ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #4 : ภาคที่ 1 - เอลาซัล / บทที่ 2 - มุกนิลกาฬ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 179
      0
      19 พ.ค. 49

    PART I: ELAZUL
    Chapter II: The Black Pearl

    ภาคที่ 1: เอลาซัล
    บทที่ 2: มุกนิลกาฬ


    ชายร่างสูงเจ้าของผมสีแดงเพลิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องบังลังก์ที่ประทับของคลาริอุสเหมือนกำลังลังเลว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่

    แท่นปาฐกถากลางห้องนั้นว่างเปล่า หากเขายังได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลของท่านหญิงไดอาน่ากล่าวปราศรัยกับผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ โต๊ะหินอ่อนตัวเล็กที่ตั้งโอบล้อมสองฟากของแท่นปาฐกถา และยังเห็นเรือนร่างอรชรในชุดสีเงินที่หันไปมองวุฒิสภาทีละท่าน พร้อมกับเผยรอยยิ้มแสนงามให้กับที่ประชุมโดยถ้วนทั่ว

    ทว่ารอยยิ้มที่แท้จริงมีให้กับน้อยคนนัก...

    ท่านหญิงไดอาน่าผู้สำเร็จราชการสมกับเป็นภาพลักษณ์ของความสง่างามอย่างอ่อนหวานเหลือเกิน แม้นจะมิได้งามอย่างทรงอำนาจเช่นท่านหญิงแบล็คเพิร์ล หากความงามซึ้งของหญิงสาวร่างบางเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนกับผิวขาวลออยังตรึงตรา ยิ่งแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีเงินพราวยาวระพื้น ชายกระโปรงขลิบลูกไม้ถักเป็นลวดลายละเอียดประณีต ประดับด้วยเครื่องเพชรแบบเรียบๆ แต่แวววาวจับตาก็ส่งให้ผุดผาดทั่วร่างราวกับรูปสลักงาช้างที่มีชีวิต

    มีเพียงเขากับน้อยคนนัก...เช่นท่านหญิงแบล็คเพิร์ลกับองค์หญิงฟลอริน่า...ที่รู้ถึงความแข็งแกร่งดุจเพชรของผลึกชีวิตและจิตใจ เหนือความงามของหญิงสาวที่ดูพิสุทธิ์เหมือนนางฟ้า

    ใช่...รูเบ็นส์รู้ว่าเธอเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวไม่ยอมโอนอ่อนตามใคร หากเขายังอดไม่ได้ที่จะหลงรักผู้หญิงคนนี้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร เพราะความงามของเธอ เพราะสติปัญญาของเธอ หรือเพราะว่าเธอมีจิตใจที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวอย่างที่เขาไม่มีกันแน่

    ในบางครั้งเขายังสงสัยว่าเธอสมควรจะได้รับความรักอย่างที่เขารักเธอจริงๆ หรือเปล่า แต่เมื่อเขาได้เห็นอารมณ์ที่หญิงสาวซ่อนเร้นจากผู้อื่น ทั้งความอ่อนไหว ความเจ็บปวดหรือแม้แต่ความเกลียดชังตนเองอยู่ลึกๆ ก็ทำให้ชายหนุ่มนึกสงสาร และอดไม่ได้ที่จะรักทั้งด้านที่อ่อนแอและด้านที่แข็งแกร่งของเธอไปพร้อมกัน

    อย่างน้อยเธอก็ไม่เหมือนแบล็คเพิร์ลที่แสนเย็นชา ไม่มีการเปิดใจให้กับผู้ใดทั้งสิ้น

    ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องโถงก่อนจะเรียกเบาๆ

    "ท่านไดอาน่า" เสียงทุ้มนุ่มของเขาแม้เอ่ยเพียงแผ่วก็ทำให้หญิงสาวได้ยินในทันที เธอหันมาทางเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าสว่างสดใสด้วยรอยยิ้มที่เธอมีให้กับสมาชิกวุฒิสภาสูงสุด...รูเบ็นส์ อัศวินจูมิผู้ซึ่งท่านหญิงแบล็คเพิร์ลคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งมาหลายปีแล้ว และเขาก็ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่เลยสักครั้ง เขากับไดอาน่ากลายมาเป็นคู่อัศวินและผู้พิทักษ์ที่ปกป้องซึ่งกันและกัน และ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้แต่งงานกัน บรรดาคนรอบด้านต่างก็รู้ดีว่าทั้งสองมีความรู้สึกอย่างไรต่ออีกฝ่ายหนึ่ง เขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ลดความแข็งกร้าวของไดอาน่าลงได้ด้วยความสุภาพนุ่มนวลและใจเย็น

    หากไดอาน่าก็ยังใช้เขา เหมือนกับที่ใช้ทุกคนเป็นเครื่องมือทางการเมืองของเธอ ชายหนุ่มรู้ดี และในบางครั้งก็ยังอดประหลาดใจ แม้จะไม่ได้รู้สึกขมขื่นที่เธอเห็นเขาเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่ง ว่าเธอสามารถจะแยกอารมณ์ส่วนตนออกจากการเมืองการปกครองได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นไร เพราะอย่างนี้กระมังเธอถึงได้ดำรงตำแหน่งอยู่นานหลายปี เพราะใช้ความแข็งแกร่งเอาชนะอุปสรรคและความสงสัยของประชาชนได้แบบนี้

    รูเบ็นส์คิดว่าเธอกับแบล็คเพิร์ลช่างเป็นคู่นักบริหารที่ลงตัวเสียเหลือเกิน

    "องค์หญิงฟลอริน่าไม่ได้เสด็จมาร่วมประชุมด้วย ทรงพระประชวรอีกแล้วหรือครับ"

    คำถามนั้นทำให้คิ้วเรียวบางของหญิงสาวขมวดน้อยๆ

    "ค่ะ หมู่นี้สีพระพักตร์ดูซีดเซียวเหลือเกิน แต่ฉันแน่ใจว่าถ้าทรงได้พักผ่อนสักหน่อยก็คงจะดีขึ้นแหละค่ะ"

    รูเบ็นส์เงียบไปครู่หนึ่ง ไดอาน่าคงไม่อยากจะตอกย้ำความจริงที่ว่าพระอาการที่ไม่สู้ดีขององค์หญิงฟลอริน่าเป็นสัญญาณเตือนว่าพวกเขากำลังจะสูญเสียคลาริอุสอีกองค์ไปในเวลาอันใกล้นี้

    ชายหนุ่มเองก็ได้แต่เฝ้ามองคลาริอุสหลายองค์สิ้นพระชนม์ไปในเวลาหลายปีที่ผ่านมา แม้จะอยุติธรรมและเลือดเย็นเพียงไร ก็จำเป็นที่พวกเขาเหล่านั้นจะต้องหลั่งน้ำตาให้กับผู้อื่นๆ จนกระทั้งผลึกชีวิตของตนแตกสลายในที่สุด

    "ผมคิดพระองค์น่าจะทรงพักผ่อนให้มากกว่านี้นะครับ" เขาตอบเพียงเท่านั้น

    ชายหนุ่มเคยพูดเช่นนี้หลายครั้งแล้ว ก่อนที่คลาริอุสที่ดำรงตำแหน่งอยู่จะล่วงลับไปทีละคนๆ แล้วหลังจากนั้นไดอาน่าก็จะเตือนเขาว่าน้ำตาของคลาริอุสมีความสำคัญต่ออนาคตของชาวจูมิคนอื่นๆ เพียงไร หรือไม่ก็ทำเป็นไม่สนใจกับคำพูดนั้นเสีย

    เขารู้สึกว่าคำพูดของไดอาน่าไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิเขา แต่เป็นเพื่อปลอบใจตนเองที่ต้องแบกรับปัญหานี้เช่นกันต่างหาก เขาจึงไม่ตอบอะไรอีก คอยฟังคำพูดของเธออย่างใจเย็น ตลอดเวลาก็คิดว่า หากคลาริอุสไม่สละชีวิต...ชาวจูมิอีกมากก็ต้องตาย

