ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings of Hope - ตำนานพลิกฟ้า

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 8 - ระหว่างทาง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 135
      0
      2 ส.ค. 47

    บทที่ 8

    On the Way

    ระหว่างทาง




    นี่เป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ที่ซาอิยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากตั้งแต่เช้าวันนี้...บนเส้นทางที่ขนาบข้างด้วยไม้ยืนต้นสูงใหญ่หนาหลายคนโอบ มองไปข้างหน้าเขาเห็นแผ่นหลังของเรมี่ที่เดินตัวปลิวอย่างสบายๆ ทั้งที่สะพายกระเป๋าสัมภาระและคาดดาบที่ยาวกว่าดาบปกติถึงสามเท่าตัวไว้ด้านหลัง...เหมือนกับไม่รู้จักความหนักเลยสักนิด



    ไม่ต้องเหลียวไปข้างหลังเขาก็นึกภาพของมาริเอลล่าผู้ระวังหลังให้ทั้งสามได้ชัด เธอคงจะเดินถือคทาด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ ซาอิอดแปลกใจไม่ได้เมื่อนึกว่าครั้งใดก็ตามที่เขาชำเลืองกลับไป ก็จะเห็นเด็กสาวก้าวเท้าตามมาโดยรักษาระยะห่างได้เท่าเดิมเสมอ ไม่ว่าเรมี่ผู้เป็นหัวหน้าขบวนจะเร่งหรือชะลอฝีเท้าอย่างไรก็ตาม



    สามวันผ่านไปแล้วหลังจากร่วมทางมาด้วยกันจากมอร์ติกา สองวันแรกเดินทางผ่านเขตแดนอาร์โคเซียเป็นระยะสั้นๆ ส่วนอีกวันถัดมาซึ่งก็คือวันนี้เพิ่งได้ตัดขึ้นเทือกเขาโดมินิค ตั้งแต่เริ่มขึ้นมาบนเทือกเขา สภาพร่างกายของเด็กหนุ่มก็ยิ่งอ่อนล้าลงทุกขณะ จนบางครั้งซาอิยังอดถอดใจไม่ได้ว่าเขาอ่อนแอจนเกินเหตุ หรือว่าทั้งสองคนนั้นอดทนเกินขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดาไปแล้วกันแน่



    พอนึกดูอีกที เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกับคิดผิดไปถนัดที่ \'เลือก\' เส้นทางนี้ จริงอยู่ว่ามันเป็นทางเดียวที่จะพาเขากลับบ้านได้ แต่หนทางก็ไม่ใช่จะสะดวกเลยสักนิด ถึงแม้ซาอิจะเคยคิดว่าตนเองเป็นชาวเขาคนหนึ่งมาโดยกำเนิด บรรยากาศบนเทือกเขาโดมินิคก็ต่างจากเทือกเขาฮอลลัมอย่างสิ้นเชิง



    อากาศที่เบาบางบนภูเขาไม่ใช่ปัญหาสำหรับเด็กหนุ่ม...แต่เป็นความร้อนอบอ้าวอย่างประหลาดที่แทรกซึมไปทั่ว ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก



    ซาอิเลิกคิดเรื่อยเปื่อยในทันทีเมื่อเรมี่หยุดกึกกับเส้นทางเบื้องหน้าที่แยกเป็นสองสาย ทางด้านซ้ายเป็นเนินดินที่ยกตัวสูงขึ้น ปกคลุมด้วยต้นหญ้าเตี้ยสีแดงเลือดหมูที่น่าจะฝ่าไปได้ไม่ยาก เหนือเส้นทางมีร่มของซุ้มไม้เลื้อยโปร่งๆ ออกดอกสีชมพูม่วงอ่อนดอกโตกว่าฝ่ามือส่งกลิ่นที่ทั้งหอมทั้งฉุนในขณะเดียวกัน ดูแล้วสวยประหลาดในสายตาของซาอิ ส่วนทางด้านขวาที่ลาดต่ำลงไปเป็นลุ่มดอน ดินบางส่วนยุบตัวลงเป็นแอ่งน้ำขนาดย่อมๆ ซากใบไม้เปื่อยในน้ำขังส่งกลิ่นหมักหมม



    ไม่ว่าจะดูอย่างไรทางด้านซ้ายที่แสนสวยเหมือนจะยิ่งเชิญชวนให้ก้าวเท้าเข้าไปเสียจริง แต่เรมี่กลับเลือกเดินลงไปทางด้านขวาแทน



    \"จากตรงนี้อาจจะเดินลำบากหน่อย ทนเอาก็แล้วกัน\"



    \"ทำไมถึงไม่ไปทางซ้ายล่ะครับ?\" ซาอิถามขึ้นด้วยความแปลกใจ



    แทนคำตอบ ชายหนุ่มเก็บกิ่งไม้แห้งๆ ที่หล่นอยู่บนพื้นปาเข้าไปในซุ้มดอกไม้ด้านซ้าย เถาวัลย์เส้นหนึ่งที่ห้อยย้อยลงมาคว้ากิ่งไม้แห้งทันทีที่กระทบ...ก่อนจะสะบัดส่งเข้าใจกลางดอกที่อยู่ใกล้ที่สุด เสียงกร็อบดังขึ้นเพียงเบาๆ แล้วก็เงียบสนิท



    \"วีนัสแทร็ป...พืชกินสิ่งมีชีวิตที่มักจะขึ้นคู่กับหญ้าบลัดโกรว์ที่งอกจากเลือดของเหยื่อ\" เรมี่ว่าพลางพยักพเยิดไปทางเศษกระดูกสีขาวชิ้นเล็กๆ ที่ถูกบังไว้ใต้พงหญ้าสีแดงทำให้ซาอิไม่ทันเห็นเสียแต่แรก \"นายได้เป็นหนึ่งในคนที่เห็นฤทธิ์ของเจ้านี่ โดยไม่ถูกมันกินไปซะก่อนนะ\"



    ทั้งสามเดินลงไปทางขวา เด็กหนุ่มยังไม่วายรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อพยายามนึกภาพร่างของคนที่ถูกเถาวัลย์มีชีวิตกระชากขาดเป็นชิ้นๆ...ทั้งที่ยังไม่หมดลมหายใจเสียด้วยซ้ำ



    \"ผมไม่เคยคิดเลยว่าในโลกนี้ยังมีพืชแบบนี้อยู่ด้วย\" ซาอิเปรยขึ้น



    \"ก็ไม่แปลกหรอก เพราะต้นไม้พวกนี้มีเหลืออยู่เฉพาะบนเทือกเขาโดมินิคเท่านั้น\" ชายหนุ่มพูดในขณะที่เดินต่อไป \"ฉันเองก็เพิ่งเคยเห็นพืชพวกนี้จริงๆ เป็นครั้งแรกเหมือนกัน\"



    \"อ้าว...แล้วคุณรู้ชื่อของพวกมันได้ยังไงล่ะครับ?\"



    เรมี่ยักไหล่ก่อนจะตอบเบาๆ



    \"เคยมี...คนคนหนึ่ง...เล่าให้ฉันฟัง ในตอนที่เราเดินทางไปด้วยกันอยู่ไม่นาน\"



    \"งั้นเหรอครับ\" เด็กหนุ่มรับอย่างไม่ติดใจที่จะถามต่อ ทั้งที่ในใจยังอดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่...\'บ้าบิ่น\' พอจะเดินทางมาบนเทือกเขาโดมินิคแล้วรอดชีวิตกลับไปยังมีนอกจากนี้อีกหรือ



