ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings of Hope: Side Story (เบื้องหลังตำนาน)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทแห่งมาริเอลล่า - บทเพลงเพื่อดวงจันทร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 99
      0
      2 ส.ค. 47

    Wings of Hope-Side Story

    Mariella\'s Episode - A Song for the Moon

    ภาคแห่งมาริเอลล่า- บทเพลงเพื่อดวงจันทร์



    In the night sky                    บนฟ้ายามราตรี

    The full moon shines                จันทร์เพ็ญฉายแสง

    In the embrace of the clouds            อยู่ในอ้อมกอดของหมู่เมฆ



    Just looking up to it is too sad            เพียงเงยหน้ามองจันทราช่างเศร้าเหลือเกิน

    I don\'t know why I feel so bad            หากฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงได้รู้สึกเลวร้ายถึงเพียงนั้น



    It\'s just like I\'m lost                เหมือนกับฉันกำลังหลงทาง

    In this land of frost                อยู่ในดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้

    Harsh and freezing to the soul            มันแสนทารุณและเย็นยะเยือกเข้าไปถึงดวงวิญญาณ์



    I wish there will be just someone            ได้แต่หวังเพียงจะมีใครสักคน

    That can help me feel strong and warm        ที่จะช่วยให้ฉันรู้สึกเข้มแข็งและอบอุ่นขึ้นได้



    Snow flakes keep falling (keep falling)        เกล็ดหิมะยังไม่หยุดโปรยปราย

    Cold winds keep blowing (keep blowing)        กระแสลมเย็นเยือกยังไม่หยุดพัดโหม

    The clouds get thickened (sky darkened)        เมฆหมอกบนฟ้ายิ่งจับหนา

    Even the moon has lost her shine        กระทั่งความสว่างของดวงจันทร์ยังเลือนหายไป



    I don\'t know where to turn            ฉันไม่รู้ว่าจะหันไปทางใดดี

    No torch to burn                    ไม่มีแม้คบไฟจะส่องนำทาง

    maybe I can only wait                บางทีฉันอาจจะทำได้เพียงรอกระมัง



    What I\'m waiting for?                รออะไรน่ะหรือ?

    That\'s hard to tell                บอกยากเหลือเกิน

    Perhaps just one last farewell            อาจเป็นคำบอกลาโลกนี้ครั้งสุดท้ายก็เป็นได้



    Then I feel a hand                แต่แล้ว...ฉันก็รู้สึกได้ถึงมือมือหนึ่ง

    Touching my own                แตะมือของฉัน

    The warmest touch I\'ve ever known        เป็นสัมผัสที่อบอุ่นที่สุดที่ฉันเคยรู้จัก



    Looking up I see you smile at me        ฉันเงยหน้าขึ้นไปเห็นเธอยิ้มให้ฉัน

    And the ice just all melt away            และน้ำแข็งทั้งหมดก็พลันละลายหายไป...



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    เพียงสิ่งเดียวที่เด็กสาวรู้คือต้องวิ่ง...



    ฝ่าอากาศหนาวเหน็บดุจคมมีดกรีดผิวเนื้อ ฝ่าเกล็ดหิมะที่ปลิววะว่อนจับใบหน้า...เส้นผม...ร่างกาย...เสื้อผ้า ดุจฝูงผีเสื้อขาวที่เริงระบำอย่างบ้าคลั่ง



    โลกรอบกายเธอนั้นดูราวกับจะว่างเปล่า มีเพียงสีเทาน้ำเงินขมุกขมัวที่รายล้อมอยู่เพียงลางๆ กับสีขาวและความเย็นยะเยือกที่แสนกัดกร่อนของหิมะ



    หากเด็กสาวยังคงวิ่งต่อไปท่ามกลางสีขาวโพลน...วิ่งไปที่ใดสักแห่งแม้จะไม่เห็นสิ่งใดเลยก็ตาม เสียงที่ดังอื้ออึ้งอยู่ในหูมีเพียงเสียงกระแสลมกราดเกรี้ยว กลบน้ำเสียงของบรรดาผู้ไล่ล่าไปเสียหมด แต่เธอก็รู้ดีว่าพวกมันไม่มีทางหยุดยั้ง...จนกว่าจะได้ตัวเธอกลับไป



    ความเจ็บปวดปลาบขึ้นที่ขาจนต้องร้องออกมา เด็กสาวล้มลงกับพื้น มือเลื่อนไปกุมบาดแผลตามสัญชาตญาณ คราบสีแดงปรากฏชัดบนพื้นหิมะและบนผิวซีดที่ปรากฏรอยกรีดยาว เลือดสดๆ ที่ไหลออกจากร่างช่างร้อนผ่าวผิดกับมือและนิ้วที่เย็นจนแทบแข็ง



    เสียงโหวกเหวกที่ดังแว่วมาในสายลมทำให้เด็กสาวข่มความเจ็บปวด ใช้คทาช่วยยันกายลุกขึ้นวิ่งต่อไปอีกครั้ง



    วิ่งต่อไป กะเผลกต่อไป ก้าวแล้ว...ก้าวเล่า



    เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า...\"ทำไมถึงต้องวิ่ง?\"



    ไม่สิ...คำถามน่าจะเป็น...



    ทำไมต้องวิ่ง...ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามีที่ให้ไป? ต่างหาก



    ทำไม...?



    ทำไม...?



    ทำไม...?



    ไม่มีคำตอบในขณะนี้ ไม่มีผู้ใดตอบได้ ไม่มี...



    ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากวิ่งต่อไป...



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    เวลาผ่านไปนานเท่าใดเด็กสาวก็บอกไม่ถูก...



    เธอได้แต่มุ่งหน้าต่อไป เดินสะเปะสะปะท่ามกลางพายุหิมะที่มืดมัวเสียจนไม่รู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน ทั้งที่ความหนาวเหน็บกัดกินผัสสะทั้งหลายจนด้านชา เท้าแทบก้าวไม่ออก ขาสั่นสะท้านแทบรับน้ำหนักไม่อยู่หากไม่ได้คทาช่วยพยุงกาย ดวงตานั้นเล่าก็แทบปิดด้วยความอ่อนล้า...



    ไม่สิ...ความตายที่คืบใกล้เข้ามาต่างหาก



    มือของเด็กสาวที่ไขว่คว้าเปะปะสัมผัสเข้ากับสิ่งหนึ่งที่เย็นยะเยียบไม่ผิดกับน้ำแข็งรอบด้าน...หากยังแข็งแกร่งและมั่นคงกว่า



    เหมือนกับจะเป็นแผ่นหินอะไรบางอย่าง...แต่จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะคิดในตอนนี้



    ความเหนื่อยอ่อนทำให้เธอทรุดกายลงนั่งหลังแผ่นหินนั้น หมายจะอาศัยเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายจากพายุหิมะที่ยังพัดกระหน่ำ



    เด็กสาวเอนหลังพิงแผ่นหินเย็นเฉียบก่อนจะก้มลงมองแผลที่ขาของตน เคราะห์ยังดีที่แผลตื้นเพราะคมอาวุธเพียงเฉียดไป และความหนาวเย็นของอากาศก็ช่วยให้เลือดแข็งตัวได้เอง



    หากแผลนั้นก็เกิดจากโอริฮาร์ลกอน...แร่ธาตุที่มีอำนาจสะกัดเวทมนตร์ใดๆ ไม่มีทางที่เธอจะใช้คาถารักษาได้ ที่พอทำได้ก็มีเพียงฉีกชายผ้าคลุมมาพันแผลไว้อย่างลวกๆ ไปก่อนและรอให้พายุสงบลง...



    เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้าสีคล้ำ น่าประหลาดที่แสงนวลของจันทร์เพ็ญยังส่องเพียงสลัว พร่าเลือนไปตามเกล็ดหิมะที่ปลิววะว่อน



    ทั้งหิมะกับพระจันทร์ขาวโพลนอยู่ในยามราตรี เย็นชา...ลอยเลื่อนไปตามความมืดรอบด้านก่อนจะร่วงลงสู่สุสานสีขาวบนพื้นปฐพี



    และเลือนหายไป...



    บางทีเธอเองก็อาจจะเป็นเช่นจันทราและหิมะก็ได้...เคว้งคว้าง...ล่องลอย...มีไว้เพียงเพื่อถูกมองข้าม ถูกลืมเลือน



    และยื่นมรณะอันเย็นยะเยียบให้กับผู้อื่น...



    มรณะ...งั้นหรือ? เด็กสาวนึกในใจ ถูกแล้วเธอเหมือนเช่นหิมะและจันทราโลหิตที่มอบความตายให้ผู้อื่นอย่างเย็นชา



    และบางที...ความตายอันเดียวดายอ้างว้างอาจจะเป็นบทลงโทษที่เหมาะสมแล้วสำหรับมือที่เคยคร่าชีวิตมานับไม่ถ้วนนี้ ปล่อยให้ผืนหิมะสีขาวทับถมกาย ปล่อยให้ลมหายใจอันเป็นละไอหมอกแผ่วเบาลงช้าๆ...จนกระทั่งนิ่งสนิท



    ...เลือนหายไปในสีขาวบริสุทธิ์...



    หากว่าความตายคือจุดจบและการปลดปล่อยเป็นครั้งสุดท้ายแล้วไซร้...นั่นก็คือสิ่งเดียวที่เด็กสาวผู้อ้างว้างปรารถนาเป็นที่สุด



    แต่น่าแปลกที่เสียงลึกๆ ในใจของเธอยังคงร่ำร้อง...ดิ้นรนที่จะรั้งชีวิตของตนให้อยู่ต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่า...



    ใครก็ได้...ใครซักคน...



    ได้โปรด...ช่วยฉันด้วยเถอะ...



    ใครก็ได้................



    ใคร
    ......................



    ............................



    อาจเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ของวิญญาณที่ใกล้จะปลิดปลิวดวงหนึ่งที่ต้องการใครสักคนมาปลอบโยนหัวใจ...อย่างน้อยแค่สักครั้งในชีวิตกระมัง...