    "รูเบ็นส์คะ" เสียงใสไพเราะดุจดนตรีของไดอาน่าดึงเขากลับมาจากห้วงภวังค์ รอยยิ้มอ่อนโยนบอกให้ชายหนุ่มรู้ชัดว่าคราวนี้เธอเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจแทน "ฉันมั่นใจว่าพระอาการขององค์หญิงฟลอริน่าจะดีขึ้นในเร็วๆ นี้แน่ค่ะ"

    รูเบ็นส์นิ่งเงียบไป แต่เมื่อเขารู้ตัวว่าสายตาของชาวจูมิคนอื่นๆ กำลังจับจ้องทั้งสองอยู่ ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ พร้อมกับรับรู้อีกครั้งว่าเขาพ่ายแพ้ความอ่อนแอของตนอีกแล้ว เขาไม่มีความกล้าเพียงพอที่จะแสดงความคิดภายในใจออกมา

    บางที...เขาอาจจะเกลียดตนเองมากพอๆ กับที่ไดอาน่าเป็นก็ได้

    ชายหนุ่มหันกลับไปทางประตูหลังจากเอ่ยขอตัวแล้วเดินออกไป

    ระหว่างที่ก้าวไปตามทางเดินก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขาไม่เคยพยายามทำอะไรเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเลย ถึงแม้พระบิดาขององค์หญิงจะเป็นชาวจูมิผู้ปราดเปรื่องที่สุดที่เขาเคยรู้จัก เป็นผู้เปรียบเสมือนอาจารย์ของเขา ในตอนนี้เขากลับปล่อยให้พระธิดาของอาจารย์ถูกสูบโลหิตไปทีละน้อยๆ ให้ตายอย่างช้าๆ...อีกครั้ง

    เขากำลังสังหารองค์หญิงฟลอริน่า แม้นจะมิได้ลงดาบด้วยของมือตนก็ตาม

    บาปนั้นดูจะเท่าเทียมกัน...


    ไอร้อนยามคิมหันต์ระอุทั่วฝุ่นทรายที่ปกคลุมที่ราบสีน้ำตาลแห้งแล้ง อากาศร้อนที่แผ่ลอยขึ้นราวกับจะละลายร่างและรมภายในลำคอให้แห้งผาก

    เอลาซัลผู้คลุมกายด้วยผ้าคลุมสีทรายเหลือบเขียวที่เคยได้รับจากอัศวินคนหนึ่งขณะเดินทางร่วมกัน ยังนึกขอบใจความเบาบางและโปร่งสบายของเนื้อผ้าคลุมนั้น

    ยามกลางวันในฤดูร้อนอันยาวนานทั้งร้อนราวกับไฟ ดินแดนหรือก็แสนกันดาร หากเขายังสนุกสนาน เริงร่ากับแสงตะวันที่ฉาบผืนดินแตกระแหง กับอณูอากาศหนาหนักที่ทำให้บรรยากาศสั่นไหวราวกับถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงที่มองไม่เห็น

    ผ่านไปเกือบสามเดือนแล้วหลังจากเอลาซัลกับอเล็กซ์ออกจากนครอัญมณี ใกล้กลางฤดูร้อนเข้ามาทุกที เป็นสัญญาณที่บอกว่าอิสรภาพในระยะเวลาแสนสั้นของเขากำลังจะสิ้นสุดลง

    ทั้งสองได้รับอนุญาตให้ออกจากนครอัญมณีไปได้ ทหารผู้อารักขาประตูเมืองเพียงแต่มองพวกเขาเดินจากไปอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเท่านั้น

    การจากไปของอเล็กซ์...ซึ่งคนอื่นๆ ยังเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้านั้นไม่น่าประหลาดใจนัก ทว่าระดับฝีมือที่ไม่แพ้ใครของเอลาซัลทำให้ผู้คนหวังว่าเขาจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยหลือชาวเผ่าจูมิ หลังจากการหนีออกไปสู่โลกภายนอกในครั้งแรกไม่สำเร็จ

    คำพูดของท่านหญิงแบล็คเพิร์ลเมื่อรับทราบเรื่องที่อัศวินลาปิสลาซูลี่ออกจากนครไปเป็นครั้งที่สองมีเพียงว่า "ปล่อยไป...หากเขามีฝีมือจริงอย่างที่ร่ำลือกันก็ต้องรอดกลับมาได้ แต่เราไม่ต้องการชาวจูมิที่โลเลเช่นนี้"

    เธอไม่กล่าวถึงอเล็กซ์เลยสักคำ

    เอลาซัลรู้ดีว่าเขาต้องกลับไปในที่สุด ถึงไม่เพื่ออะไรก็เพื่อดูความพยายามอันแน่วแน่ของอเล็กซ์ที่ปรารถนาจะเป็นอัศวินอารักขาองค์หญิงฟลอริน่า แต่การได้ผ่อนคลายเพียงชั่วครู่เปรียบเหมือนยาที่ช่วยบรรเทาใจที่กระวนกระวายของเขา และเขาก็พยายามจะเก็บเกี่ยวความสุขจากอิสระในปัจจุบันให้มากที่สุด

    เขาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่เขาแสวงหาคืออะไร ทว่ามันดูจะเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมเหมือนกับดวงดาวที่เปล่งประกายริบหรี่ในความมืดกระนั้น

    ระหว่างทางที่ผ่านมาชวนให้ชายหนุ่มหวนนึกถึงวิหาร กับนักบวชสาวผู้มีเสียงเรียบเย็นและดวงตาสีเข้มทอประกายฉลาดเฉลียวที่แฝงแววยั่วเย้าอยู่ในที นึกถึงจดหมายที่เขาพบ แล้วก็นึกถึงอเล็กซ์

    เอลาซัลรู้สึกว่าเขาไม่ได้เข้าใจอเล็กซ์มากขึ้นเลยในการเดินทางครั้งนี้ ดูผิวเผินอเล็กซ์เหมือนเป็นคนเปิดเผย ร่าเริง เยือกเย็น ฝีปากเฉียบคมแต่ก็ใช่ว่าจะไร้อารมณ์ขัน หากเอลาซัลก็รู้ว่านั้นเป็นเพียงหน้ากากที่สวมไว้เท่านั้น หรือไม่ก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่ฉาบทับตัวตนที่แท้จริงของอเล็กซ์ไว้ชั้นหนึ่ง

    นั่นคืออเล็กซ์...แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของอเล็กซ์

    และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ...

    มีบางสิ่งที่แปลกประหลาดแอบแฝงอยู่ใต้ผิวหน้าของความเป็นอเล็กซ์...ที่ทั้งมืดมน คลุมเครือยากจะเข้าใจเหมือนกับผลึกชีวิตที่ผิดธรรมดาของเขา ซึ่งส่องประกายสีเขียวกระจ่างใต้แสงตะวัน หากมืดทึบในยามกลางคืน...ไม่ยอมแผ่กระแสพลังเช่นเดียวกับผลึกชีวิตของเผ่าจูมิอื่นๆ

    ยามสนธยาที่อากาศร้อนอบอ้าวหากสวยงามวันหนึ่ง ราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ทั้งสองจะกลับไปสู่นครอัญมณี...เอลาซัลก็ได้เห็นข้อขัดแย้งอันผิดปกติในบุคลิกของอเล็กซ์ชัดขึ้น

    ในตอนที่ทั้งสองมุ่งหน้าไปตามทางที่แลเห็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งเป็นเงาดำอยู่ลิบๆ ใกล้เส้นขอบฟ้า ท้องฟ้าระบายสีแดงเจิดจ้าดูอบอุ่น ภาพของชนบทรอบด้านเงียบสงัดไร้ผู้คน เนื่องจากบรรดาชาวบ้านทิ้งงานในเรือกสวนกลับไปบ้านของตนได้พักใหญ่แล้ว

    ขณะที่อเล็กซ์เดินผ่านแมกไม้หนาที่ขึ้นอยู่ข้างทาง...เขาก็หยุดกึกในทันใดก่อนจะหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง

