ลำดับตอนที่ #17
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ ๒/๖ - รักต้องห้าม
๖. รักต้องห้าม
ครั้นข้ากับอาร์ดัท-ลิลิ ออกมาจากอุโมงค์ เวลาในโลกมนุษย์ยังคงเป็นยามราตรี ข้าชะงักเมื่อพบชายผู้หนึ่งยืนอยู่กลางแสงแดด เบื้องหน้าอูฐที่ข้าผูกไว้ใต้เงาผา สีหน้าของเขาถมึงทึงที่สุดเท่าที่เคยเห็น
นางปีศาจดูเหมือนเกรงอำนาจของเขามากกว่าข้า เพราะนางกลายร่างเป็นนก บินหนีไปทันทีโดยไม่ล่ำลา ทิ้งข้าให้อยู่รับหน้าเขาเพียงลำพัง
“ส่งน้ำพุแห่งเนโมซิวเนมาให้ข้า” เอนลิลพูด “แล้วสาบานว่าจะไม่กลับมาพบกับสิมูนอีก เมื่อนั้นข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“ข้าทำไม่ได้”
“อามอน!” เขาแทบเข่นเสียง “ถึงบัดนี้ เจ้าควรรู้ว่าข้าฆ่าเจ้าได้ง่ายดายเพียงไร อย่าคิดลองดีกับข้า!”
“ข้ารู้” ข้าข่มเสียงของตนให้เรียบ “ท่านเทพแห่งสายลม สำหรับท่าน ข้าเป็นเพียงมดปลวกที่บดขยี้ได้ง่ายดาย แต่เพราะข้าตายได้ง่ายดาย ทว่าสิมูนไม่มีวันตายได้ ข้าจึงต้องช่วยนาง ถึงท่านจะฆ่าข้าเสียตรงนี้ ใครอีกคนที่เกิดใหม่จากเซ็ฟและอามอนก็คงจะย้อนกลับมาพบ และช่วยเหลือสิมูนให้ได้อยู่ดี”
“แต่เจ้าไม่มีทางช่วยนางได้”
“หากไม่ลองแล้วจะทราบได้อย่างไร” ข้าแย้ง “ท่านเอนลิล ข้าทราบว่าท่านทราบสิ่งที่ข้าไม่ทราบ และท่านปรารถนาดีต่อสิมูน สิ่งที่ท่านทำได้เพื่อสิมูนอาจเป็นสิ่งที่ข้าทำไม่ได้ และสิ่งที่ท่านทำไม่ได้อาจเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ไม่คิดว่าเราสองคนควรร่วมมือกันเพื่อช่วยนางหรือ”
“ผลของการเสี่ยงครั้งนี้อาจร้ายแรงกว่าที่เจ้าคิดนัก”
“ข้ายอมตายได้เพื่อสิมูน แต่ท่านเล่า”
“สิมูนคือผู้ที่จะเจ็บปวดที่สุด” เอนลิลโคลงศีรษะ “ถึงตอนนี้ นางย่อมเจ็บปวดหากเกิดสิ่งใดกับเจ้า ข้าต่างหากที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง ส่วนความเจ็บปวดของข้าเองหาได้สำคัญต่อข้าไม่ ทว่า...ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจ้าต้องการให้นางรู้มีแต่จะทำให้นางเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมมากมาย เจ้ากำลังจะมอบสิ่งที่นางไม่ต้องการให้นางแท้ๆ”
“หมายความว่าอย่างไร”
“สิมูน...เป็นผู้ลบความทรงจำของนางด้วยตนเอง”
ข้าประหลาดใจเป็นที่สุด แต่ยังรักษาท่าทีให้นิ่งไว้
“เพราะเหตุใด”
“เจ้าเห็นอดีตชาติของตนเองตอนเป็นเซ็ฟแล้วใช่ไหม” เอนลิลย้อนถาม “สิมูนฝ่าฝืนชะตากรรมเพื่อช่วยเจ้า และเพราะนางฝ่าฝืนชะตากรรม...เมืองที่นางเป็นผู้อารักษ์จึงถูกลมพายุที่นางสร้างเพื่อฆ่าโจรทำลายไปด้วย”
ข้าจ้องชายตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกค้าง เขายังคงสบตาตอบอย่างเรียบเฉย ทว่าแววโศกเศร้าเต้นระริกอยู่ภายในนั้น
“ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงลงโทษสิมูน โดยการลิดรอนอำนาจของนางและจำกัดบริเวณนาง...เช่นที่เจ้ารู้ มีทางเดียวเท่านั้นที่นางจะพ้นจากโทษนี้ ทว่านั่นเป็นสิ่งที่นางทำไม่ได้ นางจึงใช้อำนาจเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ สะกดความทรงจำของตนแทน เพื่อจะได้ไม่ต้องแบกรับเรื่องทั้งหมด สิ่งที่นางต้องทำคือ...”
“ฆ่าข้า...อย่างนั้นสินะ” ข้าต่อคำพูดของเขา
เอนลิลเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้าง
“ไยเจ้าจึง...”
