหมดความอดทนขึ้นทุกที

    หลังเหตุการณ์นักฆ่าผู้เป็นจอมเวทบุกรุก เฟอร์ทิสถูกย้ายที่นอนพักอีกครั้ง คราวนี้เป็นบ้านใหญ่อีกหลัง หมอที่มาตรวจบ่นเรื่องรอยผึ้งต่อยตามมือและแขน ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ทั้งยังไร้เหล็กใน แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีแต่ต้องทาสีผึ้งบรรเทาพิษบาดแผล จากนั้นจึงจับเด็กหนุ่มกรอกยาสมุนไพรแก้ช้ำในอีกคำรบ บอกให้รอดูอาการถึงเช้า หากรอดได้จึงค่อยรักษาต่อ

    ด้านเซอร์โวก็ออกไปตามรอยคนร้ายและคุมสถานการณ์ ยังไม่มีการตกลงเงื่อนไข ไม่มีการพูดถึงภิกษุณีไร้ความจำที่ว่าสามารถรักษาบาดแผลได้ในชั่วพริบตาอีก

    วิฬาร์ร่างจ้อยกำลังคิดหาวิธีลอบเข้าไปทวงถามเขาพอดี เมื่อประตูห้องเปิดออก

    เป็นจอมเวทในคราบอัศวินเองที่เปิดมัน และถอยพลางค้อมศีรษะ ให้หญิงผู้หนึ่งเดินเข้ามาก่อน

    หญิงนั้นคลุมผ้าคลุมของอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ทับเสื้อนอนภายใน เธอนั่งลงบนเก้าอี้ที่เซอร์โวเลื่อนให้อย่างนอบน้อม ผมสีทองยาวสยายปรกหลังไหล่ดุจรัศมีล้อมศีรษะ ขับผิวพรรณขาวลออให้ยิ่งแจ่มชัด ว่าไม่ใช่หญิงชนบทธรรมดา

    ถ้าข้ารักษาเขาได้ ตามที่ท่านบอก เขา...ก็จะช่วยเมลิสซ่าได้ใช่ไหม หญิงสาวถามช้าๆ อย่างลังเล

    ขอรับ อีกฝ่ายรับคำสมฐานะนายกองอัศวิน

    เฟลีนลอบสังเกตทั้งสองจากใต้เตียงอย่างสนใจ...แม้จะยังเป็นห่วงลูกศิษย์จำเป็นของตน

    หญิงผู้นี้คือนักบวชชั้นสูง ที่ว่ามีอำนาจมากล้นผิดธรรมดาหรือ?

    ดูอย่างไร จอมเวทในร่างแมวก็ไม่ใคร่เข้าใจ หญิงผู้นี้งำพลังของตนอยู่...หรือไม่มีอำนาจเวทมนตร์อยู่ในกายตั้งแต่แรกกันแน่

    ท่าทางไม่เหมือนจอมเวทที่ฝึกงำพลังของตนจนเป็นธรรมชาติทุกลมหายใจเข้าออก และก็ไม่ได้ดูเกร็งหรืออยู่ในสมาธิจนเห็นได้ชัดว่ากำลังซ่อนเร้นพลัง ว่ากันตามจริง นักบวชหญิงดูเลื่อนลอย อิดโรย และงุนงง เหมือนคุณหนูมีตระกูลที่ทำอะไรไม่เป็น แต่ต้องมาเจอเหตุร้ายติดๆ กันจนไม่ทันตั้งตัวโดยแท้

    แล้วข้าต้องทำอย่างไร

    ขออภัย ข้าเองไม่อาจทราบเรื่องนั้น เซอร์โวตอบ ท่านคงต้องค่อยๆ นึก

    หญิงผมทองนั่งนิ่งอยู่อีกครู่ จึงค่อยๆ เลื่อนฝ่ามือทั้งสองออก วางเหนือผ้าห่มที่คลุมเสมออกของเด็กหนุ่ม นัยน์ตาสีฟ้าทั้งสองดวงหลับลง ราวกับอยู่ในห้วงภวังค์ นิ่งนาน

    วิฬาร์ร่างจ้อยแทบกลั้นหายใจ เมื่อเห็นแสงสว่างสีขาวเย็นตาที่ฝ่ามือของเธอ คล้ายพลังเวท...แต่รูปแบบกระแสนั้นไม่ใช่ แสงนั้นอาบร่างของเฟอร์ทิส แผ่ขยาย กระจายแทรกซึมเข้าในร่าง เป็นแสงอันงดงาม น่าปรารถนา อ่อนโยน ทอเย็นดั่งรัศมีจันทรา

