ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ ๒/๔ - ผู้หยั่งรู้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 174
      2
      5 ก.ย. 52

    ๔. ผู้หยั่งรู้

          
    ความรู้สึกของข้ามีเพียงโมโห นอกนั้นคือด้านชา ขณะนั่งมองเศษซากย่ามสัมภาระของตนนิ่งอยู่

    ...ข้าไม่สนว่ามันฆ่าลูกตัวเองเอาเนื้อมาต้มน้ำแกงจริงๆ หรือไม่ได้ทำ...

    ...ข้าสนแต่ว่ามันเป็นหัวขโมย...

    ทันทาโลสหายไปแล้วเมื่อข้าฟื้นขึ้นมา เช่นเดียวกับอาหารและน้ำทั้งหมดของข้า ไม่เว้นเนื้อปรุงรสที่ข้าเตรียมไปบรรณาการเคอร์เบโรสบนเส้นทางกลับ ข้าได้แต่ปลอบตนเองอย่างประชดประชัน ว่าอย่างน้อยมันก็ยังทิ้งถุงน้ำเปล่าๆ อีกถุงไว้ให้ใส่น้ำพุแห่งเนโมซิวเน และเหลือเหรียญเงินที่ข้านำเผื่อมาเป็นค่าจ้างเรือกลับอีกเหรียญหนึ่ง

    ...เป็นบุญคุณที่ทำให้ข้าอยากตอบแทน ด้วยการวิ่งตามไปจับชายชราโยนลงเฟลเกธอน ดูซิว่าน้ำที่ลุกเป็นไฟจะยังแยกออกห่าง หรือเผามันให้มอดไหม้เป็นจุณ...

    แต่ข้าไม่มีเวลาทำเช่นนั้น ไม่มีทางไปร้องเรียนกับเหล่าท่านผู้พิพากษาแห่งปรโลกด้วย ว่าถูกวิญญาณต้องโทษขโมยอาหาร เพราะข้าเองก็เป็นคนต่างด้าวในดินแดนวิญญาณแท้ๆ ทางเดียวที่เหลือคงเป็นตามหาน้ำพุแห่งเนโมซิวเนให้พบตามความตั้งใจเดิม เรื่องจะหาทางผ่านเคอร์เบโรสอย่างไรค่อยว่าทีหลัง ข้าเก็บย่ามที่ถูกรื้อกระจุยกระจาย พร้อมกับข้าวของอื่นๆ ที่ยังพอใช้ได้ แล้วก็เดินตามแถววิญญาณซีดจางที่เห็นเบื้องหน้าต่อไป

    เส้นทางยังคงยาวไกล ระหว่างทางข้าเกิดสงสัย วิญญาณเหล่านี้รู้ได้อย่างไรว่าพวกตนใกล้ไปเกิด เหตุใดจึงมุ่งไปยังแม่น้ำเลเธแล้วดื่มน้ำ ส่วนวิญญาณที่เป็นผู้หยั่งรู้เล่า รู้ได้อย่างไรว่าต้องดื่มน้ำพุแห่งความทรงจำ มีผู้เฝ้าน้ำพุคอยคัดกรองดวงวิญญาณหรือไม่ และหากมีจริงๆ ข้าจะผ่านไปได้เช่นไร อาร์ดัท-ลิลิ ไม่เคยพูดถึงเรื่องเหล่านี้เลย

    ข้าประหลาดใจมากที่ไม่เห็นผู้เฝ้า ดวงวิญญาณที่มุ่งมายังฝั่งแม่น้ำไหลเอื่อยคุกเข่าลง กอบน้ำขึ้นดื่มเองโดยไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครอิดออดที่ต้องเสียความทรงจำในอดีตหรือไปเกิดใหม่ ดื่มน้ำแล้ว พวกเขาต่างมุ่งหน้าไปตามเส้นทางหนึ่งโดยไม่รั้งรอ

    ข้ามองพวกเขานิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงมองหาแหล่งน้ำอีกแห่งที่น่าจะอยู่ใกล้กัน

    “หากสิ่งที่เจ้ามองหาคือน้ำพุแห่งเนโมซิวเน ก็ต้องลุยข้ามเลเธไป”