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ท้องฟ้ายามเช้าหลังพายุในวันพรุ่งยังคงครึ้มด้วยเมฆหมอกสีเทา หิมะที่ตกมาเมื่อคืนวานจับบนกิ่งก้านเปลือยเปล่าของต้นไม้ต่างใบไม้สีขาวโพลน และเกาะบนป้ายหลุมศพทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในสุสานอันเงียบงันกลางฤดูหนาวนั้น



    มีชายหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินไปในสุสานอันกว้างใหญ่...พร้อมกับดอกหญ้าแห้งสีเหลืองกรอบช่อเล็กๆ ที่ไหวสะบัดไปตามลมหนาวเช่นเดียวกับผมสีน้ำตาลเข้ม ดูเหมือนเขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่มาเยี่ยมผู้วายชนม์...ในวันที่อากาศเหน็บหนาวจนหายใจเป็นละไอหมอกสีขาวเช่นนี้



    เมื่อถึงระยะที่เห็นหลุมศพของผู้ที่เขามาเยี่ยมได้ชัดเจน ชายหนุ่มก็ถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปดูโดยเร็ว



    เบื้องหลังป้ายหลุมศพนั้นมีร่างหนึ่งเอนพิงอยู่...เป็นร่างในชุดผ้าคลุมสีขาวสัญลักษณ์ของผู้อุทิศตนให้กับกองกำลังศาสนจักร มือเล็กๆ ที่กำด้ามคทาปลายรูปจันทร์เสี้ยวยิ่งตอกย้ำความจริงข้อนั้นชัดแจ้ง



    หากเจ้าของร่างกลับเป็นเด็กสาวที่ดูมีอายุราวสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น เกล็ดหิมะที่จับพราวตามเสื้อผ้าและผมสีเงินทำให้เดาได้ว่าเธอคงนั่งอยู่ที่นี่มานานเกือบค่อนคืนทีเดียว ใบหน้าของเธอซีดไร้สีเลือด ดวงตาปิดสนิท ทั่วร่างไม่ไหวติงราวกับไร้ชีวิต



    ทว่าละไอหมอกบางๆ ที่ออกมาจากบริเวณใบหน้าอย่างแผ่วๆ ก็บ่งบอกว่าเด็กสาวยังมีลมหายใจอยู่...



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    เปลือกตาของเด็กสาวค่อยๆ เผยอใต้แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างข้างๆ เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าที่ดูล้ำลึกราวกับห้วงสมุทร...ซึ่งฉายแววงุนงงกับสภาวะที่เพิ่งเห็น



    เด็กสาวลุกขึ้นนั่งก่อนจะก้มลงมองสำรวจร่างของตน ตอนนี้เธอสวมชุดนอนสีขาวนวลแบบเรียบๆ เส้นผมหยักศกปล่อยสยายลงปรกหลังไหล่ดุจกลุ่มด้ายสีเงิน บาดแผลทั้งที่ไหล่และขามีผ้าสีขาวสะอาดพันไว้อย่างเรียบร้อย



    เด็กสาวค่อยๆ วางเท้าเปล่าลงบนพื้น แผลที่ขายังแสบอยู่เล็กน้อยยามเคลื่อนไหว หมอนกับผ้าห่มยับยู่ยี่ที่วางกองอยู่บนพื้นไม้ข้างเตียงของเธอบ่งบอกว่านอกจากเธอแล้วยังมีผู้อื่นพักอยู่ในห้องนี้ด้วย



    เด็กสาวเงยหน้าขึ้นเหลียวมองไปรอบๆ แต่ไม่พบเงาของใครอีกคนในห้องเล็กๆ นี้เลย



    เธอเห็นเพียงกองกระเป๋าสัมภาระวางอยู่บนพื้นข้างตู้เสื้อผ้าตรงข้ามกับเตียง และคทารูปจันทร์เสี้ยวของเธอที่ถูกวางพิงผนัง...กับดาบเล่มใหญ่ยักษ์ที่มีคมเป็นสีดำเหลือบแดงจางๆ ซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน



    ที่นี่คือที่ไหน แล้วคนคนนั้นเป็นใครกัน...?



    เด็กสาวเดินไปที่ริมหน้าต่างกระจกที่มีไอน้ำแข็งจับตามกรอบบางๆ มองออกไปเธอเห็นถนนสายเล็กๆ ที่ทอดคดเคี้ยวระหว่างบ้านไม้ที่ปลูกกระจายกันห่างๆ กับต้นไม้ไร้ใบ มีเด็กกลุ่มหนึ่งในชุดเสื้อกันหนาวสีสันสดใสกำลังปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ริมถนนอย่างสนุกสนาน



    ...ไม่ใช่ภาพและสถานที่ที่เธอเคยคุ้นเลยสักนิด...



    เด็กสาวหันขวับไปตามเสียงประตูที่เปิดออก พบกับภาพของชายหนุ่มร่างสูงที่มีผมสีน้ำตาล สวมเสื้อสีดำกับกางเกงสีเขียวเข้มยืนอยู่ในทางเดินด้านนอก



    ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กสาวกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มสบกัน...ในขณะที่ทั้งสองอึ้งไปครู่หนึ่ง



    ก่อนที่รอยยิ้มสดใสจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม



    \"เธอ...เอ่อ...ฟื้นแล้วสินะ ดีจริงๆ\" น้ำเสียงของเขาบอกความโล่งอกอย่างท่วมท้น



    อารามตกใจและไม่ไว้ใจทำให้เด็กสาวตั้งท่าจะถอยหลังไป...หากแต่ติดผนังห้องกับบานหน้าต่างด้านหลัง ไหล่ที่กระทบผนังห้องเกิดปวดแปลบขึ้นมาจนเธอต้องงอตัวลง ชายหนุ่มปราดเข้ามาประคองเธอในทันที



    \"ตอนนี้อย่าเพิ่งขยับตัวเลยดีกว่า แผลของเธอยังไม่หายดีเลยนะ\"



    \"ปล่อย...\" เด็กสาวเบือนหน้าไปพร้อมกับพูดแผ่วๆ ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นชะงักก่อนจะปล่อยมือ



    \"ข...ขอโทษ ฉันแค่...กลัวว่าเธอจะล้ม...ก็เลย...\" เขาถอยออกไปสองสามก้าว ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสีแดงเรื่อที่วาบขึ้นบนแก้ม \"เธอ...น่าจะนอนพักอีกหน่อยนะ รอให้อาการดีขึ้นแล้วค่อยลุกขึ้นมาจะดีกว่า\"



    หากเด็กสาวยังยืนนิ่ง ไม่มีทีท่าจะขยับ สองมือเลื่อนขึ้นมากุมแขนของตนไว้ แม้เธอจะก้มหน้าลงเล็กน้อย ชายหนุ่มก็ยังสังเกตเห็นว่าดวงตาสีฟ้าใต้ปอยผมสีเงินที่ย้อยลงปรกหน้านั้นกำลังจับตามองเขาด้วยท่าทางระแวดระวัง...ออกจะหวาดระแวงหน่อยๆ เสียด้วยซ้ำ



    ชายหนุ่มจึงถอยห่างออกไปก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง



    \"ไม่ต้องห่วง นอนพักเถอะ ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก...วางใจได้ ฉันแค่อยากจะช่วยเธอเท่านั้นเอง\"



    เขาทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิที่ข้างเตียงก่อนจะเก็บหมอนกับพับผ้าห่มของตนให้เรียบร้อย เป็นเชิงรอให้เด็กสาววางใจและนอนพักลงเอง แต่เมื่อลุกขึ้นพร้อมกับหอบหมอนและผ้าห่ม เขายังเห็นเธอยืนเงียบอยู่ที่หน้าต่างเช่นเดิม



    ชายหนุ่มถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วใส่หมอนกับผ้าห่มเข้าไปเก็บข้างในตู้พร้อมกับพูดต่อเรียบๆ



    \"อืม...ไหนๆ ก็ไหนๆ เรามาแนะนำตัวกันหน่อยเถอะ ฉันชื่อเรมี่...แล้วเธอล่ะ\"



    เด็กสาวไม่พูดอะไรเลยสักคำ หากดวงตาสีฟ้าล้ำลึกคู่นั้นยังแฝงแววคล้ายจะย้อนถามว่า...เธอจะไว้ใจเขาได้หรือ



    แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มรับเหมือนกับเข้าใจ



    \"ไม่เป็นไรหรอก ฉันรอได้...\" เขาตอบสายตาของเธอก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวกลมแบบไม่มีพนักพิงข้างเตียง \"...จนกว่าเธอจะเชื่อใจฉัน\"



    ท่าทีของเขาทำให้เด็กสาวค่อยผ่อนคลายลงบ้าง แต่ยังไม่ละความระวังตัวเช่นเดิม เธอเหลือบมองถนนสายเล็กๆ ที่ขาวโพลนด้วยหิมะเบื้องนอกหน้าต่างอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจถามขึ้นเป็นครั้งแรก



    \"ที่นี่ที่ไหน?\"



    \"โรงแรมในหมู่บ้านดาลน่า...อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโซเนส ทางใต้ของเดอัสเทอร์ร่า ถ้าเดินเท้าไปเมืองหลวงก็ใช้เวลาสี่ห้าวันได้\" คำตอบนั้นแฝงนัยว่าผู้ตอบต้องเป็นนักเดินทางที่คุ้นเคยกับทิศทางแถบนี้ดีทีเดียว \"สองวันก่อนฉันไปเจอเธอเข้าที่...สุสาน...เอ่อ...ของคนรู้จักน่ะ ก็เลยพามาทำแผลกับรักษาตัวที่นี่\"



    เด็กสาวฟังคำตอบก่อนจะนิ่งคิด หากจำไม่ผิด หมู่บ้านดาลน่าอยู่ห่างจากที่ที่เธอจำได้ว่าอยู่เป็นครั้งสุดท้ายพอควร...ให้โล่งใจว่าพวกมันคงจะไม่มาตามหาเธอถึงที่นี่ หรือกว่าจะมาถึงก็คงใช้เวลาอีกพักหนึ่ง



    แต่ประโยคหลังของอีกฝ่ายทำให้เด็กสาวฉุกคิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา



    \"คุณเป็นคนช่วยฉันไว้งั้นเหรอ?\"



    ถ้าอย่างนั้น...เขาก็ต้องเห็นจากเครื่องแต่งกายว่าเธอเป็นใคร แล้ว...



    ทำไมถึงยังช่วยฉัน?...ทำไมไม่ส่งตัวฉันกลับไปให้พวกนั้น?



