ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings of Hope - ตำนานพลิกฟ้า

    ลำดับตอนที่ #3 : บทนำที่ 3 - เมื่อเวลาผ่านพ้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 188
      0
      12 ก.ค. 49

    บทนำ 3
    As Time Goes By
    เมื่อเวลาผ่านพ้น

    As Time Goes By
    เมื่อเวลาผ่านพ้น

              เมื่อรุ่งเช้าวันใหม่ ดวงอาทิตย์ก็ฉายแสงส่องไอโอลัสอีกครั้งหลังคืนจันทร์สีเลือด

              ณ เกรท เกลเชียร์...ทวีปแห่งมหาธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่เงียบสงัด มหาสมุทรอันกว้างใหญ่กับอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งช่วยรักษาความสงบของสถานที่นี้เอาไว้ ไม่ให้เผ่าพันธุ์ที่ไม่อาจปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศอันหนาวเย็นกล้ำกรายเข้ามาได้ เป็นเหตุให้พวกชาวฟ้าหรือมนุษย์ที่ต้องการจะขยายอาณาเขตต่างก็เพิกเฉยกับเกรท เกลเชียร์อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากพืชพรรณที่พอจะเติบโตได้ในสถานที่นี้ก็มีแต่เห็ดรา ตะไคร่ กับไม้ดอกที่บานเพียงแค่ระยะสั้นๆ ในช่วงอบอุ่นเท่านั้น

              นี่อาจจะเป็นการชดเชยของธรรมชาติต่อสัตว์น้อยชนิดที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในดินแดนน้ำแข็งอันเย็นยะเยือก ไม่ให้สูญพันธุ์จากน้ำมือของนักล่าที่มีสมองและได้เปรียบพวกมันทุกอย่างก็เป็นได้...

              ทว่าสถานที่นี้ยังมีคนอีกผู้หนึ่ง น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่...และมีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงเลือกที่จะมาอยู่ในสถานที่ซึ่งหนาวเย็นเช่นนี้ตามลำพัง

              เช้าวันนี้เขาออกมาเดินเล่นเลียบชายฝั่งเช่นที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นสิ่งหนึ่งที่ผิดแปลกไป...นกหิมะที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่งซึ่งตามปกติจะออกโฉบหากินปลาริมโขดหินกำลังแตกตื่น

              ฝูงนกกำลังมุงล้อมรอบสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่พวกมันคงไม่เคยเห็นมาก่อน บางตัวที่สงสัยและกล้าหน่อยก็ถึงกับเข้าไปจิกดูเบาๆ ด้วยความอยากรู้ว่ามันคืออะไร...แต่จากระยะห่างขนาดนี้ สิ่งเดียวที่เขาเห็นท่ามกลางหมู่นกสีขาว ก็มีแต่อะไรบางอย่างที่เป็นสีทอง และมีรูปร่างคล้ายปีกขนาดใหญ่เท่านั้น

              ด้วยความสงสัย เขาเดินเข้าไปใกล้พลางโบกมือไล่นกหิมะที่รุมล้อมอยู่ให้แตกฮือบินหนีไป...เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่กลางวงล้อม...

              นั่นเป็นร่างเย็นเฉียบของเด็กหนุ่มที่นอนเหยียดยาวตัดกับพื้นหิมะสีขาว ปีกสีทองทั้งสองข้างที่ด้านหลังเปื้อนคราบเลือดแห้งเกรอะกรังเช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่สวมอยู่ สองแขนของเขากอดร่างของเด็กสาวปีกสีน้ำตาลอ่อนที่บอบบางกว่าไว้แน่นราวกับจะปกป้องไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือนใดๆ 

              สีหน้าของทั้งสองซีดเผือดราวคนตายแทบจะไม่แตกต่างกัน ทว่ามีเพียงลมหายใจแผ่วๆ ของเด็กหนุ่มเท่านั้นที่บ่งบอกถึงชีวิตที่กำลังแขวนอยู่กับเส้นด้าย...