    ผ่านทางน้ำเก่าเข้าสู่ป่าที่ยิ่งรกชัฏ ความร้อนยิ่งขับให้เหงื่อซึมจนซาอิเลิกเช็ดเหงื่อไปในที่สุดเพราะรู้ดีว่าต่อให้เช็ดไปก็ไม่มีประโยชน์ สภาพของเขาในตอนนี้ยิ่งกว่าอาบเหงื่อต่างน้ำเสียอีก แม้จะเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ทัน เด็กหนุ่มก็ได้แต่เดินต่อไปโดยไม่ยอมบ่น จะอย่างไรเขาก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำตนให้เป็นภาระของทั้งสองมากไปกว่านี้เด็ดขาด



    แต่ดูเหมือนมาริเอลล่าที่เดินอยู่หลังสุดจะเห็นท่าทางของซาอิ จึงร้องเรียกผู้เป็นหัวหน้าขบวนแทน



    \"เรมี่...พักกันสักหน่อยเถอะ\"



    ชายหนุ่มหันกลับมามองสีหน้าเรียบเฉยตามปกติของเด็กสาวอย่างแปลกใจ แต่แล้วเขาก็เข้าใจเมื่อเห็นอาการของซาอิ



    \"จากนี้ไปอีกหน่อยน่าจะมีแหล่งน้ำอยู่ ไปถึงนั่นไหวมั้ย?\" ประโยคหลังเขาเน้นกับเด็กหนุ่ม ซึ่งพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น



    \"ไหวครับ\"



    ทั้งสามจึงเดินต่อไปจนมาถึงลำธารสายหนึ่งที่น้ำไหลเชี่ยวกราก ความเย็นจากกระแสน้ำช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้บ้าง ซาอิทรุดลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะคว้ากระติกน้ำของตนขึ้นมาดื่ม กลั้วน้ำในปากแล้วค่อยๆ กลืนลงคอไปทีละอึก



    \"เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมากมั้ย?\" เรมี่ถามขณะนั่งพิงหินใหญ่ก่อนหนึ่ง ดาบเล่มยักษ์วางพาดอยู่กับต้นไม้ใกล้ๆ



    \"พยายามปรับตัวอยู่ครับ\" เด็กหนุ่มตอบปนหอบ...ก่อนจะต่อด้วยเสียงอ่อยๆ \"ถ้าพวกคุณยังยอมให้ผมถูลู่ถูกังไปกันต่อ...นะ\"



    \"อย่าพูดแบบนั้นสิ\" คู่สนทนาพยายามปลอบ \"แรกๆ มันก็เหนื่อยแบบนี้แหละ อีกสองสามวันจะอยู่ตัวเอง เอาเป็นว่าจากนี้เราจะพยายามไปให้ช้าลงก็แล้วกัน\"



    \"ไม่เป็นไรครับ เร็วเท่าเดิมก็ดีอยู่แล้ว\" ซาอิแย้ง \"ผมจะพยายามครับ ผมเองก็อยากกลับบ้านเร็วๆ เหมือนกัน\"



    \"งั้นเหรอ เอาเถอะ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ เกิดหักโหม...\" เรมี่หยุดชะงักไว้เท่านั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปขณะที่สายตามองกวาดไปรอบๆ ซาอิอ้าปากจะถาม แต่แล้วกลับยั้งไว้



    มาริเอลล่าที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ค่อยๆ หยิบด้ามคทาขึ้นมากุม



    \"เรมี่...\" เด็กสาวเรียกเบาๆ ชายหนุ่มพยักหน้ารับเรียบๆ ขณะที่มือเลื่อนไปจับด้ามดาบของตน



    ทั้งสามนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เสียงน้ำในลำธารยังไหลซ่า...แผ่ไอเย็นซ่านไปทั่วอณูอากาศ แต่หยาดเหงื่อเย็นเฉียบกลับไหลลงมาตามหลังคอของซาอิอีกครั้ง...เป็นเหงื่อจากความรู้สึกตึงเครียดและกดดันจากความเงียบจนผิดวิสัยในบรรยากาศรอบด้าน...



    จู่ๆ สิ่งมีชีวิตหน้าตาแปลกๆ โขยงหนึ่งก็กรูออกมาจากพุ่มไม้รอบด้าน ล้อมทั้งสามไว้ในทันใดนั้น ซาอิแทบผงะเมื่อเห็นหน้าตาน่าเกลียดของอมนุษย์ที่มีดวงตาโปนโต จมูกยาวหงิกงอเหมือนตะขอ ลักษณะร่างกายของพวกมันคล้ายเด็กสูงไม่เกินไหล่ของเขา แต่ตามผิวหนังที่พ้นเสื้อผ้ารุ่งริ่งทั้งเหิ่ยวย่นและเป็นปุ่มปม ข้อศอกและเข่าปูดไม่สมประกอบ มือที่มีนิ้วเรียวเล็บยาวถ้าไม่กำด้ามมีดสั้นก็ขวานเล็กคมกริบ คะเนดูจากยอดหมวกสีแดงที่พวกมันสวมอยู่น่าจะมีมากกว่าห้าสิบตนทีเดียว



    \"ก็อบลิน...\" ซาอิได้ยินเสียงเรมี่กระซิบเบาๆ \"ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมาไม้ไหน\"



    เจ้าก็อบลินที่อยู่หน้าสุดซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าว...เป็นภาษาเรอาเลี่ยนสำเนียงแปร่งๆ



    \"พ...พวกเจ้า...จะ...จะ...ไปไหน?\"



    \"ไม่ใช่เรื่องอะไรของพวกแก!!\" ชายหนุ่มตอบทันควัน \"หลีกทางให้พวกเราเดี๋ยวนี้!!!\"



    \"ม...ม...ม...ไม่...ล...หลีก\" เจ้าก็อบลินตอบตะกุกตะกัก แต่ท่าทางจะเกิดจากความไม่ชินกับภาษามากกว่าความกลัว \"โด...ม....มิ...นิคเป็น...ข...ข...เขต...ด...แดนของ...เรา ห...ห...ห...ห้ามไม่ให้ ม...ม...มนุษย์เข้า\"



    \"ไอ้ก็อบลินติดอ่างเอ๊ย...พูดไม่ชัดแล้วยังเสือ.กใช้ประโยคยาวๆ อีก\" เรมี่พูดเหมือนกับจะบ่นกับตนเองก่อนจะตะโกนกับพวกมันอีกครั้ง \"ตกลงพวกแกจะยอมหลีกไปดีๆ หรือจะให้พวกเราใช้กำลัง...เลือกเอา!!\"



    \"เดี๋ยวก่อนครับ\" ซาอิแทรกขึ้น ชายหนุ่มหันมามองเขาอย่างแปลกใจ \"ผมว่าเราอย่าใช้กำลังเลยนะครับ ลองพูดกับพวกเขาดีๆ เถอะ\" ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็หันไปตะโกนกับพวกนั้นก่อนที่เรมี่จะทันห้าม



    \"พวกคุณต้องการอะไรบอกมา! ถ้าหากให้ได้พวกเราจะให้...ขอแค่ให้พวกเราเดินทางต่อไปเถอะครับ!!\"



    ก็อบลินตัวหัวหน้าหันไปเจรจากับบรรดาลูกน้องด้านหลังด้วยภาษาที่ทั้งสามฟังไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับมาส่งภาษาปร่าๆ



    \"ข...ข...ของ...ม...มีค่า...ท...ท...ท...ทั้ง...หมด\"



