ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เนินเขาขับขาน ตำนานแห่งราพลังก้า

    ลำดับตอนที่ #18 : 17 – ผาสุกชั่วนิรันดร์...สำหรับนักรบหนุ่ม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 167
      0
      24 มิ.ย. 52

    17 – ผาสุกชั่วนิรันดร์...สำหรับนักรบหนุ่ม


    เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อจบสิ้นลำนำเล่าขานถึงตำนานแห่งราพลังก้า ทว่าท่ามกลางเสียงเหล่านั้นกลับมีคนคนหนึ่งที่สองมือค้างอยู่ข้างกาย มิได้แสดงท่าทางชื่นชมใดๆ ในบทเพลงที่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ

    ...คนผู้นั้นกลับเป็นหญิงผู้มอบนามให้กับลำนำเสียเอง...

    มาโอซึ่งปรบมือตามพวกชาวบ้านชะงักเมื่อนางหันมามองเขา แล้วจึงเริ่มก้าวแหวกวงล้อมของชาวบ้านคนอื่นๆ ซึ่งดูเหมือนจะให้ความสนใจคณะขับร้องมากกว่า และมิรู้ว่าบุคคลผู้เป็นตำนานอยู่ใกล้กับพวกเขาเพียงนี้ ชายหนุ่มรีบก้าวยาวๆ ตามนางไป

    “เป็นอะไรหรือเปล่า” เขากลั้นใจถาม

    ราพลังก้าสั่นศีรษะ แต่แล้วก็เอ่ยแผ่วเบา

    “...ข้าอยากกลับ”

    “กลับ...โรงแรมน่ะหรือ”

    “...บ้าน”

    ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเข้าไปโอบไหล่ของอีกฝ่ายไว้

    “จะกลับก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องออกเดินทางพรุ่งนี้ วันนี้เจ้าคงเหนื่อยมาก กลับโรงแรมไปพักก่อนเถอะ”

    หญิงสาวไม่ตอบว่าอะไร ขณะปล่อยให้เขาประคองเธอไปตามหนทาง

    --------------------------------------------------------------------------

    สิ่งแรกที่มาโอเห็นราพลังก้าทำหลังจากเข้ามาในห้องพักด้วยกันคือปิดม่านจนเหลือเพียงแสงสลัวในห้อง ก่อนจะนั่งลงบนเตียง

    “เพลียหรือ”

    นางจัดผ้าห่มโดยไม่ตอบอะไร

    ชายหนุ่มแทบถอนใจ แต่ก็กลั้นไว้ด้วยความคิดที่ว่าราพลังก้าคงมีความคิดและความรู้สึกมากมายในใจ ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพาเธอออกมาข้างนอกหลังผ่านไปนานเป็นปี

    และเป็นครั้งแรกที่เธอได้ฟังเสียงร้องเพลงหลังจากผ่านไปนานหลายปีเช่นกัน นับแต่คืนพิธีสังเวยเทพหายนะ

    “หรือว่า...เพลงเมื่อครู่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี”

    “ไม่ใช่หรอก” หญิงสาวสั่นศีรษะน้อยๆ “ข้าเพียงแต่...คิดว่าเพลงจบลงเท่านั้นเอง”

    “จบลงเท่านั้นเอง?” มาโอทวนคำอย่างสงสัย

    “นารีแห่งเสียงเพลงกับอัศวินรอดชีวิตไปด้วยกัน แล้วก็คงจะมีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างผาสุกชั่วนิรันดร์ ก็เท่านั้นเองใช่ไหมล่ะ” ราพลังก้าเอ่ยลอยๆ โดยไม่มองเขา “นั่นไม่ใช่พวกเราหรอก”

    “แต่ใครๆ ก็ย่อมหวังถึงความผาสุกชั่วนิรันดร์ไม่ใช่หรือ เพราะเหตุนี้ตำนานถึงได้จบลงเช่นนั้น” ชายหนุ่มให้เหตุผล “อย่างน้อย พวกเขาก็หวังให้ ‘ราพลังก้า’ กับ ‘อัศวิน’ ในตำนานได้มีความสุขด้วยกันนะ พวกเขาไม่เห็นว่าการที่ทั้งสองคนเลือกความสุขของตนเองมาก่อนการเสียสละเพื่อผู้อื่นเป็นความผิดเสียหน่อย”