              รุ่งเช้าวันใหม่ที่ทางเกวียนริมสันเขาก็มีชาวบ้านมากมายจากหมู่บ้านใกล้ๆ มามุงดูเกวียนที่ล้มคว่ำ กับซากศพอันน่าอนาถซึ่งชาวบ้านคนหนึ่งบังเอิญพบเข้าในขณะที่จะขึ้นไปหาของป่าบนภูเขา ทุกคนต่างรู้สึกสยดสยองกับศพของชายขับเกวียนซึ่งถูกควักลูกตาทั้งสองข้างและฉีกร่างเสียจนแหลกเหลว นอนอยู่ในสภาพที่เห็นได้ชัดว่าเสียชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมาน และสลดหดหู่กับศพของหญิงสาวในเกวียนที่ยังกอดเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไว้แน่น


              รุ่งเช้าวันใหม่ที่ทางเกวียนริมสันเขาก็มีชาวบ้านมากมายจากหมู่บ้านใกล้ๆ มามุงดูเกวียนที่ล้มคว่ำ กับซากศพอันน่าอนาถซึ่งชาวบ้านคนหนึ่งบังเอิญพบเข้าในขณะที่จะขึ้นไปหาของป่าบนภูเขา ทุกคนต่างรู้สึกสยดสยองกับศพของชายขับเกวียนซึ่งถูกควักลูกตาทั้งสองข้างและฉีกร่างเสียจนแหลกเหลว นอนอยู่ในสภาพที่เห็นได้ชัดว่าเสียชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมาน และสลดหดหู่กับศพของหญิงสาวในเกวียนที่ยังกอดเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไว้แน่น

              หัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นชายวัยกลางคน ผมสีเทาหงอกประปราย หน้าผากเต็มไปด้วยรอยย่นกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดในขณะที่รอชาวบ้านคนหนึ่งไปตามหมอประจำหมู่บ้านมาตรวจ ไม่มีใครกล้าแตะต้องร่างทั้งสามเลยเนื่องจากกลัวคำสาป ตามความเชื่อของชาวพื้นเมืองว่าวิญญาณตายโหงจะไม่อยู่สงบสุข และผู้ใดที่เข้าไปใกล้หรือเกี่ยวข้องก็อาจถูกวิญญาณนั้นสิงเอาได้

              หมอวัยหนุ่มใหญ่มาถึงในเวลาอีกไม่นานนัก แต่ในทันทีที่เห็นศพของชายขับเกวียน เขาก็ขยับแว่นก่อนจะสั่นศีรษะ

              “น่ากลัวจะเป็นฝีมือของปีศาจนะ หัวหน้าหมู่บ้าน” เขาพูดด้วยเสียงเป็นกังวล ทำให้บรรดาชาวบ้านเริ่มหันไปพูดคุยกันเซ็งแซ่

              “โธ่เอ๊ย...น่าสงสารจริงๆ เชียว” ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นผู้หญิงร่างท้วมพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่ร่างของหญิงสาวกับเด็กหญิงในเกวียนที่พลิกตะแคงอยู่ใกล้ๆ “ดูซิ ขนาดเด็กตัวนิดเดียวมันยังฆ่าได้ลงคอ อย่างนี้ไม่ใช่มนุษย์แล้ว...ว้าย!” อยู่ดีๆ หญิงร่างท้วมก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นนิ้วมือของเด็กหญิงที่ยื่นออกมานอกเกวียนกระดิกน้อยๆ “โอ๊ยพ่อแก้วแม่แก้วช่วยฉันด้วย ศพขยับได้!”

              หมอหนุ่มปราดเข้าไปหาเด็กหญิงในทันที แทบจะชนเอาภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนขวางอยู่ล้มลงไป เขาดึงร่างน้อยๆ ที่อ่อนปวกเปียกออกมาจากในเกวียน วางราบลงกับพื้นก่อนจะลงมือตรวจลมหายใจกับชีพจร มีพวกชาวบ้านล้อมวงดูกันอย่างเงียบกริบ เด็กหญิงดูอายุไม่ถึงห้าขวบดี ผมที่ต้องแสงแดดยามเช้าเป็นสีน้ำตาลเข้ม และที่สะท้อนแสงแดดเป็นประกายอยู่บนอกของเธอคือแก้วผลึกสีฟ้าใสลูกเล็กที่ร้อยติดกับสร้อยคอถักจากเชือก

              หมอประจำหมู่บ้านค่อยรู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อพบว่าเด็กหญิงก็ยังหายใจอยู่ แม้ชีพจรของเธอจะช้าและแผ่วมาก แต่ก็ดูจะไม่มีอาการร้ายแรงถึงชีวิต