    \"ไอ้หน้าทุ.เรศ! นึกว่าพวกรักถิ่นที่ไหน...ที่แท้ก็ตั้งด่านเถื่อนหากินอย่างนี้นี่เอง!\" เรมี่อดตะโกนด่าพวกมันไม่ได้



    \"พวกเราไม่ของมีค่ามากหรอก ผมพอมีเงินอยู่บ้าง...ไม่มากเท่าไหร่แต่ก็มีอยู่เท่านี้\" เด็กหนุ่มพูดอย่างใจเย็นก่อนจะควักถุงเงินออกมาจากกระเป๋าสะพายอย่างไม่นึกเสียดาย เพราะคิดว่าพอกลับไปถึงบ้านเขาคงไม่มีความจำเป็นจะใช้เงินจำนวนนี้อีกแล้ว



    \"ย...ย...ย...โยนมา\" เจ้าก็อบลินรีบแบมือทำท่าจะรับ ดวงตาเป็นประกายแสดงความละโมบอย่างไม่ปิดบัง



    \"ฉันว่านายอย่าไปเสียเวลาเจรจากับเจ้าพวกนี้เลยดีกว่า\" เรมี่พยายามเตือน \"ไอ้พวกบ้านี่พูดด้วยไม่รู้เรื่องหรอก เสียเวลาเปล่าๆ\"



    \"แต่ถ้าหากพวกเขายอมให้พวกเราผ่านไปโดยที่ไม่ต้องใช้กำลังกันก็ดีไม่ใช่เหรอครับ\" ซาอิให้เหตุผล \"ผมไม่เสียดายเรื่องเงินหรอก...ของนอกกายแค่นี้ ที่สำคัญก็คือผมไม่อยากให้ใครต้องมาตายหรือบาดเจ็บเท่านั้น\"



    ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะพึมพำเบาๆ



    \"ฉันก็ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น...แต่ห่วงอย่างอื่นมากกว่าน่ะสิ\"



    ซาอิชูถุงเงินขึ้นแล้วร้องถาม



    \"ถ้าหากพวกคุณได้นี่ไปแล้วจะยอมให้พวกเราผ่านไปใช่มั้ย?\"



    \"ใช่ๆ เร็วๆ\" หัวหน้ากลุ่มก็อบลินรีบตอบ ทีคราวนี้อาการติดอ่างกลับหายเป็นปลิดทิ้งซะได้



    เด็กหนุ่มขว้างถุงผ้าใส่เงินให้ มันคว้าหมับได้กลางอากาศก่อนจะรีบเก็บไว้อย่างรวดเร็ว



    \"ทีนี้ก็ให้พวกเราผ่านไปได้แล้วใช่มั้ยครับ?\" ซาอิถามอย่างโล่งอกที่เจรจาเป็นผลสำเร็จ แต่เจ้าก็อบลินกลับแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องเป็นภาษาก็อบลิน ทำเอาพวกมันทั้งฝูงชักอาวุธออกมาทันควัน



    \"เฮ้ยพวกเรา!! ได้ของแล้วฆ่ามัน!!!\" คำสั่งของมันถ้าแปลเป็นภาษามนุษย์คงได้ประมาณนี้



    เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง เรมี่ยิ่งกำด้ามดาบแน่นขึ้น...เช่นเดียวกับมาริเอลล่าที่ชูคทาเตรียมพร้อม



    \"นึกแล้วว่าต้องเป็นอีหรอบนี้...!!\" เขาเข่นเสียงลอดไรฟัน



    ก็อบลินทั้งโขยงกรูเข้ากลุ้มรุมทั้งสามในทันที แต่ทั้งเรมี่กับมาริเอลล่าก็พร้อมรับเช่นกัน แสงจากยอดคทาเวทมนตร์ของเด็กสาวสว่างขึ้นแทบจะในทันทีที่พวกมันขยับเท้า กระแสลมคมกริบดุจใบมีดกรีดร่างของพวกก็อบลินในวิถีเวทมนตร์จนร้องโหยหวน เลือดสาดกระจายเป็นฝอย ส่วนพวกที่เข้ามาทางเรมี่ก็ต้องปะทะกับดาบขนาดยักษ์ที่วาดวงฟันทีเดียวเก็บได้สามตัวเป็นอย่างมาก ซาอิชักมีดสั้นที่ติดตัวมาฟันส่งไปเปะปะ แต่เขาไม่มีความชำนาญในการใช้อาวุธ มิหนำซ้ำวิถีมีดก็สั้น จึงถูกโต้กลับมาหลายครั้ง ดีแต่ได้เรมี่พยายามใช้ดาบกันให้ บางครั้งก็ถึงกับเอาตัวมาบังไว้



    ทว่าพวกก็อบลินนั้นมีจำนวนมากเหลือเกิน ที่ล้มไปหนึ่งกลับดาหน้าเข้ามาแทนอีกสอง บวกกับที่มนุษย์ทั้งสามอยู่ในทำเลที่เสียเปรียบ พอถอยร่นไปก็ต้องปะกับลำธารที่เชี่ยวกรากด้านหลัง ทั้งสามไม่ทันระวังเลยว่าพวกเขาค่อยๆ ถูกแยกออกจากกันทีละน้อย สำหรับเรมี่ไม่มีปัญหา แม้ในบางครั้งจะมีเปิดช่องว่างให้ถูกตีโต้จากด้านหลัง เขาก็แก้ปัญหาโดยการหันหลังให้กับริมน้ำแล้วกวัดแกว่งดาบเก็บก็อบลินทุกตนที่เข้ามาใกล้ ส่วนมาริเอลล่าต้องส่งพลังแสงไปที่ปลายคทา...สร้างเป็นเคียวเวทมนตร์ใช้โจมตีแทน เพราะพวกมันเข้ามาใกล้เกินกว่าจะทันร่ายเวทมนตร์อีกแล้ว ซาอิตกที่นั่งลำบากที่สุดได้แต่หลบเป็นพัลวัน จนกระทั่งมีก็อบลินตนหนึ่งควงขวานหวดตรงมาหาต้นคอเขา...



    แสงสว่างวาบในหางตาเพียงเสี้ยวนาที...ก่อนคมขวานจะปะทะลำคอแต่กลับไม่เข้าเนื้อ แต่แรงกระแทกก็ส่งซาอิเซถลาล้มลงไปกับพื้น แวบหนึ่งเขาเห็นมาริเอลล่าชูมือตรงมาทางเขา



    ...ก่อนที่ก็อบลินอีกตนจะเงื้อมีดขึ้นข้างหลังเธอ...



