ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #5 : ภาคที่ 1 - เอลาซัล / บทที่ 3 - ความเงียบงันแห่งกาลเวลา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 180
      0
      19 พ.ค. 49

    PART I: ELAZUL
    Chapter III: The Silence of Time

    ภาคที่ 1: เอลาซัล
    บทที่ 3: ความเงียบงันแห่งกาลเวลา


    เด็กสาวผู้มีนัยน์ตาสีเขียวเข้มโน้มกายลงเหนือคัมภีร์เล่มหนาบนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตัวใหญ่เบื้องหน้า ปลายนิ้วไล้ไปตามเส้นกรอบสีทองที่ล้อมตัวอักษรบนหน้ากระดาษสีเหลืองนวลดั่งสีงาช้างซึ่งบ่งบอกความที่ผ่านกาลเวลามานานนับ

    เธอเป็นคนรักหนังสือที่ชื่นชมทั้งความงามของรูปเล่มและเนื้อหาภายในตำราโบราณทั้งหลาย และนึกว่าตนช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาในตระกูลขุนนางที่สืบเชื้อสายมาหลายชั่วอายุคนร่วมตระกูลกับท่านหญิงไดอาน่า ซึ่งมอบสิทธิ์พิเศษให้เธอเข้าชมหอสมุดหลวงได้โดยอิสระอย่างที่ชาวจูมิน้อยคนนักจะได้รับ

    องค์หญิงฟลอริน่าผู้ดำรงตำแหน่งคลาริอุสซึ่งประทับอยู่ข้างเด็กสาวก็กำลังทรงหนังสืออีกเล่มหนึ่งอยู่เช่นกัน ฉลองพระเนตร (แว่นตา) ที่สวมเวลาทรงพระอักษรหลุดเลื่อนลงมาบนนาสิกเล็กบาง

    เด็กสาวลอบมองพระองค์อย่างเงียบๆ แวบแรกอดนึกไม่ได้ว่าพระอิริยาบถนี้ทำให้ผู้มองสะท้อนใจ แต่ก็ขบขันไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก

    สะท้อนใจ เพราะฉลองพระองค์สีเขียวเหลือบน้ำเงินตัวหลวมที่ทรงอยู่ไม่อาจปิดบังความผอมซูบของพระวรกายได้เลย

    ขบขัน เพราะภาพฉลองพระเนตรที่ดูแปลกตาสำหรับเด็กสาวชาวจูมิซึ่งไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไรความรู้สึกที่เธอมีต่อองค์หญิงยังคงเป็นความชื่นชมและเคารพนับถือทั้งความฉลาดปราดเปรื่องขององค์หญิง ซึ่งเป็นพระธิดาของจอมปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เผ่าจูมิ กับทั้งพระเมตตาที่มีให้ต่อผู้คนรอบข้างและชาวจูมิโดยถ้วนทั่ว ไม่เพียงเพราะตำแหน่งคลาริอุสที่ทรงดำรงอยู่

    เมื่อเห็นองค์หญิงทรงหนังสือเบื้องหน้าอย่างจดจ่อพระทัย เด็กสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

    "ทรงพบอะไรน่าสนใจเข้าหรือเพคะ"

    องค์หญิงฟลอริน่าเลื่อนพระพักตร์มาทางผู้ถามก่อนจะแย้มสรวล เผยรอยยิ้มที่ทำให้เรียวพักตร์ซีดเซียวแจ่มใสขึ้นได้อย่างประหลาด

    "ก็...ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ"

    "งั้นเหรอเพคะ" เด็กสาวตอบ "หม่อมฉันเห็นพระองค์สนพระทัยอ่านหนังสือเล่มนั้นเสียเหลือเกิน"

    เนตรสีเทาขององค์หญิงฟลอริน่าเป็นประกายด้วยความเอ็นดูเมื่อเห็นเด็กสาวเสยผมสีเขียวที่รวบเป็นหางม้าสั้นๆ ด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าผิดหวังอย่างชัดแจ้ง

    พระองค์ทรงรู้จักเอสเมอรัลด้า คุณหนูคนสุดท้องในตระกูลมรกตมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก จนรู้ดีว่าเธอเป็นคนที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาทั้งสีหน้าและท่าทางมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และไม่เคยลังเลที่จะพูดสิ่งใดก็ตามที่ตนเองคิดออกมาเลย

    "ใจเย็นๆ สิจ๊ะ...เอสเมอรัลด้า" น้ำเสียงตรัสอ่อนหวาน "ถ้าหากอยากเป็นนักค้นคว้าก็ต้องใจเย็นให้มาก เพราะเรื่องที่เราค้นคว้าอยู่ไม่ใช่ว่าจะพบได้ในไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน กว่าจะรู้ผลอาจจะใช้เวลาเป็นหลายปีเลยก็ได้ เสด็จพ่อยังทรงใช้เวลาทั้งชีวิตสืบค้นประวัติศาสตร์เผ่าจูมิ ถึงจะได้ข้อมูลมามากมาย แต่มาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เลย เราถึงอยากที่จะสืบต่อไปจนจบ แต่เราก็ต้องใจเย็นไว้ก่อน"

    เอสเมอรัลด้ารับฟังอย่างเข้าใจ

    "เพคะ" เด็กสาวตอบสั้นๆ อย่างว่าง่าย ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางใช้นิ้วลูบเกลียวไหมสีทองขลิบปลายแขนเสื้อสีเขียวอ่อนของตนเล่น แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงครุ่นคิด "องค์หญิงทรงเชื่อเรื่องในตำนานเทวทูตจูมิ...ที่ว่าเทวทูตจุติเป็นผู้สอนให้ชาวเผ่าจูมิใช้อำนาจรักษาหรือเปล่าเพคะ"

    องค์หญิงฟลอริน่าดันฉลองพระเนตรขึ้นเรียบๆ รอยแย้มยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาที่มองเอสเมอรัลด้าผ่านเลนส์แว่นที่สะท้อนเงาของอีกฝ่ายหนึ่ง

    "ตำนานเทวทูตจูมิมีมานานกว่าสามพันปีแล้วนะ เอสเมอรัลด้า มีหลักฐานแสดงว่าตำนานเรื่องนี้มีเค้าความจริงอยู่เหมือนกัน แต่ว่าความจริงกับตำนานจะเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า...เราก็บอกไม่ได้"

    "มันก็จริงนะเพคะ" เอสเมอรัลด้าตอบรับ "ในตำนานบอกว่า เทวทูตมี 'เกศาดั่งแสงภาณุมาศ เนตรสาดสีดุจชลาใส' ตำนานเก่าๆ ก็มักจะบรรยายลักษณะของเทพว่ามีผมสีทองกับดวงตาสีฟ้าเหมือนกันหมด หม่อมฉันไม่คิดว่า..." น้ำเสียงของเด็กสาวเริ่มมีแววลังเล "เราควรจะเชื่อว่าเรื่องไหนเป็นความจริงนอกจากจะพิสูจน์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียก่อน แล้วทำไมถึงต้องเชื่อตำนานที่พิสูจน์ไม่ได้แบบนี้ด้วยล่ะเพคะ"

    เอสเมอรัลด้าลอบมององค์หญิงฟลอริน่าอีกครั้ง ก่อนที่แวบขบขันจะฉายในดวงตาของเด็กสาว

    " 'แว่น' ขององค์หญิงตกอีกแล้วเพคะ"

    องค์หญิงฟลอริน่าดันแว่นกลับขึ้นไปอีกพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนพระทัย เมื่อนึกถึงผู้ที่มอบสิ่งนี้ไห้กับพระองค์

    อเล็กซ์เป็นคนหาแว่นตาจากโลกภายนอกมาให้หลังจากที่รู้ว่าองค์หญิงฟลอริน่ามีปัญหาทางสายพระเนตรเวลาทรงพระอักษร แต่ขนาดของแว่นตาดูจะหลวมไปนิด องค์หญิงจึงต้องดันฉลองพระเนตรที่เลื่อนหลุดลงมาบ่อยๆ แต่พระองค์ก็ทรงรับของขวัญจากความหวังดีชิ้นนี้อย่างเต็มพระทัย

    "นั่นสินะ..." ดวงเนตรทอประกายขณะตรัสตอบคำพูดของเอสเมอรัลด้า "เราไม่ควรจะเชื่อว่าเทพทั้งหมดมีผมสีทองกับดวงตาสีฟ้าเหมือนกันหมด นอกเสียจากจะพิสูจน์ได้เสียก่อน เธอนี่สมเป็นนักวิทยาศาสตร์จริงๆ นะ...เอสเมอรัลด้า"

    เอสเมอรัลด้าขมวดคิ้ว

    "หม่อมฉันว่าตำนานมันจบง่ายไปหน่อยนะเพคะ ในที่สุดเทวทูตก็จะกลับมาเพื่อเยียวยาเผ่าจูมิทั้งมวล...นั่นมันตอนจบของนิทานหลอกเด็กชัดๆ หม่อมฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชาวจูมิยังเชื่อเรื่องแบบนี้ไปได้ยังไง"

    "เพราะอย่างนี้เราถึงต้องค้นคว้าต่อไปไงล่ะ" องค์หญิงตรัสตอบพลางเสยพระเกศาที่ตกลงปรกวงพักตร์ "เราถึงพยายามจะสืบหาที่ตั้งของวิหารที่เทวทูตปรากฏกายเป็นครั้งแรก"