              “เด็กคนนี้ยังไม่ตาย” เขาพูดในขณะที่ถอดเสื้อคลุมของตนออกห่อร่างเล็กๆ ไว้ “ผมจะรีบพาเธอไปรักษา” ว่าแล้วเขาก็ช้อนร่างเด็กน้อยขึ้นอุ้มก่อนจะก้าวยาวๆ โดยไม่พูดอะไรอีก ผ่านพวกชาวบ้านซึ่งแยกทางออกให้ แต่แล้วเสียงของหัวหน้าหมู่บ้านก็ขัดขึ้น

              “เดี๋ยวก่อน ฮวน!”

              หมอผู้มีนามว่าฮวนหันกลับไป

              “มีอะไรเหรอครับหัวหน้าหมู่บ้าน”

              “ดูจากเสื้อผ้าแล้ว คนพวกนี้เป็นเผ่าซอลมาน่า” หัวหน้าหมู่บ้านพูดอย่างเคร่งขรึม “กฎของทางศาสนจักรระบุไว้ว่า พวกซอลมาน่าเป็นพวกนอกรีต หากใครพบแล้วให้การช่วยเหลือจะมีโทษไปด้วย ทางที่ดีที่สุด พวกเราส่งเด็กนี่ให้กับศาสนจักรดีกว่า”

              ดวงตาของหมอฮวนเบิกกว้างขึ้น

              “จะให้ส่งเด็กคนนี้ไปตายงั้นเหรอ!” เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหญิงหากเธอถูกส่งให้กับศาสนจักร แม้หลักคำสอนของศาสนจักรแห่งอาร์โคเซียจะมุ่งเน้นความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่กับเผ่าพันธุ์อื่น หรือผู้ที่เป็นคนต่างศาสนาแล้ว จะหวังความปรานีจากอาร์โคเซียไม่ได้เลย โดยเฉพาะเผ่าซอลมาน่าที่มีถิ่นฐานเดิมในพรมแดนรอยต่อระหว่างป่าเซเรกับมาจิเซียซึ่งถูกเล็งเห็นว่าเป็นพวกนอกรีตเพราะความสามารถทางไสยเวทมนต์ดำของพวกเขาขัดกับหลักศาสนาของอาร์โคเซีย และอาจจะทำให้สถานภาพของศาสนจักรคลอนแคลนขึ้นมาในวันหนึ่งก็ได้ แม้จะเป็นผู้หญิงหรือเด็กชาวซอลมาน่า เมื่อถูกจับได้ก็จะถูกเผาทั้งเป็นโดยไม่มีข้อยกเว้น

              “ผมไม่ยอมล่ะหัวหน้าหมู่บ้าน!...แกอุตส่าห์รอดชีวิตมาได้แท้ๆ นะ ท่านจะผลักไสแกได้ลงคองั้นเหรอ!”

              “ฉันก็แค่บอกว่าจะส่งเด็กนั่นให้กับศาสนจักรเท่านั้น พวกนั้นจะทำอะไรกับมันก็ไม่ใช่เรื่องของเรา”

              “แต่ว่า...”

              “ฮวน...คิดดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านของเราถ้าหากเราต่อต้านศาสนจักร!” หัวหน้าหมู่บ้านขึ้นเสียง “จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากองทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์มาที่หมู่บ้านของเรา! จะให้พวกเราทุกคนถูกฆ่าตายเพราะเด็กผู้หญิงคนเดียวงั้นเหรอ!”

              หมอฮวนนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง สายตาที่จับจ้องร่างน้อยในอ้อมแขนแฝงแววโหยหาอาลัย เด็กหญิงคนนี้ดูไปก็อายุไล่เลี่ยกับโคริน...ลูกสาวคนเดียวของเขาซึ่งเสียชีวิตไปเพราะไข้ป่าเมื่อเจ็ดปีก่อน ตัวเขาเองซึ่งเป็นหมอพยายามรักษาจนสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตลูกไว้ได้ แม้ต่อมาเขากับภรรยาจะมีลูกชายอีกคนหนึ่ง หากมาจนถึงวันนี้ทั้งสองก็ยังรู้สึกเศร้าใจเมื่อนึกถึงความทรงจำของลูกสาวที่จากไปแล้ว ถ้าหาก...