    เอลาซัลชะงักเช่นกันตามสัญชาตญาณ เขากะจะถามอเล็กซ์ว่าทำไมถึงหยุดเดินเสียเฉยๆ แต่เด็กหนุ่มรีบส่งสัญญาณให้เขาเงียบ แล้วก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ดวงตาที่เป็นประกายสอดส่องไปตามซอกมืดที่แฝงเร้นอยู่ในพงรก

    สองหนุ่มต่างได้ยินเสียงครางปนสะอื้นแผ่วเบาขาดเป็นห้วงๆ ด้วยความเจ็บปวด และทั้งสองจับทางเสียงได้อย่างรวดเร็ว อเล็กซ์รีบแหวกพุ่มไม้เข้าไปค้นหาต้นเสียง เอลาซัลไล่หลังไปอีกครู่หนึ่งหลังจากนั้น

    เมื่อเขาตามอเล็กซ์ทัน ก็เห็นเด็กหนุ่มกำลังโน้มกายลงเหนือร่างสีขาวที่ทอดกายปวกเปียกอยู่บนพื้น

    เป็นร่างของเด็กสาวที่นอนเหยียดยาวบนกองเลือดซึ่งยังไหลซึมเป็นทางบนพื้นดินสีคล้ำ ชุดสีซีดที่สวมถูกฉีกกระชากจนรุ่งริ่งไม่ผิดอะไรกับเศษผ้า บนเรือนร่างที่เปลือยเปล่ามีรอยถูกฟันเป็นแผลยาวด้วยของมีคมที่น่าจะเป็นดาบ แขนทั้งสองข้างถูกตัดเหนือข้อศอก ใบหน้าถูกชะโลมด้วยเลือดจากแผลลึกบนศีรษะ เส้นผมสีทองหลุดรุ่ยร่ายจากผ้าผูกผมสีเข้มสยายชุ่มแช่เลือดในแอ่งจนเปียกโชก ดุจสาหร่ายที่ล่องลอยบนผิวน้ำสีแดงฉานชวนสะอิดสะเอียน

    เอลาซัลเคยเห็นภาพศพที่ไม่ชวนมองมานักต่อนัก หากภาพร่างของเด็กสาวผู้ถูกทารุณกรรมอย่างไร้หัวใจที่ประจักษ์ต่อสายตาเช่นนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวเกินจะรับ

    ...ทว่าที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือเด็กสาวคนนี้ยังมีชีวิตอยู่...

    เปลือกตาของเธอขยับน้อยๆ เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ ก่อนที่ดวงตาว่างเปล่าฉายแววทุกข์ทรมานจะลืมขึ้นจ้องตรงมาทางทั้งสอง

    เธอยังเด็กเหลือเกิน น่าจะเป็นมนุษย์ที่อายุราวสิบสี่เท่านั้น

    เด็กเกินไปที่จะต้องมาพบกับเรื่องเช่นนี้...

    "ถูกข่มขืน...แล้วก็ทิ้งให้ตาย" อเล็กซ์เอ่ยเบาๆ คำพูดนั้นสะท้อนก้องไปทั่วห้วงความคิดของเอลาซัลซ้ำแล้วซ้ำเล่า "บาดเจ็บ...สาหัสมาก"

    ชายหนุ่มพูดอะไรไม่ออก เขาทำได้เพียงพยักหน้ารับรู้ ทั่วร่างชาวาบไปด้วยความหวาดกลัว เงามืดของต้นไม้รอบๆ ดูราวกับจะคืบเข้าหาทั้งสามอย่างคุกคาม ขณะที่จมูกสัมผัสได้ถึงอวลไอแห่งความตายที่อ้อยอิ่งอยู่รอบร่างอันบอบช้ำ...

    เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลอดมาจากลำคอของเด็กสาว...ดูเหมือนเธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง

    เอลาซัลเขยิบเข้าไปใกล้ด้วยสัญชาตญาณ ส่วนอเล็กซ์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดชะโงกลงเหนือใบหน้าซีดขาวเปื้อนเลือดที่ดูเหมือนจะลอยล่องอยู่ในความมืด ริมฝีปากเผยอทั้งที่ไม่มีเสียง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็หลับตาลงอีกครั้ง

    เด็กหนุ่มโน้มกายลงแตะปลายนิ้วบนลำคอของเธอ...สัมผัสจังหวะชีพจรที่แผ่วเบาลงทุกที

    "คงอยู่ได้อีกแค่ครึ่งชั่วโมง...ไม่มากกว่านั้น" เขาพึมพำ ดวงตาสีเขียววาวแฝงประกายโกรธเคืองอยู่ภายใน

    อเล็กซ์ลุกขึ้นยืนก่อนจะดึงดาบออกจากฝัก และก่อนที่เอลาซัลจะห้ามทันเขาก็จ้วงปลายแหลมลงที่หัวใจของเด็กสาวในทันที!

    เสียงร้องสั้นๆ ดังขึ้นเพียงครู่เดียว ก่อนที่ร่างอันสั่นเทาจะสงบลง

    เด็กหนุ่มชักปลายดาบออกมาอย่างรวดเร็วก่อนจะทรุดลงคุกเข่า ปาดเลือดที่อาบคมสีเงินกับยอดหญ้าบนดินชื้นแฉะ

    เอลาซัลตะลึงงันจนพูดอะไรไม่ออก...

    แต่เมื่ออเล็กซ์ลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไป ก็พบอัศวินลาปิสลาซูลี่ยืนประจัญหน้ากับตน ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยโทสะ

    เงื้อมมือที่แข็งแกร่งราวปลอกเหล็กคว้าลำแขนเรียวของเด็กหนุ่มไว้อย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว ฉุดเขาไปจากที่โล่งนั้น...จากแอ่งเลือด...จากซากศพซีดขาวของเด็กน้อยผู้แหลกสลายทั้งกายใจ ตลอดทางเด็กหนุ่มไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย กลับซวนเซไปตามแรงกระชากของเอลาซัลราวกับไร้น้ำหนัก

    ในที่สุดเมื่อออกห่างจากหมู่ไม้ที่บดบังภาพร่างอันแหลกเหลวไว้ เอลาซัลก็เหวี่ยงร่างของอเล็กซ์ลงกับพื้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย ก่อนจะยืนหอบจนทรวงอกสะท้านด้วยความโกรธเคืองและตกตะลึง

    อเล็กซ์ไม่ปริปากอะไรกับการกระทำของเขา เด็กหนุ่มเพียงแต่ลุกขึ้นยืนช้าๆ อย่างเงียบงัน ก่อนจะใช้มือปัดเศษดินกับเศษหญ้าไปจากเสื้อของตน

    เสียงกราดเกรี้ยวของเอลาซัลที่สั่นพร่าด้วยแรงอารมณ์อย่างห้ามไม่อยู่ดังก้องในสองหูของเด็กหนุ่ม

    "ทำไม...ทำไมแกถึงทำแบบนั้น!? ทำไม!?! ทั้งๆ ที่พวกเราน่าจะช่วยเด็กคนนั้นได้แท้ๆ!!!"

    อเล็กซ์เงยหน้าขึ้นช้าๆ ก่อนจะสบตากับเอลาซัลด้วยดวงตาที่ทั้งเฉยเมยและมืดมน

    "ไม่ได้" เขาตอบ "ถึงยังไงก็ไม่ได้..."