“ข้าเดาได้ไม่ยากหรอก” ข้าก้มลงมองพื้นทราย “นางเป็นเทพ ไม่มีผู้ใดมองเห็นและทำร้ายนางได้ หากสัตว์ต่างๆ หรือเหตุใดก็ตามนอกจากนั้นสังหารนาง นางก็จะฟื้นกลับมาเช่นเดิม เช่นนี้แล้วพระองค์จะอนุญาตให้นางมีกริชติดตัวเพราะอะไร นอกจากว่ากริชนั้นมีไว้เพื่อจุดประสงค์อื่น
“แล้วหากพระองค์ตั้งใจให้นางใช้กริชนั้นทำบางสิ่งเพื่อไถ่โทษ แต่นางกลับลบความทรงจำของตนเพื่อจะได้ไม่ต้องทำสิ่งนั้น ข้าก็เดาได้เพียงว่า...สิ่งที่นางต้องทำเพื่อให้พ้นความผิดขัดกับความรู้สึกของนาง...มากเสียจนนางอยากลืม นอกจากความเสียใจและรู้สึกผิดที่นางทำให้ครอบครัวของเซ็ฟ รวมทั้งผู้บริสุทธิ์อีกมากมายต้องตาย”
“หัวไวยิ่งสำหรับมนุษย์” เอนลิลรับ “เป็นเช่นที่เจ้าว่ามาทั้งหมด”
“แล้วเงื่อนไขของการแก้คำสาป คงไม่ได้จบแค่ฆ่าเซ็ฟ แต่เป็นการฆ่าเซ็ฟที่กลับชาติมาเกิดใหม่ด้วย ท่านจึงได้เล่าเรื่องของนางให้ข้าฟังในทีแรก”
เขาพยักหน้า
"ข้าพยายามวิงวอนให้พระองค์เมตตาสิมูน...แต่พระองค์ก็ไม่ยอมรับฟังแม้แต่น้อย ข้าเคยช่วยนางหนี แต่ก็ไม่สำเร็จ ถูกริบแผ่นป้ายแห่งชะตากรรม และถูกจำกัดอำนาจไว้เช่นกัน...แม้จะไม่มากเท่านาง เมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้าเข้ามาในอาณาเขตของพวกเรา จึงล่อเจ้าไปพบนางอีกครั้ง เพื่อให้นางฆ่าเจ้าล้างคำสาป แต่ไม่นึกเลย...ข้ากลับทำผิดพลาดอย่างมหันต์ นางไม่เพียงแต่ไม่ฆ่าเจ้า...ยังกลับหลงรักเจ้าอีกครั้ง” เอนลิลถอนใจ เอ่ยต่อแผ่วเบา “ความพยายามทั้งหมดที่ข้าทำเพื่อธิดาช่างไร้ค่า"
"ท่านเป็นบิดาของซิมูนหรือ" ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ ชายตรงหน้าข้า อย่างไรก็ยังดูอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ เทียบกับสิมูนที่อยู่ในวัยสะคราญแล้ว...น่าจะเป็นพี่น้องมากกว่า แต่แล้วข้าก็ตระหนักได้ว่าทวยเทพย่อมเป็นอมตะ จึงไม่มีวัยร่วงโรยให้เห็น
เขาพยักหน้า
“สมัยที่ชาวซัง กิ-กายังบูชาข้าอยู่ในดินแดนของพวกเขา ข้ารักกับหญิงมนุษย์คนหนึ่ง นางเป็นผู้ให้กำเนิดสิมูน นางมีชะตาต้องตายตอนคลอด แต่ข้ากลับใช้พลังช่วยชีวิตนางไว้ เมื่อทวยเทพจับได้ว่าข้ากระทำผิดกฎ พวกเขาตัดสินจองจำข้าไว้ในปรภพชั่วระยะหนึ่ง ระหว่างนั้น สิมูนถูกพรากไปจากแม่ ส่วนหญิงคนรักของข้า...คลุ้มคลั่งไปเพราะสูญเสียทั้งลูกและสามีในเวลาเดียวกัน อำนาจแห่งเทพที่ข้าใช้พยุงชีพนางทำให้นางกลายเป็นปีศาจ คอยสูบกินวิญญาณของเด็กอื่นๆ ข้าถูกกำหนดให้ดับชีวิตของนางด้วยตนเอง”
“...ทำไม...ทำไมถึงได้โหดร้ายอย่างนี้!” ข้าอดร้องมิได้
“ผู้เรียนผูกต้องเรียนแก้ ข้าเป็นผู้ทำผิดกฎเอง” เอนลิลยังคงปกป้องคณะเทพ “และเหตุที่ต้องนำตัวสิมูนมา ก็เพราะเด็กคนนั้นมีอำนาจแห่งเทพของข้าอยู่ในตัว พระองค์จึงต้องให้นางเรียนรู้การใช้พลังของเทพ และดูแลสมดุลระหว่างโลกของเรากับโลกมนุษย์แต่เนิ่นๆ ทว่า...สิมูนยังคงมีอารมณ์ความรู้สึกอ่อนไหวของมนุษย์อยู่มาก นางจึงทำผิดซ้ำรอยเดิมกับข้า...ด้วยการช่วยเจ้า