    หากคำพูดของเด็กสาวกลับทำให้ชายหนุ่มเข้าใจผิดเป็นอีกอย่าง



    \"ช...ใช่ ฉันทำแผลให้เธอ...แต่คนที่เช็ดตัวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอคือป้าเจ้าของโรงแรมนะ ไม่ใช่ฉันหรอก เอ่อ...\" เขารีบออกตัวก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง หากเด็กสาวยังเห็นสีแดงเรื่อบนแก้มของเขาได้ชัด บนใบหน้าซีกซ้ายที่เขาหันให้มองโดยไม่รู้ตัวปรากฏแผลเป็นสั้นๆ เหมือนรอยมีดกรีดเป็นแนวเฉียง ยิ่งทำให้ดูสะดุดตาขึ้นไปอีก \"จริงสิ...ลืมไป เธอยังไม่ได้กินอะไรมาเลย คงจะหิวแน่ๆ ด...เดี๋ยวฉันจะไปเอาข้าวเช้ามาให้นะ\" ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงไปที่ประตูห้อง



    แต่พอมือแตะลูกบิดประตู...เสียงของเด็กสาวก็ดังขึ้นเสียก่อน



    \"ทำไม...คุณถึงช่วยฉัน?\"



    ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาเห็นดวงตากลมโตสีฟ้าที่จ้องตรงมาเหมือนกับจะขอคำตอบข้อนั้นให้ได้



    \"ถ้าอยากจะช่วยใครซักคนต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?\" เรมี่ย้อนถามพร้อมกับยิ้มน้อยๆ



    เขากลับหลังหันไปที่ประตู แต่แล้วเด็กสาวก็พูดขึ้นอีกครั้ง



    \"เดี๋ยวก่อน...\"



    ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาเป็นครั้งที่สอง



    \"ฉัน...ชื่อ...มาริเอลล่า\"



    เรมี่ยิ้มรับเมื่อได้ฟังประโยคนั้น



    \"มาริเอลล่า...ชื่อเพราะจัง\" รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของชายหนุ่มทำให้เด็กสาวรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก \"แต่ยาวแฮะ...ถ้าขอเรียกสั้นๆ ว่า \'แมรี่\' จะได้มั้ยนะ\"



    เด็กสาวพยักหน้ารับพร้อมกับตอบแผ่วๆ



    \"ได้สิ\"



    \"อือ...แมรี่ งั้นรอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปขอข้าวเช้าจากป้าขึ้นมาให้\" ชายหนุ่มพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดประตูลง ทิ้งเด็กสาวไว้ตามลำพัง หากมาริเอลล่ายังได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินลงไปตามบันได และเสียงร้องเรียกป้าเจ้าของโรงแรมดังมาจากชั้นล่างแว่วๆ



    เด็กสาวผละจากบานหน้าต่างมานั่งลงบนเตียง ทอดสายตาลงต่ำพร้อมกับปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป...ถึงอดีตที่เพิ่งผ่านมา และยังคงชัดเจนเหลือเกินในความรู้สึก



    ..........



    เสียงของการต่อสู้ดังอื้ออึงอยู่ในสมอง...พร้อมกับภาพแห่งความอลหม่านที่ติดตรึงอยู่ในห้วงสำนึก คมของอาวุธสีเงินสว่างวาบอาบลำแสงจากเวทมนตร์ที่พุ่งปะทะกันเบื้องหน้ายิ่งขับให้สายตาพร่า หากเด็กสาวยังคงรวบรวมสมาธิร่ายมนต์ต่อไปท่ามกลางการต่อสู้



    มันเป็นหน้าที่ของเธอ...



    \"ธันเดอร์บลาสท์!!\" ลำแสงอสนีบาตที่ปรากฏขึ้นจากคทาพุ่งตรงเข้าหาร่างกึ่งมนุษย์กึ่งหมาป่าที่กลุ้มรุมอัศวินคนหนึ่งอยู่ในทันใด ตนหนึ่งล้มลงแน่นิ่งในทันที ส่วนอีกตนหนึ่งที่โดนเข้าเพียงเฉียดก็ชะงักไป เปิดโอกาสให้อัศวินนั้นได้ทีฟันมันจนล้มลงอีกตัว



    เด็กสาวร่ายมนต์ต่อพร้อมกันหันไปหาเป้าหมายต่อไป...พบกับด้านหลังของอีกหนึ่งอัศวินที่กำลังประจัญหน้ากับมนุษย์หมาป่าอีกตนหนึ่งอยู่ และอัสนีบาตอีกลำหนึ่งก็แล่นวาบราวกับธนูที่ยิงออกจากแล่ง ถูกร่างใหญ่เข้าอย่างจังจนแผดเสียงลั่น มันยังไม่วายกระโจนเข้าหาอัศวินหนุ่มเหมือนกับจะแลกชีวิต แต่ก็สายเกินไป...



    \"นีดเดิ้ลสตอร์ม!!\"



    แท่งน้ำแข็งแหลมเรียวเหมือนเข็มเป็นกลุ่มราวพายุพุ่งเข้าเสียบร่างอมนุษย์ตนนั้นพราวตั้งแต่คอจรดแผ่นอก...ก่อนที่ดาบในมือของอัศวินหนุ่มจะบั่นส่วนหัวในรูปลักษณ์ของหมาป่าเสียขาดกระเด็น ทิ้งเพียงร่างไร้หัวให้ทรุดลงกับพื้นหิมะที่ถูกย้อมจนแดงฉาน



    ...และเผยให้เห็นภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่หมอบตัวสั่นอยู่เบื้องหลังด้วยความหวาดกลัว ในอ้อมแขนของเธอกอดเด็กทารกไว้แนบอก ปากก็พร่ำร้องขอให้ไว้ชีวิต ทว่าดาบในมือของอีกฝ่ายกลับเงื้อขึ้นสูง...พร้อมจะฟาดฟันลงมาให้ถูกทั้งสองร่าง



    ต่อหน้าสายตาของเด็กสาว...ที่ไม่เข้าใจและไม่ทันได้คิดว่าเหตุใดเธอจึงได้ยกคทาขึ้นร่ายมนต์ซ้ำ



    \"วินด์เบลด!\" กระแสลมผลักดาบของอัศวินคนนั้นให้กระเด็นออกจากมือ เปิดโอกาสให้หญิงสาวอุ้มเด็กน้อยวิ่งหนีไป



    และในทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังไหล่ซ้าย...จนทรุดลงกับพื้น จากฝีมือของมนุษย์หมาป่าอีกตนที่เข้ามาด้านหลังตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ หากปลายคทาที่เรืองแสงเป็นรูปคมเคียวก็รีบตวัดโต้กลับ...พร้อมกับที่แสงเพลิงสีแดงฉานลุกพรึ่บขึ้นถูกร่างของมันจนผงะไป



    \"เรย์เอดจ์!!\" และลำแสงในรูปคล้ายดาบก็ทะลวงหัวใจมันให้สิ้นลมในทันที



    การต่อสู้...สิ้นสุดลงพร้อมกับชีวิตของมนุษย์หมาป่าแทบทั้งหมด เด็กสาวเริ่มใช้มนต์รักษาแผลของตน ขณะที่ผู้กองออกคำสั่งให้เหล่าอัศวินออกตามหาพวกสมิงที่ยังรอดชีวิต



    แต่เพิยงไม่นาน...ใครบางคนก็ก้าวเข้ามาหาเธอ



    เสียงตุบดังขึ้นเมื่อคนคนนั้นทิ้งบางสิ่งลงบนพื้น



    ดวงตาที่เหลือกถลนแสดงความหวาดกลัวในวาระสุดท้าย เบิกโพลงอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวที่บัดนี้เหลือเพียงศีรษะกลิ้งมาหยุดอยู่แทบเท้าเด็กสาว



    แล้วร่างเล็กๆ ในห่อผ้าที่ชุ่มเลือดโชกก็ถูกโยนตามลงมาอย่างไม่ปรานีปราศัย



    เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้กองของตนอย่างประหลาดใจ...ก่อนที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายหนึ่งจะฟาดฉาดเข้าเต็มใบหน้าจนร่างเล็กบางล้มคว่ำ



    \"อย่าคิดนะว่าฉันไม่เห็นแกช่วยสมิงแม่ลูกนั่น...นังคนทรยศ!!\"



    เมื่อตาหายพร่า...ภาพของคมดาบสีเงินอมเทาฟ้าจางๆ ก็สะท้อนแสงเป็นมันปลาบอยู่เบื้องหน้า ปลายของมันจ่อแทบติดใบหน้าของเธอ...ซึ่งลงไปนั่งคุดคู้อยู่บนพื้นหิมะสีแดง...กลางวงล้อมของเกราะสีเงินและเจ้าของใบหน้าเย็นชาที่จ้องมองเธอเป็นสายตาเดียวกัน



    \"โทษของคนทรยศและคนนอกรีต...คือความตาย\" เสียงที่ชินหูของเจ้าของดาบขึ้นอย่างเย็นกระด้าง ก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะถูกยกสูงขึ้นเงื้อไว้ในท่าเตรียมฟัน...



    ลงมาบนร่างของเด็กสาวที่ก้มหน้านิ่งเหมือนพร้อมจะรับชะตากรรม



    ถ้าหาก \'ความตาย\' คือสิ่งเดียวที่จะปลดปล่อยเธอจากวงจรแห่งการฆ่าฟันอันไม่รู้จักจบสิ้นนี้...



    ทว่า...



    คมดาบวาดแหวกอากาศลงมาในทันใดนั้น แต่ถูกเพียงขาของเด็กสาวที่จู่ๆ ก็ถลันลุกขึ้นพรวดขึ้นตะโกนออกมาสุดเสียง



    \"พาราไลซ์ซีล!!!\"



    หลังจากนั้นเธอก็วิ่งจากไปในพายุหิมะท่ามกลางความตะลึงงันของกองอัศวิน ทั้งๆ ที่ไหล่และขาปวดแสบเหมือนกับถูกเปลวเพลิงแผดเผา ทั้งๆ ที่ในใจตนเองยังสับสน



    วิ่งไป...โดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น...




    .....................



    ทำไม?



    ทำไมเธอถึงหนีมาในตอนนั้น...ทั้งๆ ที่ \'ความตาย\' น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเธอแท้ๆ...?



    เสียงประตูที่เปิดขึ้นอีกครั้งตามมาด้วยเสียงร้องเรียกของชายหนุ่มชื่อเรมี่ปลุกเด็กสาวให้ตื่นจากภวังค์



    และในตอนนี้...เธอคงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปสินะ



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ซุปครีมอุ่นๆ ช่วยให้ร่างกายที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บดีขึ้นมากทีเดียว เรมี่ยังคงนั่งมองเธออย่างเงียบๆ ไปจนกระทั่งเด็กสาวกินเสร็จ แล้วจึงเก็บชามลงไปข้างล่าง



    มาริเอลล่าเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปอีกครั้ง กลุ่มเด็กด้านนอกยังคงปั้นตุ๊กตาหิมะ ไม่ก็วิ่งปาลูกบอลหิมะใส่กัน เด็กสาวรู้ได้ว่าเด็กพวกนั้นกำลังหัวเราะอย่างร่าเริง...แม้เธอจะไม่ได้ยินเสียงก็ตาม



    ฤดูหนาวในวัยเด็กที่มองย้อนไปเบื้องหลังของเธอมีเพียงภาพเด็กหญิงที่นั่งก้มหน้าอยู่หน้าคัมภีร์เวทมนตร์เล่มหนาหนัก ไม่ใช่เพียงเล่มเดียว...แต่ยังมีอีกหลายเล่มที่สุมกองอยู่บนโต๊ะในห้องเล็กๆ ห้องที่ปกป้องเธอจากความหนาวเหน็บเบื้องนอก แต่ไม่อาจให้ความรู้สึกอบอุ่นกับจิตใจได้เลย...ในโลกส่วนตัวที่หน้าต่างเพียงบานเดียวในห้องนั้นอยู่สูงเกินกว่าที่เธอจะมองออกไปได้



    เธออยากพบ...อยากจดจำภาพความสงบและอบอุ่นอย่างนี้...อย่างที่เธอไม่เคยพบมาก่อนในชีวิตไว้เหลือเกิน



    แต่แล้วภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่เดินมาตามถนนสายเล็กๆ ซึ่งกลายเป็นเป้าสายตาของบรรดาเด็กๆ และชาวบ้านในละแวกนั้น ก็ทำให้มาริเอลล่าดึงผ้าม่านมาปิดหน้าต่างไว้ทันทีก่อนจะก้าวเท้าถอยออกมา



    พวกมัน...



