ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings of Hope - ตำนานพลิกฟ้า

    ลำดับตอนที่ #23 : บทที่ 20 - ในความมืดที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 103
      0
      1 ม.ค. 49

    บทที่ 20

    In the Dark where Things Happen

    ในความมืดที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    การเดินทางของทั้งสองปกติก็ไม่มีคำพูดอะไรมากนัก แต่เวลาสามเดือนที่ได้เดินทางร่วมกันมาก็ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจว่าเพื่อนร่วมทางของเขาเป็นคนเงียบๆ เช่นนี้เอง แทบไม่มีครั้งไหนที่เด็กสาวชวนเขาคุยก่อน แต่เมื่อใดที่เขาชวนคุย เธอก็จะตอบด้วยเสียงที่แม้จะเรียบแต่แสดงความสนใจอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อย่างน้อยความเงียบที่เกิดจากการนึกเรื่องคุยไม่ออกก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากนัก



    ไม่ใช่ความเงียบในคืนนี้...ในคืนที่ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องในใจที่ไม่อาจพูดกันได้ เขาไม่รู้ว่าเธอมีเรื่องอะไรอยู่ ส่วนเธอ...เขาไม่แน่ใจ เป็นไปได้ทั้งสองทางว่าเธออาจไม่ทันสังเกตท่าทางของเขาและไม่รู้ หรือสังเกตได้และรู้ แต่ไม่อยากพูด



    เรมี่ได้แต่นั่งครุ่นคิดถึงคำพูดของเทียแม็ทพลางปรายตามองมาริเอลล่าที่นั่วพิงก้อนหินมองกองไฟอยู่ห่างออกไปเล็กน้อยภายในเขตอาคมเวทที่คุ้มกันที่พักของทั้งสองซึ่งเธอร่ายขึ้นมา เขารู้สึกว่าเธอคือ \'สิ่งสำคัญ\' ที่เจ้าแห่งมังกรผู้ล่วงรู้ทุกสิ่งบอกไว้ตั้งแต่แวบแรกที่ได้ยิน และเมื่อยิ่งคิดเขาก็ยิ่งแน่ใจว่าไม่มีสิ่งสำคัญอะไรที่เขาไม่อยากสูญเสียมากไปกว่าเธออีกแล้ว



    \"แมรี่...\" ชายหนุ่มตัดสินใจเรียกในที่สุด เด็กสาวเลื่อนสายตาขึ้นมามองพร้อมถามเรียบๆ



    \"มีอะไรเหรอ?\"



    \"มีที่ไหนที่แมรี่อยากไปหรือเปล่า?\"



    มาริเอลล่านิ่งเงียบไป...เป็นความเงียบที่ไม่มีคำตอบ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนพูดต่อ



    \"ฉันไม่อยากสืบอีกต่อไปแล้ว\" ถ้าต้องแลกกับการสูญเสียเธอ \"ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนต่อดี เลยถามแมรี่ดูว่าอยากไปไหนมั้ย\"



    ความเงียบอีกครั้ง...ก่อนที่เด็กสาวจะย้อนถาม



    \"เพราะคำพูดของเทียแม็ทน่ะเหรอ?\"



    เรมี่พยักหน้ารับ



    \"แมรี่ก็มีเรื่องที่เทียแม็ทบอกด้วยเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ?\"



    มาริเอลล่าผงกศีรษะตอบเช่นกัน หากยังปิดปากเงียบ เขาไม่ถามต่อเมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายไม่อยากตอบ และเสนอแทน



    \"กลับไปหาพี่ทริชช่ากันมั้ยล่ะ? หรือว่ามีที่อื่นที่แมรี่อยากไป?\"



    \"ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ\" เด็กสาวตอบเบาๆ ทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ แต่แล้วในทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่ม ด้วยสายตาบอกความรู้สึกที่เขารู้จักดี...สายตาอ้อนวอนราวกับเห็นคนในสายตาเป็นที่ยึดเหนี่ยวที่ไม่อยากให้แยกจากไป เช่นเดียวกับที่เขาเคยมองคนอีกคนหนึ่งมาก่อน \"ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น...ถ้ามีเรมี่อยู่ด้วย\"



    \"ตกลง\" เรมี่พูดตอบอย่างอ่อนโยนพร้อมกับบังคับตนเองให้ยิ้มน้อยๆ \"ยังไงเราก็จะไปด้วยกันอยู่แล้ว ฉันไม่มีวันทิ้งแมรี่ไว้คนเดียวหรอก สัญญาก็ไ-\"



    \"ฉันไม่ต้องการคำสัญญา...\" มาริเอลล่ากลับสั่นศีรษะด้วยท่าทางร้อนรนจนชายหนุ่มตกใจ \"อย่าให้คำสัญญาอะไรเลย ขอแค่อยู่...อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว...อยู่ด้วยกันจนถึงที่สุด...\"



    \"เดี๋ยว ใจเย็นๆ ก่อนสิแมรี่ เป็นอะไรหรือเปล่า?\" ชายหนุ่มทำท่าจะขยับเข้าไปใกล้ แต่จู่ๆ เด็กสาวก็หันหน้าไปอีกทางหนึ่ง และในวินาทีถัดมาเขาก็จับเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นไม่ไกลได้เช่นกัน



    ...เสียงของการต่อสู้...



    เรมี่ไม่พูดอะไรอื่นอีกนอกจากคว้าดาบแล้ววิ่งฝ่าอาคมคุ้มกันตรงไปยังทิศทางของเสียงนั้น ทำให้มาริเอลล่าต้องหยิบคทาตามไปเช่นกัน ทิ้งเรื่องที่พูดกันอยู่ให้ค้างไว้เพียงเท่านั้น



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    \"เรื่องที่ผมจะรายงานก็เป็นอย่างที่ส่งไปในความทรงจำของแมลงตัวนั้นแหละครับ ท่านอาร์เซนิคซ์\" นักบวชหนุ่มนั่งพูดกับดวงตาแดงฉานของนกกาตัวเขื่องที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เบื้องหน้า



    นกตัวนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยอริมฝีปาก เสียงของอาร์เซนิคซ์ตอบกลับมา



    \"เจ้าแน่ใจหรือว่าหมดแล้ว?\"



    \"ก็หมดแล้วน่ะสิครับ\" ลีก้ายืนยันแม้จะเริ่มรู้สึกหวั่นๆ ในใจ



    คำตอบจากอีกฝ่ายคือเสียงแค่นหัวเราะ



    \"แล้วเรื่องป้ายบอกทางนั่นเจ้าจะอธิบายกับข้าว่ายังไง?\"



    นักบวชหนุ่มเริ่มหน้าเปลี่ยนสี



    \"นี่ท่าน...\"



    \"เจ้านึกรึว่าข้าจะไม่มีหูตาที่อื่นอีก?\" อาร์เซนิคซ์ย้อนถาม \"นึกรึว่าจะปิดบังเรื่องแค่นี้กับข้าได้?\"



    \"ท...ท่านอาร์เซนิคซ์ครับ เรื่องป้ายนั่น...ผมไม่ได้ตั้งใจ...ไม่ได้คิดว่าผลจะ...\" ลีก้าละล่ำละลักอย่างหมดข้อแก้ตัว ด้วยรู้ว่าต่อให้พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับ อีกฝ่ายก็มีแต่จะโกรธเกรี้ยวมากขึ้นเท่านั้น



    \"ข้าไม่สนว่าเจ้าจะตั้งใจหรือไม่\" ผู้เป็นนายตัดบท \"แต่ข้าคงไม่ต้องถามเจ้าหรอกนะว่าควรจะทำยังไงลูกน้องที่ไม่เชื่อฟังกระทั่งคำสั่ง?\"



    \"...ขอโทษครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว\" นักบวชหนุ่มก้มหน้าลงตอบเบาๆ



    \"ทำงานที่ข้ามอบหมายให้ไปเรื่อยๆ จนกว่าข้าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง และอย่าได้คิดปิดบังอะไรกับข้าอีก\" จอมมารบัญชาต่อไป



    \"ครับท่านอาร์เซนิคซ์ จากนี้ไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแล้วครับ\"ลีก้าตอบอย่างนอบน้อม



    \"แล้วข้าจะรอรายงานจากเจ้าอีกที หากเกิดเรื่องอย่างคราวนี้อีกเจ้าจะไม่เหลือชีวิตไว้ทำงานให้ข้าแน่\" พูดจบแล้วนกกาตัวใหญ่ก็สยายปีกบินจากไป ทิ้งนักบวชหนุ่มให้ถอนใจอย่างโล่งอก



    เป็นจอมมารที่น่ากลัวกระทั่งกับลูกน้องคนสนิทที่สาบานตนเข้ามารับใช้ด้วยความสมัครใจ แน่ล่ะว่าเขาไม่เคยเห็นอาร์เซนิคซ์โกรธจริงๆ ในช่วงกว่าสามปีที่รับใช้ผู้เป็นนายเหนืออยู่ แต่ถึงขนาดคาดโทษไว้โดยไร้อารมณ์โกรธก็ทำให้เขาเย็นสันหลังวาบได้ถึงขนาดนี้...จนอดนึกไม่ได้ว่าหากจอมมารผู้นี้โกรธเกรี้ยวจริงๆ ขึ้นมาเมื่อใด...จะน่ากลัวและเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้สักแค่ไหน