“เทพเป็นอมตะ มนุษย์มีชีวิตจำกัด ไม่ว่าใครก็ฝืนชะตาไม่ได้ แต่เพราะไม่อยากให้คนที่รักจากไป เทพจึงพยายามหักเหชะตากรรมทุกวิถีทาง เป็นเหตุให้สมดุลอันเปราะบางต้องเสียหาย”
“สมดุลอันเปราะบาง...” ข้าพึมพำ รู้สึกเหมือนนึกบางสิ่งออกอย่างประหลาด “ปัญหาคือเรื่องของสมดุล...จริงๆ หรือ”
“หมายความว่าอย่างไร”
ความคิดล่องลอยอยู่ในหัว ยังไม่อาจกลั่นตัวเป็นคำพูด แต่ก็ชวนให้ข้าคิดต่อไป คิดว่าจะรวบรวมมาถามเอนลิลให้กระจ่างให้ได้ เกี่ยวกับช่องว่างของหลักการนั้น
แต่แล้วเราทั้งสองก็สะดุ้งสุดตัว ความคิดของข้ากระจายหาย กลบด้วยความตกใจ เสียงกรีดร้องแหลมบาดหูดังก้องมาจากทิศหนึ่ง บางขณะคล้ายเสียงของหญิงที่ได้รับความเจ็บปวดถึงขีดสุด...แต่บางขณะก็ฟังคล้ายเสียงนก
“มากับข้า!” เอนลิลคว้าข้อมือข้า ก่อนจะพึมพำในลำคอ ข้ารู้สึกเหมือนตนเองถูกฉุดให้ปลิว...จนภาพรอบด้านเหลือเพียงสีผสมปนเปวิ่งไปด้านหลัง
แวบหนึ่ง...คลับคล้ายเห็นกลุ่มหมอกที่ดูละม้ายผ้าสีดำลอยแวบวาบทางหางตา เหมือนมีผู้ไล่ตาม แต่เมื่อเหลียวไปก็ไม่เห็นสิ่งใด สีรอบกายค่อยๆ เคลื่อนช้าลงจนหยุดนิ่งในที่สุด
* * * * *
ที่หมายคือบริเวณใกล้ผาที่ข้านัดพบกับสิมูน เบื้องหน้ามีร่างขาวโพลนทอดเด่นบนพื้นสีน้ำตาลเทา สีแดงฉานพาดยาวบนร่างนั้น...และไหลซึมลงแทรกเม็ดทราย
แวบแรก ข้ากลัวจับจิตว่านั่นคือสิมูน แต่แล้วก็สังเกตเห็นขนนกที่ร่วงกระจัดกระจาย และแขนติดปลายปีกขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง ซึ่งถูกตัดขาดจากลำตัว ซ้ำพื้นทรายบริเวณนี้ยังปั่นป่วนเป็นคลื่นสูงต่ำ ราวกับเกิดการต่อสู้ขึ้น
...แต่อาร์ดัท-ลิลิต่อสู้กับผู้ใด...
ขณะที่ข้ายืนตะลึงอยู่ เอนลิลปราดเข้าไป คุกเข่าลงใกล้นาง
“...พวกมัน...เอาตัวนางไป...” นางปีศาจบอกเขาอย่างยากลำบาก “...ข้า...ข้าสู้พวกมันไม่ได้...”
“อย่าพูดอีกเลย” เอนลิลตัดบท “เจ้าบาดเจ็บมาก ข้าจะรักษา...”
อาร์ดัท-ลิลิกลับสั่นศีรษะทั้งรอยยิ้มน้อยๆ
“พอเถิด...ท่านไม่ต้องรักษาข้าอีกแล้ว...เอนลิล...” นางกระอักเลือดออกมา “ข้า...ทำทุกสิ่งเพื่อนางแล้ว...ข้า...พอใจ...พอใจเหลือเกิน...แล้วก็...เหนื่อยเหลือเกิน...”
“ไม่! ยังไม่เพียงพอ! เจ้าต้องอยู่ต่อไป...จนกว่าข้าจะแก้คำสาปได้ แล้วเราสามคนจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า! อย่าเพิ่งยอมแพ้เลย!”
นางปีศาจสั่นศีรษะอีกครั้ง
“ท่าน...ก็รู้ว่าทางแก้คำสาป...ของข้า...มีทางเดียวเท่านั้น...”
ข้าเพียงมองเงียบๆ จากที่ที่ตนยืนอยู่ ไม่พูดสิ่งใด หรือเข้าไปก้าวก่ายพวกเขา กระนั้นยังเห็นได้ว่าสีหน้าของเอนลิลตะลึงงันถึงขีดสุด
“...ลงมือเสีย...รับอำนาจของท่าน...คืนไป...เพื่อช่วยเด็กคนนั้น...ช่วย...ลูกของเรา...”
“...ข้าทำไม่ได้” เสียงตอบของเขาแหบแห้ง
“...ข้า...ตายไปแล้ว...แต่นาง...ยังมีโอกาส...ชายจากเอลลัส...เป็นคนดี...เขา...จะไม่ทำให้...เหตุการณ์...ซ้ำรอยเดิม...มอบ...โอกาส...ให้เขา...กับนาง...เถอะนะ...”
