ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings of Hope - ตำนานพลิกฟ้า

    ลำดับตอนที่ #22 : บทที่ 19 - คณะเดินทางอันยุ่งเหยิง - ช่วงที่สอง - พุ่งหลาวลงโคลน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 122
      0
      1 ม.ค. 49

    บทที่ 19

    Unarranged Travelling Company - Second Part - A Plunge in the Mud

    คณะเดินทางอันยุ่งเหยิง - ช่วงที่สอง - พุ่งหลาวลงโคลน



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ในยามบ่าย รถม้าของคณะเดินทางที่มารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมายแล่นโกกเกกไปตามทางเกวียนเล็กๆ เหมือนที่เป็นในสองวันที่ผ่านมา โครินนั่งประสานมือไว้บนตักข้างๆ วูลฟ์ซึ่งนั่งนิ่งหลับตาเงียบเหมือนเคย ที่นั่งตรงกันข้ามคือพิออน ผู้หยิบหนังสือจากที่ไหนไม่ทราบขึ้นมาอ่าน ส่วนเอรอนนั้นยังคงบังคับม้าเงียบๆ อยู่ด้านหน้ารถ



    เด็กสาวหันหน้าไปทางทางออกท้ายรถม้าที่มีผ้าใบสองผืนคลุมอยู่ จากที่นั่งของเธอนั้นเธอไม่อาจมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกเลย และเธอก็ไม่กล้าจะขอใครเลิกผ้าใบขึ้นดูทางที่ผ่านไปข้างหลังด้วย เพราะมันคงไม่ปลอดภัย (แม้ในความคิดของเธอ ประตูรถม้าที่เป็นแค่ผ้าใบบางๆ สองผืนก็ไม่น่าจะช่วยให้ความปลอดภัยจากการพลัดตกรถเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย) และการมองทิวทัศน์ที่เลื่อนผ่านไปข้างหลังก็อาจทำให้วิงเวียนได้ตามที่พ่อเคยบอก



    ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้คือนั่งนิ่งๆ ไปตามเดิม งีบหลับไปบ้างเป็นครั้งคราว ก่อนจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนๆ ที่เป็นส่วนผสมระหว่างความง่วงและความเบื่อ รอให้ถึงเวลาพักกินอาหารเย็นและพักแรม แต่อย่างน้อยเด็กสาวก็ต้องยอมรับว่าดีที่มีรถม้าให้นั่งแทนที่จะต้องเดินเหมือนแต่ก่อน และเท่าที่เธอรู้ก็คือรถม้าที่ได้มาช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางไปได้มาก ตอนนี้ทั้งสี่ผ่านหุบเขาฮอลลัม และลงไปตามทางลาดเนินเขามายังที่ราบลุ่มของฟานฟาร่าแล้ว แม้เธอจะไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่วันถึงจะถึงเมืองท่ามอร์ติกาก็ตาม



    จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ทำให้เด็กสาวนึกแปลกใจขึ้นมา วูลฟ์ลืมตาขึ้นทันทีขณะที่พิออนวางหนังสือลง และทั้งสองคนก็พร้อมใจกันหันไปมองเอรอนโดยไม่ได้นัดหมาย แม้จะไม่มีคำถามใดๆ ชายหนุ่มผมทองผู้บังคับรถม้าก็หันกลับมา ก่อนจะพยักพเยิดไปทาง \'อะไรบางอย่าง\' ที่เป็นสีน้ำตาลตุ่นกองอยู่บนทางเกวียนเบื้องหน้า



    วูลฟ์เป็นคนแรกที่ก้าวลงจากรถม้า ตามมาด้วยพิออน เด็กสาวจึงได้ตามลงไปเป็นคนสุดท้าย และเมื่ออ้อมข้างรถไปตามทางเกวียนซึ่งขนาบข้างด้วยพงหญ้าสูงค่อนข้างรกเรื้อไปสมทบกับเอรอนที่ด้านหน้า ทั้งสามก็ได้เห็นถนัดว่าของสีน้ำตาลตุ่นนั้นคือกองดินที่ถล่มลาดลงมาพร้อมกับโค่นรากต้นไม้สี่ห้าต้นลงมาสุมทับกันระเกะระกะปิดทางเกวียนเอาไว้ ฝุ่นดินที่เริ่มจับทั้งบนใบแห้งกรอบกับกิ่งก้านและลำต้นแสดงว่าพวกมันน่าจะกองผิดธรรมชาติอยู่แบบนี้มานานทีเดียว



    \"สงสัยช่วงฝนตก ดินคงอ่อนตัวเลยถล่มลงมามั้งครับ\" พิออนลงความเห็นอย่างร่าเริง...ซึ่งสำหรับอีกสองหนุ่มแล้วคงจะร่าเริงผิดกาลเทศะไปหน่อย



    \"จะเป็นเพราะอะไรก็ช่างเถอะ ข้าสนมากกว่าว่าจะผ่านไปได้ยังไง\" เอรอนตอบอย่างหงุดหงิด



    \"ต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้เราสามคนคงแบกไม่ไหวหรอกครับ\" นักบวชหนุ่มเจ้าเก่าให้ความเห็นด้วยอารมณ์สบายๆ เหมือนเดิม



    \"เจ้าป่าเจ้าเขาคงไม่พอใจ\" วูลฟ์พูดขรึมๆ...ซึ่งฟังอย่างไรความขรึมนั้นก็ค้านกับเนื้อความที่พูดอย่างสิ้นเชิง เอรอนขยับปากจะว่าเด็กหนุ่มสมิงบ้าง แต่ประโยคต่อมาก็เป็นสิ่งที่เขาเองใคร่อยากทำเป็นอย่างยิ่ง \"ต้องจับผู้ทรงศีลมาเชือดเอาวิญญาณเป็นเครื่องเซ่น\"



    มีธรรมเนียมแบบนี้ด้วยเหรอ...? โครินถามตนเองในใจอย่างตกใจ แต่พิออนกลับหัวเราะรับ



    \"ไม่นึกว่าคุณวูลฟ์ก็พูดเล่นเป็นกับเขาด้วยนะครับ\" นักบวชหนุ่มดันแว่นก่อนจะเริ่มเอ่ยเอาการเอางาน \"ถ้าขนย้ายไม่ได้...ก็ต้องทำลายนั่นแหละครับ\"



    \"จะทำอะไรก็รีบๆ ทำซะ\" เอรอนพูดตอบ



    ปฏิกริยาตอบรับของพิออนกลับเป็นการขยับแว่นพร้อมกับบอกว่า



    \"เอ...บังเอิญผมไม่ถนัดใช้เวทมนตร์ไฟซะด้วยสิ\"



    ชายหนุ่มผมทองเลยพ่นลมหายใจพรืดก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เข้าไปใกล้กองไม้ เพียงการสะบัดมือพร้อมกับร่ายมนต์ \"อิกนีท!\" เปลวไฟเล็กๆ ก็ลุกพรึ่บขึ้นบนลำต้นไม้ต้นหนึ่ง



    พิออนโคลงศีรษะด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนจะก้าวมายืนอยู่ข้างๆ เอรอน คทาในมือโบกครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยร่ายเวท



    \"ไฟเออร์แลนซ์!\"



    หอกเพลิงสามสายพุ่งเข้าหากองต้นไม้ลุกวาบเป็นเปลวขนาดใหญ่ ลามเลียกินเนื้อไม้รอบด้านรวดเร็วกว่าเปลวไฟเล็กถึงสามสี่เท่า เอรอนปรายตามองนักบวชหนุ่มที่เพิ่งใช้มนต์เหนือกว่าข่มตนเองซึ่งๆ หน้า ทั้งๆ ที่บอกไปหยกๆ ว่า \"ไม่ถนัดใช้เวทมนตร์ไฟ\" อย่างไม่พอใจ  แต่ก็ต่อว่าไม่ได้เมื่อเจ้าตัวดีแก้ตัวมาว่า



