คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำที่ 2 - คืนจันทร์สีเลือด
บทนำที่ 2 ดวงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวงนั้นกลมโตเป็นสีแดงเลือดอย่างประหลาด แสงจันทร์สว่างส่องลอดม่านใบไม้ครึ้มลงมายังทางเกวียนเล็กๆ ซึ่งทอดยาวไปตามหุบเขาฮอลลัมอันคดเคี้ยว ทางลูกรังนั้นเงียบสงัด มีเพียงเกวียนเล็กเทียมลาเล่มหนึ่งเท่านั้นที่แล่นโกกเกกไปตามทางในค่ำคืนนี้โดยอาศัยแสงจันทร์และแสงตะเกียงนำทาง แม้ภายในเกวียนเล่มนั้นจะยังมีหญิงสาวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งหลับซบกันอยู่อย่างอ่อนระโหยข้างกองสัมภาระ และมีแสงไฟสลัวจากหมู่บ้านใกล้เคียงส่องลอดมาจากราวป่า ชายผู้บังคับเกวียนก็ไม่ได้หันไปหาที่พักแรมเลย หากแต่รีบเร่งเดินทางราวกับกำลังหนีบางสิ่งอยู่กระนั้น
ทางเกวียนซึ่งพ้นจากดงไม้มาแล้วออกสู่ที่โล่งฟ้าโปร่ง แลเห็นทางโค้งสันเขาอยู่ตรงหน้า แสงจันทร์กระจ่างทำให้คนขับเกวียนสังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีผมสีน้ำเงินเป็นประกายกำลังยืนขวางทางเกวียน มองพระจันทร์อยู่ด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“ขอทางหน่อยครับ!” ผู้บังคับเกวียนตะโกน “ช่วยถอยด้วย!”
ชายคนนั้นหันหน้ามาทางเกวียนช้าๆ ใต้แสงจันทร์สว่างนั้นดวงตาของเขาสะท้อนแสงสีแดงฉานเหมือนเลือด ชายคนขับเกวียนผงะเมื่อเห็นอักษรโบราณรูป A กลางหน้าผากและรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากของชายลึกลับ
แทนคำตอบ ชายหนุ่มกลับยื่นฝ่ามือแบตรงมาทางเกวียนเล่มนั้น ชั่วพริบตาต่อมาลำแสงสีม่วงดำก็สว่างวาบพุ่งตรงมาที่ลาเทียมเกวียนซึ่งร้องเสียงแหลมรับอย่างตื่นกลัว วินาทีต่อมามันก็ล้มลงกับพื้น ขาดใจตายสนิทโดยที่ไม่มีกระตุกเลยสักครั้ง ชายขับเกวียนร้องลั่น แรงสั่นสะเทือนจากการที่ลาล้มลงบวกกับเสียงร้องปลุกหญิงสาวกับเด็กน้อยในเกวียนให้ตกใจตื่นขึ้น
“ป...ปีศาจ” เขากระซิบเสียงสั่น ตาสีแดง...มีเพียงเผ่าปีศาจเท่านั้นที่มีตาสีแดงเลือด...แล้วยังพลังมืดนั่นอีก
ชายหนุ่มลึกลับหัวเราะน้อยๆ “ไม่ต้องกลัวไปหรอก” เขาเอ่ยเสียงเย็น “จะรีบร้อนไปไหนกัน มาเล่นสนุกกันก่อนดีกว่า ข้ากำลังเบื่ออยู่พอดี” พูดจบแล้วเขาก็ปราดเข้าไปหาชายขับเกวียนซึ่งนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกสะกด
“อ๊าาาาาาาาากกกกกกกกกกกกกกกก!”
ชายผู้บังคับเกวียนแผดเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดพร้อมกับทรุดลง เลือดไหลซึมออกมาตามร่องนิ้วของสองมือที่เขายกขึ้นปิดหน้า สิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มคือลูกนัยน์ตาทั้งสองข้างซึ่งเหลือกถลน...และโชกเลือดกลิ่นคาวคลุ้ง
ชายผู้เคราะห์ร้ายถูกควักนัยน์ตาดิ้นทุรนทุรายกลิ้งลงไปกองกับพื้น เป้าหมายต่อไปของชายหนุ่มลึกลับคือหญิงสาวในเกวียนที่กอดเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไว้แน่น และกำลังหวีดร้อง
“ไว้ชีวิตเด็กเถอะ จะฆ่าแกงหรือทำอะไรฉันก็เชิญ แต่อย่าทำอะไรเด็กคนนี้เลย!”