    แถมกระบวนทรมานใจคนอื่นยังสมบูรณ์ไม่มีที่ติ...ลีก้าอดนึกต่อไม่ได้ เขารู้ว่าอาร์เซนิคซ์กำลังเล่นสงครามประสาทกับพวกของซิลเวนัส กับโอลิเวีย กับเอสเทลล่า และปีศาจปรปักษ์ตนอื่นๆ ด้วยวิธีการอันหลากหลาย กระทั่งหลายครั้งที่เขารู้เห็นว่าอาร์เซนิคซ์พูดกระทบกระเทียบสโนวี่ที่เป็นข้ารับใช้ มิหนำซ้ำยังมอบหมายงานที่แสนทรมานใจให้ แม้เขาจะไม่รู้รายละเอียดของอดีตของเพื่อนร่วมงานที่ไม่ยอมพูดอะไรกันเลยหากไม่จำเป็น และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาโดนเข้ากับตนเอง



    นักบวชหนุ่มกระหายอยากถามนักว่าอาร์เซนิคซ์รู้ใช่ไหมว่าพิออนเกี่ยวข้องกับ \'เป้าหมาย\' ของการสะกดรอยของเขา จึงได้ส่งเขามา...ให้เคียดแค้นว่าในที่สุดเขาก็ได้พบไอ้คนทรยศนั่น...อยู่ใกล้กันเพียงนิดเดียวหากทำอะไรมันไม่ได้เลย แต่หากถามไปคงไม่ได้รับคำตอบ ซ้ำยังมีแต่จะถูกตำหนิมากขึ้นเท่านั้น



    เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ลีก้าเริ่มคิดว่า...แล้วเขามารับใช้อาร์เซนิคซ์เพราะอะไรกัน? แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะต้องการอีกฝ่ายเป็นที่พึ่ง ต่อให้ไม่สาบานเป็นผู้ตระเวนราตรี เขาก็มีไสยเวทดำและศาสตร์มืดพอเอาตัวรอดจากการถูกตามล่าในฐานะคนนอกรีตได้ จะเป็นเพราะความทะเยอทะยานอยากได้อำนาจที่ทรงพลังยิ่งกว่านี้ก็ไม่ถูกเสียทีเดียวนัก แดนปีศาจเป็นสถานที่ที่ผู้ตระเวนราตรีเป็นเพียงประชากรชั้นสาม แม้ดูภายนอกจะมีสถานะและความเป็นอยู่ดีกว่าปีศาจเลือดไม่บริสุทธิ์ที่เป็นชนชั้นสองก็ตาม เงื่อนไขชีวิตที่ถูกผูกติดกับนายผู้เป็นเจ้าชีวิตของตนทำให้ผู้ตระเวนราตรีไม่อาจแข็งข้อล้มล้างนายได้ ทางเดียวที่จะยิ่งใหญ่ก็มีเพียงให้การสนับสนุนนายของตนจนเป็นใหญ่เกินใคร ซึ่งถึงอย่างไรตนเองก็ยังต้องอยู่ใต้นายเหนืออีกทีหนึ่งอยู่ดี



    บางที...อาจเป็นเพราะเขาต้องการ \'ประชด\' ตนเองก็ได้กระมัง



    เขาชื่นชอบศาสตร์มืดที่ศาสนจักรพร่ำสั่งสอนห้ามข้องแวะ เพราะอยากประชดพวกมันที่สั่งสอนให้อยู่ในกรอบของความดีงามจอมปลอม พระนักบวชผู้แสร้งทำเป็นว่าตนบริสุทธิ์และสูงส่งนัก แท้จริงแล้วลับหลังนั้นพวกมันบิดเบี้ยว โลภโมโทสันสะสมของมีค่า บ้างก็ยังคงรักใคร่ใหลหลงสตรี มัวเมาในกาม แล้วยังมีหน้ามาสอนสั่งเณรเล็กๆ ที่บวชเพราะความจำเป็นต้องมีที่พึ่งบังคับ ไม่ใช่ศรัทธา ให้ประพฤติตนบริสุทธิ์สมเป็นสาวกของพระเจ้า แล้วเช่นนี้ศรัทธาของจริงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?



    หากอย่างน้อยในตอนนั้นเขาก็ยังมีเพื่อน...เพื่อนที่เขาเชื่อมั่นว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไปด้วยกันจนถึงที่สุด ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางใดก็ตาม แล้วเป็นอย่างไรล่ะตอนนี้? กระทั่งเพื่อนคนนั้นก็ยังหักหลังเขา...บิดเบี้ยว...แปรเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน



    เพราะอย่างนี้กระมังเขาจึงได้พยายามทำตนเองให้ดิ่งลึก...บิดเบี้ยว...แปรเปลี่ยนไปเช่นเดียวกับมัน มีเพียงความบิดเบี้ยวเช่นนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาดำรงอยู่ได้ มีเพียงการเรียนรู้ความบิดเบี้ยวเท่านั้นที่จะทำให้เขาต่อกรกับมันได้...



    เพราะอย่างนี้ไง...ฉันถึงได้บิดเบี้ยวบ้าง ในเมื่อทุกสิ่งรอบตัวฉันมันบิดเบี้ยวไปหมดรวมทั้งแก...



    ห้วงความคิดหยุดลงทันทีเมื่อลีก้าสัมผัสได้ว่ามีผู้หนึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ไม่ห่างออกไปจากเขตอาคมที่เขากางกำบังตนนัก แมลงภูตที่เขาใช้สอดแนมตรวจตราโดยรอบส่งภาพเข้ามาในใจ ภาพของหญิงสาวปีกดำที่เดินเข้ามาใกล้โดยไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่



    หญิงชาวฟ้าที่หมายชีวิตของ \'เป้าหมาย\' ของท่านอาร์เซนิคซ์ มิหนำซ้ำเขายังเคยเห็นไอ้คนทรยศนั่นพูดอะไรบางอย่างกับหล่อนด้วย



    นักบวชหนุ่มลุกขึ้นยืนด้วยความคิดว่าบางทีอีกฝ่ายอาจให้คำตอบที่ทำให้เขาเข้าใจ \'มัน\' ได้มากขึ้น และจะอย่างไร ท่านอาร์เซนิคซ์ก็ห้ามไม่ให้เขายุ่งเกี่ยวกับเป้าหมาย ไม่ใช่หล่อน...



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    แวบแรกที่ได้ยินเสียงการต่อสู้...เรมี่บอกตนเองว่าคงมีใครเจอกับสัตว์ร้ายบนเทือกเขาโดมินิคเข้าแล้ว อย่างเบาๆ ก็คงก็อบลินฝูงหนึ่ง จนถึงอย่างเลวร้ายที่สุดอาจเป็นเบฮีมอธ แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ตาม คนคนนั้นอาจตกที่นั่งลำบากได้...ต่อให้มีฝีมือต่อสู้เลิศล้ำเหนือคนธรรมดาก็ตาม ความคิดนั้นเองที่ทำให้เขาหยิบดาบแล้ววิ่งตามไปดูโดยเร็ว



    หากภาพที่เห็นกลับแปลกตาเสียจนไม่น่าเชื่อ...



    ไม่ใช่คนกับสัตว์ร้าย...แต่เป็นคนกับคน ฝ่ายหนึ่งที่ดูเหมือนถูกไล่ล่าเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับเงาสีเงิน หากสายตาที่ฉับไวก็ยังพอมองออกว่าเป็นรูปร่างของคนร่างเล็ก ส่วนฝ่ายผู้ไล่ล่าตัวใหญ่กว่า สวมผ้าคลุมสีดำกลืนไปกับความมืดและเชื่องช้ากว่า แต่ก็ยังนับว่าเร็วเมื่อเทียบกับคนทั่วไป เงาสีเงินกับเงาสีดำไล่ล่าตามกันราวกับความมืดไล่ตามแสงสว่าง เงาสีดำดูเหมือนจะใช้อาวุธประเภทหน้าไม้คอยยิงลูกดอกไล่หลังเงาสีเงินเป็นระยะ แต่เงาสีเงินก็ว่องไวกว่า อาศัยลดเลี้ยวหลบหลังต้นไม้ หรือกระทั่งกระโจนปราดขึ้นไปบนกิ่งไม้กำบังกาย ทิ้งลูกดอกสีเงินวาวให้ปักคาบนพื้นหญ้าหรือลำต้นไม้เป็นแนว



    ภาพการไล่ล่าตรึงสายตาของเรมี่กับมาริเอลล่าที่เพิ่งตามมาให้นิ่งตะลึงงัน เงาสีเงินไม่มีการโต้ตอบ ทำเพียงพยายามหาทางหลบหนี หากแม้จะว่องไวก็ยังถูกเงาสีดำใช้หน้าไม้ยิงสะกัดดักทิศทางไว้จนดูราวกับทำได้เพียงวนหลบเป็นวงกลม สายตาของมาริเอลล่ามองปราดตามแนวการยิงลูกดอกทั้งบนลำต้นและบนพื้นครู่หนึ่งก็กระซิบบอกทั้งตนเองกับเรมี่เบาๆ ว่า \"เขตอาคมกักกัน\"



