ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ ๒/๕ - เซ็ฟ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 191
      1
      5 ก.ย. 52

    ๕. เซ็ฟ


    หลายสิบปี...หรืออาจถึงหลายร้อยปีก่อน

    เซ็ฟเป็นลูกชายของคนเลี้ยงแพะ ซากบ้านหลังคาโหว่ที่ข้าใช้พักในเมืองแห่งสายลมเคยเป็นบ้านของเขา

    ครั้นเจริญวัยเป็นเด็กหนุ่ม เขาก็ทำงานเลี้ยงแพะเช่นเดียวกับบิดา แต่ละวันเขานำฝูงแพะไปกินน้ำที่โอเอซิส จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกแพะตัวหนึ่งในฝูงหลงหายไป เขาเที่ยวตามหาไปทั่ว กว่าจะพบมันก็ประจวบพายุทรายเข้า

    เซ็ฟหมอบกอดเจ้าลูกแพะแน่น นึกไปว่าตนต้องตายแน่นอน ก็พอดีสตรีผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นโดยไม่คาดฝัน นางงามเหนือหญิงใดที่เขาเคยพบเห็นในชีวิตชาวทะเลทราย ผมสีดำของนางเหมือนฟ้าแห่งรัตติกาล นัยน์ตาสีทองเหมือนตะวันยามรุ่งอรุณ ทว่าที่เขาจำติดใจมิใช่สิ่งเหล่านี้ แต่เป็นท่วงท่าของนางยามโบกมือ พลิ้วไหวดุจเริงรำ บันดาลให้พายุทรายสงบลงในชั่วพริบตาอย่างน่าอัศจรรย์

    ...นามของนางคือสิมูน...

    นางบอกนามต่อเขา ถามไถ่ว่าเขากับลูกแพะปลอดภัยไหม เซ็ฟตอบคำถามของนางแต่โดยดีประหนึ่งต้องมนต์สะกด ทั้งๆ ที่ในใจมีคำถามมากมาย...เขาก็ไม่เอ่ยปากออกไป กลับถึงบ้านก็หาได้แพร่งพรายเรื่องของนางต่อพ่อแม่พี่น้องไม่

    วันต่อมา ขณะกำลังเลี้ยงแพะริมโอเอซิส เซ็ฟได้ยินเสียงร้องเพลงอันไพเราะยิ่งกว่าบทเพลงใดที่มนุษย์อาจขับขาน เสียงนั้นเรียกให้เขาตามไป พบหญิงสาวเจ้าของดวงตาสีทองแสนงามอยู่ที่เชิงผาไม่ไกลนัก

    ทั้งสองพบปะพูดคุยกันหลายต่อหลายครั้ง ความสัมพันธ์ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ตลอดเวลานั้น เซ็ฟไม่สนใจเลยแม้สักนิด ว่าหญิงงามที่ตนหลงรักเป็นใคร สิมูนไม่เคยเล่าเรื่องของนางให้เขาฟัง และหากจะมีความสงสัยอยู่ในใจเขาบ้าง เซ็ฟก็ไม่เคยคิดจะถาม เขารอให้นางเป็นผู้เอ่ยขึ้นมาเอง แต่หลังจากนางตอบรับความในใจเขา เขาก็ลืมทุกสิ่งที่เคยกังขาเกี่ยวกับนางไปอย่างสิ้นเชิง

    อาจกล่าวได้ตามประสาบทกวีรักทั่วไป...ว่าเมื่อใจของคนสองคนผูกพันกันแล้ว พวกเขาก็ไม่คิดว่าสิ่งอื่นใดนอกจากนั้นมีความสำคัญอีกเลย

    เซ็ฟประสบความสุขแสนหวานชื่นดั่งขึ้นสวรรค์ ข้าได้ยินเสียงใสยามเขากับสิมูนร้องเพลงด้วยกัน พูดจาสนทนาหัวร่อต่อกระซิก ข้าได้กลิ่นหอมของมาลาดอกอินทผลัมและกระบองเพชรสีขาว ซึ่งเซ็ฟบรรจงร้อยสวมบนเรือนผมของนาง ก่อนจรดใบหน้าลงเคลียเส้นผมนุ่มสลวยเพื่อกำซาบรสสุคนธ์ ข้าสัมผัสความอบอุ่นของเรือนกายยามทั้งสองแนบชิด และลิ้มรสสัมผัสหวานละมุนแห่งรอยจุมพิตอันดูดดื่ม ใต้แสงจันทร์ทั้งสองดวงบนฟ้าและผิวน้ำในโอเอซิส...ซึ่งไม่มีวันหวนคืนอีก