              “ถ้าหาก...ให้เด็กคนนี้เป็นลูกของผมล่ะ” สุดท้ายหมอฮวนก็พูดขึ้นด้วยเสียงแปลกๆ

              “ว่าอะไรนะ”

              “ฝังศพทั้งสองคนนั้น แล้วก็เผาเกวียนทิ้งซะ เท่านี้ทางศาสนจักรก็ไม่รู้”

              “เจ้านี่ท่าจะบ้าไปแล้ว!” หัวหน้าหมู่บ้านอุทาน

              “ผมพูดจริงๆ นะ ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็ดีกับทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เหรอ ศาสนจักรก็ไม่รู้ เด็กคนนี้ก็ไม่ต้องตาย”

              “แต่...”

              “ถ้าหากท่านแจ้งศาสนจักรไปจริงๆ ท่านจะหาคำตอบให้พวกเขาได้เหรอว่า ‘ใคร’ หรือ ‘อะไร’ ฆ่าสองคนนั่น”

              “เรื่องนั้น...” หัวหน้าหมู่บ้านเป็นฝ่ายอึกอักบ้าง

              “ถ้าหากพวกเขาพาดพิงว่ามีปีศาจอยู่ในหมู่พวกเรา หรือพวกเราเป็นปีศาจซะเองล่ะ พวกเราจะไม่ยิ่งโชคร้ายไปกว่าเดิมเหรอ”

              หัวหน้าหมู่บ้านครุ่นคิดอยู่เป็นนาน ในขณะที่ชาวบ้านคนอื่นๆก็หันไปพูดปรึกษากันเองว่าจะทำอย่างไรกันดีแน่ หลายคนเริ่มเห็นด้วยกับความคิดของหมอฮวนเข้าแล้ว

              “ตกลง ฮวน ทำตามที่เจ้าบอกก็แล้วกัน” หัวหน้าหมู่บ้านพูดตอบช้าๆ “แต่เจ้าเองห้ามบอกคนอื่นๆ นอกหมู่บ้านเราเด็ดขาดว่าเด็กคนนี้เป็นใคร”

              “ครับหัวหน้าหมู่บ้าน” หมอฮวนรับคำด้วยน้ำเสียงดีใจ “ขอบคุณมากครับ ผมสัญญาว่าจะไม่บอกใครแน่ๆ ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะพาแกไปรักษาที่บ้านก่อนนะครับ”

              พอพูดจบเขาก็รีบรุดพาเด็กหญิงกลับเข้าไปในหมู่บ้านทันที และตรงไปยังหน้าบ้านของตนที่ซาระผู้เป็นภรรยา กับซาอิลูกชายวัยห้าขวบกำลังยืนรออยู่

              “เป็นยังไงบ้างจ๊ะพ่อ” ซาระร้องทักขึ้นเมื่อเห็นเด็กหญิง “อ้่าว...เด็กคนนั้นใครล่ะจ๊ะ”

              “ลูกของเราไงล่ะ! ซาระ ลูกสาวของเรา!” หมอฮวนรีบบอกอย่างดีใจ ก่อนจะรีบอธิบายเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของภรรยา “เด็กคนนี้รอดมาจากเกวียนที่เกิดเรื่องเมื่อคืนคนเดียวเท่านั้น...พ่อแม่ของแกตายหมด ฉันก็เลยพาแกกลับมาด้วย ซาระ...ช่วยไปต้มน้ำเตรียมไว้ทีนะ ฉันจะต้มยาให้แก”

              แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก ซาระก็พยักหน้ารับแล้วรีบเข้าไปในครัวหลังบ้านโดยเร็ว

              หมอฮวนตามเข้าไปข้างในบ้านของตน ซึ่งแบ่งพื้นที่ด้านหน้าแยกเป็นที่ตรวจและรักษาคนไข้ เขาวางร่างเด็กหญิงลงบนเตียงตรวจคนไข้แล้วเริ่มตรวจอาการของเธออีกครั้ง โดยมีลูกชายเกาะเขย่งเท้าเกาะขอบเตียง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่จ้องมองเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่าตนบอกความสนใจระคนสงสัย

              “เค้าเป็นใครเหรอฮะ”