    ข้าหันขวับตามเสียง เห็นหญิงคนหนึ่ง ร่างของนางเล็กบอบบาง สวมชุดยาวกรอมข้อเท้าแบบเรียบๆ สีอ่อนจางเช่นเดียวกับวิญญาณทั่วไป ทว่าท่าทางดูมีชีวิตจิตใจผิดกับพวกเขา นางมีผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีเดียวกันฉายแววโศก ใบหน้าเรียว จมูกโด่งยาว เบ้าตาบุ๋มเข้าไปเล็กน้อย เห็นแถบสีคล้ำรางๆ ใต้ดวงตา รวมความคือไม่ใช่หญิงงามหมดจด แต่ก็มีบางสิ่งที่ดึงดูดอย่างประหลาดในดวงหน้าเรียบเฉยนั้น

    “ท่านเป็นใคร” ข้าถามอย่างระแวดระวัง “ทำไมบอกเรื่องนี้แก่ข้า”

    “เพราะข้าไม่ได้พูดกับใครมานานแล้วกระมัง” นางตอบช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ

    “แล้วทำไมท่านถึง...เข้ามาพูดกับข้าได้ ไม่เหมือนวิญญาณอื่นๆ” ข้าซักต่อ “วิญญาณในทุ่งอัสโฟเดลไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ...หรือข้าเข้าใจผิด”

    “ไม่ผิดดอก วิญญาณในทุ่งอัสโฟเดลมีเพียงความรู้สึกพื้นฐาน เช่นหิวกระหายเท่านั้น เมื่อหิวพวกเขาก็เก็บหาผลอัสโฟเดลกิน เมื่อกระหายน้ำจนทนไม่ไหว จะมุ่งหน้าหาน้ำดื่ม เลเธคือแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุด ส่วนเนโมซิวเนอยู่ลึกเข้าไป คนเพียงน้อยจะข้ามแม่น้ำใหญ่ตรงหน้าไปเสาะหาน้ำพุเล็กๆ บนเขาสูง” หญิงสาวอธิบาย “ดื่มแล้วจึงปรารถนากลับไปอีกฟากหนึ่งของปรภพ ผู้ดื่มเลเธจะมุ่งไปด้วยจิตของทารกไร้เดียงสา ส่วนผู้ดื่มน้ำพุแห่งเนโมซิวเนมีญาณหยั่งรู้ติดตัว ลงไปทำหน้าที่ซึ่งเทพเจ้ามอบหมาย มีเพียงผู้ดื่มน้ำหนึ่งในสองแห่งนี้เท่านั้น ที่เคอร์เบโรสยินยอมให้ออกสู่มหานทีสติวซ์”

    ข้ามองนางด้วยความสงสัย

    “ท่านบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม”

    “คงเป็นชะตากรรมของ ‘ผู้หยั่งรู้’ กระมัง ที่ต้องบอกสิ่งที่ตนรู้ต่อผู้อื่น”

    “หมายความว่า...” ข้าสันนิษฐาน “ท่านคือผู้หยั่งรู้ที่ดื่มน้ำพุแห่งความทรงจำเข้าไป และกำลังจะไปเกิดใหม่”

    “เป็นเช่นที่ท่านพูด ยกเว้นประโยคหลังสุด” หญิงร่างเล็กถอนใจ “ข้าไม่ทราบว่านั่นเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี แต่ดูเหมือนชะตากรรมของข้าจะถูกผูกติดกับชีวิตของ ‘ผู้หยั่งรู้’ เสียเหลือเกิน”

    “หมายความว่าอย่างไร”

    “ในชีวิตก่อนหน้านี้ ข้าก็เป็นผู้หยั่งรู้ จึงทราบว่าการรู้สิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้เป็นทุกข์ใหญ่หลวงเพียงใด ข้าไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์เช่นนั้นอีก”

    “แล้วท่านจะดื่มน้ำจากเลเธเพื่อให้ลืมความทรงจำ กลับไปเกิดเป็นคนทั่วไปไม่ได้หรือ”