    หากมีสิ่งใดในตัวของเซ็ฟที่เหมือนกับข้า...ก็คือความปรารถนาจะเดินทางออกไปดูโลกภายนอก โอกาสมาถึงพร้อมกับกองคาราวานของญาติจากแดนไกล แม้นเซ็ฟจะรักสิมูนเทียบเท่าความปรารถนานั้น นางก็ไม่เอ่ยปากรั้งเขาไว้

    "ไปเถิด อย่าห่วงข้าเลย" นางยังคงพยายามยิ้ม “ข้าจะรออยู่ที่นี่เสมอ”

    เซ็ฟต่างหากที่ก้มหน้าลง ราวกับกลัวที่จะสบตากับนาง

    "ท่านจะห้ามข้าก็ได้" เขาพูดเสียงสั่น "ถ้าเพียงท่านเอ่ยปากแค่คำเดียว ข้าจะไม่จากไปไหนเลย"

    สิมูนกลับถอนใจยาว

    "ข้าจะเหนี่ยวรั้งเจ้าไว้ได้อย่างไร ในเมื่อมันเป็นความฝันของเจ้า " นางวาดมือเรียวงาม ตามเส้นขอบที่แผ่นฟ้าจรดผืนทราย "หากข้าดึงดันขอให้เจ้าอยู่ที่นี่กับข้า ก็เท่ากับทำลายความฝันของเจ้า ข้าทำมิได้ดอก"

    หญิงสาวแตะไหล่เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน

    "เซ็ฟ...ข้าอยากให้เจ้าไปจริงๆ ไปดูโลกกว้างใบนี้ด้วยสายตาของตนเอง แล้วกลับมาเล่าให้ข้าที่ไม่อาจไปจากที่นี่ได้ฟังบ้าง"

    สิมูนส่งยิ้มเศร้าสร้อยให้เซ็ฟ นัยน์ตาสีทองบอกความรู้สึกลึกซึ้งต่อเด็กหนุ่มชัดแจ้ง นางจุมพิตหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบา

    "ข้าสัญญาว่า..." เซ็ฟเริ่มเอ่ยปาก ทว่าหญิงสาวแตะปลายนิ้วเรียวบนริมฝีปากของเด็กหนุ่ม หยุดคำพูดนั้นไว้

    "ข้าไม่ต้องการสัญญาหรือข้อผูกมัดใดๆ ขอเพียงเจ้าไม่ลืมว่า...ยังมีใครสักคนที่รอการกลับมาของเจ้าอยู่ที่นี่ก็พอ"

    เซ็ฟอึ้งไปนาน แล้วก็โผเข้าสวมกอดสิมูนในทันใด

    "เช่นนั้น...ข้าจะไม่สัญญาอะไรทั้งสิ้น แต่จะกลับมาแน่ๆ ข้าไม่มีวันลืมท่านได้ดอก" เขากระซิบแผ่วเบา "การลาจาก...ไม่ใช่การสิ้นสุดหรอกนะ สิมูน"

    เซ็ฟกลับหลังหันวิ่งจากไป...ทิ้งให้สิมูนมองตามหลังเขาอย่างอ้างว้าง เสียงครวญเพลงแสนเศร้ายังดังตามหลังเด็กหนุ่ม เป็นบทเพลงที่เขาเองสอนให้นางร้อง

    ยามเราจากกัน...โปรดอย่าหลั่งน้ำตาร่ำไห้
    ไม่ใช่จากไกล...จนลับลาชั่วนิรันดร์
    ใช่ว่าอยู่ในร่างนิทราเงียบงัน
    ในสุสานอันฝังชีพมลาย

    แต่กลายเป็นสายลมนับพัน
    ตราบชั่วนิรันดร์...โชยพัดนำพาเม็ดทราย
    ร่ายรำระเริงตราบชั่วฟ้าดินสลาย
    ทรายพานพบสายลมบนนภา...