เอนลิลก้มลงสบตากับอาร์ดัท-ลิลิ ท่าทางของเขายังสงบนิ่ง ทว่าข้ากลับรู้สึกเหมือนสัมผัสได้ ว่าใจของเขาปั่นป่วนเหลือแสน
“...ข้ารักท่าน...” นางปีศาจเอ่ยแผ่วเบา “ช่วย...เรียกชื่อข้า...อีกสักครั้ง...ได้ไหม...เหมือนตอนที่...เรา...พบกัน...”
เทพผู้เป็นบิดาของสิมูนนิ่งงันอยู่อีกครู่ ก่อนจะก้มหน้าลง กระซิบข้างหูคนรัก พร้อมกันนั้น มือของเขาก็โอบรอบลำคอนาง
ร่างของอาร์ดัท-ลิลิ กระตุกเพียงครั้งเดียว แล้วก็ไม่ขยับอีกเลย
* * * * *
ข้าเสมองไปอีกทาง ขณะที่เอนลิลยังคงกอดร่างนางปีศาจไว้ ได้ยินเสียงเรียบเรื่อยของเขา ราวกับกำลังพูดกับตนเอง
“นาง...รักเด็กๆ คงคิดไปว่าเด็กๆ ที่สูญเสียแม่ทุกคนคือสิมูนของนาง ข้ารู้ว่านางไม่ได้ตั้งใจทำร้ายหรือฆ่าพวกเขา ทว่าธาตุมืดของปีศาจในตัวนางต่างหากที่กัดกร่อนชีวิตเด็กพวกนั้น พร้อมกับดูดกลืนธาตุสว่างของมนุษย์เข้ามา...จนพวกเขาตายไปอย่างช้าๆ แต่นางก็กลับ...ถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจที่กินเด็กเป็นอาหาร ซ้ำ...ยิ่งผู้คนผูกนางเข้ากับปีศาจหญิงที่สมสู่กับบุรุษ ความทรงจำของนางที่สับสนตั้งแต่กลายเป็นภูตจึงซึมซับความเชื่อเหล่านั้น แล้วก็กลายเป็นเช่นนั้นไปเสียจริงๆ” เขาถอนใจ “หากจะมีใครผิดก็คือข้า ข้าต่างหากที่เติมเต็มนางด้วยพลังของภูต...เพื่อผูกวิญญาณของนางไว้กับร่าง...ซ้ำไม่อาจหักใจฆ่านางมาตลอด ข้า...สมควรต้องโทษทัณฑ์ยิ่งกว่านางแท้ๆ”
“ท่านเอนลิล...” ข้าไม่อาจนึกหาคำใดมาปลอบใจเขา ได้แต่มองต่อไป ขณะที่เอนลิลปิดเปลือกตาของอาร์ดัท-ลิลิให้หลับลง จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนและหันมาทางข้า
“เจ้า...คิดว่าข้าจะยังช่วยสิมูนได้ไหม” เขาตั้งคำถามด้วยสายตาที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน
เคร่งขรึม...ใช่ ปวดร้าว...ใช่ ข้าพอมองความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้ออก ทว่าไม่เคยเห็นเขาลังเล และดูเหมือนหวาดกลัวถึงเพียงนี้
เทพเจ้าไม่ควรมีความหวาดกลัว...ใช่ไหม
“ข้ารู้ว่ามันฟังดูน่าขัน ข้ายอมทำตามกฎ และทอดทิ้งนางมาตลอด มันสายเกินกว่าจะมาทำตัวเป็นพ่อที่ดี...หรือรักลูกเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว แต่สิมูนเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่สำหรับข้า ไม่ว่านางจะทำผิดอะไร ข้า...ก็ไม่อยากเห็นนางทุกข์ทรมานไปกว่านี้”
คำว่า ‘ทำผิด’ ดึงความทรงจำและข้อสงสัยก่อนหน้าได้ยินเสียงของอาร์ดัท-ลิลิขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ ข้ากลั่นข้อสงสัยนั้นเป็นคำพูดได้สำเร็จ
“ท่าน...คิดว่าโทษที่ท่านกับสิมูนได้รับ เป็นโทษที่สมควรแล้วหรือ”
เขามองข้าต่างคำถาม ทว่าข้าคิดว่าคงไม่มีเวลาอธิบายในตอนนี้
“นั่นเป็นเรื่องที่ข้าเพิ่งคิดขึ้นมาได้ แต่สำคัญที่สุดคือเราต้องไปช่วยนางโดยเร็ว จริงไหม” ข้ามองเขา “ใครพาตัวนางไป และไปที่ใด ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้า หากท่านคิดว่าพาข้าไปด้วยจะเป็นประโยชน์มากกว่าตัวถ่วง ข้าจะตามไปด้วยทุกที่”
เอนลิลก้มลงมองผืนทราย ทอดสายตาไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย แล้วพยักหน้าในที่สุด
“ไปกัน อามอน” เอนลิลพูดหนักแน่น “สู่ดิลมุน แดนตะวันส่องภพ เจ้าต้องช่วยธิดาของข้าให้ได้ อย่าให้ความหวังของข้ากับนางต้องสูญเปล่า ต่อให้ต้องแหกกฎของเทพอีกสักกี่ข้อ...ข้าก็จะช่วยพวกเจ้าให้ถึงที่สุด!”