    \"มืดจัง...ปิดม่านทำไมล่ะ?\"



    เด็กสาวไม่ตอบว่าอะไร คงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนชายหนุ่มตรงมาแง้มม่านดู กลุ่มคนในชุดเกราะที่กระจายกันไต่ถามชาวบ้านทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเช่นกัน



    \"อยู่ห่างๆ จากหน้าต่างไว้\" เรมี่พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมก่อนจะรวบม่านเปิดตามเดิม \"ถ้าปิดม่านจะดูมีพิรุธ เดี๋ยวฉันมานะ\"



    ว่าแล้วเขาก็ตรงไปที่ประตู มีเสียงตึงตังดังตามมาจากบันได เด็กสาวได้แต่สะกดความสงสัยและหวาดกลัวไว้อย่างยากเย็น...ขณะที่สายตาเลื่อนสลับไปมาระหว่างหน้าต่างที่เปิดกว้าง...กับบานประตูที่ปิดสนิท



    ประตูเปิดผลัวะเข้ามาอย่างแรงทำให้มาริเอลล่าถึงกับสะดุ้งเฮือก หากผู้ที่เข้ามาก็มีเพียงชายหนุ่มที่คุ้นหน้ากับผ้าสองสามพับซ้อนกันถืออยู่ในมือเท่านั้น เขายื่นกองผ้าให้กับเด็กสาวที่รับมาด้วยสีหน้างุนงงก่อนจะพูดขึ้น



    \"นี่เป็นชุดของลูกชายป้า เอาไปเปลี่ยนก่อน เราต้องรีบไปจากที่นี่ก่อนพวกนั้นจะมาถึง\" ชายหนุ่มพยักพเยิดไปทางฉากไม้ที่กั้นอยู่ในมุมห้องด้านหนึ่ง



    มาริเอลล่ารับเสื้อผ้ามาแล้วรีบเข้าไปหลังฉากไม้อย่างรวดเร็ว...โดยไม่มีคำถามว่าทำไมเธอถึงต้องสวมเสื้อผ้าเด็กผู้ชาย ไม่นานต่อมาเธอก็เดินออกมาในชุดเสื้อกันหนาวไหมพรมตัวใหญ่ทับเสื้อยืดหลวมโคร่ง กางเกงผ้าหนาที่ยาวเสียจนขากางเกงเลยข้อเท้าลงมากองถึงพื้น กับรองเท้าหนังแบบเด็กผู้ชายคู่ใหญ่กว่าเท้ามากทีเดียว



    เรมี่ที่ตอนนี้สวมชุดเกราะทับเสื้อหันมามองเด็กสาวในชุดใหม่ก่อนจะเปรยขึ้น



    \"เกือบใช้ได้แล้ว แต่รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไปแฮะ\" เขาถอดผ้าพันคอของตัวเองออกพันให้มาริเอลล่า ก่อนจะยื่นหมวกแก๊ปใบหนึ่งให้



    \"ใส่แล้วเก็บปลายผมให้เรียบร้อย...เท่านี้ก็คงจะดูเหมือนเด็กผู้ชายแล้วล่ะมั้ง\"



    เด็กสาวรีบทำตามในทันที ขณะที่เรมี่เก็บสัมภาระต่างๆ ให้เรียบร้อย คทารูปจันทร์เสี้ยวของเด็กสาวถูกห่อด้วยผ้ายาว นำมาคาดหลังโดยซ้อนไว้หลังดาบเล่มใหญ่ที่บังคทาไว้จนมิด



    \"ไม่เหลืออะไรอีกแล้วใช่มั้ย\" ชายหนุ่มมองตรวจตราความเรียบร้อยไปรอบห้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะคว้ากระเป๋าสัมภาระขึ้นพาดบ่า \"ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ\"



    ทั้งสองออกจากห้องแล้วเดินลงบันไดลงไปชั้นล่างช้าๆ มาริเอลล่าอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางตื่นๆ



    เสียงของชายคนหนึ่งที่ร้องถามมาจากข้างล่างทำให้เธอสะดุ้งเฮือก



    \"แน่ใจนะว่าไม่มีคนนอกรีตนั่น...เด็กผู้หญิงผมสีเงิน สวมชุดกองกำลังของศาสนจักร แล้วน่าจะมีคทาเวทมนตร์รูปจันทร์เสี้ยวติดตัวมาด้วย?\"



    \"ไม่มีค่ะไม่มี\" เสียงของผู้หญิงอีกคนรีบตอบกลับ \"ถ้าเจอคนน่าสงสัยแบบนั้นพวกเราก็ต้องรีบแจ้งศาสนจักรแล้วล่ะค่ะ...\"



    เรมี่โอบไหล่เด็กสาวไว้ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบเบาๆ



    \"ทำตัวตามสบายให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องเกร็งนะ\"



    ที่เชิงบันไดชั้นล่างมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนรออยู่ มาริเอลล่าเดาว่าคงจะเป็นเจ้าของชุดที่เธอสวมอยู่ในตอนนี้ เขารีบกวักมือเรียกทั้งสองให้ผลุบเข้าไปในประตูห้องครัว



    และในที่สุดก็ออกไปข้างนอกทางประตูหลังห้องนั้นนั่นเอง



    \"ไม่เป็นไรแล้ว ปลอดภัยแล้วล่ะ\" เรมี่พูดเบาๆ ให้เด็กสาวสบายใจ และเธอก็เริ่มรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเมื่อเริ่มเดินห่างจากบริเวณหมู่บ้านไปทุกที แต่ทว่า...



    \"จะไปไหนน่ะ?\" อัศวินคนหนึ่งเดินเข้ามาหาทั้งสองพร้อมกับร้องถาม



    มาริเอลล่าได้แต่ก้มหน้านิ่งขณะที่เรมี่หันไปตอบ



    \"ไปจากที่นี่\"



    \"ไปไหน?\"



    \"พวกเราเป็นนักเดินทางพเนจร ไม่มีที่ไปแน่นอนหรอก\"



    \"แล้วเด็กนั่นใคร?\" อีกฝ่ายถามพลางพยักพเยิดไปทางร่างเล็กๆ ที่ก้มหน้านิ่ง



    \"น้องชายฉัน ป่วยบ่อยๆ ไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกเลยค่อนข้างจะตื่นคน\"



    อัศวินคนนั้นพยายามที่จะมองหน้า \'น้องชาย\' ตามที่เจ้าหนุ่มพกดาบใหญ่อ้างให้ชัด แต่ติดที่หมวกแก๊ปที่สวมอยู่เก็บผมของร่างเล็กอย่างมิดชิด แถมความหลวมยังทำให้ปีกหมวกย้อยลงมาบังใบหน้าส่วนบนแทบหมด



    แม้กระนั้นความคุ้นตาที่เหมือนคลับคล้ายจะเคยเห็นทำให้เขาอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้ว...



    \"เฮ่ย!...นั่นใคร?\"



    อัศวินอีกคนหนึ่งตรงเข้ามาหาทั้งสาม เรมี่มองเพียงปราดเดียวก็เห็นว่าอัศวินคนนั้นดูจะมีวัยไม่ห่างกับเขาเท่าใดนัก ชุดเกราะประดับผ้าคลุมที่สวมอยู่ก็บอกยศนายกองชัด อัศวินหนุ่มที่ยืนอยู่กับทั้งสองรีบทำความเคารพเขาทันที



    \"ไม่มีอะไรครับผู้กองโรวด์ แค่นักเดินทางสองคนครับ ผมจะปล่อยไปเดี๋ยวนี้แหละ\"



    \"แล้วแกมิสิทธิ์อะไรมาปล่อยผู้ต้องสงสัยไปโดยไม่บอกให้ฉันรู้ก่อน?!\" ชายผู้ถูกเรียกว่า \'ผู้กอง\' ตวาดด้วยเสียงวางอำนาจ



    มาริเอลล่าถึงกับสะดุ้งเฮือก...เพราะนั่นเป็นเสียงเดียวกับเสียงในตอนนั้น...



    โทษของคนทรยศและคนนอกรีต...คือความตาย...



    \"ข...ขอประทานอภัยครับ\" ผู้ใต้บังคับบัญชาระล่ำระลัก



    คำพูดของผู้กองโรวด์ทำให้เรมี่อดพูดประชดไม่ได้



    \"ตลกแฮะ พวกเรากลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปตั้งแต่เมื่อไหร่?...แล้วด้วยข้อหาอะไรมิทราบ?\"



    \"ดูยังไงแกก็มีพิรุธ\" ผู้กองโรวด์จ้องดาบใหญ่ยาวร่วมสองเมตรครึ่งเขม็ง \"มีอย่างที่ไหน...พกดาบอันเบ้อเริ่มเทิ่มยังกับดาบยักษ์ แถมหน้าตาก็...\"



    สายตาของเขาเลื่อนมาจับที่ใบหน้าของเรมี่ ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงแปลกใจ \"แปลกแฮะ ทำไมหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน\"



    ไม่ใช่แค่อีกฝ่ายที่รู้สึกคุ้นๆ เรมี่เองก็คุ้นหน้าผู้กองโรวด์เช่นกัน มิหนำซ้ำเขายังนึกออกเร็วกว่าอีกฝ่ายเสียด้วย



    ชายหนุ่มชี้ไปที่รอยแผลเป็นสั้นๆ บนแก้มซ้ายของตนแล้วพูดขึ้น



    \"นึกว่าแกจะจำแผลนี่ได้ซะอีก\"



    คำพูด...กับภาพที่สะกิดความทรงจำทำให้ผู้กองถึงกับหน้าถอดสี ได้แต่พึมพำตะกุกตะกัก



    \"ก...แกคือ...\" เขากลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ \"...เจ้านั่น...จูเลี่ยน...\"



    \"เออสิ นึกว่าหัวแตกเมื่อตอนนั้นทำเอาความจำเสื่อมไปแล้วซะอีก\" เรมี่พูดต่อด้วยเสียงท้าทาย \"แล้วไอ้ลูกพี่ลูกน้องแกที่ฝากแผลนี่ไวักับฉัน มันหายจากซี่โครงยุบมาทำกร่างแบบแกรึเปล่าฟะ?\"



    เขาแกล้งเว้นช่วงเพื่อดูสีหน้าของคู่สนทนา



    \"แล้วทีนี้จะปล่อยพวกเราไปได้ยัง?...รึอยากจะกลับไปหยอดน้ำข้าวต้มตลอดชีวิตดูมั่ง?\"



    ผู้กองโรวด์ได้แต่ยืนกัดฟันนิ่งอยู่เป็นนานก่อนจะสะบัดเสียงตอบ



    \"รีบไปซะ!\"