“จะฆ่าแกก่อนก็ได้
” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเหี้ยม “...แต่ถึงยังไงเด็กนี่ก็ต้องเป็นคนต่อไปอยู่ดี...”
แสงสีม่วงดำสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวฟุบลงในทันใดเช่นเดียวกับลาตัวนั้น เด็กหญิงคลานถอยกรูด ดวงตาเบิกกว้างฉายแววหวาดกลัวจ้องเขม็งไปที่ชายผู้มีอักขระโบราณกลางหน้าผาก ซึ่งโน้มกายเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นฝ่ามือออกมาหาเธอ...
ในขณะเดียวกันที่ป่าเซเร ทะเลสาบกลางลานหมู่บ้านอันว่างเปล่าของเผ่าเอลฟ์ยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งยืนมองท้องฟ้าอยู่ตามลำพัง เธอรู้สึกเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างรบกวนจิตใจตั้งแต่หัวค่ำแล้ว จึงได้ออกมาเดินเล่นดูดาว และสิ่งที่เห็นบนฟ้าก็ทำให้เด็กหญิงประหลาดใจมากจนต้องยืนนิ่งตะลึงงัน
เสียงไม้เท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะที่ดังขึ้นทำให้เด็กหญิงหันไปมอง ที่เธอเห็นคือชายชราหนวดเครายาวสีขาวผู้มีปลายหูเรียวแหลมเช่นเดียวกับเธอและเผ่าพันธุ์เอลฟ์ทั่วไปถือไม้เท้าเดินกระโผลกกระเผลกเข้ามาหา
“ท่านปู่...” เธอเรียกเบาๆ
“ดึกแล้วยังไม่นอนอีกหรือเซเรฟ” ชายชราพูดขึ้น
“หลานนอนไม่หลับน่ะค่ะ ก็เลยออกมาเดินเล่น แต่ท่านปู่เห็นนั่นไหมคะ
พระจันทร์สีแดง” เด็กหญิงพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่ดวงจันทร์กลมโตสีแดงฉานซึ่งเด่นอยู่กลางฟ้า
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์อยู่ชั่วครู่แล้วก็ถอนหายใจ
“ปู่แก่แล้ว ตาฝ้าฟางขนาดนี้มองไม่ชัดหรอก แต่นี่ ‘พระจันทร์สีเลือด’ ปรากฏขึ้นอีกแล้วรึ” ชายชรารำพึง “ใช่สินะ
ก็เมืองของพวกชาวฟ้าล่มสลายไปแล้วนี่”
“หมายความว่าอย่างไรคะท่านปู่ พระจันทร์นี่เกี่ยวข้องกับการที่เอเธอเรียถล่มตรงไหนหรือคะ”
“ทุกครั้งที่พระจันทร์สีเลือดปรากฏขึ้นจะเกิดการทำลายล้าง
การตาย
การสูญเสีย” เอลฟ์ชราอธิบาย “ ปู่เคยเห็นพระจันทร์สีเลือดมาหลายครั้งแล้วในช่วงสงครามสองร้อยปี ครั้งสุดท้ายที่จำได้ว่าเห็นคือตอนที่พวกชาวฟ้าฆ่าล้างเผ่ากาแร นเมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว ครั้งนี้ที่เกิดจันทร์สีเลือดขึ้น
เอเธอเรียก็ล่มสลาย”
“แต่นั่นเป็นสิ่งดีไม่ใช่หรือคะ” เซเรฟแย้ง “ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ไหนๆ ต่างก็ดีใจทั้งนั้นที่สิ้นพวกชาวฟ้า ขนาดวิญญาณธาตุทั้งหกยังยินดีด้วยเลย ท่านปู่ยังเคยพูดเองด้วยว่าพวกชาวฟ้าน่ะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฝืนธรรมชาติที่สุด
”
“ใช่ ปู่เคยพูดเช่นนั้น แต่
” ชายชราถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ “เซเรฟเอ๋ย
หลานยังเด็กนัก หลานคงจะไม่เข้าใจหรอกว่าสิ่งที่เคยทำลายเอเธอเรีย