    การไล่ล่าสิ้นสุดเร็วกว่าที่คิดเมื่อลูกดอกแต่ละอันส่องแสงสว่างสีขาวขึ้นไล่เรื่อยกันราวกับถูกเชื่อมต่อด้วยเส้นพลังงานที่มองไม่เห็นจนกลายเป็นวงกลมสัญลักษณ์คล้ายวงเวท เงาสีเงินชะงักค้างอยู่ใจกลางวง เมื่อเงานั้นหยุดนิ่ง คนนอกทั้งสองที่แฝงกายอยู่เบื้องหลังหมู่ไม้จึงเห็นได้ชัด



    ร่างนั้นเล็กบอบบาง แขนขาเรียวยาวแบบเด็กแรกสาว ผิวขาวเผือดกับเส้นผมสีเงินที่รวบขึ้นทิ้งสองปลายยาวพลิ้วลงมาแทบถึงเข่านี่เองที่ทำให้ดูราวกับเรืองแสงสีเงิน ชุดที่สวมเป็นชุดเสื้อแขนยาวกับกระโปรงสั้นสีเทา ที่กระโปรง ชายแขนเสื้อกับผ้าคลุมไหล่มีลายเส้นตารางสีเขียวเข้มกับน้ำเงินตัดกัน ทั้งรูปร่างและการแต่งกายของเด็กสาวดูแปลกตาสำหรับนักเดินทางสมบุกสมบัน เธอมองตรงนิ่งไปทางผู้ไล่ล่า มือข้างซ้ายกุมหลังมือขวาซึ่งมีลูกดอกอันหนึ่งปักคาอยู่ เลือดสีแดงสดไหลซึมตัดกับสีขาวเรืองของผิวกาย



    ทางฝ่ายเงาสีดำผู้ไล่ล่าก็ปรากฎชัดขึ้นเช่นกัน ชายหนุ่มสวมผ้าคลุมและชุดสีดำพรางตา ใบหน้ากับปอยผมสีมืดซ่อนเร้นอยู่ใต้เงาของหมวกคลุม สองมือถือหน้าไม้นิ่งเล็งตรงมายังเด็กสาว ใต้เงาของผ้าคลุมสีดำมีแถบคาดอาวุธหลากหลาย ทั้งฝักดาบยาว มีดสั้นและแผงลูกดอกที่ต้นขาข้างหนึ่ง คมของอาวุธชิ้นใดก็ตามที่แพลมออกมาให้เห็นล้วนเป็นสีเงินแวววาวกว่าอาวุธที่เห็นตามปกติ



    ทั้งสองยังคงยืนนิ่งเงียบประจันหน้ากันโดยไร้คำพูดเป็นนาน ก่อนที่นิ้วมือของชายชุดดำจะค่อยๆ เลื่อนไปที่สลักของหน้าไม้ช้าๆ เด็กสาวขยับตัววูบหนึ่ง



    เรมี่ร้องตะโกนเรียกความสนใจอีกฝ่ายพร้อมกับถือดาบกระโจนออกไปจากที่กำบังในทันที ชายชุดดำหันมาหาเขาพร้อมกับถอยหลัง แม้เรมี่จะบังคับดาบให้ฟันวืดเฉียดเบื้องหน้าเขาไปก็ตาม นั่นเพราะเด็กสาวผมสีเงินไม่รอให้เสียโอกาส เธอคว้าง้าวเล่มยาวออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ฟาดไปยังจุดที่ชายชุดดำเคยยืนอยู่พร้อมกับร้องบอกเรมี่



    \"ดึงลูกดอกตรงไหนก็ได้ขึ้นมา!!\"



    ชายหนุ่มทำตามคำบอกโดยเร็ว เส้นแสงที่วิ่งวนเป็นวงเวทพลันดับวูบเมื่อขาดสลัก เด็กสาวชูมือข้างขวาขึ้น เอ่ยถ้อยคำคล้ายร่ายมนต์สั้นๆ ก่อนปล่อยสายฟ้าจากฝ่ามืดไล่ตามชายชุดดำซึ่งรีบม้วนตัวหลบไปด้านข้างแล้วยิงหน้าไม้สวนกลับ หากเด็กสาวหลบได้อย่างว่องไว อีกฝ่ายจึงจำใจปราดเข้าหลบหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง คงเผื่อกันเด็กสาวใช้เวทมนตร์สายฟ้าอีกครั้ง คำพูดแรกที่ชายชุดดำร้องขึ้นคือ



    \"แกเข้ามาช่วยมันทำไม?!\"



    แน่นอนว่าคำพูดนั้นต้องการส่งให้เรมี่ ชายหนุ่มตอบทันควัน



    \"แกกำลังจะฆ่าเค้า เหตุผลแค่นี้พอรึยัง?!\"



    ชายหลังต้นไม้เปล่งเสียงกึ่งแค่นหัวเราะด้วยความขัน กึ่งรำคาญ



    \"แกลองมองดูมันให้เต็มตาสิ! คิดเรอะว่ามันเป็นมนุษย์น่ะ?!\"



    เรมี่หันไปมองเด็กสาวผิวเผือดอย่างสงสัย ก็เห็นชัดๆ อยู่ไม่ใช่หรือว่าเธอมีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์...ถึงผิวจะซีดเผือดจนเหมือนเรืองแสง...และดวงตาจะ...



    ชายหนุ่มเริ่มเบิกตากว้าง...เพิ่งสังเกตว่าดวงตาของเด็กสาวที่จ้องตอบเขาอย่างเรียบๆ นั้นเป็นสีแดงสุกใสเหมือนเลือดสดๆ ยามต้องแสง เธอชิงบอกเขาด้วยเสียงเรียบๆ



    \"ข้าเป็นแวมไพร์ แต่ข้าไม่เคยทำร้ายมนุษย์คนไหน จู่ๆ เจ้านักล่านั่นก็มาตามล่าข้าก่อน\"



    \"แกบอกได้เต็มปากเรอะว่าไม่เคย?\" เสียงของชายชุดดำโต้กลับ \"เงาที่ฉันเห็นในวันนั้น...ในวันที่พ่อกับแม่ของฉันถูกฆ่าตายเป็นแกแน่ๆ! ไม่มีวันผิดหรอก!!\"



    \"ข้าจะไปฆ่าพ่อแม่เจ้าได้ยังไงในเมื่อข้าไม่เคยฆ่าใครทั้งนั้น? ข้าเพิ่งออกจากหุบเขามาเป็นครั้งแรกก็ถูกเจ้าทึกทักเอาว่าฆ่าพ่อแม่แล้วไล่ตามข้ามาตลอด ถ้าข้าเคยฆ่าคนจริงๆ ข้าก็คงจะฆ่าเจ้าแล้วดื่มเลือดจนหมดตัวไปแล้ว\" เด็กสาวยังคงแย้งค่อนข้างเรียบ



    \"ที่แกฆ่าฉันไม่ได้เป็นเพราะฉันมีเครื่องป้องกันตัวต่างหากเล่า!\"



    \"เครื่องป้องกันตัว...กะแค่สร้อยเงินเล็กๆ นั่นน่ะเหรอ?\" เสียงของเด็กสาวเจือความขบขัน \"จริงอยู่เงินเป็นอาวุธอันตรายสำหรับเผ่าพันธุ์ของพวกข้า แต่ตราบใดที่เงินนั้นไม่มีปลายแหลมแทงทะลุเนื้อ ก็ไม่อาจทำอะไรพวกข้าได้ ดังนั้นรูปเคารพทำจากเงินไม่มีผลอะไรกับพวกข้าเลย\"



    เรมี่ได้แต่ยืนนิ่งฟังทั้งสองเถียงกันอย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อดี จนมาริเอลล่าแตะแขนเบาๆ เขาจึงได้ก้มลงมองเธอที่มายืนอยู่ข้างๆ ดวงตาสีฟ้าที่สบกับดวงตาของเขาพร้อมกับการพยักพเยิดไปข้างหลังบอกว่าควรจะถอยห่างออกมาจากเรื่องของทั้งสอง แต่แล้วเรมี่ก็หันไปมองเด็กสาวแวมไพร์ที่ยังคงเถียงกับชายชุดดำหลังต้นไม้อยู่ สัญชาตญาณบอกเขาว่าดูท่าทางเด็กสาวไม่น่าจะฆ่าใครได้ ไม่น่าจะเคยฆ่าใครอย่างที่ชายคนนั้นกล่าวหา มิหนำซ้ำตอนถูกตามล่าทีแรกก็เอาแต่หาทางหลบหนีเหมือนไม่อยากสู้ เธอไม่มีทีท่าว่าจะเป็นคนเลวเลยสักนิด...ผิดกับชายชุดดำที่มากล่าวหาเธอเอาดื้อๆ และทำท่าจะฆ่าโดยไม่ฟังเสียง



    \"ก็แล้วแกออกมาจากหุบเขาของแกทำไมล่ะ? ในเมื่ออยู่ในหุบเขาพวกแกก็อยู่กันได้ไม่ใช่เรอะ? เหตุผลเดียวที่แกออกมาก็คือออกมาหาเลือดมนุษย์กินเท่านั้นแหละ!! ถึงแกจะไม่ใช่แวมไพร์ที่ฆ่าพ่อแม่ของฉัน แกก็กำลังจะไปฆ่าคนอื่น!! ฉันในฐานะนักล่าแวมไพร์จะยังไงก็ปล่อยแกไปไม่ได้!!\"



    พาเค้าไปด้วยเถอะ...เรมี่ขยับปากบอกมาริเอลล่าอย่างเงียบๆ พร้อมกับพยักพเยิดไปทางเด็กสาวแวมไพร์ เด็กสาวลูกครึ่งเอลฟ์มีท่าทางลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ



    \"ข้ามีเหตุผลของข้า\" น้ำเสียงของเด็กสาวเริ่มบอกความรำคาญ \"แล้วนั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าต้องบอก-\"



    เด็กสาวชะงักค้างไปเมื่อมีสัมผัสจับที่ข้อมือ เธอหันไปมองชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่เคยเข้ามาช่วยอย่างประหลาดใจ ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายกระตุกมือให้วิ่งไปด้วยกันโดยไม่พูดอะไร เบื้องหลังนั้นเธอเห็นเด็กสาวผมสีเงินอีกคนหนึ่งกำลังควงคทาที่มีหัวเป็นรูปจันทร์เสี้ยวพร้อมกับร่ายมนต์



    \"ฟ็อก ออฟ ดีเซปชั่น!!\"



    ชายชุดดำประหลาดใจเมื่อฉับพลันนั้นม่านหมอกก็คลุ้งกระจายคลุมบริเวณโดยรอบจนตนเองมองเห็นเพียงสีขาวมัว ไม่เพียงเท่านั้น เสียงฝีเท้าที่วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ ก็ถูกสายหมอกดูดซับจนแผ่วหายไป จับทางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เขากัดฟันกรอด กำหมัดทุบลำต้นไม้...สบถตนเองที่เผลอเรอเกินไปจนไม่ทันสังเกตว่านอกจากชายนักดาบที่เข้ามาขวางแล้วยังมีนักเวทพรรคพวกของมันอีก ในเมื่อสภาพการณ์เป็นแบบนี้เขาคงได้แต่คอยให้หมอกเวทมนตร์จางหายไป แล้วค่อยออกตามรอยแวมไพร์ตนนั้นอีกครั้ง



    ยังไงซะเราต้องฆ่าเธอให้ได้ด้วยมือของตัวเอง...เราต้องฆ่าเธอเอง...เพราะเธอเป็น...



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    อาร์คาโดหันขวับไปทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ผู้ที่เธอเห็นคือชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมสีขาว...หากไม่ใช่ชายสวมแว่นตาลึกลับผู้นั้น หญิงสาวกระชับด้ามดาบในมือเตรียมชักออกมาอย่างไม่ประมาท แม้ดูท่าทางอีกฝ่ายจะเข้ามาใกล้โดยต้องการให้เธอรู้ตัว ซึ่งแสดงว่าจุดประสงค์ไม่น่าจะใช่ลอบทำร้าย แต่ถึงเขาจะต้องการพูดอะไร เธอก็คงฟังไม่เข้าใจ ในบางครั้งอาร์คาโดก็นึกเจ็บใจตนเองที่รู้เพียงภาษาเฟเธอเรี่ยน ปีกที่ติดตัวอยู่เป็นเครื่องหมายบอกว่าเธอเป็นชาวฟ้า เท่ากับว่าหากเธอไปปรากฎตัวในที่ชุมชนของมนุษย์--ศัตรูคู่แค้นกันมาของเผ่าพันธุ์เธอ--ไม่ว่าเมื่อใดย่อมเกิดเรื่องใหญ่ เธอจึงไม่มีโอกาสเรียนรู้ภาษาเรอาลเลี่ยนได้เลย



    แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องแปลกใจมากเมื่อได้ยินชายหนุ่มคนนั้นพูดชัดถ้อยชัดคำ...ไม่ใช่ภาษาเฟเธอเรี่ยน...หากประหลาดที่เธอฟังเข้าใจถ่องแท้



    \"สวัสดี\"



    \"/ทำไมฉันถึงฟังออกว่าแกพูดอะไร?/\" อาร์คาโดถามออกไป \"/แกฟังที่ฉันพูดออกใช่มั้ย?/\"



    คำตอบของอีกฝ่ายคือการพยักหน้าพร้อมรับรอง



    \"ชัดเจนแจ่มแจ้ง\"



    เป็นอันว่าสื่อสารกันได้...อาร์คาโดทั้งดีใจและแปลกใจขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันก็ยังระแวง การสื่อสารกันเข้าใจไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องเป็นพวกเดียวกันเสมอไป



    \"/แล้วแกเข้าใจได้ยังไง?/\"



    \"เพราะนี่\" ลีก้าชี้ไปทางด้านหลังคอของตนเอง...ณ ที่ซึ่งมีรอยประทับตราผู้ตระเวนราตรีจากมือของอาร์เซนิคซ์ แต่หญิงสาวชาวฟ้าดูเหมือนจะไม่เข้าใจ เขาจึงต้องขยายความซ้ำ \"เพราะฉันเป็นผู้ตระเวนราตรี\"



    \"/ผู้ที่ได้รับพลังของปีศาจน่ะรึ?/\" อาร์คาโดกึ่งๆ หมือนจะรำพึงกับตนเอง ความระแวงยิ่งเพิ่มมากขึ้น \"/ถ้าอย่างนั้น...แกก็เหมือนกับนักบวชคนที่แต่งตัวเหมือนแกสินะ/\"



    \"ไม่เชิงว่าเหมือน กรุณาอย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับไอ้สวะนั่น\" น้ำเสียงของอีกฝ่ายแข็งขึ้น หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงความแตกต่าง...เธอได้ยินนักบวชผมสีน้ำเงินคนนั้นพูดภาษาเฟเธอเรี่ยนชัดถ้อยชัดคำ ทว่านักบวชตรงหน้าไม่ได้พูดภาษาเฟเธอเรี่ยน หากเธอกลับฟังเข้าใจเหมือนมีบางสิ่งช่วยแปลให้



    \"/แล้วแกต้องการอะไร?/\" อาร์คาโดถามเข้าประเด็นทันที



    \"ฉันอยากรู้ว่ามันพูดอะไรกับเธอ\"



    \"/หมายถึงนักบวชคนนั้นน่ะเหรอ?\" หญิงสาวย้อนถาม



    \"ใช่\"



    \"/แล้วแกอยากรู้ไปทำไม?/\"



    \"มันเป็นศัตรูของฉัน\" ลีก้ากลั้นความแค้นเคืองในน้ำเสียงไม่ได้หมด \"เป็นคนที่สักวันหนึ่งฉันต้องฆ่าให้ตายกับมือ...แบบเดียวกับเธอกับชายผมทองคนนั้นแหละ\"



    อาร์คาโดบังคับตนเองให้นิ่งไว้



    \"/รู้สึกแกจะรู้มากพอตัว/\"



    \"ปีศาจที่เป็นนายของฉันสั่งให้ฉันมาสอดแนมชายผมทองนั่น\"



    \"/เพราะอะไร?/\"



    นักบวชหนุ่มหัวเราะน้อยๆ



    \"หากฉันรู้ใจนายตัวเองได้ก็คงตอบเธอได้ แต่เสียใจที่ฉันไม่รู้\" เขาเว้นช่วงนึกไปพักหนึ่ง \"แต่ที่รู้แน่ๆ คือ ชายผมทองคนนั้นเคยสู้กับนายของฉัน และเป็นคนแรกในรอบยี่สิบห้าปีที่ทำให้นายฉันเลือดตกได้ หลังจากจอมมารตนที่แล้วตายไป\"



    \"/เจ้านายแกเก่งมากเหรอ?/\"



    \"จอมมารแห่งโซลเบ็น...ถ้าไม่เก่งที่สุดในปีศาจทั้งมวลก็คงเป็นจอมมารไม่ได้หรอก\" ลีก้าตอบกลั้วหัวเราะ



    หญิงสาวชาวฟ้านิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง มันน่ะหรือเก่งขนาดนั้น? ซาร์โลบอกเธอว่าไม่ได้ถ่ายทอดวิชาดาบทั้งหมดให้กับมันไม่ใช่หรือ? มีแต่เธอเท่านั้นที่ได้รับสืบทอดวิชาทั้งหมดของเขามาโดยสมบูรณ์...รวมทั้งได้ดาบพรากวิญญาณมาด้วย



    แต่เมื่อนึกถึงวิชาดาบลึกลับที่สร้างแสงขึ้นมาโจมตีเธอจากระยะไกลในคราวนั้น อาร์คาโดก็บอกกับตนเองว่าเป็นไปได้ หากกระทั่งจอมมารแห่งโซลเบ็นตามที่ชายตรงหน้าอ้างมายังถูกมันทำให้บาดเจ็บได้...แล้วโอกาสที่เธอจะชนะมันทั้งอย่างนี้จะน้อยเพียงไหน?



    หรือเธอควรจะรับพลังของปีศาจตนนั้นอย่างที่มันเสนอมา? ก็เธอไม่มีอะไรจะสูญเสียแล้วมิใช่หรือ? ต่อให้ต้องขายวิญญาณ...เอาชีวิตเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนเพื่อการล้างแค้นก็ไม่มีผลอะไรสำหรับเธอ...เพราะเธอไม่เหลืออะไรอยู่อีกแล้ว...