    เรมี่ยิ้มเหยียดๆ แล้วรุนหลังมาริเอลล่าเดินต่อไป เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ แต่แล้วหางตาที่เหลือบไปเห็นผู้กองโรวด์ที่คว้าหน้าไม้จากอัศวินใต้บังคับบัญชามาเล็งไปทางเรมี่ก็ทำให้เด็กสาวใจหายวาบทันที



    \"ดิสแทร็คเตอร์!\" เสียงร่ายมนต์ดังขึ้นแทบในทันทีที่ลูกดอกพุ่งออกจากหน้าไม้...ซึ่งแล่นเฉียงศีรษะของชายหนุ่มที่หันขวับกลับมาด้วยความตกใจเพียงเฉียดปลายผม แล้วไปปักฉึกอยู่บนพื้นหิมะเบื้องหน้า



    และในวูบนั้นกระแสลมแรงที่พัดเกรียวขึ้นก็ทำให้หมวกแก๊ปใบหลวมปลิวหวือเร็วเกินจะคว้าทัน เส้นผมสีเงินสยายปลิวสะบัดต่อหน้าสายตาของสองอัศวิน



    \"นังเด็กนอกรีตนั่นจริงๆ ด้วย!!!\" ผู้กองโรวด์อุทานดังลั่นก่อนจะหันไปสั่งผู้ไต้บังคับบัญชาที่ดูหน้าตาตื่นไม่แพ้กัน \"แกน่ะ...รีบไปตามพวกในกองมาเร็วๆ!!\"



    \"วิ่งเร็ว!!!\" เรมี่รีบตะโกนพร้อมกับฉุดมือมาริเอลล่าออกวิ่งในทันที



    เสียงลั่นหน้าไม้ดังตามมาอีกราวสามสี่ครั้งแต่ไม่ถูกเป้าหมาย ชายหนุ่มออกวิ่งเร็วเสียจนเด็กสาวหายใจแทบไม่ทัน เธอเหมือนกับจะปลิวตามแรงฉุดของเขาไปเสียมากกว่า หากเรมี่ไม่ได้จับมือเธอไว้แน่นหนาถึงขนาดนี้ เธอคงจะถูกทิ้งห่างไว้ด้านหลังเสียแล้ว



    เท้าของเด็กสาวสะดุดกับอะไรบางอย่างจนล้มลงไป แม้พื้นหิมะจะช่วยซึมซับแรงกระแทกไว้เลยไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก แต่แผลเก่าที่ไหล่กับที่ขาก็ปวดแปลบขึ้นมาจนลุกไม่ขึ้น



    \"ไหวมั้ย?\" เรมี่ร้องถาม



    \"ไหว...\" เด็กสาวกัดริมฝีปากข่มความเจ็บปวดก่อนจะตอบแผ่วๆ แต่ในทันใดนั้นชายหนุ่มก็คว้าร่างของเธอขึ้นมาอุ้มอย่างง่ายดายราวกับเด็กเล็กๆ



    \"คงไม่ว่ากันนะ อย่างนี้เราจะได้ไปได้เร็วขึ้น\"



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    นานทีเดียวกว่าเรมี่จะวางตัวเธอลงข้างรั้วที่อีกฟากหนึ่งของทางเกวียนเป็นบริเวณที่มีต้นไม้ขนาดกลางหลายต้นปลูกเรียงกันเป็นแถว ดูเหมือนจะเป็นสวนผลไม้ แม้สภาพของกิ่งไม้ไร้ใบจะทำให้บอกไม่ได้ว่าเป็นสวนอะไรก็ตาม



    \"มาตั้งไกลขนาดนี้แล้วเจ้าพวกนั้นคงตามมาไม่ทันหรอก\" ชายหนุ่มพูดพลางยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะก้มลงมองเด็กสาวด้วยสายตาที่บอกความเป็นห่วงชัดเจน \"แมรี่ล่ะเป็นอะไรรึเปล่า?\"



    เด็กสาวสั่นหน้าแม้จะยังรู้สึกเจ็บแผลอยู่บ้าง ดูท่าทางอีกฝ่ายที่อุ้มเธอมาท่าจะเหนื่อยมากกว่า แม้จะไม่ถึงกับหอบ แต่การที่เหงื่อออกทั้งอากาศเย็นแบบนี้แสดงว่าคงเสียแรงกับการวิ่งเป็นระยะทางไกลไปไม่น้อยทีเดียว



    เรมี่ปลดดาบกับคทาที่พาดไว้ด้านหลังออกพาดไว้กับรั้ว แล้วทรุดลงนั่งขัดสมาธิข้างๆ มาริเอลล่า



    \"ขอนั่งพักซักหน่อยนะ แล้วเดี๋ยวค่อยไปหาที่พักในหมู่บ้านแถวนี้อีกที\" ชายหนุ่มหันไปรอบๆ \"ดีที่กลับมาแถวหมู่บ้านเวริเดียนแฮะ\" เขามองไปที่สุดทางเกวียนด้านหนึ่งก่อนจะพูดต่อ \"จริงๆ ฉันไปพบเธอเข้าที่เวริเดียนนี่แหละ แต่คิดว่าถ้าพาเธอหลบไปที่ที่ไกลกว่าอย่างดาลน่าน่าจะปลอดภัยกว่า พวกอัศวินเองก็มาค้นที่นี่ไปแล้ว คงไม่คิดว่าเราจะวกกลับมาอีกหรอก\"



    มาริเอลล่ายังคงก้มหน้านิ่งเงียบอยู่นานจนกระทั่งเรมี่ถามขึ้น



    \"เป็นอะไรไปรึเปล่า? ไม่สบายเหรอ?\" ชายหนุ่มทำท่าจะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของร่างเล็ก แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเด็กสาวพูดขึ้น



    \"ทำไม...ถึงต้องช่วยฉันถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตัวคุณเองจะลำบากไปด้วย?\"



    ดีไม่ดีอาจจะถึงตายเสียด้วยซ้ำ...



    \"ฉันก็เคยบอกแล้วนี่ว่าถ้าจะช่วยใครซักคนต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ\"



    \"ต้องมีสิ\" เด็กสาวแย้ง \"ถ้าไม่มีเหตุผลแล้ว...จะถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อคนที่ไม่รู้จักทำไมกัน\"



    เรมี่เงียบไป



    ใช่แล้ว...ไม่มีใครหรอกที่ทำอะไรโดยไม่หวังผลประโยชน์จากคนอื่น เธอซึ้งกับประโยคนี้ที่สุด...เพราะมันเป็นสาเหตุที่พวกนั้นยอมไว้ชีวิตเด็กที่มีสายเลือดของเอลฟ์...เลือดเนื้อเชื้อไขของผู้ที่ละเมิดกฏห้ามการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์อย่างเธอให้เติบโตขึ้นมาในความดูแลของศาสนจักร



    เพียงเพราะพลังเวทมนตร์ที่เธอมีอยู่เท่านั้น...



    \"นั่นเพราะแมรี่ยังไม่เคยพบคนที่ดีแบบนั้นต่างหาก\" เรมี่แย้ง \" \'ไม่มีใครหรอกที่จะเสียสละเพื่อคนอื่นถึงขนาดยอมตายได้\'...ฉันก็เคยคิดอย่างนั้น จนถึงวันที่ฉันได้พบคนคนนึงที่สอนให้ฉันรู้ว่า...คนที่มีค่าคือคนที่อุทิศชีวิตให้กับคนอื่น และชีวิตของเราจะมีค่าที่สุดก็ต่อเมื่อเราอุทิศมันให้คนอื่น\"



    ชายหนุ่มทอดสายตาลงต่ำพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ



    \"สำหรับคนอื่นๆ มันอาจจะฟังดูโง่...ไม่ก็เหลือเชื่อ แต่ถ้าไม่ได้เจอคนคนนั้นเข้ากับตัวเอง ฉันก็คงไม่เชื่อเหมือนกันว่ามีคนที่ดีถึงขนาดนั้น...กระทั่งทำให้เด็กเหลือขอที่ไม่มีอะไรเลยในชีวิตให้สำนึกถึงค่าความเป็นคนของตัวเองขึ้นมาได้...ถึงแม้มันจะเล็กน้อยมากในสายตาของคนอื่นก็เถอะ\"



    มาริเอลล่าทำท่าเหมือนจะถามว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่แล้วก็เปลี่ยนความตั้งใจขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าที่แฝงรอยเจ็บปวดของอีกฝ่ายหนึ่ง



    \"ฉันก็ไม่ได้คิดอยากจะเป็นให้ได้อย่างเค้า แต่ถ้ารู้ว่าใครซักคนกำลังเป็นทุกข์...ฉันก็คงจะปล่อยไว้เฉยๆ โดยไม่ช่วยอะไรเลยไม่ได้หรอก\"



    \"ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน...เป็นคนนอกรีต...หรือเป็นพวกเลือดผสมแบบนี้เหรอ?\" เด็กสาวย้อนถาม



    \"นอกรีต...เลือดผสม...มันก็แค่คำที่พวกคนของศาสนาที่ถือตัวว่าสูงส่งนักใช้แบ่งแยกพวกต่างไปจากตัวเท่านั้นแหละ\" เรมี่ว่า \"กับคนที่มีความเชื่อไม่เหมือนตัวเอง...คนที่ไม่คิดว่าเป็นคนเหมือนตัวเอง ทั้งๆ ที่คนที่ถูกพวกมันตราหน้าว่านอกรีตหรือเป็นพวกเลือดผสมบางคนยังมีสำนึกของความเป็นมนุษย์มากกว่าเลยด้วยซ้ำ\"



    มาริเอลล่าได้แต่นิ่งฟังไปเงียบๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง...ความจริงที่เธอประสบมากับตัวแต่ไม่มีสิทธิ์จะพูดออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะพยายามคิด



    พวกเลือดผสม...



    มีชีวิตอยู่เพื่อไถ่บาป...



    ต้องทำตามพระประสงค์ขององค์อาร์โคสเท่านั้น
    ...