    \"แมรี่...ระวัง!!!\"



    เรมี่ปราดเข้ามาในทันที คมดาบส่งหัวของก็อบลินชะตาขาดปลิวกระเด็น ทว่าก็อบลินตนอื่นๆ ก็ตรงเข้ามารุมเรมี่แทนในตอนนั้นเช่นกัน แขนที่ถูกมีดกรีดเป็นแผลไม่อาจควงดาบได้ถนัดดังเดิม มาริเอลล่าพยายามตวัดเคียวไล่พวกมันไป หากไร้ผล...สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงทุกที



    แต่แล้วเสียงคำรามกึกก้องดุจเสียงอสนีบาตก็ดังขึ้น...ทำให้ผืนดินสะเทือนเลื่อนลั่น



    ทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักในทันที ขณะที่ร่างอันใหญ่โตมโหฬารของมังกรสีดำสนิทปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า เงาขนาดใหญ่ที่ทาบทาลงบนพื้นดุจสุริยคราสที่บังแสงอาทิตย์จนครึ้มลงในทันใด เหล่าก็อบลินเริ่มแตกตื่นเมื่อมังกรแผดเสียงอีกครั้ง พวกมันผละจากทั้งสามวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปตนละทิศทาง เพียงครู่เดียวก็อันตรธานไปจนสิ้น เหลือเพียงซากของพวกที่หมดลมไปกว่าครึ่งแล้วเท่านั้น



    \"เทียแม็ท...\" เรมี่อุทานเบาๆ ขณะที่แหงนหน้ามองเงาดำในรูปร่างของมังกรขนาดใหญ่บนฟ้าสีคราม ก่อนที่ร่างนั้นจะหันบินกลับไปในทางที่เพิ่งปรากฏมา



    \"หยุดก่อน!!\" ชายหนุ่มตะโกนอย่างลืมตัวแล้วตั้งท่าจะออกวิ่งตามไป ทว่ามือเล็กๆ ของมาริเอลล่ากลับยุดข้อมือเขาไว้ เรมี่หันขวับกลับมาสบตากับดวงตาสีฟ้าแฝงแววสงบของเด็กสาวอย่างประหลาดใจ



    \"ยังไม่ถึงเวลา...เรมี่\" เธอเอ่ยเรียบๆ \"เดี๋ยวเราต้องได้พบ \'ท่าน\' อีกแน่\"



    ชายหนุ่มหันไปจ้องมองร่างที่กระพือปีกไกลออกไปจนลับหายไปจากสายตา...ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ เขาผละจากภาพท้องฟ้าที่ว่างเปล่าไปหาซาอิที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งคลำคอของตนด้วยสีหน้างุนงง



    บนคอที่ถูกคมขวานหวดเข้าอย่างจังปรากฏเพียงรอยเขียวช้ำเป็นปื้น...ถึงจะปวดก็เพียงเล็กน้อยเหมือนแผลฟกช้ำธรรมดาเท่านั้น



    \"ไม่เป็นไรใช่มั้ย?\" เรมี่ถามขณะที่ดึงมือซาอิให้ลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มพยักหน้าทั้งที่รู้สึกมึนๆ แต่ดูจากความหนักของอาการแล้วเขาน่าจะเป็นฝ่ายถามเรมี่ที่มีเลือดโซมเต็มตัวเสียมากกว่า



    \"ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมทำแผลให้พวกคุณดีกว่า\" ว่าแล้วซาอิก็ตั้งท่าจะเปิดกระเป๋าหยิบกล่องยาออกมา แต่ชายหนุ่มกลับห้ามไว้



    \"ไม่จำเป็นหรอก\" เขาหันไปพยักพเยิดกับมาริเอลล่า



    เด็กสาวชูคทาขึ้นเหนือศีรษะ...ก่อนที่พลอยสีฟ้าที่ประดับหัวคทารูปจันทร์เสี้ยวจะสว่างขึ้น



    \"เรนออฟไคน์เนส...\" สายฝนที่แต่ละเม็ดเหมือนกับจะเรืองแสงน้อยๆ โปรยปรายลงมายังร่างของทั้งสาม เมื่อตกกระทบผิวกายก็ให้ความรู้สึกเย็นสบายอย่างประหลาด รอยแผลต่างๆ บนร่างอันตรธานไปในที่สุดเมื่อสายฝนจางลง ทิ้งเพียงความเย็นฉ่ำไว้ทั้งที่บนเสื้อผ้าไม่มีร่องรอยของความเปียกชื้นแม้แต่น้อย



    ซาอิคลำคอของตนที่หายเจ็บเป็นปลิดทิ้งอย่างประหลาดใจ



    เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับอำนาจรักษาของเวทมนตร์ ซึ่งรวดเร็วกว่าการบำบัดด้วยวิธีใดๆ มากนัก



    แต่ทึ่งอยู่ได้ไม่นาน...ความรู้สึกของซาอิก็ต้องเปลี่ยนไปในทันทีที่สายตาของเขาปะกับศพของพวกก็อบลินที่ถูกแยกส่วนเป็นท่อนๆ กองคลุกเลือดอยู่บนพื้น บ้างก็ร่วงลงไปแช่น้ำในลำธารที่เชี่ยวกราก เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจในตอนนี้คืออะไร เสียใจ...หดหู่...สังเวช...หรือสลดใจ แต่ความปั่นป่วนในท้องทำให้เขาต้องยกมือขึ้นปิดปากก่อนที่จะเผลอขย้อนออกมา



    ทั้งๆ ที่ตอนดูพ่อรักษาคนไข้ เด็กหนุ่มเคยเห็นทั้งคนป่วยหนักใกล้ตาย ถึงกับไอหรืออาเจียนเป็นเลือดต่อหน้าเขาก็มี พวกที่บาดเจ็บหนักเป็นแผลเหวอะถึงขนาดเห็นกระดูกหรือเครื่องในก็มี...



    แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้เลย...



    \"รีบๆ ไป ก่อนที่พวกก็อบลินน่ารำคาญนั่นจะกลับมาเถอะ\" เรมี่ตัดบทพลางเก็บดาบเล่มใหญ่พาดกับสายคาดด้านหลัง ท่าทางของชายหนุ่มในตอนนี้ทำให้ซาอิรู้สึกว่าอย่างเพิ่งพูดอะไรมากกับเขาจะดีกว่า เด็กหนุ่มจึงได้แต่พยักหน้ารับ



    เรมี่เดินนำทั้งสามออกเดินทางต่ออีกครั้ง ระหว่างทางที่ผ่านไป ต่างฝ่ายต่างปิดปากเงียบไม่ยอมปริปากพูดสักคำ...แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ออร์คร่างใหญ่สวมชุดเกราะหนังซึ่งเป็นผู้คุมดึงประตูเหล็กบานหนาให้เปิดออก ก่อนจะโค้งคำนับหญิงสาวทั้งสองที่ก้าวเข้ามาในคุกใต้ดินที่อาศัยไฟจากคบเพลิงสีม่วงสว่างสลัวแม้ในยามกลางวัน เต็มไปด้วยเสียงร้องระงมของเหล่านักโทษที่แออัดกันอยู่เบื้องหลังลูกกรงเหล็ก บ้างก็ยื่นมือออกมาเหมือนจะไขว่คว้าหาความเมตตา



    \"ท...ท่านโอลิเวีย...ท่านเอสเทลล่า...\"



    \"พวกเราไม่ได้ทำผิด...\"



    \"ช่วยด้วย...\"



    \"ไว้ชีวิตพวกเราเถอะ...\"



    \"เราไม่รู้...\"



    เอสเทลล่าปรายตามองเหล่า \'นักโทษ\' ที่ครั้งหนึ่งเคยทำงานในหอคอยเวทย์ด้วยสายตาหวาดๆ หากสีหน้าของโอลิเวียผู้สวมหน้ากากอยู่ยังคงเฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน...แม้ในยามที่สะบัดกลุ่มมือที่พยายามเกาะแกะออกไป



    ที่สุดทางเดินนั้นคือห้องทรมานที่มีอุปกรณ์พร้อมสรรพ ทั้งเครื่องยืดตัว เครื่องบีบขมับ เครื่องตอกเล็บ เตาไฟกับคีมคีบถ่านร้อนไว้แนบร่าง หรือแม้แต่โลงตะปู (Iron Maiden) ที่เปิดกว้างรอเหยื่อรายต่อไปอย่างหิวกระหาย คราบสีน้ำตาลแห้งๆ ที่ติดอยู่ตามเครื่องเคราบางชิ้นกับสาดเป็นรอยอยู่บนผนังหินเป็นร่องรอยแสดงว่าผ่านการใช้งานมาได้เป็นอย่างดี