ก็อาจจะหันมาทำลายเผ่าพันธุ์อื่นๆได้เช่นกัน ดูพวกมนุษย์ซิ มัวแต่เฉลิมฉลองรื่นเริงดีใจกับหายนะของชาวฟ้า ไม่ได้เฉลียวคิดสักนิดว่าพวกเขาอาจจะเป็นเผ่าพันธุ์ต่อไปที่จะถูกทำลายก็ได้”
“หมายความว่า
ท่านปู่รู้สาเหตุที่เอเธอเรียล่มเหรอคะ”
ชายชราส่ายหน้า
“ไม่รู้แน่หรอกหลาน ปู่ก็เพียงแต่คาดเดาตามประสาเอลฟ์ขี้ระแวงเท่านั้นแหละ” น้ำเสียงของปู่บอกกับเซเรฟอย่างชัดเจนว่าท่านไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก
“ถ้าอย่างนั้น
” เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่องพูด “ เราจะรู้ไม่ได้เลยเหรอคะว่าพระจันทร์สีเลือดจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร จะได้หลีกเลี่ยงหายนะได้”
“ไม่ได้หรอก พระจันทร์สีเลือดไม่เหมือนการเคลื่อนที่ของกลุ่มดาวซึ่งคงที่ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น มันอาจจะเกิดขึ้นอีกเดือนหน้า หรืออีกสิบปีข้างหน้าก็ได้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือหายนะจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏของมัน ทุกครั้ง”
เซเรฟนิ่งอึ้งไปเมื่อเอลฟ์ชราพูดจบ ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันใต้แสงจันทร์สีแดง ปล่อยให้ความเงียบสงัดเข้าครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบ เด็กหญิงไม่อาจรู้ได้เลยว่าในใจของปู่เธอนั้นคิดถึงเรื่องอะไรอยู่
“เอาเถอะ นี่ก็ดึกแล้ว” ปู่ตัดบท “เซเรฟ รีบไปเข้านอนเสียเถอะนะ”
“ค่ะ” เซเรฟรับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินไปจากริมทะเลสาบ กลับบ้านของตน
เอลฟ์ชรามองตามหลานสาวไปจนลับสายตาก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้าอีกครั้ง คราวนี้เขามองไปทางดาวสีแดงดวงหนึ่งซึ่งอยู่บนฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
“เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ” เขารำพึงกับตนเอง “คงอีกไม่นานแล้วสินะ ท่านพี่
ที่เซเรฟจะต้องรู้ความจริงของตัวเธอเอง
กับท่าน พี่ซิลเวนัส”
ผ่านไปนับค่อนคืน ชายหนุ่มผู้มีอักษรโบราณอยู่กลางหน้าผากยังคงยืนชมจันทร์วันเพ็ญอยู่ตามเดิม หากแต่เปลี่ยนสถานที่จากทางเดินริมเขานั้นเป็นบนยอดไม้สูง ในมือของเขายังถือดวงตาทั้งสองดวงอยู่ เขาชูมันขึ้น จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบีบจนแตก ละอองเลือดกระเซ็นถูกหน้า...ย้อมมือข้างนั้นจนเป็นสีแดงฉาน และไหลหยดย้อยลงเป็นทางตามท่อนแขน ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มลงมองพื้นป่าด้านล่างแล้วพูดขึ้น
“ไม่นึกเลยว่าเราจะได้พบกันที่นี่...โอลิเวีย”
ในทันใดนั้นร่างร่างหนึ่งก็กระโจนขึ้นจากพื้นป่าขึ้นมายืนบนยอดไม้ใกล้ๆ ด้วยความเร็วและกำลังที่เหนือมนุษย์ เป็นหญิงสาวที่มีผมสีแดงเพลิงยาวระคอ สวมหน้ากากปกปิดดวงตา และสวมผ้าคลุมยาวสีแดงทับชุดสีดำกลืนไปกับความมืด
“รู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“ข้าตามรอยเลือดมาจากเกวียนที่ท่านเพิ่ง ‘จัดการ’ ไปเมื่อครู่นี้”