    “ข้าไม่สนเรื่องนั้น...อีกแล้วล่ะ” ราพลังก้าเอ่ยแผ่วเบา

    มาโอมองหญิงสาวที่ทิ้งตัวลงนอนขดบนด้านหนึ่งของเตียงคู่ราวกับเด็กๆ แล้วก็ตัดสินใจจะเงียบไว้ขณะนั่งลงบนเตียงอีกด้าน

    ใช่ว่าเขาจะไม่ชินกับกริยาท่าทาง หรือที่ถูกควรจะเรียกว่า ‘อาการ’ ของราพลังก้าหลังหายจากโรคอินเฟลฟีร่า หญิงสาวดูใจลอย จมอยู่กับความคิดของตน และสิ้นความสนใจในผู้คนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิงเว้นเพียงเขา

    ...ที่จริงต้องเรียกว่าสิ้นความสนใจในชีวิตทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ...

    ตลอดสามเดือนที่รับการรักษาที่รัคเชค นางเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องพักของตน พูดน้อยคำเท่าที่จำเป็นที่สุดต่อผู้บำบัดกับเขาซึ่งรับหน้าที่ถอดจิตเข้าไปช่วยนางทุกๆ ครั้ง นางยอมรับการรักษาจนหายจากอาการอินเฟลฟีร่า แต่ยืนกรานปฏิเสธเมื่อเขาเสนอให้รับการบำบัดต่อเพื่อแก้ไขปมอื่นๆ ในใจของนาง

    “เท่านี้ก็พอแล้ว ข้าไม่อยากต้องทำอะไรอย่างนั้นอีก”

    ชายหนุ่มไม่อาจว่านางได้ดอกที่ไม่ชอบการบำบัดด้วยไดฟ์ จิตใจของทุกผู้คนย่อมเป็นส่วนที่ซับซ้อนและเป็นความลับที่สุดของเจ้าของ การมีจิตของคนอีกคนล่วงล้ำเข้ามาต่อให้ด้วยปรารถนาดีก็ตาม ย่อมนำความไม่สบายใจมาสู่เจ้าของสถานที่ แม้เขาจะเป็นห่วงว่าภายในจิตของราพลังก้าผู้ชื่นชอบต้นไม้ดอกไม้กลับมีเพียงทะเลทรายแห้งแล้งเวิ้งว้าง กันดารเสียยิ่งกว่าหมู่บ้านเรเลนทัสในโลกของความเป็นจริงเมื่อครั้งอดีตเสียอีก

    ชีวิตของนางหลังจากนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับโลกในใจ ราพลังก้ายืนกรานจะกลับไปยังเรเลนทัส ทั้งๆ ที่มาโอห้ามปรามว่าไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ที่นั่นแล้ว ไม่เพียงแต่เทพหายนะที่คร่าชีวิตชาวบ้านซึ่งตั้งใจจะสังเวยนาง เมืองแห่งนั้นยังต้องเผชิญกับภัยสงครามจนไม่อาจคงความเป็นเมืองได้อีก ผู้คนที่เหลือรอดชีวิตแตกฉานซ่านเซ็นไป ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังที่รกร้าง และมหาพฤกษาที่ยืนต้นตายเหี่ยวเฉา

    แต่ราพลังก้าก็ตัดสินใจจะอาศัยอยู่ ณ ที่ที่บ้านของนางอยู่ หรือที่ถูกควรจะเรียกว่าใกล้กับที่ที่มันเคยอยู่ กระท่อมหลังน้อยทรุดโทรมหักพังไม่เหลือเค้าเดิม ของมีค่าต่างๆ ก็ล้วนผุพังหรือไม่ก็ถูกหยิบฉวยหายไปสิ้น กระนั้นชายหนุ่มก็ช่วยสร้างที่พักใหม่ให้ทั้งสองใต้ร่มเงาของอิมแพลนต้า และล้ำเข้าไปในโพรงกลวงของลำต้นไม้ใหญ่ซึ่งดูราวกับจะผุกร่อนเพื่อผู้ที่สร้างมันขึ้นมาโดยเฉพาะ