    เอลฟ์ชราในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเกือบดำซึ่งยืนอยู่ก่อนเหลือบมองสองสาวอยู่เพียงครู่โดยไม่มีคำทักทาย ก่อนที่เขาจะหันกลับไปทางร่างของหัวหน้าผู้เฝ้าหอคอยที่ถูกล่ามโซ่ที่ข้อมือติดกับหลักไม้ ร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่ามีแต่รอยแผลเต็มไปทั่วทั้งรอยแส้และรอยไหม้



    \"เจ้านี่มันปากแข็งนัก...\" ซิลเวนัสเอ่ยเสียงเรียบ...หากแฝงความกราดเกรี้ยวอยู่ในที \"จะทรมานวิธีไหนมันก็ไม่ยอมเปิดปากเลยสักนิด\"



    \"ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ...แล้วข้าจะบอกอะไรพวกท่านได้เล่า!!\" นักโทษพยายามโต้กลับจึงถูกหัวไม้เท้าของเอลฟ์ชรากระแทกเข้าที่ท้องจนจุก...ถึงกับร้องไม่ออก



    \"เจ้าเป็นถึงผู้เก็บรหัสสะกดข่ายอาคมขั้นสูงสุด หากเจ้าไม่แพร่งพรายรหัสกับผู้อื่น...ใครกันจะรู้ได้ และถึงเจ้าจะไม่ใช่สายให้กับพวกมัน...เจ้าก็ยังทำรหัสรั่วไหล ไม่ว่าจะทางไหนเจ้าก็มีความผิดทั้งนั้น!!!\"



    นิ้วที่มีเล็บยาวบีบใบหน้าที่แสดงแววหวาดกลัวของเชลยไว้อย่างเยือกเย็น



    \"แต่หากเจ้าให้ความร่วมมือกับพวกเรา...โทษทัณฑ์ที่จะได้รับคงไม่หนักหนาเกินไปนัก\"



    \"ท...ท่านซิลเวนัส ถ้าข้าบอกได้ข้าก็คงบอกไปนานแล้ว แต่นี่ข้าไม่รู้อะไรจริงๆ...ได้โปรด...\"



    \"เอสเทลล่า\" ซิลเวนัสไม่ฟัง หากโบกมือให้สัญญาณกับหญิงสาวผมสีม่วงที่ยืนอยู่ด้านหลัง เธอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะล้วงเข้าไปในร่องอกเสื้อ หยิบขวดโหลใบหนึ่งออกมา ข้างในนั้นมีสัตว์ตัวยาวลักษณะคล้ายหนอนสีเทาคล้ำตัวอวบเท่านิ้วโป้งเลื้อยอยู่ยั้วเยี้ย ดวงตาของผู้เฝ้าหอคอยที่กลับกลายมาเป็นนักโทษเบิกโพลงทันทีที่เห็น



    \"ข้าจะให้โอกาสสุดท้าย หากเจ้ายังมีหัวคิดอยู่ก็จงสารภาพมา...ไม่อย่างนั้นก็คงจะรู้ว่าจะต้องเจออะไร\" เอลฟ์ชราสำทับ



    \"ม...ไม่...อย่าทำอย่างนี้กับข้า...\" เขาละล่ำละลัก \"ท่านซิลเวนัส...ข้ารับใช้ท่านมาตั้งแต่ท่านเอลโนอิลยังมีชีวิตอยู่...ข้าไม่มีวันทรยศแน่ๆ...เมตตาข้าเถอะ ข้าไม่ได้...\"



    \"ลงมือได้\" ซิลเวนัสกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ไม่สนกับท่าทีทุรนทุรายของผู้เป็นเชลยแม้แต่น้อย ผู้คุมออร์คสองนายตรงไปขนาบข้างจับนักโทษที่พยายามดิ้นรนให้อยู่นิ่ง ส่วนอีกนายหนึ่งรับขวดโหลมาจากมือของเอสเทลล่า



    คางของเชลยถูกดันให้ยกขึ้น บีบจมูกบังคับให้ปากอ้า...เพื่อกรอกสิ่งที่อยู่ในโหลแก้วลงไป



    ดวงตาของอดีตผู้เฝ้าหอคอยเหลือกถลนด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามก้มหัวลงสำรอกสิ่งที่เข้าไปในคอของตน...แต่สิ่งที่ออกมากลับมีเพียงของเหลวเหนียวๆ สีเทาข้นเท่านั้น หนอนตัวขนาดนิ้วโป้งที่เลื่อนลงไปตามลำคอดูเหมือนกับจะพองตัวขึ้นจนเห็นผิวเนื้อภายนอกที่นูนและสั่นริกเป็นทางตามความเคลื่อนไหวของพวกมัน นักโทษผู้เคราะห์ร้ายแผดเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดถึงขีดสุดในขณะที่ผิวหน้าท้องเริ่มสั่นระรัวเพราะการกระทำของสิ่งที่อัดแน่นอยู่ภายใน การดิ้นทุรนทุรายอย่างรุนแรงทำให้โซ่ซึ่งเก่าอยู่เป็นทุนเดิมขาดสะบั้นลง...ร่างของเชลยเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้นทั้งที่สองมือยังกุมท้อง อาเจียนเป็นน้ำดีปนลิ่มเลือดส่งกลิ่นคาวให้เหม็นคลุ้ง



    จังหวะหนึ่งที่เขาดิ้นเข้าไปใกล้เอสเทลล่าใดยบังเอิญทำให้หญิงสาวถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ เขาฟุบอยู่กับพื้นครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วเค้นแต่ละคำพูดออกมาช้าๆ ด้วยท่าทางทรมาน



    \"ข...ข้า...บอก...ได้แล้ว...ใคร...เป็น...สาย...มันคือ..........\" ปากที่อ้ากว้างกลับไม่มีเสียงลอดออกมาอีก มือที่สั่นเทาเอื้อมไปทางทั้งสามเหมือนกับจะหาที่พึ่งสุดท้าย...เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่มือนั้นจะร่วงลงกับพื้น หยุดการเคลื่อนไหวทั้งมวล



    เสียงผิวเนื้อปริออกดังขึ้นก่อนที่หนอนที่ขยายจนตัวโตกว่าเดิมได้สี่เท่าจะเลื้อยออกมาจากรูโหว่บนหน้าท้องอย่างเชื่องช้า โอลิเวียใช้ด้ามคทากดลงกลางลำตัวของมันจนแตกโพละ ลิ่มเลือดปนเศษเครื่องในยุ่ยๆ ทะลักออกมาด้านนอก



    \"น่าเสียดายจริงๆที่มันตายก่อนจะทันบอกชื่อคนทรยศกับเรา\" เอสเทลล่าเปรยขึ้นก่อนจะหันไปทางซิลเวนัส \"ในเมื่อรู้ว่ามีสายอยู่ในหมู่พวกเราจริงๆ แล้ว...จะสอบสวนคนอื่นๆ ต่อหรือเปล่าคะ?\"



    คำตอบที่ได้รับคือการสั่นศีรษะ



    \"แล้วจะทำยังไงกับพวกเขาล่ะคะ?\"