    "แต่ว่า..." เอสเมอรัลด้ายังคงเถียงต่อไปตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์ (ตามความคิดขององค์หญิงฟลอริน่า) "ถึงวิหารนั้นจะมีอยู่จริงๆ มันจะมีความหมายอะไรล่ะเพคะ ถ้าจะพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเทวทูตอยู่จริง...ก็ต้องค้นหาหลักฐานให้ได้มากกว่านี้เยอะเลยนะเพคะ"

    "เลิกเถียงอะไรไม่เป็นเรื่องซะทีเถอะ...เอสเมอรัลด้า" เสียงห้วนๆ ที่ดังมาจากข้างหลังทั้งสองหยุดคำพูดของเด็กสาวไว้เพียงเท่านั้น

    องค์หญิงฟลอริน่าผินพักตร์ไปทางชั้นหนังสือที่เรียงไว้เป็นระเบียบในหอสมุดที่มีแสงเพียงสลัว

    "เธอคง 'แอบฟัง' พวกเรามาได้พักหนึ่งแล้วสินะ...อเล็กซ์ พบอะไรที่น่าสนใจบ้างหรือเปล่าล่ะ"

    อเล็กซ์ซึ่งตามเสด็จองค์หญิงฟลอริน่ามาที่หอสมุดและออกปากจะ 'ช่วย' ค้นคว้าด้วย เดินท่องไปเสียทั่วพลางรื้อค้นตามชั้นหนังสือต่างๆ อย่างเอาเป็นเอาตายมาได้สองสัปดาห์แล้ว จนกระทั่งองค์หญิงฟลอริน่าอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่...มากกว่าความต้องการที่จะช่วยอย่างเดียวเท่านั้น

    แม้ในตอนนี้...เด็กหนุ่มยังถือหนังสือเล่มบางเล่มหนึ่งเข้ามาหาทั้งสอง

    "ผมไม่รู้ว่าเล่มนี้ใช้ได้หรือเปล่า องค์หญิงช่วยดูหน่อยนะครับ"

    เอสเมอรัลด้าถลึงตาใส่อเล็กซ์เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

    "ถ้าเป็นนายคงจะหาวิธีอื่นมาพิสูจน์ตำนานเทวทูตได้ล่ะสิ อเล็กซ์"

    "อย่างน้อยผมยังรู้จักวิธีอื่นที่ดีกว่า 'เอาคำถามไร้สาระที่หาคำตอบไม่ได้มาโยนโครมใส่องค์หญิง' ก็แล้วกัน แล้ว..." เขาต่อประโยคด้วยน้ำเสียงแฝงอารมณ์ขันแบบเย็นๆ ที่ยิ่งยั่วโทสะของเอสเมอรัลด้ายิ่งกว่าเดิม "ผมว่าเด็กที่หาว่าเรื่องที่พวกผู้ใหญ่เขาเชื่อกันเป็นเรื่องโกหกน่ะเป็นพวกที่น่ารำคาญที่สุด"

    "ถ้าจะหาว่าฉันน่ารำคาญก็พูดมาตรงๆ ได้น่า!" เด็กสาวกลั้นอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป

    "เปล่า...ก็แค่ว่าเธอชอบทำตัวแก่เกินวัยเท่านั้น" อเล็กซ์ตอบก่อนจะเหวี่ยงร่างเพรียวๆ ของตนลงบนเก้าอี้นวมข้างองค์หญิงฟลอริน่าอย่างรวดเร็ว "เด็กแก่แดด...ไงๆ ก็ไม่น่ารักหรอก ตอนเด็กๆ ผมก็เคยเป็นอย่างเธอเหมือนกันแหละ"

    " 'เคย' เหรอ..." องค์หญิงฟลอริน่าเสริม ดวงเนตรเป็นประกายเหมือนจะหยอกเย้า "พอโตแล้วนิสัยก็ยังไม่เปลี่ยนเลยนะ"

    "เปลี่ยนสิ...เลวลงกว่าเดิมอีก อย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน" อเล็กซ์ว่าพลางเปิดหนังสือที่เขาหยิบมา ไม่สนใจกับสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องเขาเขม็ง

    เอสเมอรัลด้าเกลียดอเล็กซ์แต่แรกพบ...ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้วหมอนี่ก็หน้าตาดีไม่ใช่เล่น ดูท่าจะอายุมากกว่าเธอนิดหน่อย หากเทียบกับมนุษย์ก็คงไม่เกินยี่สิบ เรือนร่างผอมเพรียว ใบหน้าสะสวยเหมือนผู้หญิงประดับรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ กระทั่งดวงตาสีเขียวเป็นประกายยังเหมือนจะยิ้มได้เลยด้วยซ้ำ

    แต่ที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลยคือไอ้นิสัยยียวนกวนประสาท ไม่มีสัมมาคารวะหรือแม้แต่ความเกรงใจใครของเขานั้นแหละ...

    กระทั่งกับองค์หญิงฟลอริน่าที่เธอเคารพและชื่นชมมาแต่เล็กก็ยังไม่เว้น...

    "ก็ดี!" เด็กสาวแขวะกลับ "เพราะจะยังไงฉันก็ไม่เคยนึกอยากจะเป็นแบบนายเลยซักนิด"

    "แย่จัง ผมว่าเอสเมอรัลด้าชักจะเหมือนอเล็กซ์หมายเลขสองขึ้นทุกวันแล้วเชียวนะ"

    เอสเมอรัลด้าขี้เกียจเถียงต่อ จึงยอมแพ้ฝีปากคู่กรณีไปโดยปริยาย

    "หวังว่าเล่มที่นายเอามาคงใช้ประโยชน์ได้บ้างแหละนะ" เด็กสาวเปลี่ยนเรื่องพูด...ในขณะเดียวกันก็พยายามทำเป็นไม่สนสายตายั่วเย้าที่อเล็กซ์ส่งให้ "องค์หญิงทรงคิดว่ามีข้อมูลหายไปมากแค่ไหนเพคะ หลังจากที่ 'คนแปลกแยก' ขโมยหนังสือออกไปจากที่นี่"

    "เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน" ตรัสตอบพลางสั่นพระเศียรน้อยๆ "แต่เขาก็ขโมยข้อมูลเกี่ยวกับตำนานเทวทูตที่เหลืออยู่ไปได้มากทีเดียวล่ะ รู้สึกว่าเขาจะสนใจเรื่องอะไรก็ตามเกี่ยวกับเทวทูต...โดยเฉพาะสถานที่ที่มีอยู่ในตำนาน หนังสือบางเล่มที่หายไปอาจจะมีข้อมูลที่สำคัญมากอยู่ด้วย"

    สีหน้าของอเล็กซ์เปลี่ยนเป็นครุ่นคิดอย่างประหลาดต่อถ้อยคำเหล่านั้น แต่เขาก็ยังปิดปากเงียบจดจ่อกับหนังสือของตนต่อไป

    ทว่ากริยานั้นก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของเอสเมอรัลด้า ซึ่งแอบจับตามองท่าทีของอัศวินหนุ่มอยู่พักหนึ่งเพื่อความแน่ใจก่อนจะถามขึ้น

    "อเล็กซ์" เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม สำหรับใครที่รู้จักเธอดีจะรู้ว่านั่นเป็นสัญญาณเตือนให้ระวังคำที่เธอจะพูดต่อไป "ฉันรู้มาว่านายทูลองค์หญิงว่าแหลมทางใต้...ที่น่าจะเป็นที่ตั้งของวิหารในตำนาน...ใช้เวลาเดินทางไปจากนี่สองอาทิตย์ครึ่งสินะ"

    อเล็กซ์รู้จักกับเอสเมอรัลด้ามาได้เพียงสองอาทิตย์ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หยั่งนิสัยของเธอได้

    ...และรู้ว่าควรจะตอบอย่างไรจึงจะไม่ตกหลุมพราง...

    เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งขณะมองอีกฝ่าย

    "แล้วไงล่ะ"

    "ก็..." เสียงของเด็กสาวแฝงความลังเลเล็กน้อย "ฉันคิดว่านายรู้เพราะเคยไปที่นั่นมาก่อน"

    "ก็เคย" อเล็กซ์แกล้งตอบเรียบๆ เหมือนกับไม่สนใจ

    สายตาของเอสเมอรัลด้ายังคงเยือกเย็นในขณะที่เธอปัดปอยผมที่ปรกแก้ม

    "ก็แค่...แปลกใจน่ะ" เด็กสาวพูดต่อหลังจากทัดปลายผมไว้ข้างหูเรียบร้อยแล้วหันมาสบตากับเด็กหนุ่มอีกครั้ง "ว่าทำไมอดีตหัวขโมยถึงได้รู้ที่ตั้งของวิหารโบราณดีนัก"

    สีหน้ายิ้มแย้มของอเล็กซ์กลับบอกเอสเมอรัลด้าว่าเขาได้ข้อสรุปอีกอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องเอ่ยปากถามเลยด้วยซ้ำ

    "รู้สึกว่าเอสเมอรัลด้าจะไปสอบประวัติผมมาจากองค์หญิงสินะ" เด็กหนุ่มลอบปรายตามององค์หญิงฟลอริน่าที่แสร้งทำเป็นก้มเศียรอ่านหนังสือต่อไปอย่างเงียบๆ หากเสียงสรวลน้อยๆ ที่ดังลอดริมโอษฐ์เป็นหลักฐานที่เพียงพอแล้วสำหรับอเล็กซ์

    "ใช่" เอสเมอรัลด้ารับง่ายๆ "พอฟังจบแล้ว...ฉันก็คิดว่านายเป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชนพิลึก"

    "ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชมนะ...ถ้าไม่นับว่าเอสเมอรัลด้าพูดด้วยเสียงแบบเดียวกับตอนที่ผ่าท้องหนูทดลอง แล้วแหวะไส้พุงออกมาดูเป็นๆ ไม่มีผิด"