    ...จนไม่ช้า แสงนั้นก็ดับไป...รวดเร็วเฉียบพลันกว่าเมื่อครั้งค่อยๆ สว่างขึ้น

    ท่านหญิง!” เซอร์โวประคองหญิงสาวซึ่งคู้ร่างลง หอบหนักเหมือนเหน็ดเหนื่อย

    ข้า...ทำได้...หรือเปล่า เธอถามทั้งเสียงขาดเป็นห้วงๆ

    ขอรับ ท่านทำได้ดีมาก อัศวินตอบ ครั้นแล้วก็พยุงเธอให้ลุกขึ้น เชิญกลับไปพักผ่อนที่ห้องเถิด ขออภัยที่ต้องรบกวนท่านหญิงอย่างเร่งด่วนเช่นนี้

    เขา...จะช่วยเมลิสซ่าได้จริงๆ ใช่ไหม หญิงสาวยังคงถาม ขณะเหลียวมองเด็กหนุ่มที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง นาง...นางเป็นคนดี มัธคาร์ก็เป็นคนดี ข้าอยากให้นางปลอดภัย อยาก...อยากช่วยมัธคาร์ได้มากกว่านี้

    ขอรับ ข้ารับรอง เขาต้องช่วยแม่หญิงน้อยได้แน่นอน

    เฟลีนมองเซอร์โว เล่นละคร ด้วยความรู้สึกกึ่งขันกึ่งระอา จนเขาส่งท่านหญิงผมทองออกนอกห้องให้อัศวินคนอื่นคุ้มกันกลับ แล้วจึงหับประตูมิดชิด

    เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ที่ต้องให้ท่านเห็นการใช้ เวทรักษา ของอาร์โคเซีย แต่ข้าหวังว่าท่านย่อมรู้ดี สิ่งใดควรหรือไม่ควรพูด

    ข้าก็ไม่รู้จะเอาไปพูดให้ใครฟัง นางแมวรับ ท่านเห็นสารรูปข้าเป็นอย่างนี้แล้ว ยังคิดว่าข้ามีผู้ใดในเนิร์ฟเธนที่ควรภักดี ช่วยระวังภัยให้อีกหรือ

    นายกองอัศวินกลับพูดต่อไป ราวกับไม่แยแสจะไถ่ถามความจริงหลังถ้อยคำนั้น

    ข้าคิดว่าท่านหญิงคงยังใช้อำนาจเยียวยาไม่ได้เต็มที่ แต่เท่าที่ดู เด็กนี่คงฟื้นตัวได้ราวร้อยละเจ็ดสิบถึงแปดสิบ เพียงพอที่จะลุกขึ้นพูดจากันได้ในไม่ช้า เซอร์โวยังถือมือจับประตูค้างอยู่ ข้าจะให้หมอเข้ามาตรวจดูอีกครั้ง แล้วหลังจากนั้น ท่านกับมันคงพร้อมจะเจรจาเงื่อนไขของเรา

    เฟลีนหรี่ตามองคู่เจรจา ซึ่งทำท่าจะผละจากไป

    นั่นสิ ดีเหลือเกินที่ท่านหญิงของท่าน ไม่ลืม วิธีใช้เวทรักษาที่ท่านว่าไปด้วย

    ชายวัยกลางคนชะงักไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาที่เหลือบมองนางแมวมีรอยขบขันพาดผ่านชั่วแวบ

    ข้าว่า...ท่านควรเปลี่ยนคำพูดใหม่ อัศวินศักดิ์สิทธิ์เอ่ยเรียบเรื่อย เป็น ดีเหลือเกินที่ท่านหญิงของเรา ลืม ความทรงจำแต่เก่าก่อนไป ไม่อย่างนั้น นางคงไม่ยอมรักษาให้นักเดินทางธรรมดาแน่ อย่าว่าแต่เป็นจอมเวทเลย

    แมวสีม่วงไม่ตอบว่ากระไร และจอมเวทในคราบอัศวินก็ออกไปจากห้องในที่สุด

     

    ...................