    \"/แล้วตอนที่ทำสัญญากับปีศาจ แก...เสีย...อะไรไปบ้าง?/\" หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถาม



    ลีก้าเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ



    \"ก็...เสียอะไรน่ะเหรอ อิสระในชีวิตตัวเองบางส่วนมั้ง\" นักบวชหนุ่มพูดช้าๆ \"ถ้าเจ้านายสั่งให้ไปทำอะไรก็ต้องทำตามคำสั่ง แต่เวลาที่ไม่ได้ถูกสั่งงานก็ไปทำอะไรตามใจชอบได้ อีกอย่างที่เสียก็...อายุขัย...แต่นั่นอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ ไม่มีการแก่ ไม่ตายตราบใดที่ร่างกายไม่ถูกทำลายจนฟื้นสภาพไม่ได้ ถึงจะตายได้ต่อเมื่อนายถูกฆ่า ก็ยากอยู่ เพราะเจ้านายก็เก่งออกปานนั้นคงไม่มีใครฆ่าได้ง่ายๆ จะถามต่อมั้ยว่าแล้วได้อะไรมาบ้าง?\"



    เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ เขาจึงพูดต่อ



    \"พลังที่เพิ่มขึ้นเกินขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์อย่างเราๆ อำนาจในการเข้าใจภาษาอื่นๆ...นอกจากภาษาของวิญญาณที่มีแต่พวกเอลฟ์เท่านั้นเข้าใจ มีเวลาในโลกนี้แทบเป็นอมตะ\"



    \"/แล้วเราจะสามารถใช้...วิชาหรือเวทมนตร์อย่างที่เจ้านายใช้ได้มั้ย?/\"



    ลีก้าเริ่มมองหญิงสาวอย่างสงสัยก่อนจะเปรย



    \"ถามซักไซ้เหมือนสนใจจะมาเป็นผู้ตระเวนราตรีเลยนะ\"



    \"/ก็...นิดหน่อย/\" อาร์คาโดรับคำแบบแกนๆ \"/หากคำตอบของแกดี...ฉันอาจจะสนใจไปสวามิภักดิ์กับจอมมารบ้างก็ได้/\"



    \"อืม...\" ลีก้านิ่งคิดครู่หนึ่ง \"ก็ไม่น่าจะได้ เรามีพลังเพิ่มขึ้นก็จริง แต่อำนาจแบบของปีศาจแท้ๆ แบบเจ้านายน่ะคงไม่มีหรอก\"



    \"/แล้วเวทมนตร์ล่ะ?/\" อาร์คาโดตัดสินใจว่าหากจะถามให้ได้ความคงต้องเล่าความจริง \"/เคยมีปีศาจตนนึงบอกฉันว่า...ถ้าฉันรับพลังของมันแล้ว จะได้พลังมหาศาลขนาดย่อยสลายสิ่งมีชีวิตได้ในพริบตาเหมือนน้ำกรด ปีศาจตนอื่นๆ ทำได้เหมือนกันหรือเปล่า?/\"



    \"หือม์?\" นักบวชหนุ่มรับอย่างสงสัย \"ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีพลังแบบนั้น แล้วถ้ามีปีศาจที่มีพลังแบบนั้นจริงๆ...การเป็นผู้ตระเวนราตรีให้ก็ไม่น่าจะได้พลังที่เป็นเฉพาะตัวของมันมาได้หรอก\"



    หญิงสาวก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง



    ถ้างั้นมันก็หลอกเราจริงๆ สินะ...



    \"เธอถามฉันมาเยอะแล้ว ขอฉันถามเธอบ้างเถอะ\" คำพูดของอีกฝ่ายทำให้อาร์คาโดเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง \"เจ้านักบวชนั่นพูดอะไรกับเธอบ้าง?\"



    ในเมื่อเขาตอบคำถามของเธอมากมาย...ก็เป็นการสมควรแล้วที่เธอจะตอบกลับไป



    \"/มันบอกว่าฉันไม่มีวันจะล้างแค้นสำเร็จ มันบอกว่ามันรู้อดีตของฉัน มันเข้ามาไล่ปีศาจตนนั้นไปตอนปีศาจนั่นเสนอมอบพลังให้ฉัน แล้วก็บอกว่า \'คนที่ทำสัญญากับปีศาจน่ะ ยังไงก็หลีกเลี่ยงสภาพที่ไม่น่าพึงประสงค์ไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะใช้อะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนก็ตามแต่\' \"



    ลีก้าแค่นยิ้มหยัน



    \"ดูมันพูดเข้า...\"



    \"/หมายความว่ายังไง \'ดูมันพูดเข้า\' ?/\"



    \"เธอเห็น \'ตา\' ของมันแล้วใช้มั้ยล่ะ?\"



    อาร์คาโดพยักหน้าน้อยๆ ยังคงเย็นสันหลังวาบเมื่อนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อนักบวชหนุ่มผมสีน้ำเงินถอดแว่นตาทึบให้เธอดู



    \" \'ตา\' นั่นทำให้มันมองเห็นได้ทุกสิ่งทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพราะอย่างนั้นมันถึงได้รู้ทุกสิ่งในโลก เธอจะบอกว่านี่ยังเป็นสภาพที่ไม่น่าพึงประสงค์หรอกเหรอ?\"



    หญิงสาวสะกดความประหลาดใจเอาไว้ มิน่าเล่า...มันถึงได้รู้อะไรหลายๆ อย่างที่มันรู้ เธอเองก็ไม่คิดว่าการล่วงรู้ทุกสิ่งในโลกเป็นสภาพที่ไม่น่าพึงประสงค์ แต่ภาพของตาดวงนั้นยังคง...



    หากไม่ทันที่เธอจะแย้ง อีกฝ่ายก็พูดขึ้นเสียก่อน



    \"มันกำลังวางแผนจะทำอะไรบางอย่างแน่ๆ\" ลีก้าพูดอย่างครุ่นคิด \"แผนการที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายผมทองที่เธออยากล้างแค้น เกี่ยวกับคนอื่นๆ ที่ร่วมทางไปกับหมอนั่น เกี่ยวกับเธอ เกี่ยวกับเจ้านายของฉัน แล้วก็ฉันที่ถูกสั่งให้มาสอดแนม\"



    \"/แล้วก็เกี่ยวกับปีศาจที่มายื่นเงื่อนไขให้ฉันด้วย/\" อาร์คาโดเสริม



    \"รู้อย่างนี้แล้วเธอก็คงเข้าใจสินะว่าคำพูดของมันเชื่อถือไม่ได้\" นักบวชหนุ่มพูดต่อ \"ว่าแต่รู้แล้วเธอคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะ?\"



    \"/ถ้าเรื่องมันกับปีศาจนั่นคงคิดดูก่อน แต่ยังไงฉันก็จะสะกดรอยตามผู้ชายผมทองนั่นต่อไปอยู่แล้ว/\"



    \"ถ้างั้นมาด้วยกันมั้ยล่ะ?\" ลีก้าเสนอ \"ยังไงซะฉันก็ถูกเจ้านายสั่งยืนโยงสะกดรอยตามนายคนนั้นแบบไม่มีกำหนดอยู่แล้ว ก็ถือซะว่าเรามีเป้าหมายเดียวกัน\"



    \"/แต่ฉันต้องการจะฆ่ามันนะ เจ้านายของแกไม่อยากให้มันตายไม่ใช่หรือไง?/\"



    \"ถ้ามันจะตายด้วยมือของเธอ...ก็ถือเป็นเหตุสุดวิสัย เจ้านายของฉันคงไม่ว่า ตราบใดที่ฉันไม่เข้าไปช่วยเธอฆ่ามัน\" นักบวชหนุ่มพูดเรียบๆ \"แต่เท่าที่ฉันสังเกตจากเจ้านายของฉัน เขาเป็นพวกชอบหลอกใช้ใครให้เป็นประโยชน์ ไม่ก็เก็บไว้ทรมานให้ช้ำใจเล่นๆ จนถึงตอนที่เห็นว่าไม่มีค่าอะไรเหลือแล้วค่อยฆ่าทิ้ง หมอนั่นก็คงลงเอยคล้ายๆ กันนั่นแหละตอนเจ้านายฉันหมดความสนใจ\"



    \"/ทรมานให้ช้ำใจเล่นๆ งั้นเหรอ.../\" หญิงสาวชาวฟ้ารำพึง \"/เป็นวิธีที่น่าสนใจดีนี่/\"



    \"ทรมานยิ่งกว่าตายซะอีกจะบอกให้\"



    \"/ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะมีอะไรที่ทำให้มันทรมานยิ่งกว่าตายไปจริงๆ ได้บ้าง/\"



    \"งั้นก็หมายความว่า...\" น้ำเสียงของลีก้าเริ่มดีใจ



    \"/ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปด้วยกัน/\" อาร์คาโดดักทาง \"/ก็แค่สนใจ ฉันจะเฝ้ารอดูใกล้ๆ นี้แหละ ถ้าแกยังสอดแนมมันอยู่ ก็คงรู้ได้ไม่ยากว่าฉันอยู่ใกล้กัน/\"



    \"แย่จัง นึกว่าจะไม่ต้องเหงาเดียวดายอยู่กับพวกสัตว์ภูตตามลำพังแล้วซะอีก\" นักบวชหนุ่มแกล้งบ่น หญิงสาวชาวฟ้ากลับทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกลับหลังหัน



    ก่อนจากไป เธอพูดคำสุดท้ายว่า



    \"/ฉันยังไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น/\"