    \"อ้าว ผมใช้ได้แค่มนต์ไฟขั้นแรก ก็นึกว่าคุณเอรอนจะใช้ได้สูงกว่านั้นน่ะครับ\"



    แน่ล่ะ...เป็นคำแก้ตัวที่เอรอนบอกได้เต็มปากว่าโกหกชัดๆ ในเมื่อพิออนเพิ่งบอกเขามาเมื่อไม่กี่วันก่อนเองว่ามันรู้เห็นทุกอย่าง...อย่างที่เอรอนนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามากมายหรือลึกซึ้งแค่ไหน แต่ในเมื่อมีบุคคลที่สามและสี่อยู่ด้วย เขาเลยพูดอะไรไม่ได้ในตอนนี้



    \"แต่ยังไงซะก็คงต้องรออีกสักพักล่ะครับถึงจะไหม้หมดแล้วเก็บกวาดให้พ้นทางได้\" พิออนพูดต่อก่อนจะเดินกลับไปยังด้านหลังรถม้าพร้อมกับฮัมเพลงสบายใจเฉิบ เอรอนเลยก้าวฉับๆ กลับมานั่งตรงที่นั่งคนขับหน้ารถบ้าง ทางด้านวูลฟ์เหลือบมองโครินว่าจะทำอะไรต่อไป เมื่อเด็กสาวยืนมองกองไม้ติดไฟสักครู่หนึ่งแล้วก็กลับหลังหันเดินกลับไป แต่ยังไม่ถึงรถม้าเธอก็หยุดเดิน หันไปมองข้างทางหลังพงหญ้าสูงที่มีแอ่งน้ำสีน้ำตาลขุ่นอย่างสนใจ วูลฟ์จึงหยุดด้วยและหันมาถาม



    \"มีอะไรเหรอโคริน?\"



    เด็กสาวชี้ไปทางกลางแอ่งน้ำนั้น



    \"ดูสิ ฟองนั่นแปลกจัง\"



    วูลฟ์มองตามไปเห็นฟองขนาดใหญ่ราวฝ่ามือบนผิวน้ำโคลน...ฟองที่นิ่งสนิทอยู่แบบนั้นโดยไม่มีทีท่าจะแตกเหมือนฟองอากาศทั่วไป สภาพของมันประหลาดเสียจนเด็กหนุ่มสมิงรู้สึกว่า...มันไม่น่าจะใช่ของธรรมดาตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่โค่นสุมกันเบื้องหน้าทางเกวียนด้วย



    นอกจากนี้ ถ้าจมูกที่ไวกว่ามนุษย์ธรรมดาของเขาไม่ผิดพลาด...เขาเพิ่งจับกลิ่นสาบคาวอ่อนๆ เหมือนกลิ่นเนื้อได้ แม้จะเลือนลางจนไม่ทันสังเกตในทีแรกก็ตาม



    \"ฟองอะไรทำไมมันถึงอยู่ได้นานขนาดนี้นะ?\" เด็กสาวก้มลงนั่งยองๆ เพื่อมองให้ชัดขึ้นก่อนจะถามต่อ หากวูลฟ์รีบตัดบท



    \"รีบกลับขึ้นรถดีกว่าโคริน ตรงนี้บรรยากาศไม่ดี\"



    โครินหันไปมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าสงสัย แต่ก่อนจะได้อ้าปากถาม ฟองลักษณะเดียวกันก็ผุดไล่ๆ กันขึ้นมาอีกสี่ห้าฟอง และสิ่งที่ดูเหมือน \'ฟอง\' อันหนึ่งก็กระเด้งขึ้นมาถูกเข่าของเธอ...อารามตกใจและไม่ทันตั้งตัวทำให้เธอเสียหลักร่วงลงไปในบึงนั้น



    เด็กสาวร้องออกมาได้แวบเดียวก่อนที่ศีรษะจะผลุบลงไปใต้ผิวน้ำ โคลนทะลักเข้าไปเต็มปาก แต่ครู่ต่อมาวูลฟ์ที่กระโจนตามลงมาช่วยก็ประคองให้เธอยกศีรษะขึ้นพ้นน้ำได้สำเร็จ สัญชาตญาณบอกให้เธอรีบบ้วนโคลนออกแล้วหอบหายใจทันที ในทีแรกเด็กสาวแค่คิดว่าตนเองพลัดตกบึงเท่านั้น แต่กลุ่ม \'ฟอง\' ที่คืบเข้ามาใกล้กับสัมผัสของก้อนหยุ่นหลายก้อนที่รุมล้อมร่างกายส่วนที่อยู่ใต้โคลนกลับบอกเธอว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิด พวกมันรัดรอบตัวเธอกับวูลฟ์แน่นขึ้นเรื่อยๆ...พร้อมกับฉุดดึงลงไปด้านล่าง



    ทางด้านบนเอรอนที่เห็นเหตุการณ์ก็รีบกระโจนลงจากที่นั่ง พิออนที่ได้ยินเสียงกรีดร้องจากในรถม้าตามลงมาสมทบ นักบวชหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะยังมีสติดีคว้าเชือกเส้นยาวจากข้างในรถม้ามาด้วยและรีบผูกเป็นบ่วงโยนลงไป



    \"คุณวูลฟ์จับเชือก!\"



    เด็กหนุ่มสมิงคว้าเชือกไว้ได้ทันที แต่แรงฉุดของสิ่งลึกลับยังมากมายเสียจนดึงพิออนเข้าไปใกล้ริมบึงยิ่งขึ้นด้วย เอรอนรีบช่วยออกแรงดึงพร้อมกับนักบวชหนุ่ม แต่ผลที่ได้อย่างดีที่สุดก็คือถอยออกห่างบึงได้เล็กน้อยก่อนจะถูกชักเย่อเข้าไปใกล้อีกในครู่ถัดมา



    \"ใช้ต้นไม้เป็นหลักยึด\" เอรอนรีบบอกพิออนก่อนจะเล็งต้นไม้ขนาดปานกลางริมทางที่ใกล้ที่สุดแล้วค่อยๆ ดึงเชือกเข้าไปใกล้โดยไม่รอคำตอบ ขณะที่ชายหนุ่มผมทองเป็นหัวหลักออกแรงดึงเชือก พิออนก็รีบผูกเงื่อนตายอย่างรวดเร็ว ทว่า \'อะไรบางอย่าง\' ในบึงยังดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้...มันดึงเสียจนเชือกยังตึงแน่น คงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่เชือกจะขาด วูลฟ์จะหมดแรงจนปล่อยมือ...หรือกว่าฝูง \'ฟอง\' ที่ผุดขึ้นเกินยี่สิบแล้วจะกลุ้มรุมทั้งสองจนมิดหัวเสียก่อน



    \"มีตัวอะไรดึงอยู่!\" เอรอนร้องบอกนักบวชหนุ่ม



    \"มนต์ไฟครับ\" คราวนี้พิออนตอบโดยดีผิดกับยามปกติ \"สไลม์โคลนแพ้ไฟ!\"



    \"งั้นเจ้าใช้ซะ! ใช้ได้สูงกว่าข้านี่!\" เอรอนกัดฟันตอบพลางลองดึงเชือกดูอีกครั้ง...ยังไม่เขยื้อนเลยแม้แต่น้อย