    เซ็ฟรู้ว่าสิมูนเป็นเทพกัญญาแห่งสายลมทะเลทราย นางไม่มีวันตาย สำหรับนาง บทเพลงปลอบขวัญมนุษย์ที่สูญเสียผู้เป็นที่รักไปมีความหมายเพียงว่า...นางคือสายลมที่จะติดตามคุ้มครองดูแลเขาตลอดการเดินทาง ทั้งสองหาได้ห่างไกลกันเลยเท่านั้น

    ถ้าเพียงแต่...เหตุไม่คาดฝันจะมิเกิดขึ้น

    * * * * *

    หลังออกค้าขายถึงเมืองท่าห่างไกลอย่างราบรื่น กองคาราวานกลับปะกองโจรทะเลทรายในการเดินทางกลับ สมาชิกของคาราวานทุกคนล้วนชักดาบเตรียมสู้ ไม่เว้นผู้ที่ไร้ประสบการณ์ในการต่อสู้ใดๆ เช่นเซ็ฟ เด็กหนุ่มถือดาบด้วยมือสั่นเทาและใจหวาดหวั่น

    ทว่าพวกโจรไม่เคยเข้ามาถึงตัวเขา...หรือใครก็ตามในคณะพ่อค้านั้น

    พายุทรายพัดโหมบดบังทุกสิ่งในสายตา เมื่อพายุสงบลง ก็ไม่เหลือโจรคนใดหรือม้าของพวกมันยืนอยู่อีกต่อไป

    “...สิมูน” เซ็ฟได้ยินพ่อค้าคนใดสักคนพึมพำอย่างกริ่งเกรง

    เด็กหนุ่มเชื่อว่าสิมูนปกป้องเขา เขาตื้นตันนัก อยากกลับไปพบนางโดยเร็วเพื่อสนทนาเรื่องต่างๆ มากมาย ชดเชยเวลานานหลายเดือนที่ไม่ได้พบกัน แต่เมื่อเดินทางได้สักระยะ เขาจึงพบว่าพายุทรายยังพัดเกรี้ยวกราดอยู่ที่เส้นขอบฟ้าด้านหนึ่ง...อันเป็นที่หมายของกองคาราวาน

    ...นั่นคือเมืองบ้านเกิดของเขา...

    เซ็ฟกรีดร้องเมื่อเห็นม่านทรายหนาหนักที่ห้อมล้อมเมืองถนัดตา เขาทำท่าจะวิ่งออกไปอย่างไร้สติ แต่กลับถูกพวกพ่อค้าช่วยกันกดตัวแน่นหนา ใครสักคนเอ่ยด้วยเสียงสลดขณะที่เด็กหนุ่มร่ำไห้ ห่วงใยพ่อแม่พี่น้อง

    “สายไปแล้ว เซ็ฟ สวดภาวนาให้ยาบินต์-อัลฮาวาเมตตาพวกเขาทุกคนดีกว่า”

    เด็กหนุ่มมุ่งตรงเข้าเมืองทันทีที่พายุสงบ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ศพของญาติมิตรซึ่งถูกกระแสลมพิษทิ้งเพียงรอยเลือดแดงฉานบนมือของเขา ไม่มีผู้ใดในเมืองรอดชีวิต คณะพ่อค้ายังพยายามปลอบเด็กหนุ่มให้ยอมรับชะตากรรม ทว่าเซ็ฟกลับยิ่งเจ็บปวดใจ เขาไม่เคยนึกฝัน ว่าสิมูนจะส่งกระแสลมมาคร่าชีวิตทุกคนในเมืองที่นางควรปกป้องได้ลงคอ เขาร้องเรียกนางเหมือนคนคุ้มคลั่ง ขณะวิ่งไปทั่วทุกแห่งที่ทั้งสองเคยใช้เวลาร่วมกัน

    “ออกมา! สิมูน! ยาบินต์-อัลฮาวา! ข้ารู้ว่าท่านฟังอยู่! ท่านยังอยู่ที่นี่! ออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้! ทำไมถึงทำเช่นนี้!”

    พวกพ่อค้าจับตัวเขาไว้อีกครั้ง ด้วยเกรงว่าเทพกัญญาแห่งสายลมจะเห็นกิริยาของเด็กหนุ่มเป็นการดูหมิ่น ต่อให้เซ็ฟเล่าว่าตนเคยพบและรู้จักสิมูนจริงๆ ก็ย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อ ทุกคนคิดว่าเขาเสียสติไปเพราะสูญเสียครอบครัวกะทันหันเท่านั้น

    เซ็ฟจึงถูกมัดปาก มัดมือเท้าแล้ววางพาดบนหลังอูฐ ติดไปกับกองคาราวานราวกับสินค้าชิ้นหนึ่ง การดิ้นรนของเขาอ่อนเปลี้ยลงทุกวัน เพราะได้รับเพียงน้ำและอาหารพอประทังชีพ จิตใจเองก็ค่อยๆ ยอมรับความเชื่อที่ง่ายที่สุดในการเอาชีวิตรอด โดยไม่สนอีกแล้วว่านั่นคือความจริงหรือความเท็จ

    ...ข้าไม่เคยพบสิมูน...