    \"อย่าไปแคร์กับเรื่องที่พวกนั้นพยายามล้างสมองเธอเลยน่า\" เรมี่พูดต่อเหมือนกับรู้ความคิดของเธอ \"ถ้าพวกนั้นทำเหมือนกับเธอไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องไปเชื่อฟังมันหรอก ดีแล้วที่กล้าที่จะหนีออกมาแบบนี้\"



    \"ถึงจะต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้วก็ใช้ชีวิตที่ว่างเปล่าไม่มีความหมายอะไรเลยน่ะเหรอ?\"



    \"ถ้าอย่างนั้นก็หาความหมายให้กับชีวิตของตัวเองสิ\" เรมี่พูดพร้อมกับส่งยิ้มให้ \"ความหมายย่อมมีอยู่เสมอ...ขอเพียงแต่เราค้นหาเท่านั้น\"



    ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะนำดาบมาพาดหลังเตรียมเดินทางอีกครั้ง



    \"คุยกันจนถึงเย็นเลยแฮะ เดี๋ยวรีบเข้าไปหาที่พักในหมู่บ้านดีกว่า\" เขากวาดสายตามองชุดเด็กผู้ชายที่เด็กสาวสวมอยู่แวบหนึ่งแล้วพูดต่อ \"อือใช่ เดี๋ยวต้องหาเสื้อผ้าใหม่ให้เธอด้วย ดีแฮะที่คนรู้จักของฉันคนนึงเป็นช่างตัดเสื้ออยู่แถวนี้พอดี\"



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทำให้เรมี่ที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่เงยหน้าขึ้นทันที...พบกับภาพของเด็กสาวในชุดกระโปรงสีม่วงอมน้ำเงินเข้มเดินขอบตามแขนเสื้อด้วยสีเขียวน้ำทะเล และปักลวดลายตามชายผ้าอย่างประณีต เข้ากับรองเท้าหนังสีน้ำเงินประดับหินสีเขียวที่หัวรองเท้า ไหล่บอบบางถูกคลุมด้วยผ้าคลุมสีเดียวกัน ส่วนเส้นผมสีเงินถูกรวบจากด้านข้างไพล่มาพาดไหล่ แล้วพันให้เป็นเกลียวด้วยริบบิ้นสีฟ้าเส้นเล็กๆ



    \"เอ่อ...\" เด็กสาวพึมพำแผ่วๆ พร้อมกับกุมมือด้วยท่าทางประหม่า ชายหนุ่มจ้องเธอไม่วางตาก่อนจะกระพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ



    \"สวยมาก...เหมาะกับเธอมากเลย\"



    \"ก็แหง ฉันเป็นคนเลือกให้เองกับมือนี่นา\" เสียงพูดตามด้วยเสียงหัวเราะดังมาจากสาวใหญ่ผมหยักศกสีทองหม่นในชุดสีแดงสดที่ก้าวมายืนด้านหลังเด็กสาว แล้วถือวิสาสะวางมือทาบบนไหล่ของเธออย่างเอ็นดู \"แรกๆ กะว่าจะหาชุดสีสดกว่านี้ แต่ดูท่าทางแม่หนูจะเข้ากับโทนสีน้ำเงินโดยเฉพาะแฮะ คงไม่ดูขรึมไปนะ\"



    \"ผมว่าน่ารักดีออก\" เรมี่พูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ \"ขอบคุณมากครับพี่ทริชช่า\"



    หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่าทริชช่าหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง



    \"ไม่ว่าฉันจะเลือกอะไรให้แม่หนูของเธอก็คงจะน่ารักไปทุกอย่างนั่นแหละ\" เธอก้มลงยื่นผ้าพับหนึ่งให้กับมาริเอลล่า \"นี่ชุดนอนจ้ะ เข้าไปลองดูนะว่าขนาดพอดีมั้ย แล้วใส่สบายรึเปล่า\"



    เด็กสาวรับผ้าพับนั้นแล้วเดินไปที่ห้องลองเสื้อด้านหลังร้านอย่างเงียบๆ ก่อนที่หญิงสาวจะหันมาพูดกับเรมี่อีกครั้ง



    \"ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะพาเด็กผู้หญิงมาอย่างนี้\" เธอลดเสียงให้เบาลงพอได้ยินแค่สองคน \"ถึงจะพูดน้อยไปนิดแต่ก็หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ท่าทางรึก็ใสซื่อว่าง่าย...ไม่นึกเลยว่าตัวแค่นี้จะถูกศาสนจักรหาว่าเป็นพวกนอกรีตได้\"



    เมื่อมาถึงร้านเสื้อผ้าของทริชช่าในหมู่บ้านเวริเดียนแล้ว ขณะที่มาริเอลล่าเข้าไปลองเสื้อ เรมี่ก็ได้เล่าสาเหตุที่ต้องพาเด็กสาวมาด้วยโดยไม่ปิดบัง เพราะเห็นทริชช่าเป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง...ของคนสำคัญของเขา



    ทริชช่ามองตามฉากกั้นห้องลองเสื้อไว้ก่อนจะพูดต่อไป



    \"ถ้า \'ลูเซีย\' มาเห็นเด็กคนนี้เข้าจะว่ายังไงกันนะ?\"



    สีหน้าของเรมี่เปลี่ยนไปวูบหนึ่งกับชื่อนั้น



    \"ผมว่า...เค้าคงอยากจะให้ผมได้พบแมรี่น่ะครับ\" เขาก้มหน้าลงพูดเรียบๆ \"เพราะผมไปเจอแมรี่ที่สุสาน...ในวันครบรอบวันตายของเค้าพอดี คงไม่น่าเชื่อใช่มั้ยครับว่าจะบังเอิญได้ถึงขนาดนั้น\"



    หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ



    \"ขอโทษนะ...นี่ฉันเผลอดึงเข้ามาเรื่องลูเซียอีกจนได้ แต่ช่างเถอะ เรื่องบังเอิญมันเกิดขึ้นได้เสมอนี่นะ\" เธอยิ้มฝืดเฝือ \"แล้วนี่คิดไว้บ้างรึเปล่าว่าจะทำยังไงต่อไป? คงไม่พาแม่หนูนี่ไปตะลอนๆ ด้วยหรอกนะเรมี่? เธอก็รู้ตัวดีนี่ว่าตัวเองไม่ได้อยู่เป็นที่เป็นทางเอาซะเลย\"



    \"เรื่องนั้นผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน\" เรมี่พูดด้วยเสียงลังเล \"แมรี่ถูกพวกอัศวินตามล่าอยู่ ถ้าจะฝากเธอไว้กับคนอื่นผมกลัวจะไม่ปลอดภัยทั้งคู่ แต่ถ้าพาเธอไปด้วย ผมกลัวว่าจะทำให้เธอต้องลำบาก พี่ทริชช่าก็รู้ว่าไอ้ผมถนัดหาเรื่องใส่ตัวอยู่ประจำ\"



    \"อืม...ตัดสินใจยากเหมือนกันนะ\" ทริชช่าพยักหน้ารับช้าๆ \"ถ้าจะหาคนฝากน่ะฝากฉันได้อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญที่สุดคงต้องถามเจ้าตัวล่ะมั้งว่าคิดจะทำยังไงต่อไป\"



    ทั้งสองเงียบไปเมื่อมาริเอลล่าเดินกลับออกมาอีกครั้งแล้วส่งชุดนอนคืนให้ทริชช่าที่รับไปก่อนจะถามอย่างอ่อนโยน



    \"ใส่ได้ใช่มั้ยจ๊ะ?\"



    เด็กสาวพยักหน้ารับ



    \"ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะจัดกระเป๋าใส่เสื้อผ้าให้นะ\" ทริชช่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ \"แมรี่ก็ตามมาด้วยกันนะ จะได้รู้ว่าต้องเก็บของอะไรไว้ตรงไหนด้วย\"



    \"ขอบคุณมากครับพี่ทริชช่า\" เรมี่พูดจากใจจริง



    \"ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย คนกันเองแท้ๆ น่า\" หญิงสาวยิ้มให้เขา \"ค่าชุดรวมค่ากระเป๋า กับที่พักอีกหนึ่งคืนก็ไม่มีอะไรมาก ให้เธอทำข้าวเย็นเลี้ยงก็แล้วกัน มีอะไรอยู่ในห้องครัวก็เอาไปใช้ได้ตามสบายเลยนะ ฉันว่าคืนนี้จะเปิดไวน์มากินกันซักขวด\"



    เรมี่พลอยหัวเราะออกมาน้อยๆ



    \"เอาอย่างนั้นเลยเหรอครับ\"



    \"ก็จริงน่ะสิ ไหนๆ นานทีปีหนถึงจะได้กินอาหารฝีมือศิษย์แม่ครัวเอกอย่างเธอซักทีนี่\"



    \"ได้ๆ งั้นเดี๋ยวผมไปยึดห้องครัวเลยละกัน พอจัดกระเป๋าเสร็จจะได้กินกันเลย\" เรมี่พูดสบายๆ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง



    ทริชช่ามองตามเขาด้วยสายตาบอกความเป็นห่วงครู่หนึ่งก่อนจะหันมาทางมาริเอลล่า



    \"งั้นเราขึ้นไปจัดกระเป๋ากันเถอะจ้ะแมรี่\"



    ขณะที่เดินขึ้นไปบนบันไดนั้น...มาริเอลล่ารู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ดังแว่วมา ทั้งที่ทริชช่าที่เดินนำหน้าไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรสักคำ



    หากเสียงนั้นก็แผ่วเบาจนฟังไม่ออก...และเลือนหายไปก่อนจะทันได้จับใจความราวกับเสียงกระซิบของวิญญาณ



    เด็กสาวไม่พูดเรื่องนี้กับทริชช่าหรือเรมี่แม้สักคำตั้งแต่เวลาอาหารเย็น...จนถึงเข้านอน



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    \"ขอเพียงได้เดินเล่นในสวนอีกสักครั้ง...



    ได้ย่างเท้าเลียบริมหาดอีกสักครา...



    ขอเพียงอีกหนึ่งความทรงจำให้ฉันเก็บไว้ฝันใฝ่...



    ก่อนที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้ฝันอีกต่อไป...



    ขอเพียงอีกครา...บางทีรุ่งอรุณอาจจะยังรออยู่...



    กับอีกหนึ่งคำอธิษฐาน
    ...



    ..............................\"



    เสียงเพลงหวานเศร้าดังก้องอยู่ในหู กังวานราวกับสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาตามแผ่นหิน ทั้งโหยไห้...และก่อให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างอย่างประหลาด



    เด็กสาวลืมตาก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง ความรู้สึกอันแปลกประหลาดบางอย่างเรียกเธอให้จ้องมองไปทางบานหน้าต่าง...



    แสงสีเงินเย็นตาลอดผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาเป็นลำ ส่องให้เห็นกลุ่มหมอกสีขาวเลือนลางกลุ่มหนึ่งที่ลอยอยู่หน้าบานหน้าต่าง รูปร่างของกลุ่มหมอกนั้นดูคล้ายกับกรอบร่างของหญิงสาวที่กำลังยกมือทาบบนกรอบหน้าต่าง แล้วมองออกไปข้างนอกอย่างอาดูร...