    นั่นเป็นบ้านที่สงบเงียบทีเดียว หากไม่นับว่าเดียวดายมีเพียงคนสองคนในเมืองร้าง

    หญิงสาวดูเหมือนจะไม่อนาทรร้อนใจใดๆ กับสภาพที่เป็นอยู่ ว่ากันตามจริงแล้วนางคงพอใจเสียด้วยซ้ำ เขาเข้าเมืองอื่นเป็นครั้งคราวเพื่อแลกของป่าและหนังสัตว์ที่ล่ามาได้ นำเงินมาซื้อสิ่งของจำเป็น ส่วนนางอยู่ที่บ้านหลังนั้น ปลูกดอกไม้และพืชผักสวนครัวจากเมล็ดพืชที่เขาซื้อหามาให้

    นางค่อยๆ เลี้ยงดูพวกมันให้เติบโตโดยไม่ใช้เสียงเพลงแต่อย่างใด ได้ผลบ้างไม่ได้บ้างตามแต่สภาพของดินฟ้าอากาศและความทนทานของพืชนั้นเอง ชีวิตของทั้งสองดำเนินไปเรื่อยๆ ในรูปแบบเดิมเช่นนี้ เขาเดินทางไปนอกเมืองบ้าง แต่ก็อยู่กับนางเป็นส่วนมาก โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องให้ยายืดอายุขัย

    ตอนที่ราพลังก้าบอกว่าจะอยู่ริมซากเมืองเรเลนทัสต่อไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้นางฟังในที่สุด ว่าตนเป็นใครและออกเดินทางจนมายังเรเลนทัสในทีแรกด้วยจุดประสงค์อะไร เขาทำใจไว้แล้วหากราพลังก้าจะโกรธเคืองจนไม่อาจยอมรับตนได้อีก ทว่าหญิงสาวกลับฟังอย่างเรียบเฉยเท่านั้น

    “หากท่านต้องการให้ข้าไปร้องเพลงเมตาฟาลิก้าเพื่อสร้างทวีปใหม่ให้พาสตาเลีย ก็คงจะบอกข้าไปนานแล้ว ใช่ไหมล่ะ” นางย้อนถาม “ในตอนนั้นข้ายังเขลานัก ยังคิดแต่จะสร้างประโยชน์ให้ผู้คนให้มากที่สุด หากท่านเอ่ยปากขึ้นมา มีหรือที่ข้าจะไม่ตกลง”

    “...ก็จริง” มาโอได้แต่รับอย่างกระอักกระอ่วน

    “และหากเป็นเช่นนั้นจริง” ราพลังก้าเอ่ยพลางหลับตาลง “ความโง่เขลาของข้าก็คือสิ่งที่ฆ่าข้าเอง เช่นเดียวกับที่เกือบฆ่าข้าและท่านในเรเลนทัส ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย”

    ชายหนุ่มยินดีอยู่บ้างที่หญิงผู้เป็นที่รักยอมรับความลับที่เขาเก็บงำไว้ได้ง่ายดาย กระนั้นยังอดคิดไม่ได้ว่ามันง่ายดายจนเกินไป เขาเกรงว่านางจะเสียใจแต่เก็บไว้ลึกๆ ภายในโดยไม่ยอมบอกตนเอง เพราะการคาดเดาอารมณ์ความรู้สึกของราพลังก้าในยามนี้ยากยิ่งกว่าคะเนว่าหินบนยอดเขาก้อนใดจะกลิ้งลงมาหรือตั้งอยู่ที่เดิมไปชั่วนาตาปีเสียอีก