     

    ข้า...เป็นคนดีเกินไปใช่ไหมนะ

    เมลิสซ่าคิด แต่ขณะเดียวกันก็ใช้กรวยใบไม้กรอกยาแก้พิษซึ่งตนเพิ่งผสมจากน้ำผึ้งกับยางไม้ในรังลงปากของซอร์ดีโอ มีองครักษ์ร่างใหญ่ทั้งสองของหนุ่มสำอางคอยช่วยตามแต่เธอจะเรียกใช้

    เหตุการณ์ลงเอยในรูปนี้ หลังจากเด็กสาวตั้งเงื่อนไขว่าจะช่วยชีวิตลูกชายรองหัวหน้าหมู่บ้าน หากคนทั้งสองยินยอมพาซอร์ดีโอกลับไปรับการไต่สวนที่ไฮฟ์ และยอมมอบตัว สารภาพความผิดของตนเพื่อจะได้ลดหย่อนโทษ

    พี่มัธคาร์คงบอกว่าเธอโง่ แต่บางครั้ง เด็กสาวก็คิดว่าคนเรามีสิ่งที่ควรยึดถือมากกว่าความฉลาดของตน

    และ เมตตาธรรม ก็เป็นหนึ่งในนั้น

    เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนเดียว ไม่มีอำนาจอันชอบธรรมใดๆ ที่จะตัดสินชี้เป็นชี้ตายใคร ต่อให้ชายหนุ่มแค่ เกือบ ข่มเหงพี่หญิง (ตามคำที่องครักษ์ทั้งสองของเขาอ้อนวอนให้เธอใจอ่อน...ซึ่งก็ช่วยเพิ่มความน่าเห็นใจขึ้นได้ไม่กี่มากน้อย) และจะข่มเหงเธอ เธอก็ควรร้องทุกข์ต่อผู้มีอำนาจ แจ้งท่านปู่ แจ้งทางการ ให้พวกเขาตัดสินโทษแทนเธอ

    หรือข้าจะยึดติดกับกฎเกณฑ์เกินไป...เหมือนท่านปู่ก็ไม่รู้

    เมลิสซ่ายิ้มขื่นๆ กับความคิดนั้น พี่มัธคาร์บอกว่าท่านปู่เป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ อายุยืน แผ่กิ่งก้านสาขากว้างขวาง เป็นร่มเงาให้ใครๆ แต่เวลามีเรื่องขัดกฎเกณฑ์ใด ก็ยืนต้นแข็งไม่ยอมไหวงอ ไม่ยอมอะลุ้มอล่วย ชะรอยสักวันจะโค่นหักกลาง ให้เห็นแก่นที่ผุเสียอยู่ข้างใน

    แต่ที่จริง พี่มัธคาร์ถึงจะเป็นไม้อายุน้อย ก็ยังเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แข็งกร้าว ยอมหักไม่ยอมงอในความคิดของตน ทุกวันนี้ ไม้สูงวัยกับต้นไม้อ่อนจึงคานกัน เสียดสีกัน ไม่รู้เมื่อใดต้นหนึ่งจะติดไฟลุกไหม้ หรือหักโค่นลงมาก่อนกัน

    ถ้าไม่มีเรื่องของแม่...ก็คงจะดีกว่านี้หรอก

    ว่าไป เหตุผลส่วนหนึ่งที่เธอช่วยซอร์ดีโอ ก็คงเพราะไม่อยากเห็นใครตายด้วยพิษผึ้งต่อหน้าต่อตา เหมือนที่เคยจินตนาการถึงความทุกข์ทรมานก่อนตายของแม่กระมัง

    ความคิดของเด็กสาวยังคงล่องเรื่อย หลังจากเธอป้อนยาให้ซอร์ดีโอเสร็จ บอกให้องครักษ์ทั้งสองปิดหน้าต่างอารามร้างกันลมฝนชื้น คอยเฝ้าไข้ซับเหงื่อ และเช็ดตัวคนเจ็บตามสมควร จากนั้นเธอจึงไปนั่งกอดเข่าในมุมใต้รังผึ้ง บอกให้พวกผึ้งซึ่งคอยบินคุ้มกันวนเวียนอยู่กลับเข้ารังไปพักผ่อนเสีย ในเมื่อคงไม่มีเหตุให้พวกของซอร์ดีโอทำอันตรายเธออีกแล้ว

    ขอบใจนะ คงเหนื่อยกันมากใช่ไหม

    เมลิสซ่าเองก็เหนื่อย ซ้ำเกรงว่าไม่ช้าตนเองจะเป็นไข้ เธอไม่รู้ว่าวันนี้ตากฝนมานานเท่าไรแล้ว ผมกับเสื้อผ้าของเธอยังเปียกหมาดๆ ซ้ำอากาศแสนชื้นแฉะ แต่เมื่อถึงพรุ่งนี้เช้า คงมีแรงเดินทางกลับไฮฟ์ได้ไม่มีปัญหา พร้อมทั้งหอบหิ้วตัวก่อเรื่อง (ซึ่งก็คงนอนซมด้วยพิษผึ้งจนไม่อาจทำอะไรได้อีกพักใหญ่) ไปส่งพวกอัศวินด้วย

    พรุ่งนี้ เรื่องทุกอย่างจะจบลง พี่หญิงจะได้กลับเมืองหลวง พี่มัธคาร์กับท่านปู่ก็จะหายกังวลเรื่องพี่หญิง และเรื่องเธอ...