“งั้นเหรอ จมูกดีนี่ สมแล้วที่เป็นอดีตมือซ้ายของเอลโนอิล”
โอลิเวียสะกดอารมณ์ที่พลุ่งขึ้นมาก่อนจะกลั้นเสียงถามเรียบๆ
“ทำไมถึงต้องฆ่ามนุษย์พวกนั้น อาร์เซนิคซ์”
ชายผู้ถูกเรียกว่า 'อาร์เซนิคซ์' ชูมือที่โชกเลือดขึ้นต้องแสงจันทร์พร้อมกับยิ้มเยือกเย็น
“ ข้าก็แค่อยากเห็นว่า...เมื่อเลือดสะท้อนแสงจันทร์สีเลือดแล้วมันจะสวยงามแค่ไหนน่ะสิ” เขาหันกลับมาหาโอลิเวีย “แล้วเจ้าล่ะ มีธุระอะไรกับข้ารึ”
“ข้าจะมาบอกว่า ‘นครแห่งเทพต้องสาป’ ล่มสลายแล้วเมื่อวันนี้”
“เอเธอเรียน่ะหรือ” อาร์เซนิคซ์ทอดสายตามองไปทางขอบฟ้า แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของนครลอยฟ้าเลย “ล่มก็ล่มไปสิ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับข้าตรงไหน”
“ ท่านซิลเวนัสคิดว่าเมื่อเอเธอเรียล่มสลายแล้ว...ศาสนจักรจะกำลังลำพองใจที่สิ้นศัตรูสำคัญไป จึงเป็นโอกาสดีที่จะทำพิธีชุบชีวิตท่านเอลโนอิล...จ้าวชีวิตของ พวกเรา”
“ของเจ้าคนเดียวสิไม่ว่า” ชายหนุ่มย้อนเสียงเย้ยหยัน ในขณะที่โอลิเวียต้องพยายามระงับความโกรธไว้อย่างยากเย็นอีกครั้ง
“ท่านซิลเวนัสให้มาขอความร่วมมือจากท่าน อาร์เซนิคซ์...ในฐานะที่ท่านเป็นหนึ่งในผู้ตระเวนราตรีที่มีพลังแข็งกล้าที่สุด เพื่อชุบชีวิตท่านเอลโนอิลพวกเราต้องตามหาคทาชีวิตกับพลอยทั้งเจ็ดที่ประดับยอดคทา ร่วมทั้ง ‘ร่าง’ ที่จะให้ท่านเอลโนอิลใช้ พวกเราต้องการกำลังพลเป็นอย่างมากเพื่อหาสิ่งเหล่านี้ให้ครบโดย เร็วที่สุด”
“ขอบใจที่อุตส่าห์ชม แต่...” อาร์เซนิคซ์แค่นยิ้มก่อนจะหันหลังให้โอลิเวีย “ ...กลับไปบอกเจ้าเอลฟ์เฒ่านั่นได้เลยว่าข้าไม่มีวันเล่นด้วยหรอก”
“ทำไม!” คราวนี้โอลิเวียควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่อยู่อีกแล้ว เสียงของเธอเริ่มแข็งขึ้นบ้าง
“จะบอกให้ก็ได้ ข้อแรกคือ...ข้าไม่ได้ผูกพันกับเอลโนอิลมากถึงขนาดจะยอมลำบากหาทางชุบชีวิตขึ้นมา ข้อที่สอง...ในเมื่อไม่มีอดีตจอมมารแล้ว ข้าซึ่งมีความสามารถสูงสุดก็จะได้เป็นจอมมารคนต่อไปแน่นอน เรื่องอะไรจะยอมเป็นลูกน้องตลอดไปล่ะ และข้อที่สาม...สิ่งที่ข้าชื่นชอบมากที่สุดก็มีแต่ ‘การฆ่า’ เท่านั้น คงเข้าใจใช่ไหม”
“ก็ได้” โอลิเวียยักไหล่อย่างเมินเฉย “ข้าก็รู้ว่าคนอย่างท่านคงไม่ยอมตกลงแน่ แต่ท่านซิลเวนัสก็สั่งให้ข้าหาตัวท่านให้พบให้ได้ เอาเถอะ...” เธอกระโดดลงจากยอดไม้อย่างนุ่มนวลเช่นเดียวกับตอนกระโดดขึ้น แล้วจึงแหงนหน้าขึ้นมองยอดไม้ที่ชายหนุ่มยังคงยืนเด่นอยู่ “ตราบใดที่ท่านไม่ขัดขวางการค้นหาของพวกเรา เราทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ต้องเป็นศัตรูกัน สักวันเราคงจะได้พบกันใหม่...อาร์เซนิคซ์” กล่าวจบหญิงสาวก็ผละจากไป ทิ้งอาร์เซนิคซ์ไว้เพียงลำพังกับดวงจันทร์สีเลือดอีกครั้ง
“แน่นอน” ชายหนุ่มกระซิบกับตนเองเบาๆ “ ข้ายังไม่ขัดขวางหรอก...ตราบใดที่แผนการชุบชีวิตของพวกเจ้าไม่มีโอกาสจะสำเร็จ”