    ...ข้าไม่เคยมีคนรัก...

    ...ข้าไม่เคยมีพ่อแม่พี่น้อง...ดังนั้นข้าจึงไม่เคยเสียพวกเขาไป...

    ...ข้า...ไม่เคยมีสิ่งใดเลย...


    .........

    พ่อค้าผู้เป็นญาติห่างๆ ยังเมตตาสงสารเขา เมื่อเห็นเด็กหนุ่มสงบจากอาการคลุ้มคลั่งแล้ว จึงรับเขาเข้าทำงานด้วย และสอนความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับการค้าขายให้ ด้านเซ็ฟพยายามลืมเลือนทุกสิ่งในอดีตของตน นำความรู้เหล่านั้นเข้ามาแทนช่องว่างในใจ เขาเรียนรู้ได้รวดเร็วจนเป็นที่ชื่นชมของญาติผู้ใหญ่ ในที่สุดก็ได้แต่งงานกับธิดาคนหนึ่งของพ่อค้าอีกคน เด็กหนุ่มใช้ชีวิตเป็นพ่อค้านอกแดนทะเลทรายจนกระทั่งมีลูกหลาน สุดท้ายก็ล้มป่วยตามวัยชราและสิ้นลม

    กระนั้น...ถึงจะพยายามลืมเลือนมาจนชั่วชีวิต เซ็ฟกลับระลึกถึงสิมูนในลมหายใจสุดท้าย

    ...นั่นคงเป็นเหตุผลที่ความทรงจำนั้นยังตามติดเขามาในความฝัน...ในอีกชีวิตหนึ่ง...

    ภาพทั้งหมดดับวูบพร้อมอาการปวดรุนแรง เหมือนศีรษะจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ทุกสิ่งตอกย้ำความเป็นจริงต่อข้า ข้าคือเซ็ฟ...ข้าคือเซ็ฟ...ข้าคือเซ็ฟ...

    ข้าต้องใช้เวลาตั้งสติพักใหญ่ จึงขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกครั้ง รู้สึกเหมือนตนเพิ่งได้รับรู้เรื่องอันน่าเศร้าช้าเกินไป...แต่ก็ยังยินดี ราวกับพบชิ้นส่วนที่หายไปจากแจกันซึ่งประกอบเป็นตัวข้าในที่สุด

    ทุกสิ่งมีเหตุผลและความหมาย ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงเสาะหาสิมูนและต้องการช่วยเหลือนางอีกครั้ง

    ข้าเชื่อว่าน้ำพุแห่งเนโมซิวเนจะคืนความทรงจำให้นางตอบข้าได้ ว่าเกิดเหตุใดขึ้นในตอนนั้น แล้วเราทั้งสองจะได้หาทางแก้คำสาป และปลดปล่อยนางให้เป็นอิสระเสียที

    * * * * *

    เมื่อเห็นข้าอีกครั้งที่ปากอุโมงค์สู่โลกมนุษย์ อาร์ดัท-ลิลิทำตาเบิกกว้างขึ้นจนดูเหมือนนกฮูกยิ่งกว่าเดิม

    “เจ้าทำได้หรือนี่”

    ข้าเพียงแต่พยักหน้ารับเรียบๆ นางปีศาจจ้องข้านิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

    “ตอบข้ามาตามตรง ชายจากเอลลัส เจ้าสืบสายเลือดจากบุรุษจอมพลังในตำนานของพวกเจ้า หรือเป็นลูกลับของมหาเทพผู้มากรักของเจ้าหรือ จึงได้ดวงแข็งผิดผู้ผิดคนธรรมดาอย่างนี้” นางพูดเหมือนล้อเล่น แต่ข้ายังคงครุ่นคิดถึงอดีตที่ได้รู้ จนไม่อาจตอบติดตลกเช่นกันได้

    “ข้าคิดว่าไม่”

    นางมองข้าอีกครั้ง ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ขึ้น

    “แล้วก็...ดูเหมือนเจ้าดื่มน้ำแห่งความทรงจำเข้าไปแล้วสินะ”

    ข้าผงกศีรษะน้อยๆ อาร์ดัท-ลิลิยักไหล่

    “ในเมื่อรู้ เจ้าก็ถลำลึกลงมาในเรื่องนี้เต็มตัวแล้ว และคงยิ่งคิดช่วยเหลือนางให้ได้มากกว่าเดิมแน่ๆ”

    “ใช่” ข้าตอบ “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องช่วยสิมูนให้ได้”

    “แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้าน่ะหรือ”