    \"ฆ่าทิ้งให้หมด\" เอลฟ์ชราเอ่ยอย่างเยือกเย็นก่อนจะสะบัดกายหันกลับ



    \"มันจะไม่รุนแรงไปเหรอคะ?\" หญิงสาวยังอดถามด้วยเสียงหวาดๆ ไม่ได้



    \"เจ้าเคยได้ยินใช่ไหม คำโบราณที่ว่านิ้วไหนร้าย...ก็ต้องตัดนิ้วนั้นทิ้ง\" ซิลเวนัสยังคงพูดต่อด้วยเสียงราบเรียบ สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ใดๆ แม้ในขณะที่เดินผ่านกรงขังเหล่าผู้คนที่ตนเพิ่งพิพากษาให้ไร้สิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป \"ในเมื่อฝ่ามือเป็นเนื้อร้าย...ย่อมต้องตัดทิ้งทั้งมือและนิ้ว!!\"



    ออกจากคุกใต้ดินที่ทั้งมืดและอับไปยังทางเดินหินด้านนอก ที่สุดทางเดินมีวงกลมอักขระเวทย์ขนาดใหญ่วาดอยู่บนพื้น ทั้งสามก้าวเข้าไปยืนในวงเวทย์ก่อนที่ซิลเวนัสจะเคาะปลายไม้เท้ากับพื้นแล้วพึมพำคาถาเบาๆ



    \"นีเอลเล...\"



    ลำแสงพุ่งขึ้นเป็นแนวจากลายเส้นอักขระเวทย์บนพื้น...ห่อหุ้มทั้งสามร่างที่อยู่ภายในเขตอาคมเอาไว้



    เมื่อแสงจางลง...ทั้งสามยังคงยืนอยู่ในวงเวทย์ลักษณะเดิม แต่สถานที่กลับแปรเปลี่ยนไปเป็นยอดบนสุดของหอคอย ซึ่งเป็นห้องทดลองเวทย์สถานที่เกิดเหตุในตอนต้น ในห้องที่มีลักษณะเป็นทรงกลมดูแน่นขนัดด้วยสารพัดสิ่งไปแทบทุกตารางนิ้ว ทั้งตู้หนังสือคัมภีร์ที่ดูจะมีจำนวนมากกว่าในห้องของเอสเทลล่าเสียอีก แผนที่ดวงดาว อุปกรณ์เวทมนตร์หลายอย่างที่ดูไม่ออกว่าใช้ทำอะไรบ้าง กับโต๊ะทรงกลมขนาดใหญ่กลางห้องซึ่งตั้งอยู่ใต้หลังคาที่เจาะเป็นช่องกลมกรุกระจกใส แม้กระทั่งที่ขอบโต๊ะยังมีอักขระเวทย์โบราณสลักเต็ม ล้อมกรอบใจกลางโต๊ะซึ่งเป็นหินสีดำสนิทรูปกลมนูนน้อยๆ



    ซิลเวนัสทรุดกายลงนั่งที่โต๊ะตัวนั้น ก่อนจะใช้มือทำสัญญาณให้เอสเทลล่ากับโอลิเวียนั่งลงตาม



    \"จริงๆ ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนั้น\" เอลฟ์ชราเปรยกับตนเอง \"แต่การไม่มีบริวารเสียเลย...เทียบกับการมีบริวารที่ไว้ใจไม่ได้แล้วยังจะดีเสียกว่า\"



    เขาหันมาทางโอลิเวียก่อนจะเอ่ยปากถาม



    \"อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?\"



    โอลิเวียยกมือขึ้นแตะแถวชายโครงเบาๆ...สัมผัสผ้าพันแผลผืนหนาที่อยู่ภายใต้ชุดสีดำของตน



    \"ดีขึ้นมากแล้วค่ะ...คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะหายสนิท\"



    เอลฟ์ชราพยักหน้ารับช้าๆ อย่างครุ่นคิด



    \"เอสเทลล่าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังมาคร่าวๆ...แต่ข้าคิดว่าควรจะฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเจ้าเป็นดีที่สุด\"



    \"ค่ะ\" โอลิเวียตอบรับก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังโดยละเอียด ตั้งแต่เรื่องที่เธอตามกรีนเซเฟอร์ไปพบอควาเวลโดยบังเอิญ ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับชายหนุ่มลึกลับ จนกระทั่งถูกอาร์เซนิคซ์ทำร้ายจนหมดสติไป...กลางหมู่บ้านที่ผู้เป็นจอมมารทำลายราบ



    \"เป็นความผิดพลาดของข้าเอง ถ้าตอนนั้นข้าไม่ประมาทฝีมือของมันก็คงจะได้อควาเวลมาครองแล้วแท้ๆ\" หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากอย่างเสียดาย \"พอหายดีแล้วข้าจะออกตามหาอควาเวลกับกรีนเซเฟอร์อีกครั้ง คราวนี้จะไม่ให้พลาดแน่ๆ\"



    \"ไม่จำเป็น\" ซิลเวนัสตอบเรียบๆ แต่ทำให้โอลิเวียตกใจจนผุดลุกขึ้น



    \"ทำไมล่ะคะ!?!\"



    \"เรื่องนี้ข้าจะส่งคนอื่นไปจัดการแทนเอง ที่สำคัญในตอนนี้คือเจ้าต้องพักผ่อนให้หายดีเสียก่อน แล้วค่อยรอฟังคำสั่งจากข้าอีกที\"



    \"แต่ว่า...\"



    \"ไม่มีแต่ ออกไปได้แล้ว ข้าหมดธุระกับเจ้า...เท่านี้\"



    โอลิเวียได้แต่กัดฟันเพื่อระงับอารมณ์ก่อนจะกดเสียงตอบเพียงสั้นๆ



    \"ค่ะ\"



    หญิงสาวจำใจโค้งคำนับเอลฟ์ชรา แล้วจึงลุกขึ้นเดินไปที่วงกลมเวทย์ แสงสว่างวาบพาร่างของเธอออกไป ทิ้งเอสเทลล่าให้อยู่กับซิลเวนัสตามลำพัง



    เอสเทลล่าสบตากับดวงตาสีหยกของเอลฟ์ผู้เฒ่าอย่างสงสัย



    \"ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึง...\"



    \"ทำไมข้าถึงไม่ให้นางตามหาพลอยเวทมนตร์ทั้งสองอีกน่ะรึ?\" ซิลเวนัสพูดต่อราวกับล่วงรู้



    \"ค่ะ ท่านไม่ไว้ใจนางเหรอคะ?\" เอสเทลล่ารีบพูดโดยเร็ว \"ท่านก็รู้ว่าโอลิเวียเป็นคนที่จงรักภักดีกับท่านเอลโนอิลเป็นที่สุด นางไม่มีวัน...\"



    \"ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจ...แต่เป็นด้วยสาเหตุอื่นต่างหาก\"



    \"ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงห้ามนางล่ะคะ?\" เอสเทลล่าขมวดคิ้วครุ่นคิด \"ข้าไม่เข้าใจจริงๆ\"



    เอลฟ์ชราหรี่ตาลงอย่างระแวดระวัง



    \"ก็เพราะ...ชายนิรนามที่เข้ามาขวางอย่างไรเล่า\"



    \"ท่านกลัวฝีมือของเขาอย่างนั้นหรือคะ? เท่าที่ฟังมาข้าว่าเขาเก่งทีเดียว แต่โอลิเวียเองก็มีฝีมือสูสีกันนะคะ หากสู้กันคราวหน้านางอาจจะได้ชัยชนะก็ได้\"