คืนจันทร์สีเลือด
ดวงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวงนั้นกลมโตเป็นสีแดงเลือดอย่างประหลาด แสงจันทร์สว่างส่องลอดม่านใบไม้ครึ้มลงมายังทางเกวียนเล็กๆ ซึ่งทอดยาวไปตามหุบเขาฮอลลัมอันคดเคี้ยว ทางลูกรังนั้นเงียบสงัด มีเพียงเกวียนเล็กเทียมลาเล่มหนึ่งเท่านั้นที่แล่นโกกเกกไปตามทางในค่ำคืนนี้โดยอาศัยแสงจันทร์และแสงตะเกียงนำทาง แม้ภายในเกวียนเล่มนั้นจะยังมีหญิงสาวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งหลับซบกันอยู่อย่างอ่อนระโหยข้างกองสัมภาระ และมีแสงไฟสลัวจากหมู่บ้านใกล้เคียงส่องลอดมาจากราวป่า ชายผู้บังคับเกวียนก็ไม่ได้หันไปหาที่พักแรมเลย หากแต่รีบเร่งเดินทางราวกับกำลังหนีบางสิ่งอยู่กระนั้น
ทางเกวียนซึ่งพ้นจากดงไม้มาแล้วออกสู่ที่โล่งฟ้าโปร่ง แลเห็นทางโค้งสันเขาอยู่ตรงหน้า แสงจันทร์กระจ่างทำให้คนขับเกวียนสังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีผมสีน้ำเงินเป็นประกายกำลังยืนขวางทางเกวียน มองพระจันทร์อยู่ด้วยท่าทางสบายอารมณ์
“ขอทางหน่อยครับ!” ผู้บังคับเกวียนตะโกน “ช่วยถอยด้วย!”
ชายคนนั้นหันหน้ามาทางเกวียนช้าๆ ใต้แสงจันทร์สว่างนั้นดวงตาของเขาสะท้อนแสงสีแดงฉานเหมือนเลือด ชายคนขับเกวียนผงะเมื่อเห็นอักษรโบราณรูป A กลางหน้าผากและรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากของชายลึกลับ
แทนคำตอบ ชายหนุ่มกลับยื่นฝ่ามือแบตรงมาทางเกวียนเล่มนั้น ชั่วพริบตาต่อมาลำแสงสีม่วงดำก็สว่างวาบพุ่งตรงมาที่ลาเทียมเกวียนซึ่งร้องเสียงแหลมรับอย่างตื่นกลัว วินาทีต่อมามันก็ล้มลงกับพื้น ขาดใจตายสนิทโดยที่ไม่มีกระตุกเลยสักครั้ง ชายขับเกวียนร้องลั่น แรงสั่นสะเทือนจากการที่ลาล้มลงบวกกับเสียงร้องปลุกหญิงสาวกับเด็กน้อยในเกวียนให้ตกใจตื่นขึ้น
“ป...ปีศาจ” เขากระซิบเสียงสั่น ตาสีแดง...มีเพียงเผ่าปีศาจเท่านั้นที่มีตาสีแดงเลือด...แล้วยังพลังมืดนั่นอีก
ชายหนุ่มลึกลับหัวเราะน้อยๆ “ไม่ต้องกลัวไปหรอก” เขาเอ่ยเสียงเย็น “จะรีบร้อนไปไหนกัน มาเล่นสนุกกันก่อนดีกว่า ข้ากำลังเบื่ออยู่พอดี” พูดจบแล้วเขาก็ปราดเข้าไปหาชายขับเกวียนซึ่งนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกสะกด
“อ๊าาาาาาาาากกกกกกกกกกกกกกกก!”
ชายผู้บังคับเกวียนแผดเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดพร้อมกับทรุดลง เลือดไหลซึมออกมาตามร่องนิ้วของสองมือที่เขายกขึ้นปิดหน้า สิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มคือลูกนัยน์ตาทั้งสองข้างซึ่งเหลือกถลน...และโชกเลือดกลิ่นคาวคลุ้ง
ชายผู้เคราะห์ร้ายถูกควักนัยน์ตาดิ้นทุรนทุรายกลิ้งลงไปกองกับพื้น เป้าหมายต่อไปของชายหนุ่มลึกลับคือหญิงสาวในเกวียนที่กอดเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไว้แน่น และกำลังหวีดร้อง
“ไว้ชีวิตเด็กเถอะ จะฆ่าแกงหรือทำอะไรฉันก็เชิญ แต่อย่าทำอะไรเด็กคนนี้เลย!”