    "ห...ให้ฉันไปเรียกหมอมาก็ได้! หรือไม่ก็ให้ฉัน...ให้ฉัน..." เสียงของเอลาซัลขาดหายไป เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ทั่วร่างสั่นเทิ้มด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน

    เขาไม่เข้าใจ ทั้งโกรธ ทั้งสงสัยอเล็กซ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้...เด็กหนุ่มเจ้าของสายตาที่ยังคงเรียบเฉยได้หลังจากจงใจปลิดชีวิตเด็กสาวไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีแม้คำพูดอธิบายหรือบอกกล่าวใดๆ ทั้งสิ้น

    มือของชายหนุ่มเลื่อนไปหาดาบตามสัญชาตญาณ นิ้วที่กำรอบด้ามดาบบีบแน่นจนปวดแปลบ ราวกับจะอาศัยความเจ็บปวดเป็นเครื่องช่วยดึงใจไปจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่

    อเล็กซ์สังเกตเห็นการกระทำนั้นในทันที สายตาของเขาจึงเลื่อนไปที่มือของอีกฝ่ายหนึ่งที่กำด้ามดาบอย่างระแวดระวัง หากท่าทางของเด็กหนุ่มยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงความหวาดกลัวเลยสักนิด

    "ไม่ได้" เขาตอบซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงราบเรียบอย่างที่เอลาซัลเกลียดนักแม้ว่าถ้อยคำจะมีเหตุผลที่เขาไม่อยากยอมรับ "แม้แต่หมอเทวดา...ก็ช่วยแกไม่ได้"

    มือของเด็กหนุ่มเลื่อนไปที่ด้ามดาบของตนก่อนจะตั้งท่าป้องกันตัว ซึ่งกลับทำให้เอลาซัลโกรธมากยิ่งกว่าเดิม

    "แล้วแกล่ะ..." เขาเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง ขณะที่ก้าวเข้าไปใกล้อเล็กซ์โดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มถอยเท้าตามสัญชาตญาณแม้สีหน้าจะไม่แปรเปลี่ยน หากทั่วร่างกายยังตึงเครียดเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ "แกรู้ดีมาจากไหนถึงกล้าถือสิทธิ์ตัดสินชีวิตคนอื่นแทนเจ้าตัวเขาแบบนี้!?"

    ดูเหมือนอเล็กซ์จะอึ้งไปจริงๆ พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะรีบพูดขึ้น

    "ผ...ผ...ผ...ผม...เคยเรียน...มาจาก...นักบวชคนนึง"

    คำพูดนั้นเปรียบเสมือนน้ำเย็นที่สาดเข้าดับเพลิงอารมณ์ของเอลาซัล ใบหน้าของเขากลับเรียบเฉยดุจหน้ากาก ไม่เปิดเผยความรู้สึกใด มีเพียงดวงตาที่จ้องหน้าอเล็กซ์ราวกับจะค้นหาสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่เบื้องหลัง ขณะที่เด็กหนุ่มรีบพูดตะกุกตะกักอย่างรวดเร็ว

    "ตอนที่ผม...บาดเจ็บ ค...เค้าช่วยชีวิตผมไว้ ผมพักอยู่ที่วิหารนานมาก ก็เลยถือโอกาสเรียนวิธีปฐมพยาบาลไปด้วย ผมเคยเห็นคนใกล้ตายมามากแล้ว ผมรู้ว่าเด็กคนนั้นเจ็บหนักเกินกว่าจะช่วยได้จริงๆ"

    เอลาซัลไม่อาจพูดอะไรตอบ พอนึกถึงเรื่องของซานดร้าขึ้นมาแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปอีก หากความโกรธกรุ่นยังคงแล่นพล่านในสมอง

    ไม่...อย่าพูดอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้ ขอร้องล่ะ...อย่าพูดอีกเลย ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ได้...

    ความรู้สึกพะอืดพะอมที่ขึ้นมาจุกคอทำให้เขาแทบสำลัก เอ่ยได้เพียงเบาๆ เท่านั้น

    "แต่เด็กคนนั้น...ไม่สมควรต้องมาตายแบบนี้"

    "ถึงยังไงแกก็ต้องตายอยู่ดี" ดวงตาของอเล็กซ์กลับเป็นห้วงลึกที่มืดสนิทอีกครั้ง น้ำเสียงที่ราบเรียบอธิบายเหตุผลที่เอลาซัลไม่เคยเข้าใจและไม่อยากจะพยายามเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโชคชะตา...จุดจบ...สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...หรือมรณะอันเย็นเยียบ "แกเจ็บปวดมามากพอแล้ว ฆ่าเสียให้ตายทันทีอย่างน้อยก็ยังช่วยไม่ให้แกต้องทนทรมานต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง ถ้าต้องตกอยู่ในสภาพนั้นผมคงอยากตายเร็วๆ เหมือนกัน..." เสียงของเด็กหนุ่มสะดุดลง

    เอลาซัลเค้นคำพูดของตนออกมาช้าๆ

    "เผ่าจูมิ...พวกเรา...พวกเราเป็นผู้รักษา...พวกเราไม่ฆ่าใคร...แกไม่มีสิทธิ์จะเอาชีวิตคนอื่น...ถึงแม้ว่า..."

    "เผ่าจูมิ...ผู้รักษาชีวิตเหรอ เผ่าจูมิ...ผู้เยียวยางั้นเหรอ" น้ำเสียงของอเล็กซ์เหมือนจะเยาะหยัน "อย่าบอกนะว่าคุณก็ตาบอดเหมือนกับพวกนั้น...เอลาซัล เผ่าจูมิที่บีบคั้นให้องค์หญิงฟลอริน่าร้องไห้จนตัวตายน่ะเหรอ! แล้วคุณล่ะ นักดาบพเนจรเอลาซัล...จูมิแห่งลาปิสลาซูลี่ ระหว่างทางที่ผ่านมาคุณฆ่าคนมามากเท่าไหร่!"

    เอลาซัลโกรธจนหน้ามืดเมื่อได้ยินดังนั้น เขากระโจนเข้าหาอเล็กซ์โดยฉับพลัน

    อเล็กซ์คิดว่าตนเองพร้อมรับแล้ว หากมือของเอลาซัลที่รวดเร็วปานสายฟ้าตะครุบข้อมือของเด็กหนุ่มบิดด้วยกำลังแรง บังคับให้คลายจากด้ามดาบ อเล็กซ์พยายามดิ้นรนให้หลุดจากเงื้อมมือของอีกฝ่าย แต่ไร้ผล เพียงไม่นานดาบของเด็กหนุ่มก็ถูกปล่อยให้ตกลงกับพื้น เอลาซัลบิดแขนของอเล็กซ์ไพล่หลังบังคับให้เขาต้องงอตัวลงโดยมีชายหนุ่มค้ำอยู่เหนือร่าง แขนข้างหนึ่งรัดคอของเด็กหนุ่มไว้แน่น ให้แทบหยุดหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของคมกริชที่จ่อลำคอ...

    "ฉัน...ฉันจะฆ่าแกตอนนี้เลยก็ได้" เอลาซัลพูดพลางหายใจสั่นๆ "ปาดคอแกซะเดี๋ยวนี้ก็จบ"

    ไม่มีคำตอบจากอเล็กซ์ที่ยังนิ่งเฉยอยู่ในท่าเดิม ลมหายใจรัวเร็วด้วยความเจ็บปวด

    "แกอยากตายมั้ยล่ะ" น้ำเสียงของชายหนุ่มทั้งเยือกเย็นและกัดกร่อนราวน้ำกรด

    "อย่างน้อย...ก็ไม่...แบบเดียวกับ...เด็กคนนั้น..." เด็กหนุ่มตอบพลางหอบ

    ด้วยเหตุบางประการ คำตอบนั้นกลับทำให้โทสะของเอลาซัลเหือดหายไปในทันใด ใบหน้าที่ค่อยคลายความโกรธกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาปล่อยมือจากอเล็กซ์อย่างรวดเร็วเสียจนเด็กหนุ่มเสียหลักล้มลงคุกเข่า หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ผละจากไปทางพุ่มไม้ โน้มตัวลงอาเจียนด้วยความพะอืดพะอม

    อเล็กซ์ลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไร เอลาซัลทรุดลงนั่งก้มหน้านิ่ง ข้อนิ้วที่เกร็งแน่นจนซีดเขียวจากการกำด้ามดาบทาบเป็นหลักพยุงกายบนพื้นดิน

    "บัดซบ...บัดซบที่สุด...!" เขาพึมพำ

    ข้างหลังนั้นเขาได้ยินเสียงอเล็กซ์เก็บดาบเข้าฝักก่อนจะเอ่ยเบาๆ

    "เราต้องบอกเรื่องเด็กคนนี้กับพวกชาวบ้าน...จะทิ้งศพของแกไว้แบบนี้ไม่ได้" น้ำเสียงของเขายังราบเรียบตามเดิม "ผม...ได้แต่หวังว่าพวกเขาคงไม่สงสัยเราขึ้นมา"

    เอลาซัลไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องแบบนี้เลยด้วยซ้ำ เขาจึงไม่ตอบว่าอะไรอีก ภาพความทรงจำของซานดร้าจากวิหารวาบขึ้นมาในทันใด ดวงตาที่แฝงรอยยิ้มเยือกเย็นของเธอทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ กระวนกระวาย และโกรธอยู่ลึกๆ อย่างประหลาด

    เหมือนกับดวงตาของอเล็กซ์...