              “เค้าชื่อโคริน” หมอฮวนตอบโดยไม่หันมามองหน้าลูกชาย “และจากนี้ไป...เค้าคือน้องสาวของลูก”


              หัวหน้าหมู่บ้านรักษาคำพูดที่ให้ไว้ มีการทำพิธีฝังศพของเจ้าของเกวียนกับหญิงสาวไว้ในสุสานประจำหมู่บ้านอย่างเงียบๆ เกวียนเล่มนั้น ซากลาและสัมภาระอื่นๆ ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ที่แสดงว่าเด็กหญิงเป็นใครมาจากไหน เว้นแต่สร้อยคอห้อยผลึกสีฟ้าเท่านั้นที่หมอฮวนตัดสินใจเก็บไว้เป็นเครื่องรางประจำตัวเธอ...

              หมอฮวนกับครอบครัวช่วยกันพยาบาลเด็กหญิงอย่างเต็มที่จนอาการของเธอดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เคราะห์ดีที่อาการช็อคจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เด็กหญิงสูญเสียความทรงจำในอดีตไปจนหมดสิ้น จึงเป็นการง่ายขึ้นที่เธอจะปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ในครอบครัวของหมอฮวนซึ่งรักและเอ็นดูเธอมาก มีหมอฮวนคอยให้ความรักอย่างพ่อ มีซาระคอยดูแลเหมือนแม่แท้ๆ และมีซาอิเป็นทั้งพี่ชายและเพื่อนเล่น

              ชีวิตในวัยเด็กของเด็กหญิงที่ได้ชื่อใหม่ว่า ‘โคริน’ นับว่าสงบสุขเรียบง่ายมาก จนไม่มีใครคาดคิดเลยด้วยซ้ำ ว่าชะตาชีวิตของเธอจะต้องผกผันไปเพียงใดในภายภาคหน้า โดยต้นเหตุนั้นก็คือ...แก้วผลึกสีฟ้าซึ่งเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่ติดตัวเธอมาจากในอดีตนั่นเอง

              นอกจากนี้ มันยังจะทำให้ชีวิตของคนอื่นๆ รอบตัวเธอต้องพลิกผันไปอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน...



              และในอีกสถานที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล เวลาก็ดำเนินผ่านไปเช่นเดียวกัน...

              ผนังรอบด้านของถ้ำน้ำแข็งเล็กๆ สะท้อนแสงแดดจากด้านนอกเป็นประกายสีฟ้าอ่อนเรือง อาบร่างของเด็กสาวที่นอนนิ่งสนิท ไร้ลมหายใจ ไร้เสียงหัวใจเต้น แต่ทว่าร่างอันไร้วิญญาณนี้ยังดูสดชื่น ราวกับเพียงแค่หลับไปเท่านั้น...เด็กหนุ่มคิดในขณะที่ยืนสงบมองร่างของหญิงอันเป็นที่รัก ในมือกำดอกไม้ที่เพิ่งเก็บมาไว้แน่น

              เขาโน้มกายวางมันลงข้างดอกไม้ดอกอื่นๆ ที่วางรายรอบร่างของเธอ กลีบหนาสีแดงสดของดอกไม้เหล่านั้นตัดกับผิวสีซีดเด่นชัด แม้กระทั่งดอกไม้ดอกแรกที่เขาเก็บมาเมื่อหลายเดือนก่อนยังสดใหม่ ไอเย็นช่วยรักษาสภาพของดอกไม้เหล่านี้กับร่างของเธอไว้ และคงจะคงอยู่เช่นนี้ไปตลอดกาล...

              เด็กหนุ่มเอื้อมมือแตะขนตายาวมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะเบาๆ อย่างโหยหา เพราะอยากให้ดวงตาคู่นี้ลืมขึ้นมามองเขาอย่างที่เคย...เพราะอยากได้ยินเสียงของเธออีกครั้ง เขาจึงต้องไป...ไปเพื่อทำให้ความปรารถนาเพียงสิ่งเดียวของเขาเป็นจริงขึ้นมาเท่านั้น

              “ตกลงว่าเจ้าจะไปจริงๆ สินะ” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปทางต้นเสียง ซึ่งเป็นชายชราหนวดเคราสีขาวยาวถึงพื้น สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่หนาทับเสื้อคลุมพ่อมดด้านใน

              “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำอย่างหนักแน่น

              “แล้วคิดว่าจะพบคทาชีวิตจริงๆ หรือ”