“จะฆ่าแกก่อนก็ได้ ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเหี้ยม “...แต่ถึงยังไงเด็กนี่ก็ต้องเป็นคนต่อไปอยู่ดี...”
แสงสีม่วงดำสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวฟุบลงในทันใดเช่นเดียวกับลาตัวนั้น เด็กหญิงคลานถอยกรูด ดวงตาเบิกกว้างฉายแววหวาดกลัวจ้องเขม็งไปที่ชายผู้มีอักขระโบราณกลางหน้าผาก ซึ่งโน้มกายเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นฝ่ามือออกมาหาเธอ...
ในขณะเดียวกันที่ป่าเซเร ทะเลสาบกลางลานหมู่บ้านอันว่างเปล่าของเผ่าเอลฟ์ยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งยืนมองท้องฟ้าอยู่ตามลำพัง เธอรู้สึกเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างรบกวนจิตใจตั้งแต่หัวค่ำแล้ว จึงได้ออกมาเดินเล่นดูดาว และสิ่งที่เห็นบนฟ้าก็ทำให้เด็กหญิงประหลาดใจมากจนต้องยืนนิ่งตะลึงงัน
เสียงไม้เท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะที่ดังขึ้นทำให้เด็กหญิงหันไปมอง ที่เธอเห็นคือชายชราหนวดเครายาวสีขาวผู้มีปลายหูเรียวแหลมเช่นเดียวกับเธอและเผ่าพันธุ์เอลฟ์ทั่วไปถือไม้เท้าเดินกระโผลกกระเผลกเข้ามาหา
“ท่านปู่...” เธอเรียกเบาๆ
“ดึกแล้วยังไม่นอนอีกหรือเซเรฟ” ชายชราพูดขึ้น
“หลานนอนไม่หลับน่ะค่ะ ก็เลยออกมาเดินเล่น แต่ท่านปู่เห็นนั่นไหมคะ พระจันทร์สีแดง” เด็กหญิงพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่ดวงจันทร์กลมโตสีแดงฉานซึ่งเด่นอยู่กลางฟ้า
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์อยู่ชั่วครู่แล้วก็ถอนหายใจ
“ปู่แก่แล้ว ตาฝ้าฟางขนาดนี้มองไม่ชัดหรอก แต่นี่ ‘พระจันทร์สีเลือด’ ปรากฏขึ้นอีกแล้วรึ” ชายชรารำพึง “ใช่สินะ ก็เมืองของพวกชาวฟ้าล่มสลายไปแล้วนี่”
“หมายความว่าอย่างไรคะท่านปู่ พระจันทร์นี่เกี่ยวข้องกับการที่เอเธอเรียถล่มตรงไหนหรือคะ”
“ทุกครั้งที่พระจันทร์สีเลือดปรากฏขึ้นจะเกิดการทำลายล้าง การตาย การสูญเสีย” เอลฟ์ชราอธิบาย “ ปู่เคยเห็นพระจันทร์สีเลือดมาหลายครั้งแล้วในช่วงสงครามสองร้อยปี ครั้งสุดท้ายที่จำได้ว่าเห็นคือตอนที่พวกชาวฟ้าฆ่าล้างเผ่ากาแร นเมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว ครั้งนี้ที่เกิดจันทร์สีเลือดขึ้น เอเธอเรียก็ล่มสลาย”
“แต่นั่นเป็นสิ่งดีไม่ใช่หรือคะ” เซเรฟแย้ง “ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ไหนๆ ต่างก็ดีใจทั้งนั้นที่สิ้นพวกชาวฟ้า ขนาดวิญญาณธาตุทั้งหกยังยินดีด้วยเลย ท่านปู่ยังเคยพูดเองด้วยว่าพวกชาวฟ้าน่ะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฝืนธรรมชาติที่สุด ”
“ใช่ ปู่เคยพูดเช่นนั้น แต่ ” ชายชราถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ “เซเรฟเอ๋ย หลานยังเด็กนัก หลานคงจะไม่เข้าใจหรอกว่าสิ่งที่เคยทำลายเอเธอเรีย ก็อาจจะหันมาทำลายเผ่าพันธุ์อื่นๆได้เช่นกัน ดูพวกมนุษย์ซิ มัวแต่เฉลิมฉลองรื่นเริงดีใจกับหายนะของชาวฟ้า ไม่ได้เฉลียวคิดสักนิดว่าพวกเขาอาจจะเป็นเผ่าพันธุ์ต่อไปที่จะถูกทำลายก็ได้”