    \"ล...แล้วคุณโครินกับคุณวูลฟ์จะไม่เป็นอะไรเหรอครับ?!\" นักบวชหนุ่มย้อนถาม



    \"ก็เล็งหลังโครินสิ!\" ชายหนุ่มรีบตอบ สมองของเขาประมวลได้โดยเร็วว่าเด็กสาวต้องไม่เป็นไรแน่ในเมื่อมีอควาเวลติดตัวอยู่...ส่วนเด็กหนุ่มสมิงนั้นพอเห็นไฟก็น่าจะรู้แล้วว่าต้องเอาตัวโครินไปป้องกันไว้ \"โดนไฟลวกนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า!\"



    \"งั้นก็ขอโทษด้วยนะครับ คุณโครินกับคุณวูลฟ์...\" พิออนพูดคำขอโทษที่เอรอนเห็นว่าไม่จำเป็นสักนิดก่อนจะตวัดคทาที่ถือไว้ \"ไฟเออร์แลนซ์!\"



    เมื่อหอกเพลิงสามสายพุ่งลงบึงด้านหลังเด็กสาวเจ้าของอควาเวล พลอยวารีธาตุก็เริ่มตอบสนองในทันที ม่านน้ำปรากฎขึ้นคุ้มกันผู้ครองพลอยก่อนจะระเหยหาย ส่วนน้ำในบึงที่เปลวไฟกระทบส่งเสียงฉ่าประสานกับเสียงแปลกๆ คล้ายเสียงร้องแหลมเล็กอู้อี้ในน้ำ ตามมาด้วยเสียงโพละไม่ขาดจังหวะจากฝูงก้อนสไลม์โคลนที่แตกราวกับลูกโป่งใส่น้ำ ไอน้ำพวยพุ่งหนาคล้ายม่านควัน หากเมื่อมันจางลง สไลม์กลับยิ่งผุดมากขึ้นไม่ขาดจังหวะ และแรงที่ดึงเชือกยังคงอยู่



    \"อีกที!\" เอรอนร้องสั่ง พิออนยกคทาขึ้นอีกครั้ง



    \"ไฟเออร์แลนซ์!\"



    ความพยายามซ้ำๆ ของพิออนเริ่มได้ผลหลังผ่านไปราวๆ สิบกว่าครั้ง...หรืออาจจะถึงยี่สิบ...เอรอนไม่ทันได้นับ สไลม์โคลนตัวเล็กๆ นับร้อยในบึงบัดนี้เหลือเพียงเยื่อหุ้มฟีบๆ เหนียวเหนอะซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ กับโคลนแห้งๆ และข้างใต้นั้น...เอรอนก็แลเห็นเจ้าของแรงดึงมหาศาลนั้น...เป็นสไลม์โคลนตัวเขื่องเส้นผ่านศูนย์กลางราวสองเมตรที่ซ่อนร่างอยู่ใต้บึงโดยมีบริวารคลุมอยู่ด้านบน



    \"นั่นไงตัวการ!\" เอรอนชี้พร้อมกับร้องบอกนักบวชหนุ่ม \"จัดการมันได้ก็จบแล้ว!!\"



    ทว่าอาการของพิออนที่เอรอนหันไปเห็นเต็มตาคือกำลังคู้ตัวน้อยๆ หอบฮั่กเหงื่อท่วมหน้า พร้อมกับคำตอบขาดห้วงอย่างไม่เสแสร้ง



    \"เกรงว่า...ผม...จะ...\"



    ชายหนุ่มได้แต่สบถพรืดในลำคอ ความคิดแรกที่แวบเข้าหัวคือใช้มนต์ไฟเอง...แต่เมื่อนึกอีกทีแล้วต่อให้ใช้มนต์อิกนีทสักสิบครั้งกับสไลม์โคลนตัวเบ้อเริ่มก็คงไม่มีวันจุดไฟติดหากไม่มีเชื้อเพลิง...



    เชื้อเพลิง!!



    \"งั้นช่วยดึงต้านไว้ก่อน!\"



    เอรอนสั่งโดยไม่รอคำตอบ วิ่งกลับขึ้นรถม้าไปค้นกุกกักครู่หนึ่งก็ได้ไหน้ำมันในกองเสบียง เขารีบหอบไหใบนั้นลงมาเหวี่ยงลงไปบนหลังสไลม์ยักษ์ทั้งไห สาดน้ำมันกระจายไปทั่วลำตัวโค้งนูน ก่อนจะรีบสะบัดมือ



    \"อิกนีท!!\"



    เปลวไฟลุกพรึ่บ เสียงร้องอู้อี้เหมือนกลั้วน้ำในปากซึ่งทุ้มต่ำกว่าและดังกว่าที่เคยได้ยินกระทบโสตประสาท เอรอนลองดึงเชือกดู...แรงมหาศาลของมันอันตรธานไปแล้ว



    \"รีบดึง!!\" ชายหนุ่มร้องสั่งพิออนที่ท่าทางจะยังไม่หายเหนื่อยดีเท่าใดนักให้มาช่วย ครู่ต่อมาดูเหมือนจะดึงทั้งสองขึ้นจากบึงมรณะได้สำเร็จ แต่พอราวครึ่งทางท่าทางสไลม์ยักษ์จะยังไม่ยอมแพ้ มันยื่นส่วนหนึ่งของร่างหยุ่นๆ ที่บีบให้เล็กจนดูคล้ายหนวดมาคว้าข้อเท้าของโครินไว้ได้



    เด็กสาวกรีดร้องพร้อมกับพยายามสะบัดขาให้หลุด แต่ผลกลับทำให้เอรอนและพิออนที่กำลังดึงเชือกอยู่ด้านบนต้องออกแรงยิ่งขึ้นตามไปด้วย เหมือนพวกเขาจะกลับมาเสียเปรียบอีกครั้ง และแล้ว...



    เสียงฝีเท้าม้าดังเข้ามาใกล้ เอรอนมีเวลาเพียงเหลือบมองม้าสีน้ำตาลที่วิ่งเข้ามาใกล้แวบเดียวเท่านั้นก่อนผู้ขี่จะเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าแล้วตรงเข้ามาจับเชือกช่วยดึงอีกแรง ท่าทางเขาจะเป็นคนที่มีพละกำลังมากทีเดียว...เพราะเพียงครู่เดียวทั้งวูลฟ์กับโครินก็ดูเหมือนจะลอยขึ้นมาถึงริมบึงได้อย่างง่ายดาย



    เด็กสาวดูจะปลอดภัยดีแม้จะเปื้อนโคลนปนซากเยื่อสไลม์แทบทั้งตัว และมีแผลถลอกเล็กน้อยจากตอนถูกดึงขึ้นมา ส่วนวูลฟ์ก็คล้ายกัน เห็นจะหนักกว่าตรงที่ได้แผลไฟลวกตามแขนและหลัง แต่ไม่รุนแรงนัก



    \"รีบไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า\" ชายผู้มาช่วยรีบพูด \"แค่นั้นน่ะทำอะไร \'เจ้าบึง\' ไม่ได้หรอก\"



    ว่าแล้วเขาก็รีบกลับขึ้นหลังม้าแล้วควบนำไป เอรอนตรงไปยังที่นั่งคนขับรถม้า ขณะที่พิออนกับวูลฟ์ประคองโครินให้เข้าไปนั่งในรถ และต่อมารถม้าของคณะเดินทางอันยุ่งเหยิงก็เลี้ยวกลับไปตามทางเดิมที่เพิ่งมา ทิ้งกองต้นไม้ไหม้เกรียมซึ่งขวางทาง กับบึงสไลม์โคลนที่จบชีวิตแทบยกฝูงไว้ด้านหลัง