    คำประชดนั้นเรียกรอยยิ้มแหยๆ มาจากเด็กสาวได้ แต่ก็ไม่มากไปกว่านั้น

    "ถ้าอย่างนั้นนายก็รู้เรื่องวิหารนั่นจริงๆ ล่ะสิ"

    "ผมรู้อะไรผมก็ทูลองค์หญิงไปหมดแล้ว" อเล็กซ์ตอบสั้นๆ ก่อนจะกอดอกพิงพนักเก้าอี้ แล้วส่งยิ้มให้เอสเมอรัลด้า "ตอบอย่างนี้หวังว่าคงพอใจนะ"

    เอสเมอรัลด้าเอนกายมาข้างหน้า ทำให้เด็กหนุ่มรู้ชัดว่าเธอไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ แน่

    ใช่แล้ว...ตอนสนุกมันจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก

    "ตอบฉันมาซิ อเล็กซ์" เด็กสาวพูดเสียงเครียด ดวงตาเป็นประกายวาบด้วยความโกรธกรุ่น "นายรู้จักจอมโจร 'เรย์นาร์ด เดอะ ฟ็อกซ์' ใช่มั้ย"

    "ผมไม่อยากพูดเรื่องอดีต" เสียงตอบของอเล็กซ์กลับเย็นขึ้นมาทันที

    เอสเมอรัลด้าจ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

    "อย่าหลอกกันเลยน่า ฉันมองออกนะว่านายรู้จัก 'เดอะ ฟ็อกซ์' รู้อะไรก็บอกฉันมาเถอะ"

    อเล็กซ์ปรายตามององค์หญิงฟลอริน่า แต่พระองค์กลับสั่นพระเศียรอย่างหนักแน่น ไม่ยอมแม้แต่จะเงยพระพักตร์ขึ้นจากหน้าหนังสือ

    "อย่าทำเป็นไม่สนเลยน่าองค์หญิง" เขาตัดพ้อ

    "ก็เราไม่สนจริงๆ นี่จ๊ะ" พระองค์ตรัสตอบเรียบๆ ขณะพระเนตรยังจับจ้องตัวอักษรตามเดิม

    เด็กหนุ่มถอนใจเฮือกก่อนจะยืดกายขึ้น ใช้นิ้วลูบหน้ากระดาษเหลืองกรอบเล่นพลางยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

    "ก็ได้ๆ...'เดอะ ฟ็อกซ์' เป็นหัวหน้ากองโจรที่ผมเคยอยู่"

    "ว่าแล้วเชียว" เอสเมอรัลด้าเอ่ยอย่างได้ชัยชนะ "ขอถามอีกข้อนะ...อเล็กซ์ นามสกุลของเดอะ ฟ็อกซ์ คือ 'เรย์นาร์ด' ใช่มั้ย แล้วชื่อจริงของเขาที่ขึ้นต้นด้วยตัว 'เอ' ล่ะ...นายรู้รึเปล่า"

    "จะไปรู้ได้ไงเล่า"

    "ชื่อจริงของเขาอาจจะเป็น..." น้ำเสียงของเด็กสาวเหมือนจะยั่วเย้า " 'อเล็กซ์' ก็ได้สินะ"

    "ถึงใช่ ผมก็ไม่มีวันบอกเธอหรอก" อเล็กซ์ตอบเสียงเย็นเหมือนน้ำแข็งขณะที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือเบื้องหน้า

    เอสเมอรัลด้ามองเขาเงียบๆ รู้สึกผิดหวังกับท่าทีเฉยเมยแบบนี้ บอกได้สองนัยว่าเธอเดาผิด...หรือไม่อย่างนั้นนายอเล็กซ์ก็เป็นนักแสดงที่สมบทบาทเสียจนจับพิรุธไม่ได้เลย

    ในที่สุดเด็กสาวก็ยอมแพ้...เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วกอดอก

    "ฉันอยากออกเดินทางบ้างจัง" เธอพูดขึ้นลอยๆ "แต่คงจะไปไกลที่สุดถึงมหา'ลัยจีโอเท่านั้น"

    "อย่างเธอน่ะไม่ถึงหรอก" อเล็กซ์ตอบห้วนๆ โดยไม่ละสายตาจากหน้ากระดาษเลยด้วยซ้ำ

    "แต่ฉันตั้งใจจะไปถึงที่นั่นให้ได้ล่ะ!" เอสเมอรัลด้ายืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยว "ฉันอยากจะเป็นนักปราชญ์เหมือนเสด็จพ่อขององค์หญิง...ฉันจะเป็นนักปราชญ์หญิงคนแรกในเผ่าจูมิให้ได้เลยคอยดู!"

    "เธอนี่ใฝ่สูงไม่ใช่เล่นแฮะ" เด็กหนุ่มเปรยขึ้น "ทำไมไม่ลองเป็นอัศวินจูมิผู้หญิงคนแรกแทนล่ะ"

    "ก็เพราะทำไม่ได้ไงเล่า" ดวงตาสีเขียวเข้มของเอสเมอรัลด้าหมองลง "ผู้หญิงน่ะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในสังคมแบบนี้เลยซักนิด เป็นอัศวินก็ไม่ได้ ไม่มีอัศวินไปด้วยก็ออกจากเมืองไม่ได้ แต่พอออกไปสู่โลกภายนอกแล้วฉันจะต้องเป็นนักปราชญ์ให้ได้ ฉันจะไปเรียนที่มหา'ลัยนี่แหละ"

    "ผมว่ายังมีวิธีที่ดีกว่านั้นนะ" เด็กหนุ่มว่าพลางปิดหนังสือ รอยยิ้มยั่วยุกลับมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง "ถ้าทำให้ทุกคนกลัวเธอหมดเหมือนกับแบล็คเพิร์ลก็เป็นอัศวินได้แล้ว"

    "ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลเป็นอัศวินอารักขาองค์คลาริอุสนะ" เอสเมอรัลด้าแย้งพร้อมกับขมวดคิ้วครุ่นคิด "ไม่เหมือนกับอัศวินทั่วไปด้วย เพราะท่านหญิงเป็นจูมิที่มีอาวุโสที่สุด มีพลังเวทมนตร์แข็งแกร่งที่สุด แถมยังผูกขาดตำแหน่งนี้มานานหลายร้อยปีอีก"

    "ถ้าอย่างนั้นก็ไปเป็นผู้สำเร็จราชการแบบไดอาน่าสิจ๊ะ" องค์หญิงฟลอริน่าเสริมขึ้น

    "ท่านหญิงไดอาน่าเป็นลูกสาวของอดีตวุฒิสภาที่เสียไปแล้ว...เพราะอย่างนั้นก็เลยได้เป็นผู้สำเร็จราชการ" เด็กสาวแย้งอย่างไม่ลดละ "แล้วเห็นว่าได้รับตำแหน่งเพราะมีความดีความชอบมาก่อนด้วย"

    "เอสเมอรัลด้าก็หาอัศวินมาอารักขาสักคนสิจ๊ะ จะได้ออกจากเมืองได้" องค์หญิงเสนอพร้อมกับยิ้ม

    เอสเมอรัลด้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง

    "เออใช่...วิธีนี้ก็ไม่ยากเท่าไหร่นี่" เด็กสาวเอ่ยอย่างร่าเริง "ไปขอให้เอลาซัลมาเป็นอัศวินของฉันดีกว่า"

    "พูดน่ะง่ายอยู่หรอก" อเล็กซ์เถียงเสียงแข็ง แต่ดวงตาสีเขียวกลับเป็นประกายเหมือนกับกำลังเล่นสนุก "ลองมา 'จับ' เอลาซัลให้อยู่หมัดซักทีสิยัยหนู แล้วจะรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด"

    "นายว่าจะจับใครให้อยู่หมัดนะ" เสียงหนึ่งตอบกลับมาโดยไม่คาดฝัน

    เอสเมอรัลด้าหันขวับไปทางร่างที่ยืนบังแสงแดดอยู่หน้าประตูหอสมุดซึ่งกรุด้วยแผ่นกระจกสี สองแก้มของเธอพลอยกลายเป็นสีแดงเรื่อด้วยความอาย แต่น้ำเสียงพูดของเด็กสาวยังราบเรียบเช่นเดิม

    "ก็คุณเอลาซัลยังไม่มีผู้พิทักษ์ไม่ใช่เหรอคะ แล้ว..." เอสเมอรัลด้าต่อด้วยเสียงใสซื่อ "ฉันรู้มาว่าคุณชอบเดินทางด้วย เราน่าจะไปกันได้นะคะ..."

    "จนถึงมหาวิทยาลัยใช่มั้ย" เอลาซัลตอบอย่างรู้ทันในขณะที่เดินเข้ามาในด้านใน

    "ก็ใช่น่ะสิคะ" เด็กสาวตอบ "ฉันจะได้ออกไปเรียน แล้วคุณก็ใช้ฉันเป็นข้ออ้างหนีออกจากเมืองได้ด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายนี่"

    "ยัยเด็กนี่บ้าบิ่นจริงๆ แฮะ คงทำให้แบล็คเพิร์ลหัวเสียได้พอๆ กับใครบางคนแหละนะ" อเล็กซ์แกล้งบ่นเหมือนกับจะกระทบใครบางคน

    แต่จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปหลังจากสบตากับเอลาซัลเพียงแวบเดียว เด็กหนุ่มรีบก้มหน้าลง แสร้งทำเป็นตั้งใจอ่านหนังสือต่อไป

    การที่อเล็กซ์ได้เป็นอัศวินอารักขาองค์หญิงฟลอริน่าดูเหมือนจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งร้าวฉานไปกว่าเดิมเสียอีก คราวนี้เอลาซัลกลับเป็นฝ่ายทำใจยอมรับอย่างเงียบๆ คิดว่านี่เป็นเพียงผลตกค้างจาก 'สงครามเย็น' ที่ทั้งสองฝ่ายเคยมีเท่านั้น

    ...หารู้ไม่ว่าสิ่งที่อเล็กซ์เกลียดเข้ากระดูกดำคือการที่ชายหนุ่มแสดงออกนอกหน้าว่าหลงรักแบล็คเพิร์ลอย่างหัวปักหัวปำต่างหาก...