    มาริเอลล่าอ้าปากจะพูด...แต่แล้วหมอกที่เป็นรูปร่างนั้นกลับเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว



    ท่าทางของเด็กสาวยังคงนิ่งเฉย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็น...หรือได้ยินเสียงของวิญญาณ ตอนที่อยู่ในความดูแลของศาสนจักรอาร์โคเซียเธอเคยเห็นร่างวิญญาณที่ดูเจ็บปวดทรมาน และเคียดแค้นมากกว่านี้มากมายนัก



    หากสิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจกับวิญญาณที่ไม่มีท่าทีจะคุกคามแบบนี้...คือเธอเป็นใคร และเพราะมีความกังวลอะไรจึงได้หลงเหลืออยู่ในโลกนี้อีกต่างหาก



    เด็กสาวลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างช้าๆ แล้วทอดสายตาออกไปเบื้องนอก



    จันทร์เกือบเต็มดวงทอแสงพร่าเลือนอยู่บนฟ้าเบื้องหลังละอองหิมะที่โปรยปราย...จนดูราวกับว่าจันทราสีเงินกำลังร่ำไห้ผ่านทางเกล็ดหิมะที่โรยรินลงมานั้น



    ภายในเสียงกระแสลมหวนไห้ยังมีเสียงร้องเพลงเศร้าๆ ดังแว่วมา...เป็นเสียงเพลงในท่วงทำนองเดียวกับที่เธอได้ยินเมื่อครู่



    มีเงาร่างหนึ่งที่ย่างเท้าไปตามพื้นหิมะช้าๆ โดยไม่สนกับหิมะที่ตกพราวลงบนผมและเสื้อผ้า ดูจากแนวรอยเท้าที่ปรากฏแล้วเหมือนจะเดินวนไปมาอยู่กับที่เสียมากกว่า



    มาริเอลล่าจำร่างนั้นได้ดี



    เรมี่...



    เด็กสาวเหลียวไปมองทริชช่าที่นอนอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียง พบว่าเธอยังหลับสนิท เด็กสาวจึงย่างเท้าไปที่ประตูแล้วแง้มออกอย่างแผ่วเบา เธอแทรกตัวออกไป ปิดประตูลงก่อนจะเดินลงบันไดไม้ไปยังห้องนั่งเล่นด้านล่าง ไฟในเตาผิงยังติดอยู่แม้จะริบหรี่ใกล้มอดเต็มที เก้าอี้ยาวหน้าพรมหน้าเตาผิงที่ว่างเปล่ามีเพียงกองผ้าห่มพับอยู่ชิดที่เท้าแขนด้านหนึ่งยืนยันว่าเรมี่ไม่ได้อยู่ที่นี่



    ความสงสัย สนใจหรืออะไรก็ตามทำให้มาริเอลล่าเดินต่อไป



    ลมหนาวที่พัดกรูเกรียวเข้าปะทะร่างเต็มๆ เมื่อเด็กสาวเปิดประตูออกไปข้างนอกส่งให้สั่นสะท้านไปครู่หนึ่ง เสียงเพลงเศร้าๆ ในสายลมสะดุดลงทันทีเพราะเสียงประตูที่ถูกลมพัดปิดดังปึง



    เจ้าของเสียงหันขวับมาทางเธอแล้วอุทาน



    \"แมรี่!! ออกมาทำไม!?\"



    เขาสาวเท้าเข้ามาหาเด็กสาวโดยเร็วก่อนจะถอดเสื้อโค้ทที่สวมอยู่มาคลุมให้เธอ



    \"กลับเข้าไปดีกว่า อากาศหนาวอย่างนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ\"



    ชายหนุ่มประคองเด็กสาวกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น หลังจากให้มาริเอลล่านั่งลงบนเก้าอี้ เรมี่ก็เติมฟืนในเตาผิงให้ไฟลุกขึ้นอีกครั้งก่อนจะเข้าไปในครัว และไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับถ้วยสองถ้วยที่มีควันกรุ่น



    \"ชาร้อนๆ ดื่มแล้วจะช่วยให้อุ่นขึ้น\" เขายื่นถ้วยใบหนึ่งให้กับเด็กสาวที่รับมาจิบอย่างเงียบๆ รสของชานมที่หวานน้อยๆ ติดปลายลิ้นช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นมากทีเดียว



    เรมี่เองก็ดื่มชาอีกถ้วยไปสองสามอึกก่อนจะวางลง แล้วหันมาทางมาริเอลล่าอีกครั้ง



    \"ทำไมถึงออกไปข้างนอกล่ะ นอนไม่หลับเหรอ\" เขาถามด้วยเสียงเป็นห่วง



    เด็กสาวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ



    \"ฉัน...ได้ยินเสียงร้องเพลง...เพลงเดียวกับที่เรมี่ร้องข้างนอกนั่น\"



    \"เสียงร้องเพลง?\"



    \"เสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง...ที่ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วแต่ยังผูกพันกับบ้านหลังนี้\"



    คำตอบของตามตรงของเธอทำให้สีหน้าของเรมี่เปลี่ยนเป็นประหลาดใจในทันที



    \"แม่ของฉันเป็นเอลฟ์...ฉันเลยได้ยินเสียงของวิญญาณได้ บางทีก็เห็นด้วย...\" มาริเอลล่าอธิบาย \"เรมี่...เชื่อหรือเปล่า?\"



    ชายหนุ่มพยักหน้ารับช้าๆ



    \"เชื่อสิ เพราะจริงอย่างที่แมรี่พูดนั่นแหละ\" เขาแหงนหน้าขึ้นมองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอยก่อนจะพูดต่อไป \"เพราะที่นี่...เคยเป็นบ้านของ...คนสำคัญของฉัน...ก่อนที่เค้าจะยกให้พี่ทริชช่าที่เป็นเพื่อนของเค้าพักอยู่ในตอนนี้\"



    เด็กสาวพอเดาออกว่า \'คนสำคัญ\' ที่เขาหมายถึงคือใคร...จากคำพูดที่เขาเคยพูดก่อนหน้านี้



    \"คนที่...ดีกับเรมี่มากๆ คนนั้นน่ะเหรอ\"



    \"ดีที่สุดในชีวิตของฉันเลยล่ะ\" อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึก ทั้งรัก...และเทิดทูนต่อคนในความทรงจำจนถึงที่สุด



    \"เค้าเป็นอะไรกับเรมี่ ญาติ..หรือเพื่อน...หรือ...\" มาริเอลล่าเก็บคำหลังที่เธอกำลังจะพูดไว้เพียงเท่านั้น



    คนรัก...



    \"ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกตระกูลใหญ่ตระกูลนึงในเมืองหลวงรับไปเลี้ยง ส่วนเค้าเป็น...\"



    คำตอบที่ได้รับผิดคาดในความรู้สึกของเด็กสาวมากทีเดียว และเรื่องราวต่างๆ ที่พรั่งพรูออกมาจากความทรงจำในอดีตอันแสนยาวนานของเรมี่เกี่ยวกับหญิงสาวในความทรงจำคนนั้นก็ชวนให้ประหลาดใจยิ่งกว่าจนเด็กสาวได้แต่นิ่งฟังอย่างเงียบๆ แต่ด้วยความสนใจเต็มที่



    หญิงสาวที่ชื่อว่า \'ลูเซีย\'...



    กับคำที่เรมี่พูดถึงเธอว่า...



    \'ถ้าไม่ได้พบกับเค้า...ฉันก็คงไม่ได้อยู่เป็นผู้เป็นคนเหมือนกับทุกวันนี้หรอก\'



    \'เค้านี่แหละที่ทำให้เด็กกำพร้าอย่างฉันสำนึกในความเป็นคนของตัวเองขึ้นมา\'



    \'ในตอนนั้น...ฉันคิดว่า เพียงแค่มีเค้าอยู่ด้วย แค่นั้นฉันก็ไม่ต้องการอะไรอย่างอื่นอีกแล้ว...\'




    เรื่องที่ไหลไปตามกาลเวลาราวกับเป็นบทสรุปของชีวิตหนึ่งที่มีค่า...หากน่าเศร้าที่ต้องจบลงไปอย่างรวดเร็วก่อนเวลาอันสมควร...และอย่างโหดร้ายนัก



    \"หลังจากที่เค้าตาย...ฉันถึงได้ออกจากบ้านนั้น...\" รอยปวดร้าวเหมือนกับที่เคยเห็นหวนกลับมาสู่ดวงตาสีน้ำตาลของเรมี่อีกครั้งเมื่อเล่าถึงตอนนี้ \"เดินทางไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายมาจนทุกวันนี้\"



    \"ทำไมล่ะ\" มาริเอลล่าอดไม่ได้ที่จะถาม



    ชายหนุ่มถอนหายใจ



    \"ฉันคิดว่า...ไม่มีความหมายที่จะอยู่บ้านนั้นอีกต่อไป แล้วฉันก็อยากไปตามหา \'อดีต\' ของตัวเองด้วย\" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะจี้ที่ห้อยคออยู่ \"ฉันไม่รู้จักพ่อแม่ของตัวเองเลย รู้สึกว่าของอย่างเดียวที่พวกท่านทิ้งไว้ให้ก็มีแต่สร้อยเส้นนี่เท่านั้น\" มาริเอลล่าอดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัด บนแผ่นเหล็กรูปคล้ายปลายดาบที่สะท้อนแสงไฟจากเตาผิงเป็นประกายวาวมีตัวอักษรสลักไว้เป็นแถวอ่านได้ว่า



    เรมี่ เคอร์ริค

    วันยูนิคอร์นที่ 2

    เดือนอาเธน่า

    HE. 613




    \"ฉันคิดว่า...ซักวันนึงจะต้องหาพวกท่านให้เจอให้ได้ ถึงมันจะยากแค่ไหนก็เถอะ\" เสียงของชายหนุ่มสะดุดลงเหมือนกับเพิ่งนึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาหันมามองเด็กสาวก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบผมตัวเองแก้เก้อ \"ข...ขอโทษนะ ฉันเผลอพูดอะไรก็ไม่รู้ไปซะยาว ป่านนี้เธอคงจะง่วงแย่เลย\"



    \"ไม่หรอก\" มาริเอลล่าส่ายหน้า \"ฉันก็...ไม่รู้สึกง่วงเลย\"



    เธอได้แต่เก็บคำพูดที่ว่า \'อยากรู้เรื่องของเรมี่ให้มากกว่านี้\' เอาไว้ในใจ เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่ เธอได้แต่นิ่งเงียบไปอีกครั้งขณะที่หวนนึกถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยินอยู่ในใจ...จนถึงคำพูดของเรมี่ตอนหนึ่ง



    \'เค้าตายในฤดูหนาว...ในคืนที่หิมะตกแบบนี้แหละ ฉันก็อดคิดถึงเค้าขึ้นมาอีกไม่ได้ ฉันเลยออกไปร้องเพลงนั้น...เพลงที่เค้าร้องก่อนตาย...\'



    \"ทำไมถึงต้องร้องเพลงที่เศร้ามากขนาดนั้น\" เด็กสาวถามขึ้นอีกครั้ง



    \"หือม์?\"



    \"เพลงที่...\'ลูเซีย\' ร้องก่อนตาย\" มาริเอลล่าขยายความ \"ในเมื่อมันเจ็บปวดถึงขนาดนั้น...ทำไมถึงยังร้องเพลงเพื่อย้ำเตือนให้ยิ่งเจ็บด้วย\"



    เรมี่กอดเข่าพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ



    \"ไม่ใช่เพื่อย้ำเตือนหรอก...แต่เพื่อปลดปล่อยต่างหาก\"



    \"ปลดปล่อยเหรอ?\"



    \"ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก...ถ้าได้ปลดปล่อยมันไปกับเสียงเพลงแล้วจะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นได้ ข้อนี้เค้าก็เป็นคนบอกฉันเองอีกนั่นแหละ เวลาแมรี่ไม่สบายใจจะลองร้องเพลงดูก็ได้นะ\"



    เด็กสาวสั่นศีรษะ



    \"ฉัน...ร้องเพลงไม่เป็น\"



    \"ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสิ ขอเพียงนึกจะร้องด้วยใจของตัวเอง...ไม่ว่าใครก็ทำได้ทั้งนั้น แรกๆ จะเริ่มจากฮัมเพลงตามไปก่อนก็ได้นะ\" ชายหนุ่มกระแอมก่อนจะเริ่มต้นร้องเพลงขึ้น



    \"...ผิวปากไปตามกระแสลมเถิด



    ให้เสียงของเธอล่องลอยไป



    กลบเสียงพายุฝนทั้งมวล



    และส่องประกายในความมืดมิด



    ที่แสนอันตรายและน่าสะพรึงกลัว...