* * * * *
ครั้นข้ากับอาร์ดัท-ลิลิ ออกมาจากอุโมงค์ เวลาในโลกมนุษย์ยังคงเป็นยามราตรี ข้าชะงักเมื่อพบชายผู้หนึ่งยืนอยู่กลางแสงแดด เบื้องหน้าอูฐที่ข้าผูกไว้ใต้เงาผา สีหน้าของเขาถมึงทึงที่สุดเท่าที่เคยเห็น
นางปีศาจดูเหมือนเกรงอำนาจของเขามากกว่าข้า เพราะนางกลายร่างเป็นนก บินหนีไปทันทีโดยไม่ล่ำลา ทิ้งข้าให้อยู่รับหน้าเขาเพียงลำพัง
“ส่งน้ำพุแห่งเนโมซิวเนมาให้ข้า” เอนลิลพูด “แล้วสาบานว่าจะไม่กลับมาพบกับสิมูนอีก เมื่อนั้นข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“ข้าทำไม่ได้”
“อามอน!” เขาแทบเข่นเสียง “ถึงบัดนี้ เจ้าควรรู้ว่าข้าฆ่าเจ้าได้ง่ายดายเพียงไร อย่าคิดลองดีกับข้า!”
“ข้ารู้” ข้าข่มเสียงของตนให้เรียบ “ท่านเทพแห่งสายลม สำหรับท่าน ข้าเป็นเพียงมดปลวกที่บดขยี้ได้ง่ายดาย แต่เพราะข้าตายได้ง่ายดาย ทว่าสิมูนไม่มีวันตายได้ ข้าจึงต้องช่วยนาง ถึงท่านจะฆ่าข้าเสียตรงนี้ ใครอีกคนที่เกิดใหม่จากเซ็ฟและอามอนก็คงจะย้อนกลับมาพบ และช่วยเหลือสิมูนให้ได้อยู่ดี”
“แต่เจ้าไม่มีทางช่วยนางได้”
“หากไม่ลองแล้วจะทราบได้อย่างไร” ข้าแย้ง “ท่านเอนลิล ข้าทราบว่าท่านทราบสิ่งที่ข้าไม่ทราบ และท่านปรารถนาดีต่อสิมูน สิ่งที่ท่านทำได้เพื่อสิมูนอาจเป็นสิ่งที่ข้าทำไม่ได้ และสิ่งที่ท่านทำไม่ได้อาจเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ไม่คิดว่าเราสองคนควรร่วมมือกันเพื่อช่วยนางหรือ”
“ผลของการเสี่ยงครั้งนี้อาจร้ายแรงกว่าที่เจ้าคิดนัก”
“ข้ายอมตายได้เพื่อสิมูน แต่ท่านเล่า”
“สิมูนคือผู้ที่จะเจ็บปวดที่สุด” เอนลิลโคลงศีรษะ “ถึงตอนนี้ นางย่อมเจ็บปวดหากเกิดสิ่งใดกับเจ้า ข้าต่างหากที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง ส่วนความเจ็บปวดของข้าเองหาได้สำคัญต่อข้าไม่ ทว่า...ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจ้าต้องการให้นางรู้มีแต่จะทำให้นางเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมมากมาย เจ้ากำลังจะมอบสิ่งที่นางไม่ต้องการให้นางแท้ๆ”
“หมายความว่าอย่างไร”
“สิมูน...เป็นผู้ลบความทรงจำของนางด้วยตนเอง”
ข้าประหลาดใจเป็นที่สุด แต่ยังรักษาท่าทีให้นิ่งไว้
“เพราะเหตุใด”
“เจ้าเห็นอดีตชาติของตนเองตอนเป็นเซ็ฟแล้วใช่ไหม” เอนลิลย้อนถาม “สิมูนฝ่าฝืนชะตากรรมเพื่อช่วยเจ้า และเพราะนางฝ่าฝืนชะตากรรม...เมืองที่นางเป็นผู้อารักษ์จึงถูกลมพายุที่นางสร้างเพื่อฆ่าโจรทำลายไปด้วย”
ข้าจ้องชายตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกค้าง เขายังคงสบตาตอบอย่างเรียบเฉย ทว่าแววโศกเศร้าเต้นระริกอยู่ภายในนั้น
“ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงลงโทษสิมูน โดยการลิดรอนอำนาจของนางและจำกัดบริเวณนาง...เช่นที่เจ้ารู้ มีทางเดียวเท่านั้นที่นางจะพ้นจากโทษนี้ ทว่านั่นเป็นสิ่งที่นางทำไม่ได้ นางจึงใช้อำนาจเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ สะกดความทรงจำของตนแทน เพื่อจะได้ไม่ต้องแบกรับเรื่องทั้งหมด สิ่งที่นางต้องทำคือ...”
“ฆ่าข้า...อย่างนั้นสินะ” ข้าต่อคำพูดของเขา
เอนลิลเป็นฝ่ายประหลาดใจบ้าง
“ไยเจ้าจึง...”