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    เรมี่ฉุดมือเด็กสาวแวมไพร์วิ่งข้ามเขตอาคมคุ้มครองเข้ามาในที่พักแรมที่ไฟยังลุกโชติช่วงอยู่ มาริเอลล่าวิ่งตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย เมื่อชายหนุ่มปล่อยมือจากเด็กสาวนั้นเองจึงเพิ่งสังเกตเห็นคราบของเหลวสีแดงที่ติดฝ่ามือตน...ทีแรกเขานึกว่าความเหนียวหนืดที่สัมผัสตอนวิ่งกันมานั่นเป็นเหงื่อเสียอีก



    พอมองหลังมือขวาของอีกฝ่ายที่ยังมีลูกดอกปักคาอยู่ก็เห็นเลือดไหลโกรกอาบแดงฉานจนเรมี่ตกใจ



    \"เป็นอะไรมากมั้ย? ใช้เวทมนตร์รักษาก่อนดีกว่า\" เขาเสนอ แต่อีกฝ่ายเพียงใช้มือซ้ายดึงลูกดอกออกโยนทิ้งไปห่างๆ แล้วสั่นศีรษะปฏิเสธ



    \"แวมไพร์มีอำนาจฟื้นตัวเร็ว แล้วเวทมนตร์รักษาก็ใช้กับพวกข้าไม่ได้ผลด้วย\" เธอทรุดตัวลงนั่ง ทำให้เรมี่เขยิบไปที่ฟากตรงข้ามกับเธอแล้วนั่งลงข้างๆ มาริเอลล่า จ้องมองขณะเด็กสาวแวมไพร์หยิบขวดแก้วเจียระไนออกมาจากในกระเป๋าที่สะพายพาดไปด้านหลังแล้วจ่อกับริมฝีปาก ในขวดนั้นเป็นน้ำสีแดงสดเหมือนเลือด



    \"แล้วนั่น...\" เรมี่ตั้งท่าจะถามว่านั่นคือเลือดจริงๆ ไม่ใช่หรือ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจ จึงลดขวดลง ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดริมฝีปากแล้วบอก



    \"ไม่ใช่เลือด นี่เป็นน้ำจากน้ำพุเลเธ่ในหุบเขาของพวกเรา ใช้ดื่มเป็นอาหารแทนเลือดได้ เพราะมีนี่ข้าถึงไม่ต้องกินเลือด\"



    \"อ้อ...\" ชายหนุ่มรับ เด็กสาวเก็บขวดเข้ากระเป๋าก่อนจะกวาดสายตามองทั้งสอง



    \"ว่าแต่พวกเจ้านี่ก็แปลกดีนะ รู้ว่าข้าเป็นแวมไพร์แล้วยังช่วยอีก มนุษย์นี่มีนิสัยชอบช่วยคนอื่นไปทั่วทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันแบบนี้ด้วยเหรอ?\"



    \"นิสัยเฉพาะตัวล่ะมั้ง\" เรมี่ตอบ \"แล้วฉันจะถือว่า \'แปลก\' นั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน\"



    อีกฝ่ายยิ้มจนเห็นเขี้ยวแหลมสองข้างโผล่พ้นริมฝีปากสีซีด



    \"มนุษย์พิลึก\"



    \"ถือว่า \'พิลึก\' นั่นเป็นคำชมด้วยแล้วกัน\" ชายหนุ่มพึมพำพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหลังศีรษะ



    \"ถ้าอย่างนั้นแวมไพร์อย่างข้าก็ขอทำตัวพิลึกแวมไพร์ด้วยเหมือนกัน ด้วยการแนะนำชื่อกับมนุษย์\" เด็กสาวพูดราวกับกำลังนึกขัน \"เซเรน่า ชาราตัน ยินดีที่ได้รู้จัก ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้พบกันอีก\"



    \"เรมี่ เคอร์ริก ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน\" เรมี่ตอบยิ้มๆ เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเด็กสาวแวมไพร์เข้าใจสร้างบรรยากาศในการสนทนากับคนแปลกหน้าดีกว่าที่คิด



    \"มาริเอลล่า ริเกเลีย\" เด็กสาวชาวเอลฟ์ข้างๆ เขาก้มหน้าตอบแผ่วๆ เรมี่เสริมขึ้นว่า



    \"เรียกสั้นๆ ว่าแมรี่\"



    เซเรน่ากวาดมองทั้งสองคนทีละคนอย่างสงสัยก่อนจะเปรยขึ้น



    \"พวกเจ้าสองคนดูอายุห่างกันตั้งเยอะ หน้าตาก็ไม่เหมือนกัน ทำไมถึงเดินทางมาด้วยกันได้ล่ะ?\"



    \"ก็เพราะพวกเรา...เป็นเพื่อนกันน่ะสิ\" เรมี่คิดหาคำตอบโดยเร็ว



    ทว่าเด็กสาวแวมไพร์ยิ่งจ้องมองเขาสลับกับเด็กสาวหนักไปกว่าเดิม ก่อนจะเปรยว่า



    \"มนุษย์นี่ก็แปลก อายุห่างกันตั้งเยอะขนาดนี้ เพศก็ต่างกัน เป็นเพื่อนเดินทางกันมาสองคนแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?\"



    ชายหนุ่มเริ่มบอกไม่ถูกแล้วว่าเด็กสาวแวมไพร์ถามเพราะความสงสัยจริงๆ หรือย้อนถามเพราะคิดอะไรอย่างอื่นกันแน่



    \"ท...ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?\" ทำไมต้นเสียงของเขาถึงได้ตะกุกตะกักล่ะ? \"มีกฏที่ไหนกำหนดเหรอว่าเพื่อนต้องเป็นคนเพศเดียวกัน อายุเท่ากัน?\"



    เซเรน่าหัวเราะเย็นๆ



    \"เปล่า ข้าไม่ได้หมายถึงขนาดนั้น ก็แค่สงสัยว่า...เจ้าสองคนดูไม่เหมือนเพื่อนมนุษย์ทั่วๆ ไปตามที่ข้าคิดก็เท่านั้นเอง\"



    เรมี่เหลือบมองมาริเอลล่า...ชั่งใจว่าควรตอบตามที่คิดดีไหมว่า \'ก็เพราะพวกเราไม่ใช่เพื่อนธรรมดาๆ น่ะสิ พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันต่างหาก\'



    อย่าเลยดีกว่า...เพราะเขาไม่แน่ใจว่ามาริเอลล่าจะคิดว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอะไร นั่นอาจจะเป็นการแสดงความสนิทสนมจนเกินไปสำหรับเธอก็ได้



    \"ช่างเถอะ ข้าก็ไม่ได้จะเซ้าซี้อะไรหรอก\" เซเรน่าลุกขึ้นยืน \"ขอบคุณที่ช่วยแวมไพร์พิลึกเซเรน่า มนุษย์พิลึกเรมี่และแมรี่\"



    ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าเด็กสาวแวมไพร์ช่างเน้นย้ำความรู้สึก \'พิลึก\' ให้กับคนแปลกหน้าในการสนทนาได้ดีแท้



    \"จะไปแล้วเหรอ?\"



    เด็กสาวพยักหน้า



    \"ถ้าข้ารีบไปก่อน เจ้านั่นมันคงตามข้าไม่ทันหรอก ยิ่งเจอมนต์อำพรางของพวกเจ้าเข้าไปด้วย\" เซเรน่าเงยหน้าขึ้นมองฟ้ามืด คงกำลังกะเวลาจากแสงจันทร์และแสงดาว \"ข้าไม่อยากหยุดอยู่จนถึงเช้า ข้าสู้แดดได้ก็จริง แต่ถ้าแดดจ้าก็ทำให้อ่อนพลังลงมากอยู่\"



    \"งั้นก็ลาก่อน ขอให้โชคดีนะแวมไพร์พิลึก\" เรมี่ตอบกลับไปพร้อมกับโบกมือ



    \"เช่นกัน มนุษย์พิลึกทั้งสอง\" เด็กสาวลุกขึ้นยืนโบกมือได้เพียงครู่เดียวก็ก้าวเท้าออกไปนอกเขตอาคมคุ้มกัน...แล้วพุ่งปราดออกไปอย่างรวดเร็วเสียจนกลับกลายเป็นเงาสีเงินแบบที่ทั้งสองเคยเห็นก่อนหน้านี้ และหายลับไปเพียงไม่นาน



    เรมี่ถูมือที่เปื้อนเลือดแวมไพร์แห้งๆ กับพื้นหญ้า ปาดมันออกไปก่อนจะถอนใจอย่างขำๆ แล้วเปรย



    \"เป็นแวมไพร์ที่พิลึกจริงๆ ด้วยเนอะแมรี่\"



    ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย...เรมี่ก้มลงมองเห็นเด็กสาวยังคงนั่งกอดเข่าก้มหน้า สายตาเลื่อนลอยเช่นเดิม



    \"แมรี่?\"



    เธอสะดุ้งน้อยๆ เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา



    \"ตะกี้ว่าอะไรเหรอ? ไม่ทันฟังน่ะ ขอโทษนะ\"



    เด็กสาวนึกว่าอีกฝ่ายคงต่อว่าที่ไม่สนใจกัน...ไม่สิ นั่นไม่สมกับเป็นเรมี่หรอก แต่เธอกลับอยากให้เขาต่อว่าเสียอีกที่ไม่สนใจกัน...เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการคำตอบรับจากเธอจริงๆ และเห็นว่าการไม่ตอบรับนั้นเป็นเรื่องใหญ่...เป็นเรื่องไม่ดีที่ไม่อยากให้เธอทำแบบนั้นอีก



    ทว่าเรมี่กลับทำเพียงยิ้มและพูดว่า



    \"ไม่เป็นไรหรอก แค่บอกว่าเซเรน่าเป็นแวมไพร์ที่พิลึกดีน่ะ\"



    \"อือ...\" มาริเอลล่ารับเรียบๆ



    เรมี่ตรงไปจัดที่นอนโดยไม่ถามอะไรต่ออีก ไม่ถามว่าทำไมเธอถึงใจลอย เธออยากให้เขาถาม แต่นึกอีกทีแล้ว...หรือเขาจะรู้นะว่าถึงถามไป เธอก็ไม่อาจตอบอะไรได้นอกจากคำว่า \'ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก\'? เขาจึงได้ไม่ถาม...