    หญิงสาวสั่นศีรษะ

    “ให้ดื่มก็คงได้ แต่สิ่งใดจะรอข้าอยู่ในโลกเบื้องบนเล่า ข้าพบสิ่งที่ไม่ควรพบมากมายแล้ว ทั้งสงคราม...การเข่นฆ่าอันไร้ความหมาย...การฉุดคร่า...ความตายของพ่อแม่พี่น้อง ไม่ว่าจะรู้ล่วงหน้าหรือไม่ ชีวิตล้วนมากด้วยความเจ็บปวด ไม่แตกต่างกัน ข้าจึงไม่เห็นประโยชน์ของการกลับสู่โลกมนุษย์อีก นี่ต่างหาก...คือชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ไร้ความเจ็บปวด”

    “...แต่ก็เป็นชีวิตที่เดียวดาย” ข้าอดขัดมิได้ เผลอนึกถึงสิมูนซึ่งมีชีวิตอ้างว้างเป็นนิรันดร์เช่นกัน “ท่านไม่คิดถึงสิ่งสวยงามในโลกมนุษย์บ้างหรือ เช่นการมีเพื่อน มีครอบครัวที่แบ่งปันความรู้สึกกันได้ มิเช่นนั้นก็มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตแต่ละวัน”

    “สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่จีรัง” นางเปรย

    “แต่ก็ทำให้ชีวิตอันไม่จีรังของมนุษย์มีความหมาย” ข้าแย้ง “ข้าเคยพบคนคนหนึ่งที่เป็นเหมือนท่าน ข้าอยากช่วยนางจึงได้มาที่นี่ นาง...”

    หญิงร่างเล็กกลับยกมือห้ามไม่ให้ข้าพูดต่อ นางสั่นศีรษะ

    “ข้ารู้ตั้งแต่เห็นท่านแล้ว อามอน อำนาจหยั่งรู้อันมากล้นเกินควบคุมทำให้ข้าเห็นทุกสิ่ง ตั้งแต่กำเนิดและชีวิตของท่าน นับเนื่องต่อไปหลังจากนี้ ข้าอยากห้ามท่าน แต่ห้ามอย่างไรท่านคงไม่ฟัง...เช่นเดียวกับทุกๆ คนที่ไม่เคยฟังคำทำนายของข้า”

    ความคิดหนึ่งวาบขึ้น นำความประหลาดใจอย่างยิ่งมาสู่ข้า ชั่วแวบหนึ่ง...เหมือนข้าตระหนักว่าหญิงผู้หยั่งรู้นี้เป็นใคร แต่แล้วใจอีกด้านก็นึกแย้ง ว่าคงเป็นนางผู้นั้นไปไม่ได้

    “ข้านึกได้ถึงหญิงผู้หยั่งรู้คนหนึ่ง” กระนั้น ข้าก็เสี่ยงเอ่ยปาก “นางต้องคำสาปให้ไม่มีผู้ใดเชื่อคำทำนายของนาง แต่ทุกเคราะห์กรรมที่นางเห็นกลายเป็นความจริง รวมทั้งมหาสงครามครั้งใหญ่ ท่านคือนางใช่ไหม”

    หญิงนั้นยิ้มฝืดเฝือ

    “ข้าไม่เห็นประโยชน์จะบอก ยามนี้ ข้าคือวิญญาณแห่งทุ่งอัสโฟเดลที่ทิ้งชื่อในชาติอดีตไปแล้ว อีกประการหนึ่ง ไม่ว่าข้าจะตอบรับหรือปฏิเสธ ท่านก็ย่อมเชื่อตามที่ท่านเชื่อ และเดินไปสู่เคราะห์กรรมที่ข้าเห็น ด้วยความตั้งใจของท่านเอง”

    “หมายความว่า...” ข้ากลืนน้ำลาย แล้วพูดช้าๆ “ข้าต้องตายเพื่อช่วยสิมูน เช่นนั้นสินะ”

    หญิงผู้หยั่งรู้ไม่ตอบ นางเพียงทอดตาลงมองพื้นดิน

    “แต่สิมูนจะเป็นอิสระใช่ไหม” ข้าถามต่อไป “ข้าจะปลดปล่อยนางจากคำสาปได้ใช่ไหม”