    นี่นายต้องการอะไรกันแน่อเล็กซ์? ชายหนุ่มถามอยู่ในใจ ขณะสัมผัสพลังจากผลึกของอเล็กซ์ที่เหมือนคบไฟสลัวริบหรี่เบื้องหลัง...

    นายเป็นใคร...เป็นอะไร...แล้วก็มาจากที่ไหนกันแน่...?


    อเล็กซ์ผ่านการทดสอบอัศวินไม่นานหลังจากกลับสู่นครอัญมณี แถมแสดงฝีมืออย่างน่าจับตามองเสียจนรูเบ็นส์กับวุฒิสภาจูมิประทับใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังทันก่อนหน้าการประลองในเทศกาลฤดูร้อนอีกด้วย ฝีมือของเด็กหนุ่มพัฒนาขึ้นมากจากการเดินทาง แม้จะยังเอาชนะเอลาซัลผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้ก็ตาม

    แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางทำให้ทั้งสองเย็นชาต่อกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อเล็กซ์ดูท่าจะทำใจยอมรับกริยาของเอลาซัลได้อย่างเรียบๆ ถึงแม้เอลาซัลจะไม่ยอมรับว่าการที่อเล็กซ์ไม่แสดงปฏิกริยาตอบโต้ทำให้ชายหนุ่มทั้งผิดหวังและไม่พอใจระคนกัน เขาพยายามเก็บอารมณ์เอาไว้ ปล่อยให้สถานการณ์สงครามเย็นดำเนินไปเรื่อยๆ เช่นนี้

    จนกระทั่งสองสัปดาห์ก่อนการประลองชิงตำแหน่งอัศวินขององค์หญิงฟลอริน่า อเล็กซ์ถึงได้รู้ว่าเอลาซัลลงชื่อสมัครกับเขาด้วย

    เด็กหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่พอใจ เขากลับรู้สึกว่าเอลาซัลยอมรับฝีมือของเขามากกว่าที่ผ่านมาด้วยซ้ำ การที่เอลาซัลทำเหมือนกับต้องการจะสู้กับเขาไม่ได้ทำให้อเล็กซ์รู้สึกไม่สบายใจเลย มีแต่จะยิ่งตั้งหน้าตั้งตารอการประลองอย่างใจจดใจจ่อยิ่งขึ้น

    เขาคิดว่าการที่เอลาซัลมีปฏิกริยาตอบรับกับการกระทำของเขา...ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม...ก็ยังดีกว่าทำเป็นไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิงเหมือนเมื่อก่อน

    เมื่อมาถึงวันประลอง สิ่งหนึ่งที่อเล็กซ์เพิ่งสังเกตก็คือจำนวนของประชากรเผ่าจูมิทั้งนครที่มารวมอยู่ในสนามประลองในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง สายตาของเด็กหนุ่มกวาดมองใบหน้านับร้อยบนอัฒจันทร์ แล้วเขาก็นึกเจ็บปวดใจอย่างประหลาดเมื่อหวนคิดว่าตนไม่รู้เลยว่าเผ่าจูมิเหลืออยู่น้อยเพียงนี้สำหรับอาณาจักรที่กว้างใหญ่ราวกับจะรองรับคนได้เป็นแสน แต่บัดนี้เหลือเพียงไม่ถึงสองพันเท่านั้น

    เอลาซัลมาสาย และอเล็กซ์ก็เหลือบเห็นชายหนุ่มเพียงแวบเดียวก่อนที่เขาจะรีบไปเปลี่ยนเครื่องแบบในห้องแต่งตัว หลังจากนั้นบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายก็ตั้งแถวตอนเดินผ่านประตูหลังเข้าไปในสนามประลองเพื่อเข้าร่วมพิธีเปิด จำนวนอัศวินจูมิที่เข้าร่วมการประลองมีประมาณสามสิบคน ซึ่งรูเบ็นส์กับสภาจูมิคัดเลือกมาจากร้อยกว่าคนที่สมัครในทีแรก

    อเล็กซ์ในชุดเกราะสีแดงสลับขาว สวมหมวกคลุมปิดถึงใบหูดูอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ถูกกำชับอย่างเข้มงวดให้ยืนนิ่ง เขาสังเกตเห็นเอลาซัลยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก

    เด็กหนุ่มพยายามจะสบตากับเขา แต่เอลาซัลกลับทำเป็นไม่สนใจเขาเลย

    บรรดาอัศวินหนุ่มยืนตรงนิ่ง หันหน้าเข้าหาอัฒจันทร์ที่นั่งของบรรดาสมาชิกวุฒิสภา แรกสุดคือท่านหญิงแบล็คเพิร์ลซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการผู้ตัดสินผลการประลองเช่นกัน อเล็กซ์ซึ่งอยากเห็นเธอมาตั้งแต่เมื่อก่อนหน้า ถึงกับแหงนคอตั้งบ่าจ้องมองในขณะที่ท่านหญิงก้าวออกมาด้านหน้าเมื่อมีผู้ประกาศชื่อ

    ที่เด็กหนุ่มเห็นคือหญิงสาวร่างสูงเพรียวสมส่วนมีสง่า ถึงอเล็กซ์จะรู้มาก่อนแล้วว่าเธอดูอ่อนกว่าวัย เขาก็ยังตะลึงเมื่อเห็นว่าเธอดูเหมือนมนุษย์ที่อายุราวยี่สิบหก หรืออย่างมากก็ไม่เกินยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น กาลเวลาที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงแม้เผ่าจูมิซึ่งมีอายุขัยยืนนานมากในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายดูจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับแบล็คเพิร์ลเลยด้วยซ้ำ ไม่น่าแปลกใจเลยที่บรรดาเผ่าจูมิร่ำลือกันว่าผลึกชีวิตของเธอมีมนต์ดำอันลึกลับแข็งแกร่งแฝงอยู่ และทำให้เธอยังดูเยาว์วัยเช่นนี้

    เส้นผมของแบล็คเพิร์ลหยักศกเป็นสีน้ำตาลทองสลวย เมื่อยามต้องแสงตะวันก็สะท้อนประกายราวกับเกลียวไหมสีเพลิง เธอแต่งกายด้วยชุดเกราะสีขาวมุกขลิบปลายสีทองกับสีเงินเข้ากัน เว้นไว้แต่แถบผ้าที่รัดเอวทิ้งตัวลงจรดหลังเข่าซึ่งเป็นสีแดงเข้มราวกับถูกย้อมด้วยเลือด (ในความคิดของอเล็กซ์) ดวงตากลมโตดำขลับดุจนิลน้ำเอกประดับใบหน้าขาวเนียนงามได้รูปทุกส่วนสัด อเล็กซ์ที่ว่ายากจะชื่นชมสิ่งใดยังคิดว่าเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่งดงามเช่นนี้มาก่อน

    และความคิดนี้ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเอลาซัลอีกครั้ง

    อัศวินหนุ่มยืนนิ่งไม่ขยับ ดวงตาของเขาจับจ้องท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ซึ่งยืนอยู่เบื้องบนด้วยสีหน้าที่อเล็กซ์ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เด็กหนุ่มยิ่งเพ่งมองเขาให้ชัดขึ้นอีก

    แต่แรกใบหน้าของเอลาซัลซีดเผือดไร้สีเลือดราวกับแผ่นกระดาษ หากครู่ต่อมาสีแดงเรื่อก็ย้อนกลับสู่แก้มของเขา นิ้วที่จับด้ามดาบเริ่มสั่นจนชายหนุ่มต้องกำมือเสียแน่นเพื่อหยุดอาการนั้น