    แล้วเธอล่ะควรถามไหม? ควรถามคำถามที่กำลังคาอยู่ในใจของเธอในตอนนี้ไหม?



    \"เรมี่...\" เด็กสาวตัดสินใจพูดขึ้นในชั่วแวบ



    \"หือม์?\" เรมี่หันหน้ากลับมามอง มือยังปูผ้าใบค้างอยู่ มาริเอลล่าไม่กล้าสบตากับเขา แต่ก็รู้ตัวว่าเธอถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว



    \"ถ้าเจอคนที่กำลังลำบาก...แบบฉัน...แบบเซเรน่า ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร เรมี่ก็จะช่วยทุกคนงั้นเหรอ?\"



    ชายหนุ่มพยักหน้ารับ \"ถ้าเป็นคนที่สมควรช่วยก็ช่วยอยู่แล้วสิ\"



    \"แล้วคนที่สมควรช่วย...เป็นคนยังไงล่ะ?\"



    \"อืม...\" เรมี่นิ่งคิด \"ตอบยาก...แต่ถ้าเจอแล้วฉันก็คงบอกได้ว่านั่นเป็นคนที่สมควรช่วยล่ะ อย่างน้อยก็เป็นคนที่ถ้าไม่มีใครช่วย...เค้าจะต้องเจอเรื่องเดือดร้อนมากแน่ๆ\"



    \"งั้นเหรอ?\" มาริเอลล่าพึมพำเบาๆ \"เข้าใจแล้วล่ะ...\"



    ใช่แล้ว...ให้คิดว่าที่เขาช่วยเธอก็เป็นเพราะเห็นว่าเธอเป็นคนที่สมควรช่วยเท่านั้น...แม้มันจะทำให้เจ็บแปลบในใจในตอนนี้ แต่ก็คงทำให้การลาจากในภายหน้าเจ็บปวดน้อยลง ถึงมันจะเป็นเพียงการหลอกตนเองก็ตาม...



    \"ว่าแต่ถามทำไมเหรอ?\" ชายหนุ่มถามกลับอย่างสงสัย เด็กสาวสั่นศีรษะ



    \"ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก\" คำตอบเดิมๆ ที่เธอใช้บังหลายสิ่งที่อยู่ในใจ...คำตอบที่เธอเกลียดนักแต่ยังคงใช้ซ้ำๆ



    คำตอบนั้นผลักเรมี่ให้กลับไปจัดที่นอนตามเดิม หากครู่หนึ่งกับความเงียบผ่านไป...เขาก็เรียกอีกฝ่าย



    \"แมรี่?\"



    \"...มีอะไรเหรอ?\" เด็กสาวตอบรับ



    \"ตะกี้ฉันเพิ่งนึกได้...ว่าเทียแม็ทเรียกฉันว่าอะไรบางอย่าง \'ผู้สืบสายเลือดแห่งคีปลัส\'...ใช่มั้ยนะ?\"



    \"ใช่...\" มาริเอลล่าเองก็เพิ่งนึกออก



    \"ว่าแต่คีปลัสนั่นมันคืออะไรกันเหรอ?\"



    เด็กสาวขมวดคิ้วนิ่งคิด คีปลัสช่างเป็นคำที่คุ้นหู...เหมือนกับเคยได้ยินมาก่อน แต่ในที่ไหนกันนะ?



    ใช่แล้ว...ในชั้นเรียนประวัติศาสตร์ที่วิทยาลัยเวทมนตร์แห่งมาจิเซียนั่นเอง



    \"คีปลัส...เป็นชื่อเกาะแห่งหนึ่ง\" มาริเอลล่าพูดช้าๆ ราวกับกำลังทวนความทรงจำ \"ในทะเลคัสโตเลี่ยน...ใกล้กับทวีปรกร้าง ชาวฟ้าใช้ผลึกเวทมนตร์เอเธอร์คริสตัลที่คิดค้นขึ้นยกเกาะนั้นให้ลอยขึ้นจากทะเล แล้วสร้างอาณาจักรเอเธอเรียบนเกาะลอยฟ้านั้น\"



    \"งั้นก็แปลกแฮะ...\" เรมี่พึมพำ \"ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลายเป็นผู้สืบสายเลือดแห่งคีปลัสไปได้ยังไง? ดูยังไงฉันก็ไม่มีสายเลือดของชาวฟ้าแน่ๆ จริงมั้ย?\"



    \"ก่อนหน้าที่เกาะนั้นจะถูกพวกชาวฟ้ายึดครอง...\" เด็กสาวเล่าต่อ \"ดูเหมือนจะยังมีชนอีกกลุ่มหนึ่ง...อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะนั้นแต่ถูกขับไล่ออกมา\"



    \"เผ่าพันธุ์นั้น...คือเผ่าพันธุ์อะไรล่ะ?\"



    มาริเอลล่าสั่นศีรษะ



    \"จำไม่ได้ว่าในหนังสือมีบอกไว้หรือเปล่า บางที...ผู้เขียนตำราประวัติศาสตร์อาจเห็นว่าเป็นเรื่อง \'ไม่สำคัญ\' สำหรับผู้เรียนก็ได้ เลยไม่มีเขียนไว้\"



    \"ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก\" เรมี่ตัดบท \"เพราะฉันก็ไม่คิดจะสืบเรื่องครอบครัวตัวเองต่ออยู่แล้วนี่ จะยังไงตัวฉันก็ไม่น่าจะใช่สายเลือดของเผ่าอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์หรอก\"



    เด็กสาวนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ...แม้ในความจริงเธอจะเริ่มนึกออกเลาๆ แล้วว่าเผ่าพันธุ์นั้นคือเผ่าพันธุ์ใด



    อย่าให้เรมี่ต้องรู้เลย...อย่าให้เรมี่ต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกับเธอเลย หากไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้อาจดีแล้ว เขาอาจมีชีวิตที่มีความสุขแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องกังวลใจ ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกด้านลบอะไรเช่นที่เธอรู้สึก



    \"งั้นต่อไป...เราไปที่ฟานฟาร่าดีมั้ย?\" ชายหนุ่มเสนอ ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นเธอนิ่งเงียบ \"ตอนนี้พวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์กำลังยุ่งอยู่แถวฮอลลัม จะแวะไปมอร์ติกาหรือกลับอาร์โคเซียก็ยังเสี่ยงเกินไป ไปหลบเงียบๆ ที่ฟานฟาร่าแถบตะวันตกสักพักอาจจะดีก็ได้\"



    \"แล้วแต่เรมี่เถอะ\" มาริเอลล่าตอบรับเรียบๆ ตามเดิม



    เรมี่ลอบถอนใจอย่างเงียบๆ แต่ก็กลั้นใจพยายามพูดต่อไปให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น...แม้เพียงนิดก็ยังดี



    \"งั้นเราไปฟานฟาร่าด้วยกันนะ ไปด้วยกันจนถึงที่สุดอย่างที่แมรี่พูด แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า \'ที่สุด\' ในความคิดของฉันอาจจะมากกว่าที่แมรี่คิดไว้ก็ได้\"



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ในความรู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น...เด็กสาวได้ยินเสียงพูดคุยจากห้องด้านนอก เสียงของชายวัยกลางคนที่ฟังคุ้นหูแม้จะนึกไม่ออกว่าเป็นใคร



    \"ฉันต้องขอบใจเธอที่ช่วยเค้าออกมา แต่พวกเธอคงจะซ่อนอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนักหรอก\"



    เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังรอคำตอบจากคู่สนทนาอีกคน แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบจึงพูดต่อ



    \"ทางที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นหนี...พาเค้าไปจากที่นี่ ไปให้ไกลจากอาณาจักรที่สุดยิ่งดี นั่นคงเป็นทางเดียวที่จะรักษาชีวิตของเค้าไว้ได้\"



    \"ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปด้วยกัน\" เสียงของชายหนุ่มที่ตอบกลับมาทำให้จิตห้วงลึกของเธอตระหนก เพราะเธอจำเสียงนั้นได้ดี...