    “ชีวิตของข้ามีค่าอะไรกันเล่า” ข้ายิ้มเฝื่อนๆ “อย่างน้อยข้าก็ได้รู้ว่าตนเคยตายมาแล้ว หากต้องตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป”

    “แต่ถึงอย่างไร...” นางปีศาจเอ่ยช้าๆ “นางก็ต้องเสียใจอยู่ดีหากเจ้าตาย หากนางไม่อยากให้เจ้าต้องตายเพื่อแก้คำสาป เจ้าจะทำอย่างไรอีก”

    “ข้าก็จะหาทางแก้คำสาปให้นาง โดยที่ข้าไม่ต้องตาย” ข้าตอบหนักแน่น “ข้าเชื่อว่าต้องมีทางทำได้”

    อาร์ดัท-ลิลินิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ กระซิบแผ่วเบาด้วยถ้อยคำที่ข้าไม่อยากเชื่อ

    “ข้ายินดีแทนสิมูนจริงๆ”

    “ท่านว่าอะไรนะ”

    “ข้าหมายถึงข้าอิจฉานาง ได้ฟังอย่างนี้แล้ว จู่ๆ ก็ยิ่งอยากสูบวิญญาณเจ้ากินเสียตรงนี้เลย”

    “ข้าคงปล่อยให้ท่านทำอย่างนั้นไม่ได้” ข้าพยายามใจเย็นอยู่ แม้ในใจจะนึกกลัวเช่นกัน

    นางปีศาจถอนใจก่อนจะยิ้มหวาน

    “เจ้านี่แปลกคน ไยจึงเลือกตายด้วยคมมีดของผู้หญิงน่ากลัวคนนั้น ทั้งๆ ที่ข้าอุตส่าห์เสนออ้อมกอดอันอ่อนโยนให้แท้ๆ”

    “ข้าจะไม่เลือกทั้งสองทาง” ข้ายืนกราน “ขอบคุณมากที่นำทางข้า ท่านอาร์ดัท-ลิลิ ข้าซาบซึ้งในบุญคุณของท่านมาก แต่หากจะตอบแทนท่าน...ข้าคงไม่อาจมอบทั้งร่างกายและวิญญาณของข้าให้ท่านได้”

    นางมองข้าเหมือนกับค้อนแวบหนึ่ง แล้วก็เร่งให้ข้ารีบตามนางออกจากอุโมงค์สู่ปรโลกโดยเร็ว

    “ข้าจะได้ไปหาอาหารของข้าเสียที รู้ไหมว่ารอเจ้าอยู่เป็นวันๆ นี่หิวแค่ไหน ตอนนี้ข้ากลับเห็นผู้ชายไร้พลังชีวิตอย่างเจ้าน่ากินพอๆ กับเจ้าเฒ่าทันทาโลสเห็นทับทิมลูกโตลอยยั่วอยู่ตรงหน้าทีเดียวเชียว!"

    * * * * *

    ผู้หยั่งรู้หญิงไม่ได้บอกชื่อในเรื่อง แต่ที่จริงผมคิดไว้ว่าเธอคือคาสซานดรา (Cassandra) เจ้าหญิงแห่งทรอยที่มีชะตากรรมสุดซวยคนหนึ่ง หลังทำนายหลายครั้งว่าเจ้าชายปารีสจะชักศึกเข้าบ้านบ้าง ม้าไม้จะนำหายนะมาบ้าง แต่คำสาปของเทพอพอลโลที่ถูกเธอปฏิเสธความรักก็ทำให้ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอเลย

    ในสองตอนนี้ไม่มีชื่อในตำนานเพิ่มเติม แต่เฉลยอดีตของอามอน หรือ เซ็ฟ (Sef) ซึ่งเป็นชื่อภาษาอียิปต์ หมายความว่า yesterday หรือ วันวาน ครับ พ่อม่อนได้น้ำระลึกชาติมาแล้ว แต่ผลจะเป็นอย่างไร ขอให้ติดตามดูต่อไปครับ smile

    เพลงที่สิมูนร้องนั้น ผมนำทำนองมาจาก Sen no Kaze ni Natte ซึ่งเป็นเพลงญี่ปุ่น โดยแปลงเนื้อเพลงนิดหน่อยให้เข้ากับบรรยากาศทะเลทราย และร้องตามทำนองได้ ฉบับภาษาญี่ปุ่นร้องโดย Akikawa Masafumi ส่วนภาษาอังกฤษร้องโดย Hayley Westernra ครับ สามารถชมเพลงได้ที่ยูทูบครับ smile

    ฉบับภาษาญี่ปุ่น



    ฉบับภาษาอังกฤษ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×