    เอลาซัลดูท่าจะสนใจแต่อเล็กซ์จนแทบไม่ได้ฟังคำตอบของเอสเมอรัลด้า พอเห็นท่าทีเย็นชาของเด็กหนุ่มเขาก็ถึงกับยืนเซ่อไปครู่หนึ่ง องค์หญิงฟลอริน่าจึงต้องแก้สถานการณ์โดยตรัสเชิญให้เขามานั่งร่วมโต๊ะ

    ชายหนุ่มตอบรับอย่างรวดเร็วเช่นเคย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวข้างที่ประทับขององค์หญิง

    บรรยากาศอันอบอุ่นรอบวรองค์ กับแววฉลาดเฉลียวในดวงเนตรที่ดูนิ่งสงบขององค์หญิงฟลอริน่าทำให้เขารู้สึกสบายใจเมื่อใดก็ตามที่ได้อยู่ใกล้ ถึงจะมีอเล็กซ์ที่ทำเป็นเฉยชาอยู่ด้วยก็ตาม

    องค์หญิงฟลอริน่าก็ได้แต่นึกขันอยู่ในพระทัย กับสองหนุ่มผู้ขนาบข้างพระวรกายที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนกันแท้ๆ แต่แทบไม่พูดกันตรงๆ เลยสักคำ มีแต่ผลัดกันถามคำ-ตอบคำกับพระองค์บ้างเท่านั้น

    คำถามแรกหลังจากที่เอลาซัลนั่งลงบนเก้าอี้ก็คือ

    "วันนี้องค์หญิงสบายดีเหรอครับ"

    "ดีขึ้นแหละจ้ะ" สุรเสียงสดใสเหมือนกับยินดีที่มีผู้เป็นห่วง "ก็ได้อเล็กซ์กับเอสเมอรัลด้ามาเป็นเพื่อนคุยให้สดชื่นขึ้นนี่"

    "นอกจากจะทำหน้าที่อัศวินแล้ว ผมยังควบตำแหน่งตลกส่วนตัวขององค์หญิงด้วยนะ" อเล็กซ์พึมพำพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ให้องค์หญิงฟลอริน่า ซึ่งทรงพระสรวลตอบน้อยๆ แต่เอลาซัลแม้จะยิ้มฝืนๆ ก็ยังทอดสายตาลงต่ำ ไม่ยอมสบตากับผู้พูด

    เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เพราะรู้ว่าอเล็กซ์ไม่ได้ตั้งใจพูดกับเขา

    ชายหนุ่มเปิดหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้าออกพลิกไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว

    "อ่านประวัติศาสตร์อยู่เหรอครับ"

    "ฉันกับอเล็กซ์มาช่วยองค์หญิงฟลอริน่าค้นหนังสือหาข้อมูลเกี่ยวกับวิหารทางใต้น่ะค่ะ" เอสเมอรัลด้าเป็นผู้ตอบแทน

    เอลาซัลไม่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์มากนัก แล้วเขาก็ใช่ว่าจะสนใจศาสตร์แขนงนี้ด้วย จึงต้องเปลี่ยนเรื่องพูดไปโดยปริยาย

    "ผมดีใจที่เห็นองค์หญิงสบายดี" เขาหันไปทูลองค์หญิงฟลอริน่าแทน "ได้ยินว่าเมื่อสองวันก่อนทรงประชวร...แต่ดูเหมือนตอนนี้จะหายดีแล้วใช่มั้ยครับ"

    "จ้ะ...ก็ต้องขอบใจอเล็กซ์เขาล่ะ" องค์หญิงตรัสตอบ "ยาที่เขาปรุงให้บรรเทาอาการของเราได้มากทีเดียว"

    หางตาของเอลาซัลเกิดไปปะกับอเล็กซ์เข้า เอลาซัลรวบรวมความกล้าที่จะพูดกับเขาตรงๆ แต่จู่ๆ อเล็กซ์กลับส่ายหน้าเหมือนกับจะปรามไม่ให้ชายหนุ่มพูดอะไรด้วย

    เอลาซัลยอมตามอเล็กซ์แต่โดยดีแม้จะดูไม่เต็มใจ แต่เขาก็ปิดแววกังวลในดวงตาไม่ได้เลย

    ครู่ต่อมาอเล็กซ์ก็ผุดลุกขึ้นบอกว่า

    "องค์หญิง...ผมเกือบลืมแน่ะว่าวันนี้ต้องทำยาเพิ่ม เดี๋ยวอีกชั่วโมงผมจะกลับมานะ"

    เขาทำเป็นไม่สนสีหน้ากลุ้มใจของชายหนุ่มก่อนจะก้าวยาวๆ ออกจากหอสมุดไป

    เอลาซัลอยู่ต่อได้อีกไม่นานก็ขอตัวไปอีกคน องค์หญิงฟลอริน่าคิดว่าเขาคงจะมาตามอเล็กซ์ มากกว่าจะมาหาเอสเมอรัลด้าหรือพระองค์

    องค์หญิงพอรู้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้างจากปากของอเล็กซ์ที่เล่าถึงวันที่ตนเองอยู่ในนครอัญมณีก่อนจะได้เป็นอัศวิน หรือวันที่ออกผจญภัยในโลกภายนอก เขามักจะเอ่ยชื่อเอลาซัลอยู่บ่อยๆ ด้วยเสียงที่บอกความรู้สึกทั้งชื่นชมและนับถือ

    ...จนมาถึงเรื่องที่ทั้งสองไปพบเด็กสาวที่บาดเจ็บปางตายคนหนึ่งในระหว่างทาง...

    พอเล่าเรื่องนี้จบเด็กหนุ่มก็เงียบไป ได้แต่ส่งสายตามององค์หญิงอย่างเงียบๆ เหมือนกับจะรอคำตำหนิ หรือประณามจากพระองค์

    แต่องค์หญิงมิกล้าตรัสอะไรทั้งสิ้น...

    หัตถ์ซีดขาวบอบบางบัดนี้ลูบหน้ากระดาษตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย ดวงเนตรมิได้ทอดมองตัวอักษรในหนังสือที่กางอยู่เลย

    องค์หญิงฟลอริน่าลอบถอนพระทัยอยู่ข้างใน

    เพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา พระองค์ก็รู้จักอเล็กซ์มากขึ้นจนเริ่มเข้าใจบางสิ่ง...ที่อเล็กซ์คงยังไม่คิดว่าพระองค์จะรู้

    อย่างเช่นความรู้สึกที่มีต่ออัศวินลาปิสลาซูลี่คนนั้น...กับ...

    "ทำไมเอลาซัลกับอเล็กซ์ถึงได้หลบหน้ากันแบบนี้ล่ะเพคะ...ได้ยินว่าสองคนนั่นเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ" เสียงเปรยเครียดๆ ของเอสเมอรัลด้าปลุกพระองค์จากห้วงภวังค์

    "หม่อมฉันว่าต้องเป็นเพราะอเล็กซ์ทำตัวน่าเกลียดซะจนเอลาซัลทนคบด้วยไม่ไหวแน่ๆ"

    องค์หญิงฟลอริน่าแย้มสรวลให้กับเด็กสาว เมื่อนึกเปรียบเทียบว่าทั้งอเล็กซ์และเอสเมอรัลด้ายังมีนิสัยคล้ายกันตรงที่พูดจาตรงไปตรงมาแบบไม่เกรงใคร แต่ต่างฝ่ายต่างก็เก็บความห่วงใยผู้อื่นไว้ลึกๆ ไม่ยอมแสดงออกต่อหน้า

    พระองค์ทราบดีว่าคำพูดของเอสเมอรัลด้าไม่ได้จริงจังนัก หากองค์หญิงก็ตรัสตอบได้เพียงว่า

    "เรา...ได้แต่หวังว่าทั้งสองคนจะกลับมาคืนดีกันได้ก็เท่านั้น"


    แสงแดดจ้ายามฤดูร้อนทำให้เอลาซัลตาพร่าหลังจากออกมาจากหอสมุด เขาได้แต่ยกมือป้องแสงแดดพร้อมกับรอให้สายตาปรับเข้ากับความสว่างได้เสียก่อน

    เงาลางๆ ที่เห็นไวๆ อยู่เบื้องหน้าบอกเขาว่าอเล็กซ์อยู่ทางไหน ชายหนุ่มรีบตามไป แต่ฝีเท้าของอเล็กซ์ทั้งรวดเร็วและเงียบเชียบ จนทั้งสองเกือบคลาดกันครั้งหนึ่งเมื่อเด็กหนุ่มเดินลับทางโค้งไป

    แต่ในที่สุดเอลาซัลก็ตามอเล็กซ์มาจนถึงระเบียงรับลมแห่งหนึ่ง ซึ่งยิ่งยืนยันว่าที่จริงแล้วอเล็กซ์ไม่ได้มาปรุงยาอะไรเลย

    แค่หาข้ออ้างหลบหน้าเขาเท่านั้น...