    ...ไม่ว่าจะเปล่งเสียงร้องสู่ดวงดารา



    หรือกระซิบซาบยามเธอหลับใหล



    แล้วฉันจะไปที่นั่นเพื่อโอบกอดเธอ



    ฉันจะไปที่นั่นเพื่อหยุดยั้ง



    น้ำตาและเสียงสะอื้นทั้งมวล...



    ...เปล่งเสียงให้ดังชัดเจน



    ทั่วทั้งยามราตรี



    ทุกถ้อยคำที่เธอส่งไปถึงฉัน



    จนถึงที่สุดของสุดท้าย



    ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ



    เพื่อนที่แสนล้ำค่าของฉัน...\"



    บทเพลงย้อนกลับมาสู่ท่วงทำนองที่คุ้นหูอีกครั้ง และคราวนี้เด็กสาวก็เริ่มที่จะฮัมเพลงคลอไปกับเสียงร้องของชายหนุ่ม ความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึก...และไม่เคยรู้จักมาก่อนเหมือนจะถูกถ่ายทอดเข้ามาในใจผ่านทางถ้อยคำและการทอดเสียงที่นุ่มนวล



    \"...ขอเธอจงพยายามฝ่าฟันกระแสคลื่น



    จนกว่าจะได้ชูธงแห่งชัยชนะขึ้น



    ไม่ว่าจะยิงพลุให้ส่องแสงกลางนภา



    จุดคบไฟเพื่อนำทาง



    หรือก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่น



    ทุกสัญญาณที่ส่งไปถึงฉัน



    จะนำฉันจะไปหาเธอทุกครั้ง



    ผิวปากไปตามกระแสลมเถอะ



    แล้วฉันจะไปพบเธอที่นั่นเสมอ...



    ...ไม่ว่าจะเปล่งเสียงร้องสู่ดวงดารา



    หรือกระซิบซาบยามเธอหลับใหล



    ฉันจะไปที่นั่นเพื่อโอบกอดเธอ



    ฉันจะไปที่นั่นเพื่อหยุดยั้ง



    ความเหน็บหนาวและเสียงสะอื้นทั้งมวล...



    ...เปล่งเสียงให้ดังชัดเจน



    ทั่วทั้งยามราตรี



    ทุกสัญญาณที่เธอส่งไป



    จนถึงที่สุดของสุดท้าย



    ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ



    เพื่อนที่แสนล้ำค่าของฉัน...



    ...ผิวปากไปตามกระแสลมเถิด



    ให้เสียงของเธอล่องลอยไป



    กลบเสียงพายุฝนทั้งมวล



    และส่องประกายในความมืดมิด



    ที่แสนอันตรายและน่าสะพรึงกลัว



    ทุกสัญญาณที่เธอส่งไปถึงฉัน



    จะนำฉันจะไปหาเธอทุกครั้ง...



    ผิวปากไปตามกระแสลมเถอะ



    แล้วฉันจะไปพบเธอที่นั่น...เสมอ...\"



    ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อใดที่มาริเอลล่าเริ่มร้องเพลงท่อนที่จำได้ตามไปด้วย แต่เมื่อถึงท่อนสุดท้าย...ทั้งสองก็ทอดเสียงลงจบพร้อมกัน เสียงสูงของเด็กสาวกับเสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มกลับประสานเข้ากันได้อย่างลงตัว



    \"ร้องเป็นแล้วนี่นา...แถมยังเพราะอีกต่างหาก\" เรมี่หันมาส่งยิ้มให้เธออีกครั้ง...รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของเขาทำให้ใบหน้าของเด็กสาวเริ่มร้อนวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



    \"ฉัน...ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าการร้องเพลง...จะทำให้รู้สึกดีอย่างนี้\" เธอก้มลงซ่อนสีหน้าไว้แล้วพูดแผ่วๆ



    \"ตอนนั้น...ฉันก็ไม่เคยนึกเหมือนกันจนกระทั่งเค้าสอนฉัน\" เรมี่ตอบ \"จริงๆ เค้าสอนฉันมาตั้งหลายเพลงด้วย ถ้าแมรี่อยากร้องเพลงอื่นล่ะก็...ฉันจะสอนให้นะ\"



    เด็กสาวพยักหน้ารับ แม้เธอจะไม่ได้เงยหน้าขึ้น หากเรมี่ก็สังเกตเห็นริมฝีปากของเธอที่ยิ้มน้อยๆ ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มของเธอ



    และอาจจะเป็นครั้งแรกที่มาริเอลล่าเริ่มเปิดใจรับเสียงเพลงกับรอยยิ้ม ในชีวิตที่เธอเคยรู้สึกว่าว่างเปล่าราวกับหิมะสีขาว...หิมะที่มีไว้เพียงเพื่อถูกลืมเลือนเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    เจ้าของบ้านที่ตื่นขึ้นมาแล้วลงไปข้างล่างได้แต่ส่ายหน้าด้วยความรู้สึกอ่อนใจแกมขบขันเมื่อเห็นภาพของห้องนั่งเล่นในเช้าวันถัดมา...ที่มีเด็กสาวผมสีเงินขดกายอยู่ในโปงผ้าห่มบนเก้าอี้นวม ส่วนเจ้าของผ้าห่มกลับลงไปนอนตะแคงบนพรมหน้าเตาผิงแทนแถมยังหลับสนิทจนสายป่านนี้เหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืนเสียอีก



    \"สงสัยแม่หนูคนนี้คงเหมาะที่จะไปกับเธอมากกว่าจริงๆ นะเรมี่\" ทริชช่ากระซิบเบาๆ ก่อนจะหันไปมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่เหนือเตาผิง ใบหน้าของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ส่งรอยยิ้มสดใสเหมือนกับจะมองตรงตอบมาจากในรูปนั้น



    ลูเซีย...เธอคงวางใจว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เขาจะดูแลตัวเองได้คนเดียวเท่านั้น...



    แต่อาจจะช่วยเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ...เหมือนกับที่เธอช่วยในตอนนั้นได้อีกด้วย...




    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    สีฟ้าใสกับระบายเมฆสีขาวอ่อนราวกับถูกแต่งแต้มจากปลายภู่กันของจิตรกรอย่างลงตัวทำให้ท้องฟ้าในวันกลางฤดูหนาวหลังหิมะหยุดตกกลายเป็นวันที่ดูสดใสขึ้นมาได้ไม่แพ้ในฤดูอื่น



    สุสานอันเงียบงันในวันนั้นมีผู้มาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง...เป็นสองผู้มาเยือนที่กลับมาสู่หลุมศพที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งสองได้พบกันราวกับถูกโชคชะตาชักนำ



    ชายหนุ่มโน้มกายลงหน้าหลุมศพอันเดียวดาย ก่อนจะปัดหิมะที่จับอยู่บนแผ่นหินออกเผยให้ตัวอักษรที่ถูกจารึกไว้เพียงเรียบๆ



    **********************************************



    ลูเซีย เมลวิลล์ จูเลี่ยน



    HE. 605 - 627



    ขอพระองค์ผู้ได้รับสรรเสริญมอบความสงบแก่วิญญาณดวงนี้เถิด



    **********************************************



    เบื้องหน้าหลุมศพนั้นยังมีช่อดอกไม้แห้งหลายช่อวางซ้อนกันอยู่ใต้กองน้ำค้างแข็ง ราวกับไม่มีใครใยดีที่จะเก็บกวาดดูแลที่พำนักสุดท้ายของผู้วายชนม์คนนี้เลย



    หรือบางทีอาจจะเป็นไปตามความปรารถนาสุดท้ายของ \'เธอ\' ผู้นิทราอยู่ใต้ที่นี่ก็เป็นได้...ที่ต้องการจะเก็บรักษาทุกสิ่งที่มีผู้ระลึกถึงนำมามอบให้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของที่เล็กน้อยไร้ความสลักสำคัญ...เฉกเช่นกลีบของดอกไม้แห้งเพียงกลีบเดียวก็ตาม



    ช่อดอกไม้แห้งอีกสองช่อถูกวางลงทับดอกไม้ช่ออื่นๆ ในขณะที่ในใจของทั้งสองนึกถึงถ้อยคำที่อยากจะบอกกับหญิงสาวที่เหลือเพียงนามสลักบนแผ่นหิน...



    สำหรับชายหนุ่มคือ...หญิงสาวที่ทำให้เขาเป็น \'คน\' ที่เขาเป็นในวันนี้...



    และสำหรับเด็กสาวคือ...คนที่ทำให้เธอได้พบกับเขา...



    หลังจากค้อมศีรษะแสดงความเคารพก่อนผละจากมาอย่างเงียบๆ มาริเอลล่าเพียงแต่เหลียวหลังกลับไปมองกลุ่มหมอกพร่าเลือนที่ปรากฏอยู่ข้างป้ายหลุมศพเพียงแวบเดียวพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ เท่านั้น



    บางที...เธออาจจะค้นพบเหตุผลที่เธอต้องหนีมาในตอนนั้นแล้วก็ได้



    ...เพื่อมาพบคนคนหนึ่ง...



    คนคนหนึ่งที่เธอคิดว่าสามารถจะเชื่อใจเขาได้เสมอ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    *เพลงที่ใส่ในตอนนี้มีเพลงที่ผมแต่งเนื้อร้องเองจากทำนองเพลง Cantoluna ของวง Secret Garden ที่เป็นภาษาอิตาเลียนแปลว่า \"เพลงแห่งดวงจันทร์\" ครับ แล้วก็มีท่อนฮุคของ \"One More Walk around the Garden\" ที่ให้วิญญาณของลูเซียร้อง กับเพลง \"Whistle down the Wind\" ที่เรมี่สอนให้แมรี่ร้อง ร้องโดย Sarah ฺBrightman ทั้ง 2 เพลงครับ*
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×