    ซิลเวนัสสั่นศีรษะ เหมือนกับจะบอกว่าไม่ใช่เช่นนั้น



    \"เราไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องขัดขวางอะไรทั้งสิ้น ปล่อยเขาไป...\" เอลฟ์ชราพูดด้วยเสียงแปลกๆ \"ถ้าหากข้าคาดการณ์ไม่ผิด \'เขา\' นั่นล่ะที่จะเป็นฝ่ายรวบรวมพลอยทั้งสอง...ไม่สิ บางทีอาจจะมากกว่านั้น...มาทูนให้พวกเรา โดยที่ทางเราไม่ต้องเปลืองแรงเลย หากว่า \'เขา\' คือคนคนนั้นจริงอย่างที่ข้าคิด\"



    หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย



    \"ใครกันล่ะคะ?\"



    \"ในตอนนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจนัก จึงพูดไม่ได้มาก\" ซิลเวนัสพูดเป็นทำนองตัดบท ก่อนจะเข้าเรื่องต่อไปในทันที \"อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนั้นเลยดีกว่า ตอนนี้ข้าพบร่องรอยของพลอยแห่งไฟแล้ว...อยู่กับพวกเผ่ายักษ์ที่หน้าด่าน รู้สึกว่าผู้ครอบครองจะเป็นผู้นำของอัศวินแห่งเพลิง...\'อิฟรีทไนท์\' \"



    \"จะให้ข้าไปเจรจากับพวกนั้นหรือคะ?\"



    \"ใช่แล้ว ข้าคงต้องฝากเรื่องนี้กับเจ้า...เพราะในกลุ่มพวกเราไม่มีใครที่ชำนาญด้าน \'การพูด\' มากกว่าเจ้าอีกแล้ว\" ท้ายประโยคกลับเบาลงเหมือนกับจะรำพึงกับตนเอง \"ยิ่งเสียกำลังพลอื่นๆ ไป...พวกเราก็ยิ่งต้องพยายามให้มากขึ้นแทนส่วนของพวกนั้น\"



    เอสเทลล่าพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ



    \"ค่ะ...ข้าจะออกเดินทางไปตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าเลย\"



    \"ดี...\" เอลฟ์ชราผงกศีรษะรับ \"เจ้าไปเถอะ เรื่องที่ข้าจะพูดก็มีเพียงเท่านี้\"



    \"ค่ะ\" หญิงสาวคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินจากไปที่วงกลมเวทย์เช่นเดียวกับโอลิเวีย



    ซิลเวนัสยังคงนั่งนิ่งทอดสายตาที่แสดงความครุ่นคิดไปอย่างเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่ง...ก่อนที่เขาจะลูบแผ่นหินสีดำกลางโต๊ะ ให้พลันปรากฏภาพของหมู่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้าบนแผ่นหินนั้น กระจ่างชัดยิ่งกว่าคืนเดือนมืดที่ไร้เมฆหมอกครอบคลุม นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่ดาวสีแดงดวงหนึ่งใกล้ริมขอบก่อนจะพึมพำเบาๆ



    \"เอนลาร์จ...\"



    ภาพจากแผ่นหินขยายเข้าไปในทันที ให้เห็นชัดว่า \'สิ่ง\' ที่ดูเหมือนดาวสีแดงนั้น...หาใช่ดาวอย่างที่คิด



    แต่เป็นกลุ่มพลังทรงกลมสีมืด...ที่แผ่รัศมีสีแดงออกมาคล้ายกับเปลวเพลิงที่ลุกโหม พวยพุ่งเช่นรัศมีของดวงอาทิตย์ในยามเกิดอุปราคา



    \"ดาร์ค แมทเทอร์...\" เอลฟ์ชราเอ่ยกับตนด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด \"นี่คือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการกลับมาของ \'ท่านผู้นั้น\'...จริงหรือ?\"



    ซิลเวนัสไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทุกคำพูด...หรือแม้แต่ทุกอากัปกริยาของเขาล้วนตกอยู่ในสายตาของคนอีกผู้หนึ่งที่แฝงกายอยู่ในมุมมืด...ซอกหนึ่งในห้องทดลองเวทของตนเอง



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    \"ท่านน่าจะได้ยินเสียงของโอลิเวียในตอนนั้นจริงๆ นะ ผมไม่เคยเห็นเธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟถึงขนาดนั้นเลย\" ลีก้าพูดอย่างสะใจ ในขณะที่อาร์เซนิคซ์นั่งเอกเขนกอยู่บนรูปสลักต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านไปรอบด้าน ซึ่งตั้งอยู่กลางสวนส่วนตัวของผู้เป็นจอมมาร



    สวนกลางโซลเบ็น สถานที่ที่มีพืชเพียงน้อยชนิด...และน้อยต้นนักที่สามารถเติบโตได้ หากถึงอยู่รอดก็มีสภาพฉมเฉา ไม่เคยสดชื่นแม้ผู้เป็นเจ้าของจะพยายามดูแลรักษาเป็นอย่างดีเพียงใด



    เพราะสิ่งที่มีชีวิต...ย่อมไม่อาจดำรงอยู่อย่างเป็นสุขได้หากต้องใกล้ชิดกับมือที่ทำลายล้างชีวิตอื่น...



    พรรณไม้ทั้งหลายที่เห็นในสวนโดยมากจึงเป็นของที่จำลองขึ้นมาจากของจริงทั้งสิ้น แกะสลักจากไม้บ้าง หินบ้าง แก้วผลึกบ้าง แต่สิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของโปรดปรานมากที่สุดคือผลึกแก้วสีนิล...เช่นต้นไม้ใหญ่ที่กลางสวนแห่งนี้



    \"แต่น่าเสียดายที่เอสเทลล่าปิดม่านบังไว้ ไม่อย่างนั้นผมจะขอดูหน้าเธอสักหน่อยว่าจะสวยอย่างที่ท่านพูดจริงๆ หรือเปล่า\" ลีก้ายังคงว่าต่อไป หากจอมมารผู้เป็นนายเหนือเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ



    \"ข้าได้เห็น...ได้ยินเรเวเนียมามากกว่าที่เจ้ารู้เสียอีก\" เขากระซิบเบาๆ กับตนเอง \"แต่คงไม่ถึงขั้น \'ท่าน\' กระมัง...เอลโนอิล\"



    นกสีดำตัวหนึ่งบินเข้ามาที่ใจกลางสวนราวกับจงใจ...ลีก้าสังเกตเห็นมันในทันที



    ภาพของนกที่บินเหนือท้องฟ้าในที่ใดสักแห่งคงจะไม่น่าประหลาดใจนัก หากเหนือสวนนี้ไม่ได้กั้นเขตอาคมกันมิให้สิ่งใดเข้ามาได้...เว้นแต่สิ่งมีชีวิตที่ได้รับการลงยันต์อักขระซึ่งเป็นรหัสรู้กัน



    \"ท่านอาร์เซนิคซ์ รู้สึกว่า \'สาย\' ของเราจะส่งข่าวมาแล้วนะครับ\"



    อาร์เซนิคซ์เหลือบมองนกสีดำที่บินวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะกระโจนลงจากต้นไม้มายืนบนพื้นหินด้านล่างแล้วชูมือขึ้นให้มันเกาะ ที่ข้อเท้าของมันมีม้วนกระดาษเล็กๆ ม้วนหนึ่งผูกติดอยู่



    วิธีส่งสารที่ผสมระหว่างวิธีดั้งเดิมกับมนต์ภูตเข้าด้วยกัน มักจะใช้ในกรณีที่แน่ใจว่าฝ่ายศัตรูจะไม่มีทางชิงสารไปได้กลางทาง และมีรายละเอียดมากกว่าจะชี้แจงด้วยคำพูดได้ทั้งหมด