    \"ไม่ได้หรอก\" เสียงชายวัยกลางคนตอบ \"สภาพอย่างฉัน มีแต่จะเป็นตัวถ่วงของพวกเธอเสียเปล่าๆ\"



    \"แต่ถ้ายังอยู่ที่นี่ พวกมัน...\"



    \"ต้องฆ่าฉันแน่ๆ ที่ช่วยเหลือพวกเธอ รู้อยู่แล้วล่ะ\" น้ำเสียงนั้นราวเรียบเหมือนยอมรับชะตากรรม \"ฉันทำผิดมามากแล้ว อยู่กับบาปนี้มานานเหลือเกิน ความตายเป็นโทษทัณฑ์ที่น้อยเกินไปด้วยซ้ำ...\" เขาถอนใจยาว \"ขออย่างเดียว ขอแค่ \'ไอด้า\' หนีรอดไปได้ก็พอแล้ว และเธอก็จะช่วยปกป้องเค้าแทนฉันใช่ไหม?\"



    มีเพียงความเงียบ...หากคู่สนทนาคงตอบรับด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่วาจา เพราะชายคนเดิมพูดต่อ



    \"ฉันดีใจที่รู้อย่างนั้น แต่ก็ยังหนักใจด้วย...ตั้งแต่ตอนที่คิดว่าทำไมถึงเป็นเธอ...ทำไมเธอถึงช่วยเค้าออกมาทั้งๆ ที่ได้รับคำสั่งให้ไปฆ่าเค้า เพราะฉะนั้น เธอช่วยบอกเหตุผลกับฉันหน่อยได้ไหม?\"



    ฆ่าใคร...คำถามนั้นอยู่ในใจไม่นาน ลึกลงไปบางสิ่งก็เหมือนกับจะบอกเธอ...ว่าเธอรู้ว่าผู้ที่ชายหนุ่มได้รับคำสั่งให้ไปฆ่าคือ เธอ เอง



    ความเงียบงันน่าอึดอัดดำเนินไปนาน...ก่อนที่คำตอบของชายหนุ่มคือ



    \"...ไม่รู้ว่าเพราะอะไร\"



    \"เพราะรู้สึกพิเศษกับเค้าหรือเปล่า?\"



    ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง นานยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้า



    \"ฉันไม่รู้หรอกนะว่าใช่หรือไม่ใช่\" ชายวัยกลางคนพูดต่อ \"แต่เพื่อเค้ากับตัวเธอเอง ฉันคงต้องบอกไว้ก่อนว่า...\"



    ผู้พูดดูเหมือนจะกลั้นใจรวบรวมความกล้าอยู่ครู่หนึ่ง



    \"...ว่าอย่าได้คิดจะรักไอด้าแบบคนรักเด็ดขาด เพราะเค้าน่ะเป็น...\"



    โครินลืมตาขึ้นทันที น้ำเสียงที่ได้ยินขาดหายไปกะทันหันทั้งที่ยังค้างอยู่กลางประโยคราวกับมีบางสิ่งขัดขวาง...ไม่อยากให้เธอรู้ความนั้น เธอยังคงนอนอยู่ใต้ผ้าห่มขนแกะ มีเด็กสองคนลูกของมิเคลล่านอนอยู่ข้างๆ แล้วเสียงที่ได้ยินชัดเจนออกปานนั้นเป็นเพียงความฝันหรอกหรือ? เสียงของชายหนุ่มเมื่อครู่นั้นเธอแน่ใจว่าเป็นเสียงของเอรอนแน่ แต่เสียงของชายวัยกลางคนแม้จะคุ้นหูแต่ก็นึกไม่ออกเลยว่าเป็นใคร



    ทว่าอะไรก็ไม่น่าสงสัยเท่าใจความของคำพูดเหล่านั้น เอรอนได้รับคำสั่งให้ไปฆ่าใครสักคน...ใครคนหนึ่งที่ชื่อไอด้า...แต่เขากลับพาคนคนนั้นหนีออกมา



    ทันทีที่นึกถึงชื่อ \'ไอด้า\' เด็กสาวก็พลันนึกไปถึงภาพของเด็กสาวมีปีกที่ถูกตรึงอยู่ในกางเขนแก้วผลึก บางสิ่งบอกเธอว่านั่นเป็นชื่อของเด็กสาวคนนั้น



    แล้วเด็กสาวคนนั้นเป็นอะไรกับเอรอนล่ะ? แล้วทำไมโครินถึงฝันเห็นเธอ? มิหนำซ้ำยังสงสัยเหลือเกินว่าทำไมทั้งสองจึงรักกันไม่ได้?



    แต่แล้วอีกด้านหนึ่งในใจก็เหมือนกับจะบอกว่าเธอรู้...รู้แม้จะนึกไม่ออกเพราะไม่อยากนึกถึง เพราะความจริงนั้นทำให้รู้สึกหนาวเยือกในใจอย่างบอกไม่ถูก...



    สงสัยเราคงจะฟุ้งซ่านเกินไปจริงๆ...โครินสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป ความฝันก็คงเป็นแค่ความฝัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น...



    ใจหนึ่งเธอนึกอยากลุกขึ้นเดินออกไปดูข้างนอกว่าพวกเอรอน พิออน กับ วูลฟ์ที่นอนในห้องนั่งเล่นข้างนอกเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ก็เกรงใจว่าจะรบกวนมิเคลล่ากับเด็กอีกสองคนที่นอนอยู่ด้วย จึงได้แต่ข่มตาของตนให้หลับลงในความมืดเท่านั้น



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    Magic



    ไลท์นิ่ง เซเบอร์ (Lightning Saber)

    ประเภทมนต์โจมตี ธาตุแสง ระดับกลาง ใช้พลังแสงก่อให้เกิดสายฟ้ารูปคล้ายดาบโจมตีเป้าหมาย



    ฟ็อก ออฟ ดีเซปชั่น (Fog of Deception)

    ประเภทมนต์อำพราง ธาตุน้ำ สร้างหมอกขึ้นอำพรางตนเองและดูดกลืนเสียงเวลาหลบหนี



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    Note: จะเรียกว่าเป็นตอนสุดท้ายสำหรับเนื้อเรื่องหลักของ Wings of Hope ในปีนี้ก็เห็นจะได้ครับ ชื่อตอนก็คงบอกอยู่แล้วว่าเนื้อเรื่องในตอนนี้มีความมืดเป็นฉากหลักเสียเป็นส่วนมาก...จริงๆ แล้วยังมีอีกฉากในความมืดของเอสเทลล่าที่ผมอยากใส่ลงไปในตอนนี้ด้วย แต่กลัวว่าอาจกินเนื้อที่เยอะเกินไป เอสเทลล่าผู้อาภัพเลยถูกยกยอดไปตอนหน้าอีกแล้ว ^^;;;

    ตอนนี้ผมสามารถนำตัวละครใหม่ออกมาได้อีกสองตัวแล้ว คือเซเรน่ากับสไปรัล แวมไพร์กับนักล่าแวมไพร์ที่ตามไล่ล่ากัน สำหรับสไปรัลผมคงยังพูดอะไรไม่ได้มากเพราะบทยังน้อย กับเซเรน่าอาจพูดได้มากกว่านิดหน่อยว่าผมออกจะชอบนิสัยของแวมไพร์ผิดขนบแวมไพร์ทั่วไปหน่อยๆ ตนนี้ แล้วก็รอที่จะได้เขียนถึงเธอในตอนหน้าๆ การที่เรมี่กับแมรี่ได้มาพบเซเรน่าในตอนนี้จะเป็นการจุดชนวนระหว่างทั้งสองที่เริ่มเผยออกมาในท้ายตอน ผมคิดไว้ว่าแมรี่ในช่วงนี้น่าจะเป็นคนที่มีอะไรมากมายเก็บอยู่ในใจแต่ไม่อาจพูดออกมาได้...และเรมี่เป็นคนที่ต่อให้รู้อะไรก็คงไม่อยากพูดให้กระเทือนใจ จึงออกมาเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ส่วนฉากพูดคุยของลีก้ากับอาร์คาโดในทีแรกผมก็ไม่ได้คิดออกมาชัดเจนเสียทีเดียวนัก และออกมาเป็นรูปเป็นร่างผิดจากที่ผมคิดไว้ในทีแรกมากพอควร (ในตอนแรกผมคิดจะให้ปีศาจดำมาผสมโรงด้วย แต่นึกอีกทีกลัวจะทำให้เรื่องยุ่งยากก่อนที่ควรเป็น) เรื่องน่าแปลกคือตอนนี้ผมเริ่มเห็นว่าถ้าไม่ใช่ว่าลีก้ากับอาร์คาโดเข้ากันได้ดี ก็ต้องบอกว่าลีก้ามีหน้าเป็น \"เครื่องครัวที่ใช้ต้มอาหาร\" แบบผิดนักบวชเลยทีเดียว แต่ก็คล้ายๆ กับตอนที่แซวเอสเทลล่าในตอนที่ 8 มั้งนะ ^^;;; ส่วนฉากท้ายกลับมาเป็นความฝันต่อของโครินอีกครั้ง ก็เปิดเผยกันแล้วนะครับว่าคนที่เธอฝันถึงคือไอด้าจริงๆ แต่จะเป็นเพราะอะไรก็ต้องติดตามกันต่อไป ส่วนประวัติตัวละครในตอนนี้ยังไม่มีเพราะรอบทตัวละครเช่นเคยครับ จะได้เมาท์กันมันๆ นานๆ

    ผมรู้สึกเหมือนสำนวนของตนเองในตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไป อาจเป็นเพราะผมเพิ่งอ่านนิยายเรื่อง Norwegian Wood ของมุราคามิ ฮารุกิ กับกำลังอ่าน Ico ของมิยาเบะ มิยูกิอยู่ก็ได้ เลยได้อิทธิพลทางภาษาและการบรรยายจิตใจตัวละครมาบ้าง



    สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่มีแต่ความสุขและเรื่องน่ายินดีสำหรับทุกคนนะครับ :)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×