    เมื่อท่านหญิงแบล็คเพิร์ลเริ่มกล่าวปราศรัย อเล็กซ์ไม่ได้ยินชัดว่าเธอพูดอะไรบ้าง แต่เมื่อพวกอัศวินทั้งหมดพากันคุกเข่าคำนับหน้าอัฒจันทร์อย่างพร้อมเพรียง เด็กหนุ่มก็ทำตาม ดวงตาของเขาจับจ้องพื้นดินใต้เท้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะปรายตามองสีหน้าของเอลาซัล เขาเห็นเพียงเค้าหน้าของชายหนุ่มที่ก้มศีรษะลงต่ำ ทอดสายตาเลื่อนลอยไปตามพื้นดินเบื้องล่าง ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินเสียงของแบล็คเพิร์ลที่ดังยู่เหนือศีรษะเลย

    เช่นเดียวกับอเล็กซ์ที่แทบไม่มีสติฟังแต่ละคำพูด ในสมองของเขามีแต่อารมณ์กับความรู้สึกต่างๆ แล่นพล่าน ทั้งสับสน...กระวนกระวายอย่างประหลาด

    ไม่สมกับเป็นเอลาซัลเลยสักนิดที่ทำตัวแบบนี้...ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อแรกเห็นอย่างนี้น่ะหรือ?!

    เด็กหนุ่มรู้สึกเกลียด ไม่รู้สิว่าเกลียดอะไร แต่ความรู้สึกในใจเขาคือความเกลียดชังแน่ๆ หากว่าความรู้สึกในใจของเอลาซัลเป็นความรักจริงๆ

    เมื่อการกล่าวปราศรัยสิ้นสุดลง อเล็กซ์ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเหล่าอัศวิน ก่อนที่แบล็คเพิร์ลจะกล่าวสุนทรพจน์ที่เตรียมมาแล้วเพียงสั้นๆ น้ำเสียงของเธอดังก้องกังวานชัดเจน ออกจะทุ้มกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่ใจที่กระสับกระส่ายของเด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นเย็นชาเชือดเฉือนราวกับคมมีด ทำให้อเล็กซ์ไม่ชอบเธอขึ้นมาในทันใดนั้น

    เพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลา...สายตาของเขาจึงเลื่อนไปสำรวจอัฒจันทร์ด้านบนอีกครั้ง คราวนี้พบกับพระวรกายบอบบางขององค์หญิงฟลอริน่าในฉลองพระองค์ไหมสีเขียวเหลือบน้ำเงินประทับอยู่เป็นประธาน ณ เบื้องบนบัลลังก์ ความซีดเผือดของพระฉวียิ่งส่งให้พระองค์ดูผอมซูบยิ่งขึ้น เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นว่าองค์หญิงใช่จะงามพิลาสอย่างที่คิด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับท่านหญิงแบล็คเพิร์ลที่งามสง่าทรงอำนาจดุจรูปสลักศิลาที่ตั้งผงาดเช่นนี้

    พระเกศายาวตรงสีน้ำตาลเข้มเล็มปลายไล่ล้อมกรอบวงพักตร์ที่ค่อนข้างเรียบไม่สะดุดตา นาสิกเล็กบอบบางไม่โด่งเป็นสัน ริมโอษฐ์บางสีซีด ดวงเนตรดูธรรมดาไม่ถึงกับกลมโต มองจากระยะไกลเช่นนี้เห็นเป็นสีเทาลางๆ หากรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมโอษฐ์กับประกายในดวงเนตรทำให้อเล็กซ์อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความสนใจ

    การที่เขาจ้องมององค์หญิงคงจะทำให้อีกฝ่ายสังเกต เพราะจู่ๆ ดวงเนตรของพระองค์ก็หันมาสบกับเขาก่อนที่จะแย้มสรวลให้อย่างอ่อนหวาน ราวกับทั้งสองเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานกระนั้น

    มุมปากของเด็กหนุ่มขยับเล็กน้อย หากทั้งสองก็ไม่ได้ประสานสายตานานไปกว่านั้นก่อนที่เขาจะเดินจากไปหลังจากแบล็คเพิร์ลกล่าวเปิดงานประลอง

    การประลองรอบแรกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว...

    แม้จะยังอายุน้อยและเพิ่งเป็นอัศวินได้ไม่นาน อเล็กซ์ก็คว่ำคู่ต่อสู้ในรอบแรกและเข้าไปสู่รอบที่สองได้โดยง่าย รอบที่สามยากขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในที่สุดหลังจากประมือกันมานานจนเหน็ดเหนื่อย ความว่องไวของเด็กหนุ่มมีส่วนช่วยในการประลองอย่างมากทีเดียว

    ในระหว่างพักเขาก็ถือโอกาสชมรอบของเอลาซัลไปด้วย ดูเหมือนว่าสติของอัศวินลาปิสลาซูลี่จะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าใดนัก แต่ชายหนุ่มก็ยังเอาชนะคู่ต่อสู้แต่ละคนได้อย่างรวดเร็ว ในบางครั้งที่อเล็กซ์แอบมองคณะกรรมการยังสังเกตเห็นแบล็คเพิร์ลจ้องมองเอลาซัลอย่างสนใจจนเด็กหนุ่มนึกรำคาญขึ้นมา

    ความต้องการที่จะเอาชนะเอลาซัลยิ่งแรงกล้าขึ้นทุกขณะ อเล็กซ์รู้ดีว่าตนเองอาจจะได้เผชิญหน้ากับอาจารย์อีกครั้งในการประลองครั้งนี้ เขายังจำได้ดีถึงตอนที่ทั้งสองประมือกัน ซึ่งเอลาซัลอาศัยความเฉียบไวกับพละกำลังที่เหนือกว่าเอาชนะไป

    เด็กหนุ่มตั้งใจว่าคราวนี้เขาต้องเตรียมระวังให้ดี เขาต้องไปให้ไกลกว่านั้น ต้องเอาชนะเอลาซัลแล้วเป็นอัศวินองครักษ์ขององค์หญิงฟลอริน่าให้ได้...

    เพื่อกันไม่ให้แบล็คเพิร์ลมีโอกาสใกล้ชิดกับเอลาซัลมากกว่านี้

    ความปรารถนาอันแรงกล้านั้นทำให้รอยยิ้มหยันอย่าง 'ตัวตนที่แท้จริง' หวนกลับมาสู่มุมปากอีกครั้ง อเล็กซ์ไม่เคยเกลียดหรือละอายเลยที่จะยอมรับว่าตนเป็นคนเย็นชามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาไม่สนหรอกว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ตราบเท่าที่สิ่งตอบแทนที่ได้รับนั้นมีค่าควรกัน

    การประลองดำเนินมาถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว เอลาซัลซึ่งเป็นหนึ่งในสี่อัศวินที่เหลืออยู่ก้าวออกมาประจัญหน้ากับคู่ต่อสู้ของตน

    อเล็กซ์มองออกในทันใดนั้นว่ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล เพราะผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้เอาจริงกับการต่อสู้รอบนี้อย่างที่ควรเลย

    เด็กหนุ่มได้แต่หรี่ตาจ้องมองในขณะที่เอลาซัลดูใกล้จะเพลี่ยงพล้ำทุกที เขาอดไม่ได้ที่จะลอบมองแบล็คเพิร์ลอีกครั้ง สีหน้าของเธอยังเรียบเฉย หากคิ้วเรียวที่ขมวดน้อยๆ เหมือนกับจะบอกว่าเธอรู้สึกผิดหวัง

    เอลาซัลเป็นอะไรไปอีกล่ะ?...อเล็กซ์คิดอย่างขุ่นเคือง นี่คุณอยากแพ้งั้นเหรอ? ทำไม? ถ้ายังเป็นแบบนี้ แบล็คเพิร์ลต้องไม่พอใจแน่ๆ

    ในทันใดนั้น การต่อสู้รอบนี้ก็สิ้นสุดลงโดยมีเอลาซัลเป็นผู้แพ้...