“หมายความว่า ท่านปู่รู้สาเหตุที่เอเธอเรียล่มเหรอคะ”
ชายชราส่ายหน้า
“ไม่รู้แน่หรอกหลาน ปู่ก็เพียงแต่คาดเดาตามประสาเอลฟ์ขี้ระแวงเท่านั้นแหละ” น้ำเสียงของปู่บอกกับเซเรฟอย่างชัดเจนว่าท่านไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก
“ถ้าอย่างนั้น ” เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่องพูด “ เราจะรู้ไม่ได้เลยเหรอคะว่าพระจันทร์สีเลือดจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร จะได้หลีกเลี่ยงหายนะได้”
“ไม่ได้หรอก พระจันทร์สีเลือดไม่เหมือนการเคลื่อนที่ของกลุ่มดาวซึ่งคงที่ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น มันอาจจะเกิดขึ้นอีกเดือนหน้า หรืออีกสิบปีข้างหน้าก็ได้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือหายนะจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏของมัน ทุกครั้ง”
เซเรฟนิ่งอึ้งไปเมื่อเอลฟ์ชราพูดจบ ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันใต้แสงจันทร์สีแดง ปล่อยให้ความเงียบสงัดเข้าครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบ เด็กหญิงไม่อาจรู้ได้เลยว่าในใจของปู่เธอนั้นคิดถึงเรื่องอะไรอยู่
“เอาเถอะ นี่ก็ดึกแล้ว” ปู่ตัดบท “เซเรฟ รีบไปเข้านอนเสียเถอะนะ”
“ค่ะ” เซเรฟรับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินไปจากริมทะเลสาบ กลับบ้านของตน
เอลฟ์ชรามองตามหลานสาวไปจนลับสายตาก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้าอีกครั้ง คราวนี้เขามองไปทางดาวสีแดงดวงหนึ่งซึ่งอยู่บนฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
“เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ” เขารำพึงกับตนเอง “คงอีกไม่นานแล้วสินะ ท่านพี่ ที่เซเรฟจะต้องรู้ความจริงของตัวเธอเอง กับท่าน พี่ซิลเวนัส”
ผ่านไปนับค่อนคืน ชายหนุ่มผู้มีอักษรโบราณอยู่กลางหน้าผากยังคงยืนชมจันทร์วันเพ็ญอยู่ตามเดิม หากแต่เปลี่ยนสถานที่จากทางเดินริมเขานั้นเป็นบนยอดไม้สูง ในมือของเขายังถือดวงตาทั้งสองดวงอยู่ เขาชูมันขึ้น จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบีบจนแตก ละอองเลือดกระเซ็นถูกหน้า...ย้อมมือข้างนั้นจนเป็นสีแดงฉาน และไหลหยดย้อยลงเป็นทางตามท่อนแขน ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มลงมองพื้นป่าด้านล่างแล้วพูดขึ้น
“ไม่นึกเลยว่าเราจะได้พบกันที่นี่...โอลิเวีย”
ในทันใดนั้นร่างร่างหนึ่งก็กระโจนขึ้นจากพื้นป่าขึ้นมายืนบนยอดไม้ใกล้ๆ ด้วยความเร็วและกำลังที่เหนือมนุษย์ เป็นหญิงสาวที่มีผมสีแดงเพลิงยาวระคอ สวมหน้ากากปกปิดดวงตา และสวมผ้าคลุมยาวสีแดงทับชุดสีดำกลืนไปกับความมืด
“รู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“ข้าตามรอยเลือดมาจากเกวียนที่ท่านเพิ่ง ‘จัดการ’ ไปเมื่อครู่นี้”