    เอลาซัลเพิ่งสะท้อนใจว่าเรื่องนี้ท่าจะรุนแรงกว่าที่เขาคิด แต่ในขณะเดียวกันก็โกรธทั้งความดื้อรั้นของอเล็กซ์กับตนเองที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปด้วยกัน

    "เดี๋ยวสิอเล็กซ์!" ชายหนุ่มตะโกนเรียก

    อเล็กซ์ชะงักไปในทันใด แต่ก็ไม่ยอมหันกลับ ร่างผอมเพรียวยังคงยืดตระหง่านหันหลังให้กับเอลาซัล เสียงตอบหนักแน่นหากเย็นชา

    "มีอะไรเหรอเอลาซัล"

    เอลาซัลหยุดพักหายใจครู่หนึ่ง

    "หันหน้ามาสิ" ชายหนุ่มบอกห้วนๆ "หันหน้ามาพูดกับฉันตรงๆ"

    แทนที่จะทำตาม เด็กหนุ่มกลับก้าวออกไปเอนพิงราวระเบียง เท้าคางมองออกไปยังภาพของเมืองเบื้องล่าง ใต้ฟ้าครามสดใสที่เป็นสัญญาณสิ้นสุดของฤดูคิมหันต์

    "จะพูดอะไรก็พูดมาสิ ผมรอฟังอยู่"

    หลังจากชั่งใจอยู่พักหนึ่ง เอลาซัลจึงเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม

    "เรื่ององค์หญิงฟลอริน่าน่ะ..."

    อเล็กซ์ยังคงนิ่งเงียบ จนชายหนุ่มมองไม่ออกว่าเขากำลังฟังอยู่หรือไม่

    "อเล็กซ์..." เขาพูดต่อไป "มีคนลือกันว่านาย...'ชอบ' องค์หญิงฟลอริน่า...จริงหรือเปล่า"

    คราวนี้เด็กหนุ่มถึงยอมหันหน้ากลับมาให้เอลาซัลได้เห็น เขาเหลือบมองชายหนุ่มด้วยหางตา สีหน้าบอกว่าตนไม่ได้ยี่หระกับเรื่องนั้นเลยสักนิด ริมฝีปากเหยียดยิ้มน้อยๆ อย่างที่สายตาของเอลาซัลเห็นเหมือนจะเยาะหยัน

    รอยยิ้มแบบนี้เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มเกลียดนักหนา เพราะมันทำให้เขานึกถึงอีกโฉมหน้าหนึ่งของอเล็กซ์ที่เลือดเย็นผิดกัน...

    "ถ้าจริงแล้วไง" เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น

    "ก็ท่านหญิงแบล็คเพิร์ล..." เสียงของเอลาซัลเริ่มแข็งขึ้นในทันใด "...ไม่ชอบเรื่องแบบนี้นะอเล็กซ์"

    ใบหน้าสะสวยของอเล็กซ์ดูเหมือนจะถูกสวมทับไว้ด้วยหน้ากากแห่งความเย็นชา

    "ผู้หญิงคนนั้นมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ"

    "เค้า..." ชายหนุ่มชักอึกอัก "เค้าไม่อยากให้นายใกล้ชิดกับองค์หญิงฟลอริน่าจนเกินไป เพราะว่า..."

    "เพราะว่าองค์หญิงกำลังจะตายน่ะเหรอ" อเล็กซ์แทรกด้วยเสียงเย้ยหยัน

    เอลาซัลเบือนหน้าไปขณะฝืนใจให้เอ่ยคำตอบที่แม้แต่ตนเองยังไม่อยากจะยอมรับ

    "ก็...ส่วนหนึ่ง"

    "เหรอ" เด็กหนุ่มสะบัดหน้ากลับไป "ขอบคุณที่อุตส่าห์เตือนนะ เอลาซัล ไม่ต้องมาเป็นห่วงเป็นใยผมหรอก ผมรับมือแบล็คเพิร์ลได้ ว่าแต่คุณน่ะ...คงจะถอนตัวไม่ขึ้นแล้วล่ะสิ" ท้ายประโยคเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนจะประชด

    ใบหน้าของเอลาซัลกลายเป็นสีแดงก่ำ หากเจ้าตัวยังไม่ยอมรับ

    "ม...ไม่จริงซักหน่อย" ชายหนุ่มรีบแก้ต่างให้ตนเอง "นั่นมันข่าวลือทั้งเพ...อเล็กซ์ นี่ฉันพูดเพราะเป็นห่วงนายแท้ๆ นะ นายต่อต้านท่านหญิงแบล็คเพิร์ลไม่ได้หรอก"

    อเล็กซ์ไม่ตอบว่าอะไร เอลาซัลลังเลไปพักใหญ่ ก่อนที่จะก้าวไปหยุดยืนข้างๆ อเล็กซ์แล้วเอนพิงราวระเบียงเช่นกัน หันหน้ามามองอีกฝ่ายหนึ่งด้วยสายตาแน่วแน่

    "ฟังนะ อเล็กซ์" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว "ตั้งนานแล้วนะที่เราไม่มีโอกาสพูดกันตรงๆ อย่างนี้ พวกเราจะทิ้งมิตรภาพในอดีตไปแบบนี้น่ะเหรอ"

    สีหน้าของเด็กหนุ่มยากที่จะมองออก เขาไม่ยอมหันหน้ามาทางเอลาซัล แต่ทอดสายตามองทิวทัศน์เบื้องล่างต่อไป

    "ก็คุณเป็นคนเริ่มก่อนไม่ใช่เหรอ" น้ำเสียงย้อนมึนชา

    เอลาซัลจับตามองกริยาของอีกฝ่ายต่อไป

    "ฉันก็ไม่ได้คิดจะขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ฉันจะพยายามไม่เก็บมันมาใส่ใจ...เพราะมันเป็นอดีตไปแล้ว ว่าแต่นาย...คิดจะทำแบบนั้นเหมือนกันหรือเปล่าล่ะ"

    อเล็กซ์เงียบไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ก้มศีรษะลง นิ้วมือข้างหนึ่งเลื่อนไปตามราวจับเหมือนกับจะลูบเล่น

    "ก็ดีนี่ ผมก็ไม่ได้อยากให้คุณยกโทษให้เหมือนกัน เอลาซัล ผมรู้ว่าตัวเองไม่สมควรได้รับคำขอโทษ...หรือการให้อภัยเลยด้วยซ้ำ" เด็กหนุ่มปรายตามองเอลาซัลเมื่อรอยยิ้มแบบปกติย้อนกลับมาอีกครั้ง "ถ้าหากผมเป็นคุณ...ผมจะไม่มาเจอหน้า 'ไอ้อเล็กซ์' อีกแล้ว คนดีๆ อย่างคุณเข้ากับไอ้เลวอย่างผมไม่ได้หรอก"

    เอลาซัลรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มประณามตนเองเช่นนั้น

    แต่เขาก็รู้ว่าอเล็กซ์ไม่ได้ตั้งใจจะขอโทษเรื่องใดเลย นี่เป็นเพียงความจริงของตนเองที่เด็กหนุ่มยอมรับเท่านั้น เขารู้ความผิดพลาดของตน และยอมรับได้อย่างเต็มใจโดยไม่มีคำแก้ตัว

    เอลาซัลที่ถูกสั่งสอนแบบฝังหัวเรื่องความดีหรือความชั่วที่แตกต่างกันสุดขั้วเพิ่งนึกได้ว่าเขาจะไม่มีทางเข้าใจอเล็กซ์ได้เลย

    นอกเสียจากจะยอมรับอเล็กซ์ในแบบที่อเล็กซ์เป็น...โดยไม่มีข้อยกเว้น...

    ชายหนุ่มได้แต่ลังเลเมื่อหวนนึกถึงการยื่นความปรานีอย่างเลือดเย็นของอเล็กซ์ กับความโกรธเคืองของเขาในวันนั้น

    เขาจะทำใจยอมรับ หรือว่าหักใจตัดขาดกับอเล็กซ์ไปเลยก็ไม่ได้

    แล้วเขาจะทำอย่างไรดีเล่า...กับปัจจุบันที่ยังไม่แน่นอนเช่นนี้?

    อเล็กซ์กลับเป็นคนเริ่มก่อนเมื่อเห็นว่าเอลาซัลมีทีท่าลังเล รอยยิ้มสดใสกลับกลายเป็นยิ้มหยันเมื่อเด็กหนุ่มยื่นมือออกมาข้างหน้าในทันใดนั้น

    ไม่ว่าเอลาซัลจะรู้สึกอย่างไร ตัวอเล็กซ์เองก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจจะสูญเสียเอลาซัลไปได้เช่นกัน

    "ถ้างั้นก็มาจับมือกันสิ" เด็กหนุ่มพูดอย่างร่าเริง "อัศวินลาปิสเพื่อนยาก"

    เอลาซัลยิ้มเฝื่อนๆ แก้เก้อเมื่อยื่นมือของตนไปแตะมืออเล็กซ์ครู่หนึ่ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะชักมือกลับแล้วเหวี่ยงกายขึ้นนั่งแกว่งขาบนราวระเบียง แล้วครู่ต่อมาก็พาร่างเพรียวบางขึ้นมาทรงตัวบนนั้นได้อย่างน่าหวาดเสียว

    เอลาซัลเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ

    "คิดจะทำอะไรของนาย"

    อเล็กซ์ส่งยิ้มใสๆ ให้เขา ไม่ผิดกับเด็กซนๆ คนหนึ่ง ขณะที่นิ้วของเด็กหนุ่มเลื่อนไปที่เข็มขัด แก้ห่วงเชือกที่ร้อยอยู่อย่างชำนาญก่อนจะผูกปลายเชือกข้างหนึ่งเป็นบ่วง

    แล้วอเล็กซ์ก็เงยหน้าขึ้นมองเอลาซัลอีกครั้ง รอยยิ้มที่มุมปากยังอยู่เช่นเดิม

    "ดูเอาเองสิ"

    เด็กหนุ่มแกว่งตัวไปมาบนราวระเบียงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปข้างล่างในทันใด!