    หากทำได้ ชีวิตและความตายของข้าคงไม่ไร้ความหมาย เพราะได้ลงมาถึงปรโลกและเห็นหนทางของวิญญาณ ข้าจึงเริ่มตระหนักว่าความตายไม่น่ากลัวเหมือนที่คิด มันเคยน่ากลัวเพราะเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยรู้ แต่บัดนี้ มันเป็นสิ่งที่ข้ามีโอกาสได้สัมผัสอย่างไม่คาดฝัน

    ดวงวิญญาณในทุ่งอัสโฟเดลไม่รู้สึกสิ่งใด จึงไม่ทุกข์ร้อนกับความนิ่งสนิทของที่นี่ เมื่อถึงเวลากำเนิด พวกเขาก็ดื่มน้ำให้ลืมเลือนอดีตชาติ คืนสู่โลกมนุษย์เพื่อพบเจอประสบการณ์ต่างๆ แล้วหวนกลับมาใหม่ ชีวิตของพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์

    แต่ชีวิตของสิมูนไม่เปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ เพราะไร้การเปลี่ยนแปลง...นางจึงทุกข์ทรมาน ยาวนานเนิ่นช้าเกินอายุขัยผู้ใด ข้าเชื่อว่านั่นเป็นความทุกข์ยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาเช่นตนอาจรับได้

    “ไม่ว่าข้าจะพูดอะไร” หญิงผู้หยั่งรู้เอ่ยช้าๆ “ทุกสิ่งจะดำเนินตามรอยเดิม ดังนั้นการพูดจึงไร้ประโยชน์ ข้าบอกทางสู่น้ำพุแห่งเนโมซิวเนเพราะนั่นเป็นชะตากรรมของท่าน ถึงข้าไม่บอก ท่านก็ต้องค้นพบด้วยตนเอง ส่วนข้ามีชะตากรรมต้องอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าท่านจะพูดสิ่งใด ข้าก็จะไม่กลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้ง”

    “แน่หรือว่าเป็นชะตากรรม” ข้าตั้งคำถาม “ข้าเลือกจะมาหาน้ำพุด้วยตนเอง ท่านก็เลือกจะอยู่ที่นี่ต่อไปด้วยตนเองเช่นกัน พวกเราล้วนมีทางเลือก สิ่งที่เราเลือกต่างหากจึงกลายเป็นชะตากรรม”

    เสียงหัวเราะของนางคล้ายถอนใจ

    “ชะตากรรมและทางเลือกคือหนึ่งเดียวกัน...เป็นคำพูดของผู้ที่ไม่เคยลิ้มรสตรวนแห่งชะตากรรมโดยแท้”

    “ข้าไม่ทราบ” ข้าก้มลงมองสองมือของตน นึกสงสัย...ว่ามีสิ่งใดที่มองไม่เห็นและไร้น้ำหนักรึงรัดพวกมันไว้หรือไม่ “อาจเป็นทางกลับกัน กล่าวคือข้ามีชะตากรรมต้องลงมาที่นี่ ข้าจึงเลือกลงมาก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่กระจ่างชัดคือ...ข้าเลือกเส้นทางนี้ด้วยตนเอง และข้าก็จะไปให้สุดเส้นทางนั้น”

    หญิงผู้หยั่งรู้มีสายตาเลื่อนลอย หากนางเป็นผู้เดียวกับที่ข้าคิด ก็คงกำลังนึกถึงปรารถนาแห่งเทพซึ่งนางขัด และนำโทษทัณฑ์มาสู่ทั้งตนเองกับวงศ์วาน...กำแพงเมืองสูงใหญ่...ม้าไม้แห่งความตาย...คำอ้อนวอนต่อองค์เทพกัญญาโดยไร้ผล...ชะตาของเหล่าเชลยหญิง...ไปจนถึงมรณะของนางเองใต้คมขวาน...เรื่องทั้งมวลที่นางรู้แต่ต้น ทว่ามิอาจฝ่าฝืน

    “ข้าไม่ทราบ” นางเอ่ยเช่นเดียวกับข้า “ว่าในโลกมนุษย์นั้น ข้าเลือกเส้นทางของตน หรือปล่อยตนเองให้ไหลไปตามชะตากรรม แต่ข้าจะเชื่อ...ว่าข้าเลือกเส้นทางในทุ่งอัสโฟเดลนี้ด้วยตนเอง และข้าก็จะไปให้สุดเส้นทางนั้นเช่นกัน”