    กลับไปต้องอ้อนพี่มัธคาร์ ทำขนมแป้งทอดใส่ผลไม้เชื่อมเยอะๆ ราดน้ำผึ้งให้ชุ่ม ฝากไปให้พี่หญิงกับท่านปู่...อ้อ แล้วก็เฟอร์ทิสกับคุณแมวเหมียวด้วย...ถ้าพวกเขาไม่เป็นไรนะ

    เด็กสาวหาวหวอด ก่อนจะหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน

    ...ไม่ทันสังเกตผงบางอย่าง ซึ่งถูกโรยลงสู่กองไฟที่กลางโถงร้างจากรอยแตกบนเพดาน...

    ก่อนที่รอยแยกซึ่งเป็นช่องทางให้ควันระบายออก จะถูกปิดด้วยแผ่นกระเบื้องแตกจากบริเวณนั้นอีกทีหนึ่ง

     

    ...................

     

    ราวยี่สิบนาทีต่อมา

    กลุ่มชายฉกรรจ์ซึ่งแต่งกายรัดกุม มีผืนผ้าชุบน้ำคาดปิดจมูกและปากค่อยๆ แง้มประตูเข้าไปในอารามร้าง...

    คนส่วนหนึ่งไปเปิดหน้าต่างทุกบาน ระบายควันซึ่งคลุ้งอวลอยู่ภายในออกไป

    และอีกส่วนหนึ่ง ดึงร่างคนพักแรมทั้งหลายซึ่งอ่อนปวกเปียกด้วยฤทธิ์ยารมขึ้นสำรวจอาการ ใช้เชือกมัดมือ และผ้าอุดปากตามสมควร

    เคลปโต หัวหน้าของคนเหล่านั้นตรงเข้าไปหาเด็กสาวคนเดียวในกลุ่มด้วยตนเอง ครั้นพลิกร่างบอบบางดูดวงหน้าในห้วงนิทราแล้วก็ผิวปากอย่างพึงใจ

    เด็กไปหน่อยสำหรับรสนิยมของเขา แต่อายุเท่านี้กำลังเป็นที่ต้องการในแวดวงหอโคมแดง รูปโฉมใช้การได้ ยิ่งถ้าไม่เคยต้องมือชาย อย่างเหนาะๆ ย่อมไม่น้อยกว่าหลายพันเหรียญทอง

    ชายกำยำนั่นน่าจะได้สักคนละสี่ร้อยเหรียญ ส่วนผู้ชายผอมแห้งท่าทางสำอางนั่นไม่รู้ใครจะซื้อไปทำอะไร แต่ก็ถือเป็นตัวแถมที่ไม่เลว

    ไม่เสียแรงจริงๆ ที่ตัดสินใจลงมือกับไอ้พวกนี้

    อยากมาบุกรุกจุดนัดพบของพวกเขาเอง...ก็ช่วยไม่ได้

    ไม่ถึงชั่วยามก่อนหน้า พวกของเคลปโตเพิ่งปล้นขบวนสินค้าที่ถนนบนเขา และมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อพักดูของที่ได้มา นึกไม่ถึงว่ามีคนแวะมาก่อน จึงได้ซุ่มดู เห็นเด็กสาวคนหนึ่งมีผึ้งบินหึ่งรอบตัว พูดจาต่อรองกับชายอีกสามคน

    ฟังไปฟังมา ก็จับใจความได้ว่าผู้ชายท่าทางเหมือนคุณชายบ้านนอกกำลังหนีคดีเกือบข่มเหงนักบวชหญิงชั้นสูงมาจากไฮฟ์ หมู่บ้านน้ำผึ้งล้ำค่า แล้วก็เลยหอบหิ้วเด็กสาวท่าทางสำคัญคนนี้มาด้วย

    เด็กสาวใช้ผึ้งเป็นตัวขู่ จนลูกน้องคุณชายบ้านนอกตกลงจะกลับไปมอบตัว จึงได้ช่วยรักษาพิษผึ้งให้ ตอนนั้นเองที่เคลปโตเริ่มเกิดความคิด