    เอลาซัลเสียววูบไปทั้งกายด้วยความตกใจ เขาถลาไปที่ขอบระเบียง เอื้อมมือพยายามจะคว้าอะไรก็ตามที่จะช่วยให้จับอเล็กซ์ไว้ได้ แต่ไม่พบอะไรเลย ทว่าบ่วงเชือกที่เด็กหนุ่มเหวี่ยงขึ้นสะบัดเข้าคล้องกับซี่ลูกกรงชั้นบนที่ยื่นออกมาได้อย่างเหมาะเจาะ

    เอลาซัลที่โน้มตัวพิงราวระเบียงยังเห็นอเล็กซ์ที่เกาะปลายเชือกห้อยต่องแต่งอยู่ใต้ระเบียงด้านล่าง เงยหน้าแล้วส่งหัวเราะให้ชายหนุ่มทางสายตา

    "เจ๋งมั้ยล่ะ!" เด็กหนุ่มร้องถาม

    เอลาซัลรู้สึกทั้งหงุดหงิดและโล่งใจไปพร้อมกันขณะเอนพิงระเบียงดูอเล็กซ์เกาะเชือกอยู่เช่นนั้น

    "ไม่มีวิธีตายที่มันพิสดารกว่านี้เแล้วหรือไง...ไอ้บ้าเอ๊ย" ชายหนุ่มถามพร้อมกับตียิ้มขรึมๆ ขณะที่กวาดสายตามองภาพหลังคาบ้านที่อยู่ต่ำลงไปลิบๆ ขืนพลาดตกลงไปมีหวังกลายเป็นศพแหลกเหลวแน่นอน

    อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แต่แววยั่วยุบนใบหน้ายังไม่แปรเปลี่ยน

    "แหม...ไม่เอาน่า ผมแค่อยากทำอะไรสนุกๆ ท้ามฤตยูบ้างก็เท่านั้นเอง" เขาเหวี่ยงกายให้เชือกแกว่งไปมาน้อยๆ แต่ร่างเพรียวบางยังเกาะอยู่ได้แบบไม่เสียสมดุล "ชีวิตที่ผ่านมาผมถูกคนอื่นบังคับให้ทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบอยู่ตลอด พอมีอิสระจะทำตามใจชอบก็ต้องถือโอกาสซักหน่อยล่ะ"

    เอลาซัลเข้าใจพอจะความรู้สึกของเขาอยู่เหมือนกัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้เห็นจะไม่เอาด้วยล่ะ อเล็กซ์ดูเหมือนจะอ่านความรู้สึกในแววตาของชายหนุ่มได้จึงพูดเหมือนจะตัดพ้อ

    "นึกว่าคุณจะดีใจซะอีกที่ผมไม่ตกลงไปตายน่ะ"

    "ใครบอก...ฉันนึกอยากจะตัดเชือกนี่ให้ขาดเลยด้วยซ้ำ" เอลาซัลตอบหน้าตาย แม้จะซ่อนสีแดงเรื่อบนแก้มไว้ไม่มิดขณะพยายามหลบสายตาของอีกฝ่ายหนึ่ง

    อเล็กซ์หัวเราะน้อยๆ แทนคำตอบ ก่อนจะไต่เชือกขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมาถึงตัวเอลาซัล กระโดดลงข้างหน้าชายหนุ่มแล้วตั้งท่าจบอย่างสวยงาม

    "ปลอดภัยแล้ว" เด็กหนุ่มเอ่ย "พอใจยัง"

    "เออ...อย่าเล่นอะไรบ้าๆ แบบนั้นอีกก็แล้วกัน"

    อเล็กซ์ยักไหล่อย่างไม่แยแสขณะปรายตามองเอลาซัล

    "ไม่เอาแบบนี้ก็ยังมีแบบอื่นให้เล่นน่า" เด็กหนุ่มตอบกวนๆ


    ในห้องที่สว่างไสวด้วยแสงสีทองยามเช้าของเดือนกันยายน ท่านหญิงไดอาน่านั่งอยู่บนเก้าอี้กำมะหยี่ทรงโบราณดูหรูหรา ชายกระโปรงลูกไม้สีขาวแผ่กระจายบนเบาะสีแดงสดและทิ้งตัวลงคลุมปลายรองเท้าส้นสูงคู่เล็กประดับเพชรแพรวพราว

    เธอกับรูเบ็นส์จะประชุมกับท่านหญิงแบล็คเพิร์ลโดยลำพังสามคนในวันนี้ เพราะพรุ่งนี้อัศวินประจำองค์คลาริอุสจะออกเดินทางไปยังเทือกเขาที่อยู่ห่างออกไปแสนไกล ตามที่ตั้งใจไว้เมื่อนานมาแล้ว

    หลังจากรอให้องค์หญิงฟลอริน่าทรงศึกษาคัมภีร์ต่างๆ ในหอสมุดมาถึงหนึ่งปีเต็มเพื่อหาวิธีแก้ปริศนาอักขระรูนที่จะเปิดประตูทุกบานในหอคอยเลย์เรส ถึงแม้องค์หญิงจะทรงแปลเสร็จมาตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมาแล้วก็ตาม พระองค์ยังไม่แน่พระทัยว่าอักขระทั้งหมดจะถูกต้องหรือไม่ ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลที่ต้องการให้ทุกอย่างถูกต้องเรียบร้อยจึงกราบทูลให้องค์หญิงตรวจทานใหม่อีกครั้ง ซึ่งทำให้การเดินทางล่าช้าออกไปอีก

    แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ท่านหญิงจะออกเดินทางไปได้เสียที

    ประตูเปิดขึ้น แต่ก็มีเพียงรูเบ็นส์ที่ชะโงกหน้าเข้ามามองไดอาน่าอย่างเงียบๆ เท่านั้น

    ใต้แสงสีทองเรืองรองซึ่งอาบร่างของหญิงสาวผู้งามซึ้งที่นั่งอย่างมีสง่า ขับให้เธอดูบริสุทธิ์เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเลื่อนลอย

    หญิงสาวหันหน้ามาส่งยิ้มให้กับชายหนุ่ม

    ที่นอกประตูนั้นยังมีเอลาซัลยืนอยู่ข้างๆ รูเบ็นส์ด้วย ทั้งสองพบกันในระหว่างทางจึงได้เดินมาด้วยกันพลางสนทนาเรื่องงานลาดตระเวนยามค่ำ จนมาถึงห้องที่ท่านหญิงไดอาน่ารออยู่

    เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกลึกซึ้งของรูเบ็นส์ยามมองท่านหญิงไดอาน่าแล้วกลับทำให้เอลาซัลนึกถึงหญิงสาวเจ้าของดวงตาสีนิลผู้เยือกเย็นขึ้นมาอย่างประหลาด...

    เขาได้แต่หวังว่าสักวันเขาจะพบใครสักคนที่เขารัก...และได้รับรักตอบจากคนคนนั้น...เช่นนี้

    "ท่านครับ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อนึกได้ว่าไม่ควรรบกวนเวลาส่วนตัวของทั้งสองมากไปกว่านี้ "กระผมขอตัวก่อนนะครับ"

    แต่ไดอาน่ากลับกวักมือเป็นสัญญาณเรียกรูเบ็นส์เข้ามา กำไลเพชรบนข้อมือขยับเป็นประกายวูบวาบ

    "เข้ามาสิคะ แล้วนั่น...อ้าว! เอลาซัลนี่นา!"

    หญิงสาวทักทายอัศวินไพฑูรย์ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

    เธอรู้สึกเอ็นดูอัศวินไพฑูรย์ที่เงียบขรึมแต่ดูประหม่าเหมือนเด็กๆ มากกว่าผู้ที่ทำหน้าที่อัศวินชั่วคราวให้กับองค์หญิงฟลอริน่าซึ่งดูเจ้าเล่ห์ และมักจะมองผู้หญิงคนอื่นๆ...เว้นแต่องค์หญิง...ด้วยสายตาที่เหมือนจะเหยียดหยามมากกว่าชื่นชม

    "เข้ามาสิคะ เอลาซัล ตอนนี้พวกเรายังไม่ประชุมกันหรอก คุยกับรูเบ็นส์ไปก่อนได้ตามสบายเลยค่ะ"

    เอลาซัลตอบรับคำเชิญด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เมื่อก้าวตามรูเบ็นส์มาได้แค่สองสามก้าว ก็ดูจะลังเลอยากกลับออกไปเสียมากกว่า

    "ขอบคุณครับท่านหญิง แต่ผม...กระผมขอตัวก่อนดีกว่าครับ"

    ไดอาน่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ก้าวเข้ามาหาสองหนุ่มด้วยกริยางดงามดุจเยื้องกราย ดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสดูอ่อนโยนเป็นประกายร่าเริง

    "มาเถอะค่ะ ท่านอัศวิน! ประเดี๋ยวท่านหญิงแบล็คเพิร์ลก็จะมาแล้ว คุณก็รู้นี่นาว่าเธอจะออกเดินทางพรุ่งนี้แล้ว จะไม่รอพบเธอสักหน่อยหรือ"

