ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เนินเขาขับขาน ตำนานแห่งราพลังก้า

    ลำดับตอนที่ #2 : 1 – ลำนำแห่งราพลังก้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 301
      0
      7 พ.ค. 52

    1 – ลำนำแห่งราพลังก้า 

    โอ แสงศักดิ์สิทธิ์เอย โปรดมอบอำนาจให้ข้าคุ้มครองตนเอง
    โอ แสงศักดิ์สิทธิ์เอย โปรดมอบอำนาจให้ข้าคุ้มครองตนเองแลชีวิตที่กำลังเติบใหญ่นี้
    แสงเอย ท่านมอบอำนาจได้เช่นไรยังเป็นปริศนาจริงแท้
    ขอแสงอันยิ่งใหญ่ปกป้องผู้เป็นที่รักของพวกเรา ขอผองเราภาวนาถึงความคุ้มครอง
    ขอดวงเพลิงเจิดจรัสปกป้องคุ้มครองพวกเราบนพิภพแห่งความลี้ลับนี้
    ข้าขอพันผูกเจ้าต่อทวารบถแห่งแสง แลตัดเจ้าขาดจากพิภพอันลี้ลับนี้ขณะที่เราย่างก้าวผ่านไป
    ขอเราถวายเครื่องสังเวยแด่แสงแห่งปวงเทพเจ้าอันเป็นที่รักของเรา...
    บนพิภพอันลี้ลับนี้

    ใต้แสงตะวันเจิดจ้า ร่างระหงงดงามเผยอริมฝีปากสีผลท้อสุก ขับขานเพลงกลางผืนดินที่ดูเหมือนจะรกร้าง กระนั้นผืนดินสีดำใต้เท้าขาวนวลเปลือยเปล่าก็ยังแลดูอุดมสมบูรณ์ ชื้นฉ่ำด้วยน้ำและแร่ธาตุที่พร้อมหล่อเลี้ยง

    เมื่อได้สดับเสียงเพลงของนาง เมล็ดข้าวซึ่งเพิ่งผ่านการหว่านไถมีการเคลื่อนไหวราวกับทารกที่กระดิกตัวน้อยๆ ตามเสียงขับกล่อมของมารดา เปลือกหุ้มเมล็ดแตกออกใต้ผืนดินซึ่งมิมีผู้ใดเห็น รากขาวสะอาดชอนไชสู่ดิน ดูดกลืนสรรพสารแห่งชีวิตในครรภ์ของแม่ธรณี

    ไม่นาน ใบสีเขียวอ่อนดุจยอดหญ้าก็งอกแทงขึ้นสู่แสง เติบโตเป็นทิวข้าวยอดสูงราวเข่า

    ไม่นานอีก ดอกข้าวน้อยๆ ชูช่อผลิบาน เกสรผสมผสานคละเคล้ากันในสายลม

    ไม่นานต่อมา รวงข้าวแตกออก ค่อยๆ โน้มตัวลงต่ำด้วยน้ำหนักแห่งเมล็ดใหม่อันอ้วนท้วน

    มิช้านาน บรรดารวงข้าวสุกปลั่งสีทองล้วนน้อมต่ำราวกับจะคารวะมารดาผู้ให้กำเนิด ทั้งพระแม่ธรณีและหญิงสาวสะคราญที่มีเรือนผมสีดินดำอุดมกับนัยน์ตาสีเขียวใบไม้ที่ยืนอยู่กลางท้องทุ่ง ร่างของนางแลเด่นเป็นสง่าใต้แสงตะวันเรืองรอง ภายในเวลาชั่วลำนำบทหนึ่งจบลง

    นางกวาดสายตามองผองข้าวสาลีใหม่แห่งฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งผลิดอกออกผลรวดเร็วกว่าฤดูเก็บเกี่ยวในอีกหลายเดือนข้างหน้านัก ก่อนจะปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามหน้าผากพร้อมคลี่ยิ้มน้อยๆ

    การขับลำนำกล่อมข้าวสาลีทั้งนานั้นเหน็ดเหนื่อยราวกับทำงานหว่านเมล็ดข้าวมาทั้งวัน ทว่าผลที่ได้เห็นช่างน่าอิ่มใจเสมอ

    “ขอบใจเจ้ามาก ราพลังก้า” ชายวัยกลางคนร่างท้วมค่อยๆ ก้าวเข้ามาหานางตามรอยแยกของแถวต้นข้าว “บ่ายนี้จะได้เก็บเกี่ยวข้าวชุดที่สามของปีเสียที จากนี้อีกห้าวันคงต้องรบกวนขอแรงเจ้าอีกครั้ง”

    สีหน้าของหญิงสาวพลันแปรไป

    “ท่านคะ ข้าคิดว่า...เราน่าจะมีข้าวพอสำหรับปีนี้แล้วนี่คะ...”