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    \"ขอบคุณมากที่ช่วย\" เอรอนพูดกับชายหนุ่มที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆ กึ่งๆ นำหน้า เวลาไม่ฉุกละหุกเขาจึงเพิ่งสังเกตหน้าตาอีกฝ่ายได้ชัด ชายผู้มาช่วยดูจะอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ โครงหน้าและกรามใหญ่ ผมสั้นสีน้ำตาลออกจะชี้ตั้ง ดวงตาสีเขียวใบไม้ ร่างสูงใหญ่กำยำ สวมเสื้อคอกลมสีขาวทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ทหนังสีน้ำตาลเข้มแขนสั้นที่ยิ่งเน้นกล้ามเนื้อต้นแขนให้ดูชัดเจนขึ้น กับกางเกงยีนส์สีเทาอมน้ำเงินและรองเท้าบู๊ทหนังสีน้ำตาลเข้ม



    \"ไม่เป็นไรหรอกครับ\" อีกฝ่ายตอบอย่างคนมีอัธยาศัยดี \"ดีแล้วที่ผมไปทัน เห็นควันไฟลอยจากทางเก่าที่เขาเลิกใช้กันก็นึกแล้วว่าต้องมีปัญหา\"



    \"ทางเก่าเหรอ?\" ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย



    \"ใช่ ทางนั้นมีฝูงสไลม์โคลนอาละวาดลากคนเดินทางลงบึงมานานแล้ว เขาเลยปิดทางไป พวกคุณผ่านทางแยกก่อนหน้านี้ก็น่าจะเห็นป้ายเขียนชัดเจนนี่\"



    \"อ่านหนังสือไม่ออก\" เอรอนได้ยินวูลฟ์บ่นเบาๆ จากด้านในรถ ไม่แน่ใจว่าจะบ่นกับตนเองหรือจงใจให้เขาได้ยิน โครินที่กำลังใช้อควาเวลรักษาแผลให้เงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่าย



    \"ตะกี้วูลฟ์พูดอะไรกับฉันหรือเปล่า? ไม่ทันได้ยินน่ะ\"



    \"เปล่า...ก็แค่บอกว่าดีที่รอดมาได้น่ะ\"



    เอรอนขมวดคิ้วนิ่ง เขาจำได้ว่าเห็นป้ายบอกทางตอนผ่านทางแยก ป้ายบอกทางนั้นมีลูกศรชี้ทางกับกากบาทชัดเจนนอกจากตัวอักษร ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะไปผิดทางเพราะเขาก็ไปตามทางที่ลูกศรชี้ในป้ายนั้น



    \"นั่นไงป้าย\" ชายหนุ่มผู้ร่วมทางชี้ไปทางป้ายที่อยู่ตรงสามแยก เอรอนประหลาดใจขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าลูกศรกับกากบาทในป้ายนั้นอยู่สลับที่กับป้ายที่เขาจำได้ว่าเห็นเมื่อตอนขามาอย่างสิ้นเชิง กากบาทกลับอยู่แทนที่ลูกศรสำหรับทางสายเก่านั้น แต่ชายหนุ่มยังคงเงียบไว้ไม่พูดออกมา น่าเสียดายที่ไม่มีใครสังเกตเห็นด้วงตัวใหญ่ที่แอบซุ่มอยู่ในพงหญ้าใต้ป้ายบอกทางพร้อมกับคาบเศษกระดาษลงอาคมที่ขยำยู่ยี่อยู่ในปาก จึงไม่รู้ความจริงที่มีเพียงคนเดียวในคณะเดินทางรู้



    ชายแปลกหน้าถามต่อไปอีกคำถามหนึ่ง \"ว่าแต่พวกคุณกำลังจะไปไหนล่ะ?\"



    ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เอรอนจะตัดสินใจตอบเรียบๆ



    \"มาจิเซีย\"



    \"งั้นก็กำลังจะไปขึ้นเรือที่มอร์ติกาสินะครับ?\"



    \"ใช่\" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ



    \"แล้วคืนนี้จะไปพักที่ไหนกันครับ?\"



    \"ก็ลองหาโรงแรมริมทางดู\" เอรอนตอบเลี่ยงๆ ไม่ให้ผิดสังเกต \"ถ้าไม่มีคงต้องก่อกองไฟพักแรมระหว่างทางเอา\"



    อีกฝ่ายเหลือบขอบฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนๆ ก่อนจะแย้ง



    \"กว่าจะไปถึงโรงแรมที่ใกล้ที่สุดในเมืองหน้าก็คงเลยเที่ยงคืนไปแล้วแหละ แถวนี้พอมีบ้านไร่บ้าง แต่ก็ไม่ใหญ่ขนาดเป็นเมืองที่มีโรงแรมให้คนเดินทางพักหรอก ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็...คืนนี้ไปพักบ้านผมได้นะ\"



    คำชวนที่มาอย่างง่ายดายทำให้เอรอนตั้งใจจะปฏิเสธ แต่คำพูดต่อมาของอีกฝ่ายก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้



    \"ยังไงซะเพื่อนร่วมทางของคุณก็ต้องหาที่อาบน้ำล้างตัวไม่ใช่เหรอ?\"



    \"ถ้างั้นคงต้องขอรบกวนหน่อยนะครับ\" พิออนแง้มหน้าจากในรถออกมาตอบแทน



    \"ไม่รบกวนหรอก\" ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยิ้มกว้างก่อนจะชี้ตรงไปข้างหน้า \"บ้านผมอยู่ตรงนั้นนี่เอง เดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ\"



    โครินกระเถิบเข้ามาใกล้ด้านหน้ารถม้ายิ่งขึ้นด้วยความอยากรู้ เธอเห็นบ้านไม้ซุงหลังย่อมตั้งอยู่ลิบๆ ถัดไปด้านหลังเป็นโรงนากับแปลงปลูกผักสวนครัว ขนาบข้างด้วยทุ่งข้าวที่แตกใบยาวสีเขียวอ่อนพลิ้วไสว กับทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่มีสีเขียวจัดกว่า ฝูงแกะขนขาวกำลังและเล็มหญ้าอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งดูคุ้นเคยและแตกต่างจากภาพหมู่บ้านเทเซ็นของเธอ



    สุนัขเลี้ยงแกะตัวใหญ่สีขาวสลับดำเห่าก่อนจะกระโจนข้ามรั้วกั้นทุ่งเลี้ยงสัตว์เข้ามาหาทันทีเมื่อทั้งคนขี่ม้ากับรถม้าอีกคันเข้ามาใกล้ เจ้าของบ้านลงจากหลังม้าไปตบหัวมันพร้อมปราม \"ไม่เอาน่าฮัซซ่า! กลับไปทำงานของแกไป!!\"



    แต่เจ้าสุนัขตัวใหญ่เห็นจะฟังไม่รู้เรื่อง หรือไม่ยอมฟัง มันรี่เข้ามาทำจมูกฟุดฟิดสูดดมผู้มาเยือนทุกคนที่ทยอยลงจากรถม้าตั้งแต่ เอรอน พิออน โครินและวูลฟ์ แต่ก็ด้วยท่าทีที่เป็นมิตรดี ถึงเด็กสาวจะแอบรู้สึกว่าเจ้าหมาหูตกขนปรกตาดมเธอกับเด็กหนุ่มสมิงนานกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ คงเพราะกลิ่นโคลนผสมซากสไลม์ที่อาบเต็มตัว



    \"ไม่ต้องห่วง มันไม่กัดหรอก\" ชายหนุ่มเจ้าของบ้านรับรองก่อนจะเดินขึ้นชานหน้าบ้านไปเปิดประตูแล้วร้องเรียก \"พี่มิกกี้! ผมพาพวกเค้ามาด้วยนะ!!\"



    หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่า \'มิกกี้\' ซึ่งมีผมสีน้ำตาลปล่อยยาวสยายถึงกลางหลัง กับดวงตาสีเขียวแบบเดียวกับชายหนุ่มเดินมาที่หน้าประตู เธอดูจะมีอายุมากกว่าชายหนุ่มราวสี่ห้าปี โครินเดาจากการแต่งกายของเธอว่าเธอน่าจะกำลังทำงานบ้านอยู่ เพราะหญิงสาวคนนั้นสวมเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวสีขาวที่พับแขนขึ้นครึ่งท่อนแขน และสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวทับกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม มีผ้าคาดทับเรือนผมรวบผมด้านหน้าขึ้นไม่ให้ปรกตา



    \"แล้วมีใครเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า?\" เธอถามทันทีพร้อมกับกวาดมองพวกเอรอนที่อยู่ด้านนอกทีละคน สายตาของเธอหยุดอยู่ที่โครินกับวูลฟ์นานเป็นพิเศษเช่นเดียวกับจมูกของสุนัขตัวนั้น ทำให้เด็กสาวสรุปได้เองว่าสภาพของพวกเธอสองคนคงดูไม่จืดจริงๆ



    \"ไม่มีใครบาดเจ็บหนักหรอก\" ชายหนุ่มตอบ \"แต่ท่าทางจะเหนื่อยอยู่ ก็ว่าจะให้ล้างเนื้อล้างตัวแล้วพักที่บ้านเราคืนนึง\"



    \"ดีแล้วล่ะ\" หญิงสาวตอบก่อนจะหันมายิ้มให้กับทุกคน \"เข้ามาเลยค่ะ ทำตัวตามสบายไม่ต้องเกรงใจกันหรอก\"



    ทุกคนถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นวางด้านหน้าบ้านตามชายหนุ่มก่อนจะค่อยๆ เดินแถวเข้ามาบนพื้นไม้กระดานขัดเนื้อเรียบลื่นในห้องแรกของบ้านนั้น เครื่องเรือนที่เห็นคือชุดโต๊ะไม้แบบทำเองตรงกลางห้องหน้าเตาผิงริมผนัง มีเก้าอี้ตั้งล้อมรอบโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตัวใหญ่ด้านละสองตัว รวมเป็นแปด และสองในแปดตัวนั้นก็เป็นเก้าอี้เด็ก บนโต๊ะมีแจกันใส่ดอกไม้ที่มีลักษณะเป็นช่อเล็กๆ สีม่วง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย มีบันไดขึ้นไปด้านบน ประตูสองบานบนผนังด้านหนึ่ง และมีห้องด้านหลังกั้นด้วยผนังไม้ข้างบันได โครินเดาว่าน่าจะเป็นห้องครัวเพราะเห็นเตาเหล็กรูปร่างแปลกตาที่มีหม้อตั้งอยู่ด้านบน ที่สะดุดตาเด็กสาวที่สุดคือประตูด้านข้างที่แง้มน้อยๆ มีเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงราวสี่ห้าขวบโผล่หน้าออกมาจ้องตาแป๋ว คงเป็นเจ้าของเก้าอี้เด็กสองตัวข้างนอก ทันทีที่โครินหันไปมองทั้งสอง ทั้งคู่ก็หลบหน้าและปิดประตูห้องทันที



    \"ฉันชื่อมิเคลล่าค่ะ\" เด็กสาวหันกลับมาทางหญิงสาวเมื่อเธอแนะนำตัว \"ส่วนน้องชายของฉันชื่อโอเมอราส แต่เรียกพวกเราสั้นๆ ว่ามิกกี้กับโอเมะได้นะคะ\"



    คณะเดินทางทั้งสี่ดูจะแลกสายตากันอยู่ครู่หนึ่งเหมือนจะหาผู้แนะนำตัวก่อนเป็นหลักว่าจะใช้ชื่อจริงหรือชื่อปลอม จนมีผู้พูดขึ้นเป็นคนแรก



    \"โครินค่ะ\" เด็กสาวตัดสินใจบอกชื่อจริงไปเป็นคนแรก ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพียงแค่เธอไม่อยากจะปลอมตัวและโกหกกับคนที่ดูมีอัธยาศัยดีอย่างพี่น้องคู่นี้ สมาชิกที่เหลือจึงแนะนำตัวกันต่อ พิออนบอกชื่อพิออนแถมท้ายด้วยนามสกุลสกอร์ปิโอ วูลฟ์ยังคงเรียกตนเองตามที่โครินเคยเรียกว่าวูลฟ์ และเอรอนก็ยอมบอกชื่อจริงเป็นคนสุดท้ายแม้จะดูหน้าตาไม่สบอารมณ์กับการตัดสินใจของโครินนัก เมื่อแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว สายตาของมิเคลล่าที่เคยมองไปทางแต่ละคนขณะเอ่ยชื่อกลับมาทางเด็กสาวอีกแวบหนึ่งก่อนจะไปที่โอเมอราส



    \"โอเมะ ช่วยตั้งกาใหญ่ต้มน้ำอาบหน่อยนะ\"



    ชายหนุ่มรับคำเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง หญิงสาวหันทางโครินกับวูลฟ์อีกครั้ง



    \"เดี๋ยวทั้งสองคนตามฉันมาล้างหน้ากับมือก่อนเถอะ\"



    ว่าแล้วเธอก็กลับหลังหันเดินนำทั้งสองตามเข้าไปในครัว ซึ่งโครินเหลือบเห็นประตูบานหนึ่งถัดไปบนผนังข้างๆ และอีกบานที่มิเคลล่าเปิดพาทั้งสองออกไปทางด้านหลังบ้านที่เป็นลานหญ้าเตี้ยๆ มีรองเท้าแตะไม้สี่คู่วางให้สวมอยู่ริมประตู ด้านหนึ่งของลานทำเป็นแปลงผักสวนครัวที่เด็กสาวเคยเห็นไกลๆ ส่วนข้างๆ เป็นราวตากผ้าที่มีเสื้อผ้าบางส่วนไหวพลิ้วไปตามแรงลม



    ที่ริมผนังบ้าน โอเมอราสที่ล่วงหน้ามาก่อนกำลังง่วนอยู่กับเครื่องมือบางอย่างที่มีลักษณะเป็นท่อเหล็กต่อขึ้นมาจากพื้น มีคันโยกซึ่งโยกให้น้ำไหลซู่ลงในกาน้ำใบใหญ่ เด็กสาวเผลอจ้องมองอย่างทึ่งๆ ครู่หนึ่ง เธอไม่เคยเห็นเครื่องมือแบบนี้มาก่อน แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเคยมีคนรู้จักของพ่อที่ออกไปนอกฮอลลัม และกลับมาเล่าให้ฟังเรื่องเครื่องกลต่างๆ ที่ในฮอลลัมไม่มี หากเธอจำไม่ผิดนี่น่าจะเรียกว่า \'เครื่องสูบน้ำ\'



    เมื่อเห็นทั้งสาม โอเมอราสก็เลื่อนกาน้ำหลบไปข้างๆ ก่อนจะโยกน้ำให้โครินกับวูลฟ์ล้างหน้าและมือ น้ำเย็นเฉียบ และอากาศก็ออกจะเย็นอยู่ หากเด็กสาวรู้สึกดีเหลือเกินที่ขจัดคราบสไลม์เหนียวเหนอะไปพ้นจากหน้าและมือได้ เมื่อล้างหน้ากับมือเสร็จแล้ว มิเคลล่าจึงพาทั้งสองกลับเข้าไปที่โต๊ะ ซึ่งพิออนกับเอรอนยังคงยืนรออยู่ หน้าตาของพิออนดูยิ้มแย้มตามปกติ ส่วนเอรอนก็ก้มหน้าซ่อนสีหน้าบอกบุญไม่รับตามปกติเช่นกัน