“งั้นเหรอ จมูกดีนี่ สมแล้วที่เป็นอดีตมือซ้ายของเอลโนอิล”
โอลิเวียสะกดอารมณ์ที่พลุ่งขึ้นมาก่อนจะกลั้นเสียงถามเรียบๆ
“ทำไมถึงต้องฆ่ามนุษย์พวกนั้น อาร์เซนิคซ์”
ชายผู้ถูกเรียกว่า 'อาร์เซนิคซ์' ชูมือที่โชกเลือดขึ้นต้องแสงจันทร์พร้อมกับยิ้มเยือกเย็น
“ ข้าก็แค่อยากเห็นว่า...เมื่อเลือดสะท้อนแสงจันทร์สีเลือดแล้วมันจะสวยงามแค่ไหนน่ะสิ” เขาหันกลับมาหาโอลิเวีย “แล้วเจ้าล่ะ มีธุระอะไรกับข้ารึ”
“ข้าจะมาบอกว่า ‘นครแห่งเทพต้องสาป’ ล่มสลายแล้วเมื่อวันนี้”
“เอเธอเรียน่ะหรือ” อาร์เซนิคซ์ทอดสายตามองไปทางขอบฟ้า แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของนครลอยฟ้าเลย “ล่มก็ล่มไปสิ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับข้าตรงไหน”
“ ท่านซิลเวนัสคิดว่าเมื่อเอเธอเรียล่มสลายแล้ว...ศาสนจักรจะกำลังลำพองใจที่สิ้นศัตรูสำคัญไป จึงเป็นโอกาสดีที่จะทำพิธีชุบชีวิตท่านเอลโนอิล...จ้าวชีวิตของ พวกเรา”
“ของเจ้าคนเดียวสิไม่ว่า” ชายหนุ่มย้อนเสียงเย้ยหยัน ในขณะที่โอลิเวียต้องพยายามระงับความโกรธไว้อย่างยากเย็นอีกครั้ง
“ท่านซิลเวนัสให้มาขอความร่วมมือจากท่าน อาร์เซนิคซ์...ในฐานะที่ท่านเป็นหนึ่งในผู้ตระเวนราตรีที่มีพลังแข็งกล้าที่สุด เพื่อชุบชีวิตท่านเอลโนอิลพวกเราต้องตามหาคทาชีวิตกับพลอยทั้งเจ็ดที่ประดับยอดคทา ร่วมทั้ง ‘ร่าง’ ที่จะให้ท่านเอลโนอิลใช้ พวกเราต้องการกำลังพลเป็นอย่างมากเพื่อหาสิ่งเหล่านี้ให้ครบโดย เร็วที่สุด”
“ขอบใจที่อุตส่าห์ชม แต่...” อาร์เซนิคซ์แค่นยิ้มก่อนจะหันหลังให้โอลิเวีย “ ...กลับไปบอกเจ้าเอลฟ์เฒ่านั่นได้เลยว่าข้าไม่มีวันเล่นด้วยหรอก”
“ทำไม!” คราวนี้โอลิเวียควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่อยู่อีกแล้ว เสียงของเธอเริ่มแข็งขึ้นบ้าง
“จะบอกให้ก็ได้ ข้อแรกคือ...ข้าไม่ได้ผูกพันกับเอลโนอิลมากถึงขนาดจะยอมลำบากหาทางชุบชีวิตขึ้นมา ข้อที่สอง...ในเมื่อไม่มีอดีตจอมมารแล้ว ข้าซึ่งมีความสามารถสูงสุดก็จะได้เป็นจอมมารคนต่อไปแน่นอน เรื่องอะไรจะยอมเป็นลูกน้องตลอดไปล่ะ และข้อที่สาม...สิ่งที่ข้าชื่นชอบมากที่สุดก็มีแต่ ‘การฆ่า’ เท่านั้น คงเข้าใจใช่ไหม”
“ก็ได้” โอลิเวียยักไหล่อย่างเมินเฉย “ข้าก็รู้ว่าคนอย่างท่านคงไม่ยอมตกลงแน่ แต่ท่านซิลเวนัสก็สั่งให้ข้าหาตัวท่านให้พบให้ได้ เอาเถอะ...” เธอกระโดดลงจากยอดไม้อย่างนุ่มนวลเช่นเดียวกับตอนกระโดดขึ้น แล้วจึงแหงนหน้าขึ้นมองยอดไม้ที่ชายหนุ่มยังคงยืนเด่นอยู่ “ตราบใดที่ท่านไม่ขัดขวางการค้นหาของพวกเรา เราทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ต้องเป็นศัตรูกัน สักวันเราคงจะได้พบกันใหม่...อาร์เซนิคซ์” กล่าวจบหญิงสาวก็ผละจากไป ทิ้งอาร์เซนิคซ์ไว้เพียงลำพังกับดวงจันทร์สีเลือดอีกครั้ง
“แน่นอน” ชายหนุ่มกระซิบกับตนเองเบาๆ “ ข้ายังไม่ขัดขวางหรอก...ตราบใดที่แผนการชุบชีวิตของพวกเจ้าไม่มีโอกาสจะสำเร็จ”
- To be continued -
บทนำที่ 3 - เมื่อเวลาผ่านพ้น
ความคิดเห็น