    มาโอได้แต่พยายามเอาใจนางด้วยทุกสิ่งที่เขาคิดว่าจะทำให้นางรู้สึกดีขึ้น เขาซื้อเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ เครื่องประดับ เสื้อผ้าจากโลกภายนอกที่คิดว่านางจะชอบมากำนัลให้ นางรับของขวัญของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยหรือยิ้มน้อยๆ บ้าง ทว่าไม่เคยยิ้มแย้มหัวเราะสดใสร่าเริงเหมือนครั้งก่อนหน้าเลย

    เขาตั้งใจจะรอเวลาให้นางค่อยๆ กลับมาเป็นคนเดิมก่อนจะเอ่ยปากเรื่องแต่งงานอีกครั้ง แต่ก็ไม่นึกเลยว่านางจะเป็นผู้พูดขึ้นมาเสียเอง เมื่อทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในบ้านโพรงอิมแพลนต้าได้เกือบครึ่งปี

    “ท่านยังคิดจะแต่งงานกับข้าอยู่หรือเปล่า”

    คำถามเรียบๆ ไร้พิธีรีตองนั้นทำให้ชายหนุ่มตกใจ และออกจะสงสัยไม่น้อย กระนั้นเขาก็ได้แต่พยายามหาคำตอบที่ดีที่สุด

    “แน่นอน ข้าไม่มีวันล้มเลิกความคิดนั้นได้เป็นอันขาด เพียงแต่ข้าเกรงว่าเจ้าต้องการเวลามากกว่านี้ ถึงได้เงียบมาตลอด”

    ราพลังก้าเพียงนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเขา คำพูดต่อมาของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเดิม

    “ถ้าเช่นนั้น...ข้าคิดว่าเราคงต้องตกลงกันเสียก่อน”

    “ตกลง...เรื่องอะไรกันหรือ”

    “มาโอ ข้ารักท่าน อย่าสงสัยข้อนั้นเลย เพียงแต่หากท่านยังต้องการแต่งงานกับข้า ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้ท่านยอมรับให้ได้”

    “เรื่องใดหรือ” เขานึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างประหลาด

    “ข้า...ไม่อยากมีลูก”

    มาโอบังคับสีหน้าของตนให้เรียบเฉยที่สุด ที่จริงเขาก็เคยคิดไว้บ้างว่าหากทั้งสองมีลูกสาวที่เป็นเรย์วาเทลเหมือนแม่ก็คงต้องลำบาก แต่ก็ใช่จะมากมายนัก เขาพอมีคนรู้จักให้ติดต่อเรื่องขอยาได้ แล้วอีกประการ ใช่จะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมีลูกชาย

    “หากเจ้าห่วงเรื่องลูกจะเป็นเรย์วาเทลเหมือนกับเจ้า ข้าก็ยังมีทางหายามาเพิ่มให้ อย่ากังวลไปเลยนะ”

    หญิงสาวสั่นศีรษะ

    “ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น แต่ข้า...ไม่อยากมีลูกจริงๆ”

    “ทำไมล่ะ”

    “ชีวิตมนุษย์...ให้กำเนิดได้แต่สิ่งที่น่ารังเกียจทั้งนั้น” ราพลังก้ายังคงก้มหน้าไม่ยอมสบตากับเขา “ถึงข้าจะเป็นเรย์วาเทล แต่ข้าก็มีเลือดของมนุษย์อยู่ในตัว ข้าไม่อยากให้มีชีวิตเกิดขึ้นในร่างของข้าเพียงเพื่อสัมผัสความเลวร้ายของโลกนี้ หรือกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเลวร้ายพวกนั้นเสียเอง”

    “ราพลังก้า” มาโอตรงเข้าไปโอบไหล่ของนาง “ถึงชาวเมืองเรเลนทัสจะทำสิ่งที่ชั่วช้าและโง่เขลาเพียงนั้น เจ้าก็อย่าปักใจเชื่อสิว่ามนุษย์เลวร้ายไปหมดทุกคน”

    “ข้าเคยเชื่อในความดีงามของมนุษย์ทุกๆ คนนะ มาโอ” หญิงสาวสั่นศีรษะ “ข้าเชื่อมั่นอย่างมืดบอดมาตลอด ตอนนี้ข้าพอแล้ว ข้าไม่อยากเชื่อใจมนุษย์คนไหนเพื่อถูกหักหลังอีกต่อไปแล้ว”