              “ตราบใดที่ยังไม่พบ ข้าก็จะไม่กลับมา”

              “เจ้ามีความมุ่งมั่นดีก็จริง แต่ว่า...” ชายชราพูดให้เหตุผล “ข้าอยากจะเตือนไว้สักหน่อยว่าอย่าฝืนทำอะไรเกินตัวนัก”

              เขาไม่ตอบ เอาแต่ทอดสายตาเลื่อนลอยออกไปยังทุ่งหิมะสีขาวเวิ้งว้างนอกปากถ้ำ ทั้งสองนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ชายสูงวัยจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

              “ยังจำได้ไหมว่าเจ้ามาอยู่กับข้านานเท่าไรแล้ว”

              เด็กหนุ่มคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ราวปีหนึ่งได้แล้วครับ”

              “...ถึงปีหนึ่งแล้วรึ...ข้ายังวันที่ข้าพบเจ้าบาดเจ็บอยู่ริมฝั่งได้ดีแท้ๆ...”

              “หลังจากเอเธอเรียถล่ม...” เขาเอ่ยช้าๆ “ข้าคิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ว่าจะต้องพาเธอไปที่ไหนสักแห่ง...ที่ปลอดภัยและพอจะรักษาเธอไว้ได้”

              “ก็เลยฝืนบินมาถึงนี่ ทั้งๆ ที่ทั้งปีกทั้งร่างมีบาดแผลตั้งหลายแห่งอย่างนั้นรึ” ชายชราพูดต่อ “แล้วมันคุ้มกันไหม กับการที่เจ้าต้องสูญเสียปีกไปเพราะบาดแผลสาหัสเกินเยียวยา” เขามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มซึ่งสวมเสื้อคลุมขนสัตว์อีกตัวทับอยู่ ในยามนี้เขาดูเหมือนเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง...ไม่เหลือร่องรอยของปีกสีทองคู่นั้นให้เห็นอีก

              “เพื่อเธอแล้ว...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างข้าก็ยอม”

              “ฮื่อ...” ชายชราทำเสียงในลำคอ “เพราะอย่างนี้มั้ง ข้าถึงได้ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ข้าเองน่ะอยู่มาจนปูนนี้แล้วยังไม่เคยเจอใครที่ห่วงคนที่ตายไปแล้วมากกว่าตัวเองที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเจ้าสักคน”

              เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง

              “แล้วนี้เจ้าคิดไว้หรือยังว่าจะไปที่เรอาลอย่างไร” ชายชราเปลี่ยนเรื่องพูด

              “ข้าคิดว่าจะเดินทางเลียบชายฝั่งไปจนถึงแหลมที่ใกล้หมู่เกาะเซโรที่สุด จากนั้นจะใช้มนต์ย้ายร่างไป คงจะเสียพลังเวทไม่มากนัก”

              “อืม...” ชายชราลูบเคราครุ่นคิด “ข้าก็คงไม่มีอะไรจะพูดอีก นอกเสียจากว่า อาจจะมีสักวันหนึ่งที่เจ้าย้อนกลับมา เมื่อเข้าใจในที่สุดว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่แท้จริงสำหรับเจ้าแล้วคืออะไร”

              เด็กหนุ่มนิ่งฟัง แม้ในใจของเขาจะตอบกับตนเองว่าเขารู้อยู่แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีแต่การนำแสงสว่างกลับมาสู่ดวงตาของเธอ...หญิงคนเดียวที่เขารักเท่านั้น เขาเดินออกไปที่หน้าปากถ้ำก่อนจะเหลียวมองร่างที่สงบนิ่งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย...