    อเล็กซ์ส่งสายตามองเอลาซัลตรงๆ ในขณะที่เขาเดินสวนกับเด็กหนุ่มไปที่ประตูทางออก อัศวินหนุ่มคงจะเห็นสายตาของเขา จึงได้ส่งยิ้มให้กำลังใจอย่างที่อเล็กซ์ไม่ได้เห็นมานานแล้ว หากเขาก็ไม่พูดอะไรเลย

    เหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายยิ่งทำให้อเล็กซ์มุ่งมั่นที่จะเอาชนะเข้าไปอีก...


    ในขณะเดียวกัน องค์หญิงฟลอริน่าก็กำลังทอดพระเนตรการประลองอย่างจดจ่อขณะที่ทรงเอนพิงหมู่หมอนอิงสีทองบนบัลลังก์กว้าง

    อัศวินหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเขียวเป็นประกายราวกับจะยิ้มได้ดึงดูดความสนพระทัยของพระองค์แต่แรกพบ องค์หญิงรู้สึกประหลาดพระทัยเล็กน้อยกับชัยชนะของเขา เพราะทรงคิดว่าอัศวินอายุน้อยเช่นนี้น่าจะยังขาดประสบการณ์ หากพระองค์ก็ทรงชื่นชมฝีมือที่เหนือความคาดหมายของเขา และยิ่งอัศวินหนุ่มผ่านเข้ารอบที่ยากขึ้นได้มากเพียงไร พระองค์ก็ยิ่งเอาพระทัยช่วยเขามากขึ้นเท่านั้น แม้จะไม่ได้ตั้งความหวังว่าเขาจะชนะ เพราะอัศวินลาปิสลาซูลี่เจ้าของดวงตาสีฟ้าผู้มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่จับตามองของท่านหญิงแบล็คเพิร์ลเช่นกันน่าจะเป็นผู้กำชัยเสียมากกว่า

    ทว่าผลของการประลองรอบรองชนะเลิศทำให้พระองค์ตกพระทัยพอดู

    องค์หญิงลอบทอดพระเนตรท่านหญิงแบล็คเพิร์ล เห็นได้ในทันใดว่าท่านหญิงเองก็ผิดหวังเช่นกัน แบล็คเพิร์ลเสาะแสวงหานักรบผู้มีฝีมือมาเป็นราชองครักษ์โดยตลอด การที่อัศวินลาปิสลาซูลี่แสดงความอ่อนแออย่างนี้ทำให้เขาตกไปจากรายชื่อโดยไม่ต้องสงสัย น่าเสียดายฝีมือที่มีผู้ร่ำลือเช่นนี้

    โดยเฉพาะสำหรับแบล็คเพิร์ลผู้เกลียดความผิดพลาด...

    ริมฝีปากของท่านหญิงขบจนแลเป็นเส้นตรงบางๆ ดวงตาดำขลับฉายแววเครียดขรึม

    ทว่าเงาดำนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ทิ้งความงามอย่างเย็นยะเยือกดุจหิมะพันปีไว้ดังเดิม

    เป็นความงามอย่างที่องค์หญิงฟลอริน่าทรงชื่นชมและอิจฉาอยู่ลึกๆ...

    ทำไมเราถึงเข้มแข็งอย่างแบล็คเพิร์ลไม่ได้นะ...ทรงคำนึงกับองค์เอง แม้ว่าวิธีการของเธอกับชาวจูมิทั้งหลายจะไม่ถูกต้อง แบล็คเพิร์ลก็ยังแข็งแกร่ง มีอำนาจและความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ อย่างที่องค์หญิงมิอาจกระทำได้

    แต่เรากลับยอมรับโชคชะตาอย่างอ่อนแอ ไร้อำนาจ ทำอะไรตามที่ใจเราต้องการไม่ได้เลยหลังจากสิ้นเสด็จพ่อไป...

    ทว่าอัศวินเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวผู้นี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ดูเขาไม่ใช่คนอ่อนแอเลย

    บางทีเขาอาจจะเหมาะสมที่จะเป็นอัศวินของพระองค์กระมัง...

    และแล้วก็มาถึงรอบชิงชนะเลิศ ในที่สุดอเล็กซ์ก็เข้าสู่การต่อสู้อันยื้ดเยื้อยาวนาน แต่ยิ่งดึงดูดความสนใจและเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมทั้งหลาย

    กระทั่งองค์หญิงฟลอริน่ายังลืมความอ่อนเพลียของพระวรกายไปเสียสิ้น ทรงผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ทอดพระเนตรการแข่งขันอย่างจดจ่อพระทัยเป็นที่สุด

    และเมื่อนามของผู้ชนะถูกประกาศ องค์หญิงก็ถึงกับปรบพระหัตถ์และแย้มสรวลอย่างปีติ

    อเล็กซ์ก้าวออกจากลานประลอง หยุดยืนค้อมศีรษะลงให้ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลสวมมงกุฏใบไม้สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ ก่อนจะก้าวไปคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์องค์หญิงฟลอริน่า

    "เกล้ากระหม่อมจะรับใช้ฝ่าพระบาทให้ถึงที่สุดของชีวิตพระเจ้าข้า"

    องค์หญิงฟลอริน่าทรงแย้มโอษฐ์ตอบรอยยิ้มที่มุมปากของเขา เมื่อทรงคำนึงว่าอัศวินหนุ่มผู้มีดวงตาที่เหมือนจะยิ้มได้ผู้นี้ช่างน่าสนใจเสียจริง

    เขาอาจจะไม่ได้อยู่กับพระองค์นานนักก่อนที่แบล็คเพิร์ลจะกลับมา แต่พระองค์ก็ประสงค์ที่จะทำความรู้จักกับเขาให้มากที่สุดจนกว่าจะถึงตอนนั้น...


    เอลาซัลไม่ประหลาดใจเลยที่ได้ยินชื่อผู้ชนะ

    แต่เขากลับไม่ไปร่วมแสดงความยินดีกับอเล็กซ์ แม้จะมาร่วมงานเลี้ยงฉลองในราชวังหลวงที่จัดให้เป็นเกียรติกับอัศวินที่เข้าร่วมการประลองเช่นกันก็ตาม

    อีกฟากหนึ่งของโถงจัดงานเขายังเห็นอเล็กซ์ที่นั่งอยู่ข้างที่ประทับขององค์หญิงฟลอริน่า สนทนากันอย่างสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนเก่าแก่

    ชายหนุ่มเพียงแต่มองทั้งสองเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่จะเดินท่องไปตามห้องโถงกว้างสีทองเพียงลำพัง ห่างจากกลุ่มขุนนางจูมิกับบรรดาคุณหญิงผู้สูงศักดิ์ที่แต่งกายหรูหราไปหามุมมืดเพื่อหลีกหนีแสงสว่างจากช่อโคมไฟระย้าแพรวพราว ออกไปที่ระเบียงอันมืดสลัวอย่างเงียบๆ

    ขณะที่เงยหน้ามองฟ้ายามราตรี ความปรารถนาที่จะหลีกหนีก็ยิ่งก่อตัวขึ้นในใจของเขา

    การหนีออกไปสู่โลกกว้างในครั้งนี้...โดยไม่มีอเล็กซ์...คงไม่เป็นไร เพราะเขาเองก็มีประสบการณ์จากที่เคยออกเดินทางไปเพียงลำพังเมื่อสิบปีที่แล้ว

    ในยามนี้อเล็กซ์มีองค์หญิงฟลอริน่าให้ปกป้อง แต่ที่นี่ไม่เหลืออะไรสำหรับสำหรับ 'เขา' อีกแล้ว

    คนที่จงใจแพ้ในการประลองเพราะไม่คิดว่าตนเองสามารถจะคุ้มครองใครได้ จะเหลือสิ่งใดสำหรับเขาในนครแห่งนี้อีกเล่า เขาต้องการอิสระที่จะทำตามใจของตนเองต่างหาก

    หากภาพของแบล็คเพิร์ลยัง...