    นางเงยหน้าขึ้นสบตากับข้า แววตาอ้างว้าง...แต่เป็นความอ้างว้างที่นางเลือกแบกรับอย่างเต็มใจ

    “ขอให้โชคดีกับทางของท่าน” ข้าบอกนาง และได้รับถ้อยคำเดียวกันตอบมาอย่างแผ่วเบา

    ข้าลาจากหญิงผู้หยั่งรู้ ณ ริมนทีเลเธ ลุยข้ามไปสู่น้ำพุแห่งความทรงจำในไม่ช้า

    * * * * *

    ที่จริง น้ำพุแห่งเนโมซิวเนอยู่ในที่โล่งโปร่งเห็นได้ชัด มิได้ลับแลแต่อย่างใด ทว่าเมื่อเห็นที่ตั้งของมันแล้ว ข้าก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดวิญญาณส่วนมากจึงไม่มาดื่มน้ำที่นี่

    หากมีลำธารใหญ่ใสสะอาดอยู่เบื้องหน้า ใครกันจะข้ามมันมาเพื่อเดินขึ้นภูเขาสูงชัน ไปดื่มน้ำจากน้ำพุเล็กๆ ที่เห็นเพียงไกลลิบให้เปลืองแรง หากไม่มีสิ่งดลใจหรือชะตากรรมกำหนดไว้

    แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญสำหรับข้า ข้ามีหน้าที่ต้องขึ้นไปนำน้ำกลับมาให้สิมูน และข้าก็จะทำให้สำเร็จสมความตั้งใจ ข้าเดินขึ้นเขาไปโดยไร้ความเหน็ดเหนื่อย ไร้เหงื่อ ไร้ความกระหายน้ำโดยสิ้นเชิง กระนั้น ภาพของน้ำพุใสสะอาดที่ส่งเสียงราวดนตรีก็ยังดึงดูดเสียเหลือเกิน ยามกรอกมันใส่ถุงน้ำ ข้านึกถึงคำบอกของหญิงผู้หยั่งรู้ และเส้นทางกลับที่รออยู่เบื้องหน้า ข้าไม่มีอาหารล่อเคอร์เบโรสอีกแล้ว แต่หญิงผู้หยั่งรู้ยังอุตส่าห์บอกว่า ผู้ที่ดื่มน้ำจากเลเธหรือเนโมซิวเนสามารถผ่านออกไปได้

    แน่นอนว่าข้าไม่อาจเสี่ยงดื่มน้ำจากเลเธให้หลงลืมทุกสิ่ง จึงเหลือเพียงน้ำพุตรงหน้าแค่ทางเดียวเท่านั้น

    อย่างมากก็แค่มีอำนาจหยั่งรู้ติดตัว ข้าบอกตนเอง ก็แค่รู้ชาติอดีตของตน นั่นอาจเป็นประสบการณ์ดีที่น้อยคนจะมีก็เป็นได้

    ...ก็เหมือนการผจญภัยอย่างหนึ่ง...

    หลังกรอกน้ำเต็มถุง ข้าจึงใช้สองมือกอบน้ำพุแห่งเนโมซิวเนขึ้นจดริมฝีปาก

    เพียงน้ำอึกแรกล่วงเข้าลำคอ...สองมือของข้าพลันตกลงข้างตัวทันที ทิ้งน้ำที่ข้ากอบเต็มกำมือให้หกกระจายบนพื้น ข้าเชื่อว่านัยน์ตาของตนเบิกกว้างเต็มที่ ทว่าภาพที่ผ่านไปเบื้องหน้าพวกมันมิใช่น้ำพุอีกต่อไป กลับเป็นสถานที่และเหตุการณ์อื่นๆ อีกมากมาย สรรพเสียงรัวเร็วจนฟังไม่ออกประดังในโสตประสาทพร้อมกัน

    แต่แล้ว...ภาพและเสียงชุดหนึ่งกลับเด่นชัดกว่าชุดอื่นๆ ...ร้อยเรียงเชื่อมโยง ประสานทั้งชื่อที่ข้ารู้จักและมิรู้จัก กับความฝันซ้ำๆ ของข้าเข้าด้วยกัน

    ...นามนั้นคือเซ็ฟ...

    * * * * *
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×