    เขาคลี่ม้วนกระดาษออก ปรากฏลายมือตัวเล็กๆ ที่ตวัดจากปากกาขนนกเขียนไว้เป็นแถวดูมีระเบียบ แม้ไม่ถึงกับบรรจงนัก แต่ก็ไม่หวัดมากเกินไปจนอ่านไม่ออก



    รอยยิ้มอย่างพอใจปรากฏบนใบหน้าของอาร์เซนิคซ์แทบในทันทีที่เขาได้อ่านประโยคแรก



    \"อย่างที่ข้าคิดไม่มีผิด...เจ้าเอลฟ์เฒ่าขี้ระแวงนั่นยังใช้วิธีเดิมๆ อยู่อีก\" เขาเอ่ยเหมือนจะเยาะผู้ที่ถูกพาดพิงถึง \"ระแวงใคร...สงสัยใครก็ฆ่าทิ้งทันทีไม่มีการสอบสวน\"



    \"ก็นับว่าแผน \'ยุให้รำตำให้รั่ว\' ของพวกเราได้ผลน่ะสิครับ\" ลีก้าเสริมขึ้น หากจ้าวปีศาจกลับไม่ตอบคำพูดของเขา ยังคงอ่านรายละเอียดในสารต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาพบข้อความหนึ่งที่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที



    \"น่าสนใจ...น่าสนใจจริงๆ\" ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง



    \"อะไรเหรอครับ?\" นักบวชหนุ่มถามอย่างสงสัย แต่อาร์เซนิคซ์กลับไม่ตอบ เพียงแต่ม้วนสารใบเล็กเก็บช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง



    \"ข้ามีงานให้เจ้าทำอีกชิ้นหนึ่ง\"



    \"ว่ามาสิครับ\" ลีก้ายิ้มรับ



    \"ให้เจ้าไปสอดแนม \'คนคนหนึ่ง\' ในโลกภายนอก ไม่ต้องทำอะไรเขาทั้งสิ้น เพียงแต่คอยติดตามไปห่างๆ และรายงานความเคลื่อนไหวของเขาให้ข้ารู้เป็นระยะเท่านั้น\"



    \"ไม่ทราบผมจะขอถามได้หรือไม่...ว่าคนคนนั้นเป็นใครกัน?\"



    อาร์เซนิคซ์เลิกแขนเสื้อขึ้นให้เห็นแผลยาวบนท่อนแขน...ซึ่งบัดนี้ยังทิ้งรอยไว้ให้เห็นแม้จะได้รับการรักษาด้วยเวทมนตร์มาแล้วก็ตาม



    \"ชายคนที่ฝากแผลไว้บนแขนข้านี้\" ดวงตาสีแดงของชายผู้มีอักขระโบราณกลางหน้าผากกลับเป็นประกายวาวโรจน์ \"คนคนเดียวที่สามารถทำร้ายข้าได้ในรอบยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา...หลังจากสิ้นเอลโนอิล\"



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    Magic



    เรเซอร์ วินด์ (Razor Wind)

    ประเภทมนต์โจมตี ธาตุลม ระดับต่ำ สร้างกระแสลมที่มีความกดอากาศสูงกว่าบรรยากาศรอบด้านจนมีความคมเหมือนใบมีดเฉือนศัตรู



    เรน ออฟ ไคน์เนส (Rain of Kindness)

    ประเภทมนต์รักษา ธาตุน้ำ ระดับสูง สร้างฝนเวทมนตร์ที่มีอำนาจสมานแผล ส่งผลกระจายเป็นวงกว้าง เหมาะที่จะใช้ในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บหลายคน



    เอนลาร์จ (Enlarge)

    ประเภทมนต์เฉพาะ เป็นเวทที่ซิลเวนัสตั้งขึ้นเพื่อใช้สั่งเครื่องฉายภาพดาราศาสตร์ของตนให้ขยายภาพ



    * คำว่า \'นีเอลเล (Nielle)\' ไม่ใช่คาถา แต่เป็นรหัสเวทมนตร์ที่เอลโนอิลเคยตั้งขึ้นเพื่อจำกัดตัวบุคคลที่เข้าไปในห้องทดลองเวทย์ของซิลเวนัสได้ ส่วนจริงๆแล้วมันเป็นชื่อของอะไรก็ต้องติดตามตอนต่อๆไปครับ*



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    Character\'s Depth



    ซัน ซาอิ (San Sai)

    ธาตุ: ไฟ

    เชื้อสาย: มนุษย์

    ถิ่นกำเนิด: ฮอลลัม  

    อายุ: 15 ปี

    วันเกิด: วันอีฟรีทที่ 4 เดือนเฮอร์เมส

    ส่วนสูง - น้ำหนัก: 164 ซม.  กก.

    สีผม - สีตา: ดำ - น้ำเงินเข้ม

    อาวุธ: ไม้พลอง (Staff)

    เวทมนตร์ที่ถนัด : ไม่มี แต่มีวิชารักษาพยาบาล

    ประวัติโดยสังเขป: เด็กหนุ่มลูกชายของหมอฮวน และเป็นพี่ชายบุญธรรมที่รักโครินเหมือนน้องสาวแท้ๆ ซาอิตั้งใจที่จะรับสืบทอดกิจการของพ่อให้ดีที่สุด จึงได้ดั้นด้นเดินทางไปสอบถึงมาจิเซีย แต่หลังจากที่รู้ผลว่าตนสอบติด กลับได้ข่าวว่าหมู่บ้านหนึ่งในหุบเขาฮอลลัมถูกปีศาจทำลาย ความเป็นห่วงพ่อแม่ กับน้องสาวทำให้เขารีบรุดหาทางกลับบ้านทันที…โดยหารู้ไม่ว่าไม่มีบ้านที่รอการกลับไปของเขาอยู่อีกแล้ว

    เจ้าของตัวละคร: Sai

    เบื้องหลังการออกแบบ: พี่ชายที่แสนดีของโครินครับ ต้นแบบจริงๆ มาจากไหนก็พูดยากอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะได้เค้ามาจากพระเอกละครเกาหลีเรื่อง Autumn in My Heart ที่เคยฉายทาง ITV มากที่สุด ทำนองเรื่องก็ประมาณพี่น้อง (ไม่แท้) ที่มารักกันเองนั่นแหละ (กระแสซิสคอนมาแต่ไกลเชียวนี่) คงเหมือนกับจะเป็นญาติคนสุดท้ายของโครินแหละครับ ถ้าไม่นับพี่ชายจริงๆของเธอที่หายสาบสูญไป แต่ทั้งสองคนจะลงเอยกันหรือเปล่า...ม่ายบอก ซาอิไม่เก่งการต่อสู้ (มากๆ) ครับ อ่านตอนนี้คงพอเข้าใจ ความสามารถพิเศษของเขาจะอยู่ตรงวิชาแพทย์ต่างหาก (แต่มาอยู่กับพวกที่ใช้เวทมนตร์ได้ก็เหมือนกับโดนกดอีกแหละนะ) ส่วนที่ต้องใช้ไม้พลองเป็นอาวุธก็เพราะมันเป็นอาวุธที่มีระยะโจมตียาว เหมาะจะใช้ป้องกันตัวที่สุดแล้ว หากไม่นับพวกวิถีไกลอย่างธนู หรือปืนน่ะครับ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×