              “ข้าขอลาก่อน ท่านผู้เฒ่า... ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง และฝากดูแลเธอแทนข้าด้วย”

              พูดจบ เขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ชายชราได้แต่มองตามร่างที่ห่างออกไปทุกทีในทุ่งหิมะจนลับสายตาก่อนจะหันกลับมามองเด็กสาวที่นอนนิ่งอยู่แล้วกระซิบเบาๆ

              “แม่หนูเอ๊ย...นี่ถ้าเจ้ารู้ว่ามีคนที่ทุ่มเทเพื่อเจ้าได้ถึงขนาดนี้ เจ้าจะรู้สึกอย่างไรบ้างนะ”

              เงียบ…ไม่มีเสียงตอบ ราวกับเธอไม่ยอมรับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น ชายชราได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เขายืนนิ่งอยู่ในถ้ำน้ำแข็งนั้นเป็นเวลานาน

              จู่ๆ เสียงฝีเท้าเหยียบพื้นน้ำแข็งกลับดังขึ้นที่หน้าปากถ้ำอีกครั้ง ชายชราจึงพูดขึ้นโดยไม่หันกลับไปมอง

              “กลับมาทำไมล่ะเจ้าน่ะ ข้าก็รับปากแล้วไงว่าจะดูแลนางให้...”

              ทว่าแทนที่เสียงที่ตอบมาจะเป็นเสียงของชายหนุ่ม กลับเป็นเสียงของผู้หญิงที่ฟังดูนุ่มนวลกว่า

              “ไม่ได้พบกันเสียนานนะคะ...ผู้เฒ่าทัดดาซ”

              ชายชราหันกลับไป ที่ยืนเด่นบังแสงแดดอยู่หน้าปากถ้ำนั้น คือหญิงสาวผิวคล้ำ ดวงตาสีฟ้าสดใส ผมสีม่วงอ่อนจาง สวมชุดกระโปรงยาวเปิดไหล่ ไม่มีท่าทางถูกรบกวนจากลมหนาวเลยแม้แต่น้อย

              “ยังจำข้าเอสเทลล่าได้หรือเปล่าคะ” เธอหัวเราะน้อยๆ ในขณะที่ผู้เฒ่าทัดดาซมีท่าทางตะลึง “เผอิญท่านซิลเวนัสกับโอลิเวียมีธุระน่ะค่ะ เลยให้ข้ามาหาท่านแทน...” สายตาของหญิงสาวบังเอิญไปสะดุดกับร่างที่นอนสงบอยู่บนแท่นน้ำแข็ง เธอรีบปราดเข้าไปใกล้ก่อนที่ทัดดาซจะทันได้พูดอะไร

              “นี่น่ะเหรอ ‘คนรัก’ ของหนุ่มน้อยคนนั้น” ปลายเล็บยาวเคลือบสีชมพูอ่อนของเอสเทลล่าแตะแก้มขาวซีดเบาๆ “ช่างเป็นศพที่น่ารักจริงๆ ถ้าเอาเห็ดพิษมอสฟังกัสดำมาปลูกคงงามทีเดียวล่ะ” หญิงสาวหัวเราะก่อนจะปรายตามองชายชรา “อ๋อ...แต่คงไม่ได้สินะ ก็ท่านอุตส่าห์รับปากว่าจะดูแลให้เขาแล้วนี่”

              ผู้เฒ่าทัดดาซส่ายหน้าน้อยๆ ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นด้วยความอ่อนใจหรือสาเหตุอื่น

              “เจ้ามาที่นี่ทำไมรึ” เขาเปลี่ยนเรื่องถาม

              “ท่านซิลเวนัสฝากให้ข้ามาแจ้งข่าวท่าน...” เอสเทลล่าพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่เคร่งเครียดนัก “...ว่า ‘ลูกชาย’ ของท่าน ได้เป็นจอมมารของเผ่าปีศาจแล้ว”

              ทัดดาซอึ้งไปพักหนึ่ง

              “งั้นรึ...” เขารำพึงกับตนเอง “ก็ดี คงสมใจเขาแล้วสินะ”

              “เมื่อรู้อย่างนี้แล้วท่านคิดว่ายังไงล่ะ”

              ชายชราถอนหายใจ

              “ข้าออกจากเผ่าปีศาจมานานแล้ว...ไม่ขอออกความเห็นหรอก”

              “พูดมาตามตรงก็ได้นะคะ ข้ารับรองว่าจะไม่มีใครรู้ทั้งนั้น นอกจากท่านซิลเวนัส โอลิเวีย กับตัวข้า”

              “จะให้บอกตามตรง ข้าก็รู้สึกหนักใจอยู่ว่าหากมีผู้นำอย่างเขา...อนาคตของเผ่าปีศาจจะเป็นเช่นไร”