    “ก็จริง แต่สงครามใกล้มาถึงในไม่ช้าแล้ว เรายิ่งจำเป็นต้องมีข้าวเก็บไว้ในยุ้งฉางให้เหลือเฟือ...ขนาดที่ต่อให้พวกศัตรูยกทัพมาปิดล้อมสิบปีก็ยังไร้ผล เจ้าคงเข้าใจนะ”

    “แต่ข้า...ข้าไม่อยากให้มีสงครามขึ้นเลย หากเป็นไปได้...ท่านจะกรุณาบอกท่านเจ้าเมืองเลยไม่ได้หรือคะ ข้าคิดว่าพวกเรา...”

    “สงครามนี้เป็นไปเพื่อความรุ่งเรืองของเมืองเรเลนทัสของพวกเรา เจ้าอย่ากังวลเลย ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดเพื่อเมืองแห่งนี้ก็พอ”

    ราพลังก้ายังคงมองชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าอ้อนวอน ทว่าอีกฝ่ายกลับก้มหน้าลง มือล้วงไปหยิบเหรียญทองในถุงขึ้นมาจำนวนหนึ่ง

    “นี่ค่าเหนื่อยของเจ้า ขอบใจมาก แล้วข้าจะส่งคนไปเรียกอีกนะ”

    “ข้าไม่ต้องการเงินหรอกค่ะ ข้าเพียงแต่หวังให้ชาวเมืองทุกคนได้มีอาหารเพียงพอ แต่ว่า...”

    “รับไปเถิด” เหรียญทองร้อนผ่าวถูกวางลงในมือบอบบางของนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าก็พอดูแลตนเองได้ แต่มีเงินติดตัวไว้ใช้สอยบ้างก็ดีเหมือนกัน เจ้าเองก็ไม่รู้ว่ามาโอจะกลับมาเมื่อไรมิใช่หรือ”

    “...ค่ะ” สีหน้าของนางเจื่อนลงเพราะชื่อที่ถูกเอ่ย และนางก็ยอมจำนนแต่โดยดี

    “ก็ดี เอ้อ...ถ้าเจ้ามีเวลาก็แวะไร่องุ่นข้างๆ ด้วยนะ พวกเขาเองก็กำลังถามหาเจ้าพอดี สวนแอปเปิลด้วยเหมือนกัน”

    “...ข้าทราบแล้วค่ะ”

    ราพลังก้าก้มหน้ามองพื้นหันจากไป สองเท้าเปลือยเปล่าเหนื่อยอ่อนพาร่างออกจากทุ่งข้าวสาลีที่กำลังสุกปลั่ง นางเดินไปตามเส้นทางสู่ต้นไม้ใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขาสูงเหนือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในเมือง อันมีเพียงยอดวิหารสีดำทะมึนที่ค่อยๆ สูงขึ้นทุกวันราวกับจะประชันกันในสักวัน ร่มไม้นั่นเองที่มอบร่มเงาให้แก่กระท่อมหลังน้อยของนางกับผู้ที่เป็นกำลังใจให้แก่นางเสมอมา บัดนี้นางมิปรารถนาสิ่งใดนอกจากโผเข้าหาอ้อมกอดของเขาแล้วร่ำไห้ ทว่าผู้ที่นางอยากให้ซับน้ำตาให้แก่นางในบัดนี้คงอยู่ไกลแสน มีเพียงร่มไม้ใหญ่ผู้เป็นทั้งมารดาและบุตรของนางเท่านั้นที่คอยทำหน้าที่นั้น

    มารดา...ที่ปลอบประโลมนาง และบุตรที่นางเลี้ยงดูให้เติบโตภายในเวลาเพียงไม่ถึงชั่ววัน ด้วยความสามารถอันไม่คาดฝันของนางซึ่งพลิกโฉมหน้าและความคิดของชาวเรเลนทัสไปอย่างสิ้นเชิง ทว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นกลับนำความปลาบปลื้มมาให้นางน้อยนัก

    ข้า...เคยคิดว่าแค่มีพืชพรรณอาหารอุดมสมบูรณ์แล้ว...ทุกๆ คนจะเพียงพอเสียอีก
    ข้า...ในวัยเยาว์ช่างเขลานัก นานเหลือเกินกว่าข้าจะได้เรียนรู้ว่าความปรารถนาของมนุษย์มากล้นกว่าจำนวนนับใดๆ ใหญ่โตเกินภาชนะบรรจุใดๆ และอาจหยาบช้าได้กว่าสิ่งปฏิกูลโสมมใดๆ
    ข้า...ได้ทราบโดยแทบแลกกับชีวิตและผู้เป็นที่รักของข้า แต่เหนือสิ่งอื่นใด...แลกด้วยศรัทธาของข้าเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×