    ไดอาน่าซ่อนอารมณ์ขันไม่ให้แสดงออกทางสีหน้าได้อย่างแนบเนียน แต่เอลาซัลห้ามสีแก้มของตนไม่ให้แดงเรื่อขึ้นไม่ได้เลย

    "ผม...เอ่อ..." ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกัก "ขอให้ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลเดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ ผมต้องขอตัวก่อนจริงๆ ครับท่านหญิงไดอาน่า"

    เมื่อสังเกตเห็นท่าทีลำบากใจของอีกฝ่าย รูเบ็นส์จึงพูดขึ้นแทน

    "ให้เอลาซัลไปเถอะครับ ไดอาน่า พวกเราคุยกันเรียบร้อยแล้วล่ะ แล้วเดี๋ยวท่านหญิงแบล็คเพิร์ลก็จะมาแล้วด้วย"

    ไดอาน่าค้อนชายหนุ่มด้วยสายตาคมที่มาขัดความสนุกของเธอ แต่แล้วเสียงกระด้างที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำให้เอลาซัลถึงกับตกตะลึง

    "ข้ามาแล้ว"

    ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลยืนอยู่ด้านหลังเอลาซัลไม่กี่ก้าว มองทั้งสามด้วยสายตาเย็นชาดังปกติ

    ใบหน้าของเอลาซัลร้อนผ่าวด้วยความละอายเมื่อนึกสงสัยว่าเธอได้ยินเรื่องที่พูดกันเมื่อครู่มากเท่าใด ได้ยินคำพูดของเขาหรือเปล่า? หรือที่ร้ายไปกว่านั้น...จะได้ยินที่ไดอาน่าพูดกับเขาหรือเปล่า?

    แล้วเธอจะคิดอย่างไรกันแน่?

    ถึงจะรู้สึกอับอายจนไม่กล้ามองท่านหญิงตรงๆ แค่เห็นเพียงกริยาที่ดูเยือกเย็นไร้ความรู้สึกก็ทำให้ชายหนุ่มไม่สบายใจได้อย่างประหลาด ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์ใดๆ เลยที่สามารถจะทะลุกำแพงน้ำแข็งในใจของเธอออกมาได้

    เขาได้แต่พึมพำขอตัวสั้นๆ ที่แม้แต่ตนเองยังจำไม่ได้แน่ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง ก่อนจะโค้งคำนับทั้งสามแล้วเดินจากไป

    ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลไม่แม้แต่จะชายตามองเอลาซัลหรือพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ทั้งสามสนทนากันเลย เธอก้าวยาวๆ ไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง ปล่อยให้แสงตะวันยามเช้าของฤดูใบไม้ร่วงจับร่างสูงตระหง่าน ไล้ดวงหน้างามได้รูปและทอประกายให้กับเกลียวผมสีน้ำผึ้งสลวย

    หากดวงตาดำขลับยังคงว่างเปล่า สู้แสงอาทิตย์ได้โดยไม่มีแปรเปลี่ยน

    "เราจะเริ่มประชุมกันได้หรือยัง" ท่านหญิงตัดบทสั้นๆ


    หลังจากสิ้นสุดการประชุมและท่านหญิงแบล็คเพิร์ลผละจากไปแล้ว รูเบ็นส์จึงหันมาหาท่านหญิงไดอาน่าที่นั่งบนเก้าอี้กำมะหยี่ตัวเดิมอีกครั้ง ร่างเล็กอรชรของเธอยังดูงามพิสุทธิ์เหมือนจะหลอกตาผู้ใดก็ตามที่ได้พบเห็น

    ชายหนุ่มไม่วายถอนหายใจก่อนจะพูดกับหญิงสาว

    "ไดอาน่า...คุณนี่ก็เหลือเกิน ไม่น่าจะล้อเอลาซัลเล่นแบบนี้เลย เดี๋ยวคนอื่นๆ ก็ได้..."

    "รู้ว่าหนุ่มน้อยคนนั้นชอบแบล็คเพิร์ลน่ะหรือคะ" ไดอาน่าตอบทั้งรอยยิ้ม "ก็ไม่เห็นจะต้องปิดกันเลยนี่ ใครๆ ก็มองออกทั้งนั้น พ่อหนุ่มนั่นหน้าตาดีเชียวแหละ เสียแต่ขี้อายไปนิด แต่ฉันก็ชอบเขามากเหมือนกันนะคะ"

    "ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณจะชอบหรือไม่ชอบเขา...แต่อยู่ที่ว่าแบล็คเพิร์ลจะคิดยังไงกับเขาต่างหาก" รูเบ็นส์ตอบเสียงเครียด

    เขาเริ่มรู้สึกเป็นห่วงชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ามากกว่าที่คิด เห็นได้ชัดเลยว่าเอลาซัลเป็นคนที่เปราะบางแค่ไหน และจะถูกผู้หญิงแบบแบล็คเพิร์ลทำร้ายจิตใจได้ง่ายดายเพียงใด

    รูเบ็นส์ไม่เคยคิดว่าตนเองเข้าใจแบล็คเพิร์ลที่เก็บความรู้สึกของตนได้อย่างแนบเนียนเลยสักที...ไม่เคยพยายามจะเข้าใจด้วยซ้ำ แต่เขาแน่ใจว่าไดอาน่าน่าจะรู้ดีกว่า จึงได้แต่รอฟังความเห็นของเธออย่างเงียบๆ

    ไดอาน่ายักไหล่น้อยๆ

    "ตอนนี้ฉันยังบอกไม่ได้แน่นอนหรอกค่ะ แบล็คเพิร์ลมองคนอื่นจนปรุก่อนที่จะมีใครมองเธอออกเสียอีก เธอคงจะรู้แล้วล่ะค่ะว่าเด็กคนนั้นคิดยังไงกับเธอ บางครั้งฉันยังอิจฉาเลยที่เธอเก็บอารมณ์ได้ตลอดเวลาอย่างนั้น" หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง "แต่เธอไม่ชอบผู้ชายอ่อนไหวนะคะ"

    "ผมว่าแบล็คเพิร์ลน่าจะหาอารมณ์มาเติมสีสันให้ชีวิตตัวเองบ้าง" รูเบ็นส์เปรยเรียบๆ แต่อารมณ์ในน้ำเสียงกลับบอกอีกนัยกับไดอาน่า...ทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    "ก็คงอย่างนั้นแหละค่ะ แต่เด็กคนนั้นก็เปราะบางเสียเหลือเกิน ได้ยินมาว่าเขาหนีออกจากเมืองไปหลายหนแล้วนี่คะ ฝึกให้คนหยาบคายอย่างอเล็กซ์ได้เป็นอัศวิน แล้วยังแกล้งแพ้ในงานประลองอีก ฉันเองก็เดาใจเขาไม่ถูกหรอกค่ะ...แต่ฉันคิดว่าแบล็คเพิร์ลคงไม่ชอบนิสัยปรวนแปรแบบนี้แน่ๆ"

    "แต่สุดท้ายเขาก็มาเป็นราชองครักษ์จนได้นะ" รูเบ็นส์แย้ง "แถมยังเป็นคนที่มีฝีมือ...อย่างที่ผมไม่ได้เห็นมานานเลยล่ะ"

    ไดอาน่าหัวเราะน้อยๆ

    "รูเบ็นส์ที่รักคะ ฉันจะบอกให้ว่าทำไมเอลาซัลถึงได้ยอมเป็นราชองครักษ์...เพราะแบล็คเพิร์ลเป็นคนขอเขาน่ะสิคะ เขาก็ทำตามอารมณ์พาไปเหมือนเคยแหละ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะปฏิเสธแล้วก็ออกเดินทางไปอีกครั้งแล้ว แต่เขาหลงเสน่ห์แบล็คเพิร์ลเหมือนแมงเม่าหลงแสงไฟเลยล่ะค่ะ น่าเห็นใจเขาอยู่ แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่แบล็คเพิร์ลจะไม่สนใจเขา ก็คู่รักเก่าของเธอต้องตามใจเธออยู่ตลอดน่ะสิคะ ถ้าใครแสดงออกว่า 'หึง' ขึ้นมาล่ะก็จะถูกกำจัดในทันทีเลย"

    "รู้สึกว่าเมื่อก่อนเธอจะมีคู่รักมากหน้าหลายตาเหลือเกิน" รูเบ็นส์พูดเสียงขรึม "แต่ผมคงพูดอะไรมากไม่ได้หรอก ก็ผมไม่ได้รู้จักเธอมานานเท่าคุณนี่นา"

    "ฉันคิดว่าเธอคงจะเบื่อพวกนั้นไปเองน่ะค่ะ" ไดอาน่าเอ่ยอย่างไตร่ตรอง "หรือไม่อย่างนั้นฝ่ายชายคงรู้ตัวว่าคบกันต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เลยหันไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นแทน ไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะรักมั่นเหมือนกับคุณนะคะ" หญิงสาวยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอ่อนหวานขณะที่แตะปลายนิ้วขาวลงบนมือของอีกฝ่าย "ฉันดีใจจริงๆ ที่แบล็คเพิร์ลไม่ได้พบคุณก่อนฉัน เพราะถ้าเธออยากได้อะไรขึ้นมา...เธอก็ต้องเอาสิ่งนั้นมาครอบครองให้ได้แน่ๆ"

    รูเบ็นส์ฝืนยิ้มตอบ ทั้งๆ ที่ในใจยังอดสงสารอัศวินหนุ่มคนนั้นขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าแบล็คเพิร์ลคิดจะจับเขาเป็นคู่รักคนใหม่หรือไม่ก็ตาม...เอลาซัลคงไม่พ้นต้องปวดร้าวในใจไม่ว่าจะทางไหน