    “แล้วข้าล่ะ ข้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เจ้าจะบอกว่าไม่เชื่อข้าอีกแล้วหรือ”

    ราพลังก้าสั่นศีรษะแรงขึ้นกว่าเดิม เสียงของนางเริ่มสั่นเครือ

    “ข้า...ไม่เห็นมาโอเป็นมนุษย์ สำหรับข้า มาโอก็คือมาโอ ไม่ใช่อะไรอื่นทั้งนั้น มีแต่มาโอที่ข้าเชื่อและรักที่สุด แต่ข้ากลัว...กลัวว่าข้าจะรักมนุษย์อีกคนไม่ได้อีก ข้ากลัวว่าเด็กคนนั้นจะมีจิตที่เปราะบางเกินไปเหมือนกับข้า มิเช่นนั้นก็จิตที่ชั่วร้าย ข้ากลัวทั้งเรื่องที่เขาจะถูกคนอื่นทำร้าย...หรือทำร้ายคนอื่น”

    “ราพลังก้า...” มาโอรู้สึกเหมือนตนมีเรื่องอยากแย้งมากมาย อยากบอกว่าทั้งสองต้องช่วยกันเลี้ยงดูลูกคนใดก็ตามที่จะเกิดมาให้มีจิตใจที่เข้มแข็งเป็นคนดีได้ ทว่าที่เขาห่วงยิ่งกว่าคือสภาพจิตใจของผู้เป็นแม่

    หากว่าหญิงสาวไม่อาจเชื่อใจและรักคนอื่นได้อีก การเลี้ยงดูเด็กสักคนก็คงลำบาก ยิ่งไม่นับว่าเขาไม่อยากให้ลูกของทั้งสองต้องเติบโตในซากเมืองเรเลนทัส ไม่เคยรู้จักพบเจอมนุษย์คนใดเลยนอกจากพ่อแม่ หรืออาจรวมถึงพี่น้องของตนเป็นอันขาด จะดึงดันให้ราพลังก้าย้ายเข้าเมืองด้วยหวังจะให้นางปรับตัวก็ดูเหมือนจะเป็นการบังคับจิตใจของนางจนเกินไป อย่างน้อยก็ในยามนี้

    “...ก็ได้” กระนั้น ชายหนุ่มยังให้คำตอบตามที่เธอต้องการ “เราแต่งงานกันโดยไม่มีลูกกันก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ร่วมกับเจ้าไปชั่วชีวิตก็พอแล้ว”

    นึกย้อนไปถึงตอนนั้น มาโอรู้สึกเหมือนตนเองพูดปดทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจ

    หากว่าการได้อยู่ด้วยกันของอัศวินกับนารีแห่งเสียงเพลงในลำนำคือความผาสุกชั่วนิรันดร์แล้วไซร้ เขาบอกได้ว่าชีวิตคู่ที่เริ่มต้นเพียงเดียวดายในพิธีปฏิญาณเพียงลำพังสองคนของเขากับราพลังก้าห่างไกลจากคำนั้นมากเพียงไร เขาไม่อยากเห็นหญิงสาวเป็นภาระ ทว่าเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นมนุษย์ที่มีความอดทนจำกัด ไม่ใช่อัศวินที่มีกำลังมหาศาลเหนือมนุษย์พอจะกำราบเทพหายนะเพื่อนารีแห่งเสียงเพลงในตำนานแน่นอน

    และเมื่อถึงเวลาที่รู้สึกเช่นนี้...

    “ข้า...จะออกไปเดินเล่นข้างนอกหน่อยนะ” มาโอพูดกับร่างที่ยังนอนนิ่งเฉยขณะลุกจากเตียง “จะรีบกลับมาก่อนมื้อเย็น เจ้าอยากให้ซื้อของหรืออาหารอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

    อีกฝ่ายสั่นศีรษะ เขาไม่ตอบอะไรอีกและมุ่งหน้าไปที่ประตู

    --------------------------------------------------------------------------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×