    \"มีเสื้อผ้าเปลี่ยนมั้ยจ๊ะ?\" หญิงสาวถามขึ้นอีกครั้ง



    เด็กสาวนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าจะบอกไปตามตรงดีหรือเปล่าว่าเธอไม่มีเสื้อผ้าชุดอื่นติดตัวมาเลยตั้งแต่ออกเดินทางมากับเอรอน ซึ่งคงฟังดูมีพิรุธเหลือเกินสำหรับคณะเดินทาง



    \"เกรงว่าห่อเสื้อผ้าของสองคนนี้ตกบึงไปแล้วน่ะสิครับ\" พิออนช่วยตอบแก้สถานการณ์ให้



    \"งั้นเดี๋ยวเอาชุดของฉันไปเปลี่ยนก่อนได้นะจ๊ะ\" มิเคลล่าบอกโคริน คำลงท้ายที่ใช้เปลี่ยนเป็นแสดงความเอ็นดูและสนิทสนมมากขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายอายุน้อยกว่า \"ส่วนของวูลฟ์เดี๋ยวฉันเอาชุดของสามีฉันให้ใส่ไปก่อน ตอนนี้เขาไม่อยู่บ้าน แต่ก็คงไม่ว่าอะไรหรอก\"



    ว่าแล้วหญิงสาวเข้าไปในห้องที่เด็กสองคนอยู่ ก่อนจะกลับออกมากับผ้าสีฟ้าและน้ำเงินพับหนึ่ง กับสีครีมและสีน้ำตาลอีกพับหนึ่ง เธอวางผ้าทั้งสองไว้บนโต๊ะก่อนจะหันมาบอกทั้งสี่ที่ยังยืนนิ่งอยู่ \"นั่งพักก่อนสิคะ\"



    พิออนนั่งลงตามคำเชิญเป็นคนแรกหลังเอ่ยคำขอบคุณสั้นๆ เอรอนนั่งลงตามเป็นคนที่สอง ขณะที่โครินกำลังลังเลอยู่ และวูลฟ์รอว่าเมื่อใดโครินนั่งจึงจะนั่งลงตาม



    เมื่อพบกับสายตาแทนคำถามของมิเคลล่า เด็กสาวเลยก้มหน้าลงตอบเบาๆ



    \"เอ่อ...กลัวเก้าอี้เปื้อนน่ะค่ะ\"



    \"เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เปื้อนก็เช็ดได้ นั่งพักก่อนเถอะ กว่าน้ำจะเดือดก็คงอีกสักพัก\" หญิงสาวตอบก่อนจะยิ้มอย่างอารี



    โครินกับวูลฟ์จึงได้นั่งลง มิเคลล่าเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้งแล้วตั้งกาน้ำใบเล็กบนเตาไฟข้างๆ กับหม้อ พักหนึ่งเธอก็กลับออกมาพร้อมกับกาและถ้วยชาที่รินแจกให้กับทั้งสี่ และคำบอกว่า



    \"ชาลาเวนเดอร์น่ะจ้ะ\"



    ต่างคนต่างขอบคุณเบาๆ ก่อนจะรับมาจิบ น้ำชาร้อนหอมกลิ่นคล้ายดอกไม้ในแจกันทำให้โครินรู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว



    \"อร่อยมากเลยค่ะ\" เด็กสาวตอบจากใจจริง



    มิเคลล่ายิ้มตอบ



    \"ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะจ๊ะ\"



    \"น้ำเดือดแล้วนะพี่\" โอเมอราสร้องบอกในตอนนั้น หญิงสาวจึงหันไปตอบ



    \"เอาไปผสมในห้องน้ำเลย เดี๋ยวพี่ตามไป\" มิเคลล่าหยิบพับผ้าสีฟ้ากับสีน้ำเงินขึ้นก่อนจะหันมาทางโคริน \"ไปกันเถอะจ้ะ\"



    เด็กสาวลุกเดินตามหญิงสูงวัยกว่าเข้าไปในครัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เข้าไปในประตูอีกบานหนึ่งที่นำเข้าไปในห้องน้ำ มีที่ให้ทำธุระส่วนตัว กับฉากกั้นไม้แบบบานพับที่กั้นอ่างไม้ทรงกลมขนาดสูงประมาณครึ่งตัวพอให้คนลงไปแช่ได้ โอเมอราสโยกเครื่องสูบน้ำอีกเครื่องหนึ่งใส่อ่างจนแทบปริ่มแล้ว และกำลังใช้มือกวนให้เข้ากัน เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามา เขาก็หันกลับมาบอกมิเคลล่าก่อนจะเดินออกไป



    \"เสร็จแล้วล่ะ\"



    \"ขอบใจจ้ะ\" หญิงสาวตอบไล่หลังก่อนจะพาดชุดผ้าสีฟ้ากับน้ำเงินไว้บนฉากกั้นพร้อมกับบอกว่า \"ชุดที่เปื้อนพาดไว้ข้างๆ นี้ก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวค่อยซักทีหลัง\" เธอชี้ต่อไปยังถังไม้ใบเล็กที่โครินเห็นวางอยู่บนพื้น ข้างในมีกระบวยไม้ ใยบวบ กับสบู่สีเหลืองก้อนแป้น \"แล้วพวกนี้ก็ใช้ตามสบายเลยนะ\"



    \"ขอบคุณค่ะ\" เด็กสาวรับคำก่อนจะมองมิเคลล่าออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลง หลังจากนั้นเธอจึงได้เริ่มอาบน้ำโดยใช้กระบวยตักน้ำราดตัว น้ำที่ผสมแล้วอุ่นกำลังดีเมื่อเทียบกับอากาศด้านนอก และความที่ไม่ได้อาบน้ำมานานตั้งแต่ออกเดินทางมากับเอรอนก็ทำให้โครินรู้สึกว่าการอาบน้ำเป็นสิ่งที่วิเศษเหลือเกิน เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายเสียจนเผลอตัวร้องเพลงพื้นเมืองของฮอลลัมออกมาเบาๆ...ก่อนที่ภาพบ้านซึ่งไม่มีวันได้เห็นอีกแล้วกับพ่อแม่จะวาบขึ้นในใจ และทำให้เสียงเพลงสะดุดลงกลายเป็นความเงียบ



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ไม่นานโครินก็กลับออกมาในชุดเสื้อกระโปรงสีฟ้าอ่อน ทับด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำเงินที่ใช้เส้นไหมผูกติดกันด้านหน้าแทนกระดุม และชุดเดิมที่เปื้อนโคลนในอ้อมแขน เมื่อออกมาในห้องแรก เธอก็เห็นว่าพิออนกำลังชวนมิเคลล่ากับโอเมอราสคุยไปเรื่อยๆ เหมือนตอนที่เคยชวนหัวหน้ากองอัศวินศักดิ์สิทธิ์ โดยที่เอรอนกับวูลฟ์นั่งเงียบเช่นเคย สีหน้าของเอรอนออกจะบอกความเบื่อกับไม่สบอารมณ์มากเป็นพิเศษ ส่วนวูลฟ์ก้มหน้าหลบสายตาทันทีที่สายตาของเด็กสาวกวาดไปเผลอสบตาด้วย ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย



    เมื่อมิเคลล่าเห็นโคริน เธอก็ลุกขึ้นบอกให้วูลฟ์เข้าไปอาบน้ำต่อ ก่อนจะนำเสื้อผ้าเปื้อนโคลนของโครินกับวูลฟ์ (ซึ่งมิเคลล่าขอเข้าไปหยิบขณะที่เด็กหนุ่มกำลังอาบน้ำอยู่หลังฉาก) ไปซักที่หลังบ้าน โครินอาสาตามไปช่วยด้วย และขณะที่โยกน้ำจากเครื่องสูบน้ำลงถังแช่ผ้านั่นเอง มิเคลล่าก็พูดขึ้นว่า



    \"พี่ชายหนูกำลังเรียนอยู่ที่มาจิเซียเหรอจ๊ะ?\"



    เด็กสาวตกใจและประหลาดใจพอดูว่าคำถามนั้นมาได้อย่างไร แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าพิออนคงจะเล่าให้เจ้าบ้านทั้งสองฟังตอนที่เธอกำลังอาบน้ำอยู่กระมัง



    \"แค่ไปสอบน่ะค่ะ...ยังไม่รู้เลยว่าติดมั้ยเพราะพี่ไม่ได้ติดต่อมาเลย\" โครินตอบ



    \"หวังว่าน่าจะติดนะจ๊ะ ถ้าเป็นแบบนี้หนูจะได้ย้ายไปอยู่ที่มาจิเซียกับพี่ได้เลย\" หญิงสาวบอกอย่างใจดี



    \"ขอบคุณค่ะ\" เด็กสาวรับ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งขณะมองอีกฝ่ายเทน้ำในถังแช่ผ้าทิ้งหลังช่วยกันขยี้ผ้าล้างคราบโคลนด้วยน้ำเปล่า ชั่งใจว่าควรถามคำถามต่อไปดีไหมว่าพิออนเล่าอะไรให้เธอฟัง แต่อีกฝ่ายพูดต่อเสียก่อน



    \"ลูกสาวของฉันก็กำลังเรียนอยู่ที่มาจิเซียนะ\"



    คำถามนั้นดึงความสนใจของโครินทันที



    \"เรียนเป็นหมอเหรอคะ?\"



    \"เปล่าจ้ะ เรียนเวทมนตร์น่ะ\" เธอบอกขณะเทน้ำยาสีเขียวใสลงบนผ้าหลังโยกน้ำใส่ลงไปอีกเล็กน้อยแล้วขยี้ให้เกิดฟอง \"เพิ่งเข้าเรียนปีนี้เอง ไม่รู้เหมือนกันว่าปรับตัวได้หรือยัง\"



    \"เก่งจังเลยนะคะ\" เด็กสาวเอ่ยชม แม้เธอจะไม่เคยเห็นวิทยาลัยเวทมนตร์มาจิเซียจริงๆ แต่คำร่ำลือที่รู้กันกระทั่งทั่วทุกหมู่บ้านในฮอลลัมถึงจำนวนอันน้อยนิดของผู้สอบเข้าและผู้จบการศึกษาจากวิทยาลัยทำให้เธอคิดว่าคนที่สามารถเข้าและเรียนที่นี่ได้ต้องไม่ธรรมดาเลยจริงๆ



    บทสนทนาถูกขัดเมื่อมีผู้เปิดประตูครัว ทั้งสองหันไปเห็นเอรอนยืนอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มผมทองอึ้งไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นได้...ด้วยคำพูดที่ทำเอาโครินกระพริบตาปริบๆ ด้วยความงง และความที่คำพูดนั้นค้านกับภาษาตามปกติของเขาอย่างสิ้นเชิง



    \"คุณพิออนให้มาตามคุณโครินครับ บอกว่าได้เวลาทานยาแล้ว\"



    เด็กสาวเกือบเผลอหลุดปากถามไปแล้วว่ายาอะไร ถ้ามิเคลล่าไม่บอกให้เธอล้างมือแล้วรีบไป \'ทานยา\' เสียก่อนอีกคนหนึ่ง



    \"ไปก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวฉันซักให้เอง\"



    เธอเลยจำต้องตามเอรอนผ่านห้องครัวที่โอเมอราสกำลังดูหม้ออาหารแทนมิเคลล่า เข้าไปในห้องที่มีโต๊ะเก้าอี้อยู่ แต่พิออนดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในห้องนั้น เอรอนเดินนำออกไปยังชานนอกบ้าน และเด็กสาวก็เห็นนักบวชหนุ่มกำลังหันหลังก้มลงทำอะไรบางอย่างอยู่หน้าพงหญ้าริมทางเกวียนหน้าบ้านไร่ ตอนนั้นเองชายหนุ่มผมทองก็พูดขึ้นด้วยเสียงแฝงแววประชดว่า



    \"ไอ้นักบวชนั่นเล่าให้พวกเขาฟังว่าพ่อแม่เจ้าตายในอุบัติเหตุ หมอนักบวชที่มาแสวงบุญแถวนั้นกับข้าที่เป็นองครักษ์เลยพาเจ้ามาด้วยเพื่อจะไปหาพี่ชายที่มาจิเซีย ส่วนไอ้หมาป่า...\"



    \"อย่าบอกนะคะว่าเป็นสามีของฉันอีกแล้ว!?\" เด็กสาวถามอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าความจริงกับละครเล็กๆ ที่พวกเขาแสดงที่ด่านผ่านทางดูจะถูกเอามาผสมโรงกันเสียแล้ว



    \"เปล่า เป็นผู้ติดตามของมันอีกคน\" โครินแทบถอนหายใจอย่างโล่งอก หากเอรอนไม่พูดประโยคต่อมา \"...แล้วก็เป็นคนรักของเจ้า\"



    เมื่อเห็นสีหน้าตะลึงของเด็กสาว เอรอนเลยถอนหายใจอย่างหน่ายๆ แล้วพูดดักทาง



    \"ไม่ต้องถามข้าเลยว่าทำไมต้องเป็นคนรัก อยากถามไปถามไอ้ผู้กำกับในคราบนักบวชโน่น\"



    โครินเลยสะกดอารมณ์ไว้ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม



    \"แล้ว \'ทานยา\' นี่มันเรื่องอะไรคะ?\"



    \"มันบอกพวกเขาว่าเจ้าเป็นโรคอะไรแปลกๆ ข้าก็จำชื่อไม่ได้\"



    เด็กสาวแทบอ้าปากค้าง



    \"ทำไมต้อง--\"



    \"เพื่อให้ข้าได้ข้ออ้างตามเจ้าออกมาทานยาแล้วเตรียมความเข้าใจกันไว้ก่อนไง\" ชายหนุ่มขัดขึ้นอย่างรำคาญก่อนจะพยักพเยิดไปทางผู้เขียนบทที่กลับหลังหันเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองพร้อมกับถือขวดใบหนึ่ง ขวดที่โครินจำได้ว่าเคยใช้ใส่ซีอิ๊ว...แต่บัดนี้มีน้ำสีน้ำตาลอ่อนแถมก้านและใบไม้เรียวยาวที่ดูเหมือนต้นหญ้าแช่อยู่ข้างใน



    พิออนหัวเราะน้อยๆ แล้วตอบคำถามที่เด็กสาวยังไม่ทันได้เอ่ย



    \"ไม่ต้องห่วงครับ ผมเทซีอิ๊วทิ้งกับล้างขวดแล้ว ส่วนนี่เป็นน้ำชาที่ผมใช้เวทมนตร์สร้างขึ้นตามที่คุณมิเคลล่าชง แล้วใบหญ้าที่ผมเด็ดมาใส่ให้มันดูคล้ายๆ ยานี่ก็ใช้เวทมนตร์น้ำล้างเรียบร้อย แต่ถ้ารู้สึกลำบากใจที่จะดื่มก็แกล้งจิบๆ สักฝาพอเป็นพิธีแล้วกันครับ\"