    "ผมภาวนาอย่าให้แบล็คเพิร์ลคิดจะคบกับเด็กคนนั้นเลย"


    ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลก้าวไปตามระเบียงสีทองสุกปลั่งที่ขนาบข้างพระราชวังหลวง พร้อมกับเงยหน้ามองผืนฟ้ากว้างสีดำ ประดับประดาด้วยดวงดาวที่ส่องแสงเย็นตาเหมือนเกล็ดน้ำแข็ง

    พรุ่งนี้เธอก็จะออกไปจากนครแห่งเผ่าจูมิเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านไปนานเหลือเกิน

    ความรู้สึกหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจ...เมื่อนึกถึงความไม่แน่นอนของอนาคตในภายภาคหน้า สัมผัสของลมหนาวที่ปะทะผิวกายและผลึกชีวิตที่ทั้งดำทะมึนและเยียบเย็นเหมือนฟ้ายามราตรี...ก่อให้เกิดความรู้สึกปวดแสบเหมือนถูกเผาผลาญ เจ็บปวดเกินกว่าจะทรงกายต่อไปได้

    หญิงสาวเอนพิงราวระเบียงไว้เป็นหลัก นิ้วกำลูกกรงเหล็กที่เย็นเฉียบไว้แน่น ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของผิวเนื้อที่ทาบลงบนปลายแหลมของซี่ลูกกรงเลยเพราะความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นในผลึกนั้นรุนแรงยิ่งกว่า

    บางสิ่งกำลังเพรียกหาเธออยู่ใต้ขอบฟ้านั้น...จากในห้วงความทรงจำที่ลืมเลือนไปเมื่อนานแสนนานมาแล้ว

    เบื้องล่างนั้นนครอัญมณีกำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ภายในอาณาเขตเวทมนตร์ที่เธอเนรมิตขึ้นเพื่อปิดกั้นชาวจูมิทั้งมวลจากโลกภายนอก...

    และในขณะเดียวกัน 'เธอ' ก็ถูกกักขังอยู่เช่นกัน...ได้แต่หวังที่จะหลบหนีออกไปสู่ประกายแสงที่ร้องเรียกเธออยู่ที่สุดขอบฟ้านั้น แต่เมื่อยิ่งหลีกหนีก็เหมือนถูกกักอยู่ในอาณาเขตอีกแห่งหนึ่งที่ปิดกั้นผืนฟ้าเบื้องบนจนหมดสิ้น

    ทิ้งเธอให้เคว้งคว้างอยู่กลางสายหมอกเย็นเยือกที่ห้อมล้อมกายเพียงลำพัง ไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นสิ่งใด

    อ้างว้าง...ชั่วนิรันดร์กาล

    ใบหน้าของแบล็คเพิร์ลบัดนี้ซีดเผือดไร้สีเลือด บิดเบี้ยวด้วยอารมณ์ที่สั่นพร่า หญิงสาวทิ้งน้ำหนักกายลงบนราวระเบียงยิ่งกว่าเดิม ดวงตาที่ไม่ผิดอะไรกับหลุมดำบนใบหน้าซีดขาวทอดลงไปตามเมืองชั้นล่างที่อยู่ต่ำลงไปหลายร้อยเมตร กระแสลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดผ่านร่างเพรียวบางทำให้ซวนเซทรงกายไม่อยู่ เส้นผมยาวปลิวสะบัดปกคลุมใบหน้าครู่หนึ่ง...

    และในครู่นั้นเองที่เอลาซัลบังเอิญเดินมาถึงระเบียงแห่งเดียวกันเห็นแบล็คเพิร์ลที่หมิ่นเหม่จะร่วงลงไปข้างล่าง เขาถลาเข้าไปพยุงเธอได้ทันท่วงที

    สายตาของชายหนุ่มเลื่อนไปที่ใบหน้าของแบล็คเพิร์ล...เพียงชั่วแวบในขณะที่สายลมพัดเกลียวผมให้ปลิวไป...เผยให้เห็นสีหน้าที่ทำให้เขาตกใจจนคลายมือที่ประคองไหล่หญิงสาวเอาไว้

    สัมผัสที่ร้อนผ่าวบนผิวเนื้อดูเหมือนจะทำให้แบล็คเพิร์ลคืนสติ แววเลื่อนลอยในดวงตาของเธออันตรธานไป แต่แล้วร่างของหญิงสาวก็ทรุดลงคุกเข่า ชายผ้าพันเอวตกลงบนพื้นหินสีขาวดูไม่ผิดกับเลือดที่หลั่งไหล เอลาซัลโน้มกายลงเหนือร่างนั้นเหมือนจะปกป้องตามสัญชาตญาณ

    หญิงสาวกระซิบถ้อยคำแผ่วเบา...เขาได้แต่พยายามเงี่ยหูฟัง จับความได้เพียงกระท่อนกระแท่น

    "...ถอย...ไป..."

    "ท่านหญิง..." เขาละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ "ผม...ผมจะช่วยอะไรได้บ้างครับ"

    น้ำเสียงของแบล็คเพิร์ลดูจะชัดเจนขึ้น

    "อย่า...แตะ...ต้อง...ตัว...ข้า!"

    ดวงตาดำทมิฬบ่งบอกความชิงชังอย่างเปิดเผยที่จ้องมาตรงๆ ทำให้เอลาซัลถึงกับผงะเหมือนกับถูกผลักไสอย่างไร้เยื่อใย กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็ถอยออกมายืนห่างจากแบล็คเพิร์ลร่วมเมตร

    เอลาซัลสั่นเทิ้มไปทั้งร่างด้วยความตะลึงงัน เขาจำไม่ได้เลยว่าก้าวเท้าถอยมาตั้งแต่เมื่อใด

    ...เหมือนกับถูกมนต์สะกดในดวงตาสีนิลผลักกระเด็นออกมาเสียมากกว่า...

    ชายหนุ่มทรุดลงคุกเข่าเมื่อรู้สึกว่าทั้งร่างอ่อนยวบลงในทันทีโดยไม่มีสาเหตุ...ราวกับว่าความอ่อนเพลียของแบล็คเพิร์ลเมื่อครู่ถูกผลักดันเข้ามาในกายของเขาแทนกระนั้น

    และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็พบเงาร่างดำทะมึนของท่านหญิงแบล็คเพิร์ลที่ยืนค้ำอยู่เหนือร่างของเขา ใบหน้าซีกหนึ่งครอบคลุมไว้ด้วยเงามืดดูน่าสะพรึงกลัว

    "ขอบใจ...ที่ช่วยข้า" น้ำเสียงเย็นยะเยือกเหมือนคมดาบเปลือยกรีดกลางลมหนาว "อัศวินลาปิสลาซูลี่...เอลาซัล"

    หญิงสาวผละจากไป...ทิ้งเอลาซัลที่ยังคุกเข่าอยู่บนระเบียงอันว่างเปล่าเพียงลำพัง

    ชายหนุ่มยกมือที่สั่นเทาขึ้นปาดเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบออกไปจากหน้าผาก

    เขารู้สึกว่าการที่ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลทำกับเขาเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย และอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าความเกี่ยวข้องระหว่างทั้งสอง...ในรูปแบบที่แปลกประหลาดเช่นนี้...จะนำผลดีหรือผลเสียมาให้เขามากกว่ากัน...



    Author's Comments: จริงๆ แล้วผู้หญิงจูมิในเกมได้รับอนุญาตให้เป็นอัศวินได้ค่ะ แต่โครงสร้างสังคมจูมิแบบนี้ทำให้ฉันเขียนได้สะดวกกว่า
    เรื่องเอสเมอรัลด้า...บุคลิกของเธอเปลี่ยนไปเยอะเชียวค่ะตอนฉันตรวจทานบทนี้ เธอเคยเป็นคนไร้เดียงสาร่าเริง แต่พอแก้เสร็จแล้วเธอกลับกลายเป็นคนเจ้าความคิดที่แทบปากร้ายเท่าอเล็กซ์ไปเลยค่ะ แต่แบบนี้เธอกลับใกล้เคียงกับเอสเมอรัลด้าในเกมที่เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมามาก (ถึงจะในเกมจะบอกว่าเธอยังทำตัวเป็นเด็กหน่อยๆ อยู่ก็เถอะ)
    สงสัยว่าฉันคิดยังไงกับรูเบ็นส์เหรอคะ...ตอบตรงๆ คือฉันคิดว่ารูเบ็นส์เป็นคนที่เท่ขาดใจไปเลย อ่านจากในเรื่องที่ฉันเขียนคงจะเห็น รูเบ็นส์หายไปจากเกมเร็วเกินไปเหลือเกิน แต่ในเรื่องนี้ บทบาทของเขาเพิ่มมากกว่าในเกมพอประมาณค่ะ
    สงสัยเรื่องอายุของตัวละครมั้ยคะ นี่ค่ะอายุของทุกคนเมื่อเทียบกับมนุษย์ค่ะ (ถีงฉันจะเดาได้ว่าอายุของเอลาซัล อเล็กซ์ กับเพิร์ลน่าจะเด็กกว่านี้ก็เถอะ)

    เอสเมอรัลด้า: 15
    อเล็กซ์: ??
    เอลาซัล: 23
    ฟลอริน่า: 24
    ซานดร้า : 25
    แบล็คเพิร์ล: 27 (อายุหน้าตานะคะ อายุจริงร่วมพัน)
    ไดอาน่า: 32
    รูเบ็นส์: 35
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×