“ข้าเดาได้ไม่ยากหรอก” ข้าก้มลงมองพื้นทราย “นางเป็นเทพ ไม่มีผู้ใดมองเห็นและทำร้ายนางได้ หากสัตว์ต่างๆ หรือเหตุใดก็ตามนอกจากนั้นสังหารนาง นางก็จะฟื้นกลับมาเช่นเดิม เช่นนี้แล้วพระองค์จะอนุญาตให้นางมีกริชติดตัวเพราะอะไร นอกจากว่ากริชนั้นมีไว้เพื่อจุดประสงค์อื่น
“แล้วหากพระองค์ตั้งใจให้นางใช้กริชนั้นทำบางสิ่งเพื่อไถ่โทษ แต่นางกลับลบความทรงจำของตนเพื่อจะได้ไม่ต้องทำสิ่งนั้น ข้าก็เดาได้เพียงว่า...สิ่งที่นางต้องทำเพื่อให้พ้นความผิดขัดกับความรู้สึกของนาง...มากเสียจนนางอยากลืม นอกจากความเสียใจและรู้สึกผิดที่นางทำให้ครอบครัวของเซ็ฟ รวมทั้งผู้บริสุทธิ์อีกมากมายต้องตาย”
“หัวไวยิ่งสำหรับมนุษย์” เอนลิลรับ “เป็นเช่นที่เจ้าว่ามาทั้งหมด”
“แล้วเงื่อนไขของการแก้คำสาป คงไม่ได้จบแค่ฆ่าเซ็ฟ แต่เป็นการฆ่าเซ็ฟที่กลับชาติมาเกิดใหม่ด้วย ท่านจึงได้เล่าเรื่องของนางให้ข้าฟังในทีแรก”
เขาพยักหน้า
"ข้าพยายามวิงวอนให้พระองค์เมตตาสิมูน...แต่พระองค์ก็ไม่ยอมรับฟังแม้แต่น้อย ข้าเคยช่วยนางหนี แต่ก็ไม่สำเร็จ ถูกริบแผ่นป้ายแห่งชะตากรรม และถูกจำกัดอำนาจไว้เช่นกัน...แม้จะไม่มากเท่านาง เมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้าเข้ามาในอาณาเขตของพวกเรา จึงล่อเจ้าไปพบนางอีกครั้ง เพื่อให้นางฆ่าเจ้าล้างคำสาป แต่ไม่นึกเลย...ข้ากลับทำผิดพลาดอย่างมหันต์ นางไม่เพียงแต่ไม่ฆ่าเจ้า...ยังกลับหลงรักเจ้าอีกครั้ง” เอนลิลถอนใจ เอ่ยต่อแผ่วเบา “ความพยายามทั้งหมดที่ข้าทำเพื่อธิดาช่างไร้ค่า"
"ท่านเป็นบิดาของซิมูนหรือ" ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ ชายตรงหน้าข้า อย่างไรก็ยังดูอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ เทียบกับสิมูนที่อยู่ในวัยสะคราญแล้ว...น่าจะเป็นพี่น้องมากกว่า แต่แล้วข้าก็ตระหนักได้ว่าทวยเทพย่อมเป็นอมตะ จึงไม่มีวัยร่วงโรยให้เห็น
เขาพยักหน้า
“สมัยที่ชาวซัง กิ-กายังบูชาข้าอยู่ในดินแดนของพวกเขา ข้ารักกับหญิงมนุษย์คนหนึ่ง นางเป็นผู้ให้กำเนิดสิมูน นางมีชะตาต้องตายตอนคลอด แต่ข้ากลับใช้พลังช่วยชีวิตนางไว้ เมื่อทวยเทพจับได้ว่าข้ากระทำผิดกฎ พวกเขาตัดสินจองจำข้าไว้ในปรภพชั่วระยะหนึ่ง ระหว่างนั้น สิมูนถูกพรากไปจากแม่ ส่วนหญิงคนรักของข้า...คลุ้มคลั่งไปเพราะสูญเสียทั้งลูกและสามีในเวลาเดียวกัน อำนาจแห่งเทพที่ข้าใช้พยุงชีพนางทำให้นางกลายเป็นปีศาจ คอยสูบกินวิญญาณของเด็กอื่นๆ ข้าถูกกำหนดให้ดับชีวิตของนางด้วยตนเอง”
“...ทำไม...ทำไมถึงได้โหดร้ายอย่างนี้!” ข้าอดร้องมิได้
“ผู้เรียนผูกต้องเรียนแก้ ข้าเป็นผู้ทำผิดกฎเอง” เอนลิลยังคงปกป้องคณะเทพ “และเหตุที่ต้องนำตัวสิมูนมา ก็เพราะเด็กคนนั้นมีอำนาจแห่งเทพของข้าอยู่ในตัว พระองค์จึงต้องให้นางเรียนรู้การใช้พลังของเทพ และดูแลสมดุลระหว่างโลกของเรากับโลกมนุษย์แต่เนิ่นๆ ทว่า...สิมูนยังคงมีอารมณ์ความรู้สึกอ่อนไหวของมนุษย์อยู่มาก นางจึงทำผิดซ้ำรอยเดิมกับข้า...ด้วยการช่วยเจ้า