    ชายหนุ่มชะงักอยู่เท่านี้ แม้เพียงความคิดยังทำให้สมองของเขาหมุนคว้าง ความรู้สึกร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทั่วกาย เอลาซัลสูดลมหนาวยามค่ำเข้าปอดอย่างรวดเร็วเพื่อระงับอาการนั้น

    เขาต้องออกไปจากที่นี่ก่อนจะสายเกินไป...

    "อัศวินลาปิสลาซูลี่" เสียงทุ้มกังวานปลุกเขาให้ตื่นจากห้วงภวังค์

    เอลาซัลรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง เลือดในกายราวกับจะจับเป็นก้อนในขณะที่เห็นท่านหญิงแบล็คเพิร์ลก้าวออกจากแสงสีทองมายืนอยู่หน้าบานประตูโค้ง เงามืดขับอาภรณ์สีมุกให้กลายเป็นเทาสลัว แลดูทะมึนแต่ยังงามประหลาด

    เธอตรงเข้ามาหาเอลาซัลซึ่งรีบก้มหน้า เลื่อนสายตาลงมองพื้นหินอ่อนแทบเท้า

    "ท่านหญิงแบล็คเพิร์ล" ชายหนุ่มขนานนามนั้นอย่างยำเกรง ท้ายเสียงของเขายังสั่นน้อยๆ

    ท่านหญิงหยุดยืนอยู่ข้างเขา วางมือทาบลงบนราวฉลุขณะทอดสายตาจากระเบียงสูงไปยังประกายระยิบระยับของนครเบื้องล่างที่ราวกับจะกระพริบแข่งดวงดาราบนท้องฟ้ากระจ่าง

    "อัศวินลาปิสลาซูลี่" น้ำเสียงใสดุจดนตรีย้ำอีกครั้ง "เจ้าชื่อ...เอลาซัล...สินะ"

    เธอไม่รอให้เขาตอบ หากพูดต่อไป

    "ข้าได้ยินคำร่ำลือเรื่องฝีมือของเจ้ามามาก และข้าก็ขอบอกตรงๆ ว่าข้าผิดหวังเหลือเกินกับความพ่ายแพ้ของเจ้า"

    ท่านหญิงเงียบไปเหมือนกับจะรอฟังคำตอบ เอลาซัลจึงเอ่ยเสียงแผ่ว

    "ถ้าเช่นนั้นกระผมก็ขออภัยขอรับ...ท่านหญิง"

    "ข้าไม่ได้อยากฟังคำขอโทษ" แบล็คเพิร์ลเอ่ยเสียงกร้าวโดยไม่หันมามองเขา สายตายังคงมองสอดส่องไปค้นหาแสงดาวริบหรี่บนฟ้ามืด

    "ผมก็ไม่ได้หวังว่าท่านจะให้อภัยเช่นกัน" เอลาซัลตอบ น้ำเสียงของท่านหญิงที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งทำให้อารมณ์ของเขาพลุ่งขึ้นมาจึงไม่ทันยั้งคิดในยามที่คำพูดเมื่อครู่หลุดออกจากปาก

    ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าดวงตาคมสีนิลเหลือบมามองเขา เมื่อคำประชดนั้นจับความสนใจของคู่สนทนาเอาไว้

    เขาคิดว่าท่านหญิงคงจะตอบโต้ด้วยวาจาอันรุนแรงเช่นกัน แต่สิ่งที่เธอพูดกลับไม่ใช่เช่นนั้น

    "ข้าอยากเห็นฝีมือที่แท้จริงของเจ้า ข้ายอมรับว่าในช่วงแรกเจ้าสู้ได้ยอดเยี่ยม ทั้งฝีมือ ทั้งชั้นเชิงของเจ้าไม่ได้เป็นรองใครเลย...แม้แต่อัศวินอเล็กซานไดรท์คนนั้นก็อาจจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ด่วยซ้ำ แต่จู่ๆ เจ้ากลับเปลี่ยนไป ข้ารู้...ว่าเพราะอะไร"

    เอลาซัลไม่ยอมปริปาก ยังคงทอดสายตาลงบนพื้นตามเดิม

    " เพราะว่า..." แบล็คเพิร์ลกล่าวต่อหลังจากนิ่งเงียบรอคำตอบที่ไม่เคยได้รับ "เจ้าไม่ต้องการจะเป็นอัศวินของใคร"

    ชายหนุ่มยังคงเงียบงัน ไม่แสดงความประหลาดใจให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็น เขารู้มานานแล้วว่าท่านหญิงแบล็คเพิร์ลมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ไม่แปลกเลยที่จะมองใจเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

    "ข้ารู้...ว่าเจ้ามีจิตวิญญาณที่เรียกร้องอิสระเกินกว่าปกติ เจ้าเป็นอัศวินมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่ยอมจับคู่กับผู้พิทักษ์คนไหน" มาจนถึงตอนนี้น้ำเสียงของเธอก็ยิ่งเยือกเย็นเสียดแทงใจ เหมือนกับคมของมีดที่กรีดให้โลหิตหลั่งไหล "ข้าไม่ชอบจิตวิญญาณที่ทั้งดื้อรั้น ทั้งโง่เขลาเช่นนี้ ถึงเจ้าจะทำให้ข้าผิดหวัง...และข้าก็ไม่ชอบความผิดหวัง...แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ข้าต้องการผู้ที่มีความสามารถมาเป็นราชองครักษ์ หากเจ้าอยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์...ข้าจะรับเจ้ามาทำหน้าที่นี้ นี่นับเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ และเจ้าจะมีสิทธิ์อาศัยอยู่ในเมืองชั้นสูงได้อย่างสมศักดิ์ศรี"

    ใบหน้าของเอลาซัลยิ่งแดงก่ำเมื่อได้ฟังคำที่เหมือนจะเหยียดหยามเขาเช่นนั้น แต่แรกเขาตั้งใจจะปฏิเสธ เพราะสิ่งที่เขาปรารถนาในตอนนี้ก็มีเพียงการได้ไปจากท่านหญิงผู้เย็นชากับนครที่ถูกขังอยู่ภายในเขตเวทมนตร์ของเธอเท่านั้น

    ในเมื่ออเล็กซ์ได้ดีและลืมเขาไปแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออีกสำหรับเขา

    แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขาวเนียนงามยวนใจนั้นเขาก็รู้ว่าเขาปรารถนาอะไรกันแน่ แม้เขาจะรู้ดีว่าเบื้องหลังใบหน้าที่งดงามหากเย็นชาราวหน้ากากนี้คือหัวใจที่ดำสนิท เพราะเหตุนี้เขาจึงต้องหนีไปให้พ้น ชายหนุ่มยิ่งกำหมัดแน่นขึ้นเพื่อสะกดลมหายใจให้เรียบ ทั้งโกรธหญิงสาวที่แสนเย็นชา และโกรธตนเองที่ต้องยอมสยบอยู่ใต้อำนาจของเธอ ความคิดถึงอเล็กซ์ที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งยิ่งทำให้เขารู้สึกขมปร่าในปาก

    หลังจากนิ่งอึ้งไปนานในขณะที่ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลยังคงรอคำตอบอย่างเงียบๆ ปากของเขากลับเอ่ยวาจา...แบบที่เขาไม่ได้ตั้งใจในทีแรกเลย

    "จะให้ผมทำอะไรก็ตามแต่ท่านหญิงเถอะ ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน..." 

    หลังจากนั้นชายหนุ่มก็กลับหลังหันผละจากไปโดยไม่รอคำตอบ เขาเดินอย่างใจลอยออกไปจากโถงจัดงานเลี้ยง โดยไม่ทันสังเกตอเล็กซ์ที่จ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ

    เอลาซัลก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ดลใจให้เขาตอบไปเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกเพียงเลือนลางว่าผลึกชีวิตที่เป็นมุกนิลกาฬของเธอนั้นยังมีประกายแสงประหลาดแฝงอยู่ภายในกระมัง

    เช่นเดียวกับที่เบื้องหลังหน้ากากของแบล็คเพิร์ลนั้นยังมีอีกใบหน้าหนึ่งซ่อนอยู่...

    หรือมันจะเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ที่เขาสร้างขึ้นมาหลอกตนเองเท่านั้นหนอ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×