    นักบวชหนุ่มส่งขวดให้โครินซึ่งจำใจรับ เอรอนแค่นเสียงเบาๆ ก่อนจะค่อนขอด



    \"ทำท่าจะเป็นจะตายตอนให้ใช้มนต์ไฟคราวนั้น แล้วตอนนี้ยังอุตส่าห์ใช้มนต์สร้างน้ำแปลกๆ ขึ้นมาได้อีก\"



    นักบวชหนุ่มหัวเราะรับและตอบร่าเริงเช่นเคย



    \"ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมเป็นคนธาตุน้ำ มนต์ไฟเป็นมนต์ที่กินพลังเวทของผมมากที่สุด แล้วอีกอย่าง ได้นั่งพักจิบน้ำชาร้อนๆ สักหน่อยก็ช่วยฟื้นพลังให้ใช้มนต์ธาตุน้ำที่ผมถนัดได้บ้างล่ะครับ\"



    เอรอนเงียบไปไม่เถียงต่อ ผู้ที่พูดขึ้นหลังจากนี้คือเด็กสาวซึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอมีเรื่องที่อยากถามพิออนอย่างมากเรื่องหนึ่ง



    \"เอ้อ...คุณพิออนคะ ทำไมคุณถึงบอกว่าฉันกับวูลฟ์เป็น...\"



    เสียงประตูเปิดกับวูลฟ์ในชุดเสื้อแขนยาวสีครีมกับกางเกงสีน้ำตาลที่ยืนมองทั้งสามบนชานบ้านทำให้คำถามของเด็กสาวขาดหายไปทันที เธอก้มหน้าหลบสายตาของเขา...ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่บอกให้เธอทำอย่างนั้น



    วูลฟ์กวาดมองเพื่อนร่วมทางทั้งสามแวบหนึ่ง สายตาของเขามาหยุดที่โครินในชุดใหม่เป็นคนสุดท้ายก่อนจะเลื่อนหลบเมื่อเด็กหนุ่มบอกทั้งสามว่า



    \"คุณมิเคลล่าบอกให้เข้ามานั่งข้างใน เดี๋ยวอาหารเย็นจะเสร็จแล้ว\"



    เอรอนพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเฉยๆ ตามเดิมก่อนจะเดินเข้าไปเป็นคนแรก โครินตามเข้าไปเป็นคนที่สองทั้งที่ยังไม่กล้ามองหน้าวูลฟ์อยู่ ส่วนพิออนซึ่งอยู่รั้งท้ายเหลือบกลับไปมองด้วงตัวเขื่องที่เกาะข้างๆ รถม้าอยู่ ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อยๆ ขณะโบกมือเหมือนจะทักทายมัน ก่อนจะตามเข้าไปแล้วปิดประตูลง



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    Note: อา...เป็นตอนที่ผมอยากเขียนมานานครับ รายละเอียดเลยเยอะมากอยู่เหมือนกัน ทั้งพรรณนาฉากและลำดับการกระทำ อาจเป็นเพราะหมู่นี้ผมเริ่มเล่นเกมบ้านไร่วิมานรัก ภาคโอ้พระเจ้าจอร์จ ชีวิตช่างมหัศจรรย์จริงๆ!! (Harvest Moon: Oh! Wonderful Life) ฉากบ้านไร่บางส่วนเลยถูกถ่ายทอดมาในตอนนี้ด้วย ผมนึกภาพบ้านไร่ในฟานฟาร่าเป็นบ้านชนบทในอเมริกันยุคบุกเบิก แต่เป็นสมัยที่เริ่มมีเครื่องกลไกทุ่นแรงบ้างแล้ว ถึงผมจะชอบไอเดียคลาสสิกแบบตักน้ำจากบ่อน้ำหลังบ้านมากกว่า แต่เครื่องสูบน้ำก็ให้ความรู้สึกสะดวกดีเหมือนกันแฮะ ^^;;;

    ตอนนี้ผมค่อนข้างใช้มุมมองสลับแบบแปลกๆ ฉากแรกเป็นมุมมองของโคริน พอโครินตกบึงสไลม์ก็เป็นเอรอน พอหลังจากถึงบ้านของมิเคลล่ากับโอเมอราสก็กลับมาเป็นโครินอีกครั้ง อาจเป็นเพราะโครินมีความคิดเหมือนคนปกติที่สุดในสถานการณ์ปกติที่ผมจูนด้วยได้ง่ายที่สุดในเหล่าคณะเดินทางล่ะครับ แต่บางทีผมก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่ายากที่จะวาดภาพว่าเธอจะรู้สึกยังไงในสถานการณ์ไม่ธรรมดาต่างๆ ก็จะพยายามต่อไปครับ ส่วนวูลฟ์กับโคริน...เป็นเรื่องแปลกสำหรับผมที่ตั้งใจวาดภาพในตอนต้นๆ ว่าสองคนนี้เป็น \'เพื่อนสนิท\' กันแท้ๆ แต่พออ่านทวนเองยังอดรู้สึกไม่ได้เลยว่ามัน...มีบอกใบ้เกินเพื่อนสนิทแล้ว...ซึ่งเร็วอยู่สำหรับเนื้อเรื่องช่วงต้นที่ยังอีกยาวไกลเลย และคณะเดินทางอันยุ่งเหยิงกลุ่มนี้ก็เป็นเรื่องแปลกสำหรับผมเหมือนกันที่นับวันต่างคนจะยิ่งกัดกันและแขวะกันมากขึ้นทุกที แต่อย่างน้อยผมก็คิดว่าดีที่การกัดและแขวะน่าจะช่วยลดบรรยากาศเคร่งเครียดลงได้บ้าง ส่วนเจ้าด้วงนักถ้ำมองตัวนี้...รับรองตอนหน้าได้ทราบแน่ๆ ครับว่ามันมาจากใคร

    เรื่องน่ายินดีสำหรับผมในตอนนี้คือในที่สุดผมก็สามารถนำตัวละครใหม่ออกโรงได้อีกตัวนึงแล้ว...ถึงบทจะยังน้อยอยู่ก็เถอะ ^^;;; เพราะอย่างนี้ข้อมูลตัวละครประจำตอนที่น่าจะเป็นโอเมอราสจึงต้องเลื่อนออกไปตอนหลังๆ ก่อนเพื่อให้เขามีบทบาทมากขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการทดแทน ผมเลยเอาเบื้องหลังของตัวละครรับเชิญที่ผมใส่เข้ามาอย่างมิเคลล่ามาบอกเล่าเก้าสิบกันก่อน

    มิเคลล่าเป็นตัวละครที่เพื่อนร่วมชั้นของผมช่วยคิดขึ้นใน Wings of Light มีบทบาทเป็นเพื่อนของเอรอนและคู่กับเพื่อนของเอรอนอีกคนหนึ่งที่ชื่อริกนัส เวลธ์ ตามเรื่องใน WoL มิเคลล่ามีปู่ทวดเป็นเอลฟ์และสามารถติดต่อกับวิญญาณธรรมชาติได้ แต่ในภาคนี้เธอเป็นมนุษย์ 100% และเป็นแม่ของตัวละครเด็กที่จะออกโรงในช่วงหลังจากนี้ครับ ผมเคยวาดภาพ sd ของเธอใน WoL เอาไว้ ก็ขอลงเพื่อเทียบอิเมจกับภาคนี้ที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะครับ ส่วนกระรอกในภาพเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอ ซึ่งในภาคนี้กลายร่างเป็นหมาเลี้ยงแกะฮัซซ่าไปซะแล้ว (ล้อเล่นครับ คนละตัวกัน ^^;;; )

    ขอความกรุณาสำหรับคอมเมนต์เช่นเคยครับ m(_ _)m
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×