“เทพเป็นอมตะ มนุษย์มีชีวิตจำกัด ไม่ว่าใครก็ฝืนชะตาไม่ได้ แต่เพราะไม่อยากให้คนที่รักจากไป เทพจึงพยายามหักเหชะตากรรมทุกวิถีทาง เป็นเหตุให้สมดุลอันเปราะบางต้องเสียหาย”
“สมดุลอันเปราะบาง...” ข้าพึมพำ รู้สึกเหมือนนึกบางสิ่งออกอย่างประหลาด “ปัญหาคือเรื่องของสมดุล...จริงๆ หรือ”
“หมายความว่าอย่างไร”
ความคิดล่องลอยอยู่ในหัว ยังไม่อาจกลั่นตัวเป็นคำพูด แต่ก็ชวนให้ข้าคิดต่อไป คิดว่าจะรวบรวมมาถามเอนลิลให้กระจ่างให้ได้ เกี่ยวกับช่องว่างของหลักการนั้น
แต่แล้วเราทั้งสองก็สะดุ้งสุดตัว ความคิดของข้ากระจายหาย กลบด้วยความตกใจ เสียงกรีดร้องแหลมบาดหูดังก้องมาจากทิศหนึ่ง บางขณะคล้ายเสียงของหญิงที่ได้รับความเจ็บปวดถึงขีดสุด...แต่บางขณะก็ฟังคล้ายเสียงนก
“มากับข้า!” เอนลิลคว้าข้อมือข้า ก่อนจะพึมพำในลำคอ ข้ารู้สึกเหมือนตนเองถูกฉุดให้ปลิว...จนภาพรอบด้านเหลือเพียงสีผสมปนเปวิ่งไปด้านหลัง
แวบหนึ่ง...คลับคล้ายเห็นกลุ่มหมอกที่ดูละม้ายผ้าสีดำลอยแวบวาบทางหางตา เหมือนมีผู้ไล่ตาม แต่เมื่อเหลียวไปก็ไม่เห็นสิ่งใด สีรอบกายค่อยๆ เคลื่อนช้าลงจนหยุดนิ่งในที่สุด
* * * * *
ที่หมายคือบริเวณใกล้ผาที่ข้านัดพบกับสิมูน เบื้องหน้ามีร่างขาวโพลนทอดเด่นบนพื้นสีน้ำตาลเทา สีแดงฉานพาดยาวบนร่างนั้น...และไหลซึมลงแทรกเม็ดทราย
แวบแรก ข้ากลัวจับจิตว่านั่นคือสิมูน แต่แล้วก็สังเกตเห็นขนนกที่ร่วงกระจัดกระจาย และแขนติดปลายปีกขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง ซึ่งถูกตัดขาดจากลำตัว ซ้ำพื้นทรายบริเวณนี้ยังปั่นป่วนเป็นคลื่นสูงต่ำ ราวกับเกิดการต่อสู้ขึ้น
...แต่อาร์ดัท-ลิลิต่อสู้กับผู้ใด...
ขณะที่ข้ายืนตะลึงอยู่ เอนลิลปราดเข้าไป คุกเข่าลงใกล้นาง
“...พวกมัน...เอาตัวนางไป...” นางปีศาจบอกเขาอย่างยากลำบาก “...ข้า...ข้าสู้พวกมันไม่ได้...”
“อย่าพูดอีกเลย” เอนลิลตัดบท “เจ้าบาดเจ็บมาก ข้าจะรักษา...”
อาร์ดัท-ลิลิกลับสั่นศีรษะทั้งรอยยิ้มน้อยๆ
“พอเถิด...ท่านไม่ต้องรักษาข้าอีกแล้ว...เอนลิล...” นางกระอักเลือดออกมา “ข้า...ทำทุกสิ่งเพื่อนางแล้ว...ข้า...พอใจ...พอใจเหลือเกิน...แล้วก็...เหนื่อยเหลือเกิน...”
“ไม่! ยังไม่เพียงพอ! เจ้าต้องอยู่ต่อไป...จนกว่าข้าจะแก้คำสาปได้ แล้วเราสามคนจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า! อย่าเพิ่งยอมแพ้เลย!”
นางปีศาจสั่นศีรษะอีกครั้ง
“ท่าน...ก็รู้ว่าทางแก้คำสาป...ของข้า...มีทางเดียวเท่านั้น...”
ข้าเพียงมองเงียบๆ จากที่ที่ตนยืนอยู่ ไม่พูดสิ่งใด หรือเข้าไปก้าวก่ายพวกเขา กระนั้นยังเห็นได้ว่าสีหน้าของเอนลิลตะลึงงันถึงขีดสุด
“...ลงมือเสีย...รับอำนาจของท่าน...คืนไป...เพื่อช่วยเด็กคนนั้น...ช่วย...ลูกของเรา...”
“...ข้าทำไม่ได้” เสียงตอบของเขาแหบแห้ง
“...ข้า...ตายไปแล้ว...แต่นาง...ยังมีโอกาส...ชายจากเอลลัส...เป็นคนดี...เขา...จะไม่ทำให้...เหตุการณ์...ซ้ำรอยเดิม...มอบ...โอกาส...ให้เขา...กับนาง...เถอะนะ...”