    สำหรับคนธรรมดาอาจดูประหลาด...แต่สำหรับพวกนอกกฎหมายที่มีถิ่นกำเนิดจากรอยต่อชายแดนเนิร์ฟเธนอย่างเขา ทำไมจะมองไม่ออกว่านั่นอาจเป็นเวทมนตร์เคยมีคนบอกเคลปโตว่าพวกจอมเวทบางคนสามารถสื่อสารกับสัตว์ ถึงขั้นสั่งการให้สัตว์นั้นทำอะไรให้ก็ได้...แม้จะใช้ได้กับสัตว์เพียงพันธุ์หรือตระกูลเดียว

    หมายความว่า เด็กนี่ก็ควรจะบังคับสัตว์ได้แค่ผึ้งอย่างเดียว ดูอายุน้อยอย่างนี้ไม่น่าช่ำชองมาก หากถูกแยกจากผึ้งจนไม่อาจสื่อสารกันได้ ก็เด็กผู้หญิงไร้พิษสงดีๆ เท่านั้นเอง

    แต่เด็กผู้หญิงไร้พิษสงนี้ อย่างไรก็มาจากไฮฟ์ หมู่บ้านน้ำผึ้งชั้นเลิศ จนไม่น่าแปลกใจเลยว่าจะมีจอมเวทหรือสายเลือดจอมเวทที่มีความสามารถเกี่ยวกับผึ้งแฝงอยู่

    แน่นอน โจรมีหัวคิดที่ไหนย่อมเห็นไฮฟ์เป็นเป้าหมายชั้นเลิศ หมู่บ้านนี้ไม่ต่างอะไรกับผ้าขี้ริ้วห่อทอง ดูซอมซ่อกันดาร แต่ที่จริงมีเงินซุกหีบไหไว้มากโข ขนาดซื้อตำแหน่งขุนนางท้องที่หรือย้ายไปตั้งตัวในเมืองหลวงได้สบายๆ

    แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นเป้าหมายที่แข็งเกินเล่นด้วย หลายปีก่อน เคยมีโจรอีกกลุ่มโจมตีขบวนสินค้าของไฮฟ์ สังหารชาวบ้านที่ควบคุมขบวนรถ แทนที่จะได้ฟันกำไรจากน้ำผึ้ง กลับโดนขวานเพชฌฆาตฟันคอขาดเสียเองในเวลาแค่ไม่นาน นั่นเพราะสินค้ายิ่งล้ำค่า ศาสนจักรกับเมืองพาณิชย์มอร์ติกาย่อมต้องลงโทษหนักหนา เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ปกป้องผลประโยชน์ของตน

    แต่หากไม่ใช่ น้ำผึ้ง ...สินค้า จากไฮฟ์คราวนี้ก็คงถูกลักหาย ขายทอดตลาดผ่านฉลุย

    จะได้ เอาคืน พวกที่ไฮฟ์ กับเหตุลูกน้องสองคนของเขาหายตัวแถวนั้นเมื่อไม่นานมานี้ ซ้ำพบอีกทีเพียงเศษเนื้อในลำธารเสียด้วย

     

    ...................

     

    คอมเมนต์ท้ายบท 'บทที่ 11 - เปลี่ยนแปลง'

              เรื่องฝั่งคู่หูนายแว่นกับหนุ่มเม่น ไว้ให้คุณ bluemouse มาต่อในตอนหน้านะครับ :)

    ตอนนี้หยิบเอาเรื่องดีนัวกับเซอร์โวมาต่อ (และจบอย่างรวดเร็ว ^^a ) ก่อนจะหาทางปลุกเฟอร์ทิสขึ้นมาโดยไวอีกรอบ (หลังจากปางตายอยู่เสียหลายตอน - -a ) ทางเลือกของหนูเม และเหตุไม่คาดฝันที่เปลี่ยนสถานการณ์ไปเสียอีกรอบ

    สำหรับตัวละครใหม่คราวนี้ นายโจรเคลปโต ชื่อก็มาจาก Klepto ภาษากรีกที่แปลง่ายๆ ว่า ขโมยนั่นละครับ ^^a

    เป็นตัวละครที่แต่งสด แต่ตอนหลังๆ ก็เริ่มเห็นคาแรกเตอร์ขึ้นมา ดังนั้นจึงเริ่มมีบทเพิ่ม แต่จะเป็นยังไง ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับ

    เรื่องภาพประกอบของเคลปโต ก็ขอบิวด์อารมณ์เถื่อนๆ ก่อน แล้วจะตามมาแหละนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×