              “แล้วท่านจะนิ่งดูดาย ปล่อยให้เผ่าปีศาจที่ท่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสร้างขึ้นมาใต้การปกครองของท่านเอลโนอิลต้องเสื่อมสลายไปเหรอคะ ผู้เฒ่าทัดดาซ...พวกเราต้องการให้ท่าน... ‘จอมไสยเวทแห่งโลกมืด’ มาร่วมแผนการด้วยนะคะ”

              “ข้าขอปฏิเสธ ตัวข้าในตอนนี้เป็นเพียงตาแก่ธรรมดาๆ ที่อยากจะอยู่อย่างสงบ” เขาหันไปมองร่างของหญิงสาวบนแท่นน้ำแข็ง “กับคนที่ข้าได้รับฝากให้ดูแลเท่านั้น”

              “เฮ้อ...ข้าล่ะยอมแพ้จริงๆ” เอสเทลล่าถอนหายใจ “พ่อลูกคู่นี้หัวแข็งกล่อมยากพอๆ กันไม่มีผิด ข้าคงหมดธุระแค่นี้ล่ะ” หญิงสาวกลับหันหลังไปทางปากถ้ำ “ไว้วันหลังข้าจะกลับมาเยี่ยมใหม่นะคะ” เธอเหลียวหลังกลับมายิ้มหวาน “จะได้ถือโอกาสมาดูแม่หนูคนสวยเลยเสียด้วย”

              พูดจบแล้วเอสเทลล่าก็เดินจากไป ผู้เฒ่าทัดดาซละสายตาจากจากร่างที่เดินออกไปในทุ่งหิมะ หันกลับมาที่ร่างของหญิงสาวที่นอนสงบไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้นด้วยสายตาหนักใจ สังหรณ์บอกเขาว่าเห็นทีชายหนุ่มคนนั้นคงจะต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคมากมายเลยทีเดียว ในการตามหาสิ่งที่จะช่วยให้เขาฝืนโชคชะตาได้...ซึ่งเผ่าปีศาจก็กำลังค้นหาอยู่เช่นกัน


              เด็กหนุ่มเดินออกห่างจากถ้ำน้ำแข็งมาได้พอสมควรแล้ว ที่ผาริมฝั่งซึ่งทอดยาวนั้นคลื่นทะเลซัดสาดเกิดเสียงดังผสานกับเสียงนกหิมะที่ร้องพลางบินโฉบหาปลา หรือเกาะพักตามเกาะน้ำแข็งตามปกติ ชายหนุ่มคงจะไม่นึกสนใจพวกมันมากนัก ถ้าเขาไม่บังเอิญเห็นสิ่งที่แปลกประหลาดเข้า...

              นกหิมะตัวหนึ่งเพิ่งจะโฉบขึ้นจากผิวน้ำพร้อมกับคาบปลาขึ้นมา ทว่าในทันใดนั้น...บางสิ่งบางอย่างลักษณะคล้ายมือขนาดใหญ่สีดำก็ยื่นพ้นผิวน้ำขึ้นมาคว้าหมับที่กลางลำตัวของมัน นกตัวนั้นอ้าปากส่งเสียงแหลมบาดหูด้วยความตกใจ ส่งผลให้กับเด็กหนุ่มต้องหันไปมอง นกหิมะตัวอื่นๆ ในบริเวณนั้นบินฮือขึ้นด้วยความแตกตื่น

              ปลาที่มันจับขึ้นมาได้โอกาสกระโดดหนีลงน้ำ กลับเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่สำหรับเจ้านกเคราะห์ร้าย...สิ่งลึกลับสีดำดึงมันลงไปใต้ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ฟองอากาศผุดขึ้นมาแตกพรายอยู่บนพื้นน้ำเพียงแค่ครู่เดียวก็เงียบหายไป...เงียบสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

              เด็กหนุ่มจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด นึกอยากให้ตนเองตาฝาดไปเท่านั้น แต่เสียงร้องของนกหิมะ...ทั้งตัวที่เงียบหายไป และตัวอื่นๆ ที่ร้องรับ เป็นประจักษ์พยานชัดเจนว่าเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นต่อหน้า...เป็นความจริง

              เขาได้แต่หวังว่านั่นคงจะไม่ใช่มือของมัน...มือที่พรากคนรักของเขา และทำลายทุกสิ่งที่เขาเคยมีจนแหลกสลาย...



    - To be continued -

    บทที่ 1 - สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×