เอนลิลก้มลงสบตากับอาร์ดัท-ลิลิ ท่าทางของเขายังสงบนิ่ง ทว่าข้ากลับรู้สึกเหมือนสัมผัสได้ ว่าใจของเขาปั่นป่วนเหลือแสน
“...ข้ารักท่าน...” นางปีศาจเอ่ยแผ่วเบา “ช่วย...เรียกชื่อข้า...อีกสักครั้ง...ได้ไหม...เหมือนตอนที่...เรา...พบกัน...”
เทพผู้เป็นบิดาของสิมูนนิ่งงันอยู่อีกครู่ ก่อนจะก้มหน้าลง กระซิบข้างหูคนรัก พร้อมกันนั้น มือของเขาก็โอบรอบลำคอนาง
ร่างของอาร์ดัท-ลิลิ กระตุกเพียงครั้งเดียว แล้วก็ไม่ขยับอีกเลย
* * * * *
ข้าเสมองไปอีกทาง ขณะที่เอนลิลยังคงกอดร่างนางปีศาจไว้ ได้ยินเสียงเรียบเรื่อยของเขา ราวกับกำลังพูดกับตนเอง
“นาง...รักเด็กๆ คงคิดไปว่าเด็กๆ ที่สูญเสียแม่ทุกคนคือสิมูนของนาง ข้ารู้ว่านางไม่ได้ตั้งใจทำร้ายหรือฆ่าพวกเขา ทว่าธาตุมืดของปีศาจในตัวนางต่างหากที่กัดกร่อนชีวิตเด็กพวกนั้น พร้อมกับดูดกลืนธาตุสว่างของมนุษย์เข้ามา...จนพวกเขาตายไปอย่างช้าๆ แต่นางก็กลับ...ถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจที่กินเด็กเป็นอาหาร ซ้ำ...ยิ่งผู้คนผูกนางเข้ากับปีศาจหญิงที่สมสู่กับบุรุษ ความทรงจำของนางที่สับสนตั้งแต่กลายเป็นภูตจึงซึมซับความเชื่อเหล่านั้น แล้วก็กลายเป็นเช่นนั้นไปเสียจริงๆ” เขาถอนใจ “หากจะมีใครผิดก็คือข้า ข้าต่างหากที่เติมเต็มนางด้วยพลังของภูต...เพื่อผูกวิญญาณของนางไว้กับร่าง...ซ้ำไม่อาจหักใจฆ่านางมาตลอด ข้า...สมควรต้องโทษทัณฑ์ยิ่งกว่านางแท้ๆ”
“ท่านเอนลิล...” ข้าไม่อาจนึกหาคำใดมาปลอบใจเขา ได้แต่มองต่อไป ขณะที่เอนลิลปิดเปลือกตาของอาร์ดัท-ลิลิให้หลับลง จากนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนและหันมาทางข้า
“เจ้า...คิดว่าข้าจะยังช่วยสิมูนได้ไหม” เขาตั้งคำถามด้วยสายตาที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน
เคร่งขรึม...ใช่ ปวดร้าว...ใช่ ข้าพอมองความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้ออก ทว่าไม่เคยเห็นเขาลังเล และดูเหมือนหวาดกลัวถึงเพียงนี้
เทพเจ้าไม่ควรมีความหวาดกลัว...ใช่ไหม
“ข้ารู้ว่ามันฟังดูน่าขัน ข้ายอมทำตามกฎ และทอดทิ้งนางมาตลอด มันสายเกินกว่าจะมาทำตัวเป็นพ่อที่ดี...หรือรักลูกเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว แต่สิมูนเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่สำหรับข้า ไม่ว่านางจะทำผิดอะไร ข้า...ก็ไม่อยากเห็นนางทุกข์ทรมานไปกว่านี้”
คำว่า ‘ทำผิด’ ดึงความทรงจำและข้อสงสัยก่อนหน้าได้ยินเสียงของอาร์ดัท-ลิลิขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ ข้ากลั่นข้อสงสัยนั้นเป็นคำพูดได้สำเร็จ
“ท่าน...คิดว่าโทษที่ท่านกับสิมูนได้รับ เป็นโทษที่สมควรแล้วหรือ”
เขามองข้าต่างคำถาม ทว่าข้าคิดว่าคงไม่มีเวลาอธิบายในตอนนี้
“นั่นเป็นเรื่องที่ข้าเพิ่งคิดขึ้นมาได้ แต่สำคัญที่สุดคือเราต้องไปช่วยนางโดยเร็ว จริงไหม” ข้ามองเขา “ใครพาตัวนางไป และไปที่ใด ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้า หากท่านคิดว่าพาข้าไปด้วยจะเป็นประโยชน์มากกว่าตัวถ่วง ข้าจะตามไปด้วยทุกที่”
เอนลิลก้มลงมองผืนทราย ทอดสายตาไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย แล้วพยักหน้าในที่สุด
“ไปกัน อามอน” เอนลิลพูดหนักแน่น “สู่ดิลมุน แดนตะวันส่องภพ เจ้าต้องช่วยธิดาของข้าให้ได้ อย่าให้ความหวังของข้ากับนางต้องสูญเปล่า ต่อให้ต้องแหกกฎของเทพอีกสักกี่ข้อ...ข้าก็จะช่วยพวกเจ้าให้ถึงที่สุด!”
* * * * *
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น