*: :: Endless Cordiality :: :*
บ่น บ่น บ่น และ บ่น (กรุณาอย่าอ่าน--คนเขียนเพ้อ)
ผู้เข้าชมรวม
2,448
ผู้เข้าชมเดือนนี้
13
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
วันนี้...ก็เป็นวันสุดท้ายจริงๆแล้ว มองดูตัวเองในกระจกที่บ้าน ชุดนักเรียนสีขาว กระโปรงจีบสีน้ำเงินกรมท่ายาวครึ่งน่อง
ข้าน้อยใส่มานานเท่าไหร่กันเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลยว่า 3 ปีแล้ว
ลายปักอักษรย่อบนกระเป๋าเสื้อชักจะรุ่ยนิดๆ ตัว ส เสือสีน้ำเงินสดกลายเป็นสีชมพูไปค่อนตัวเพราะโดนไฮเตอร์
ชื่อที่ปักเป็นสีม่วงไปแล้ว บ่งบอกความโชกโชนและความทรงจำของมันผ่านกาลเวลาที่รับใช้ข้าน้อยมา
ดูเหมือนมันจะเปลี่ยนสีเพราะเลือดรักโรงเรียนแรงกล้ายังไงยังงั้น
(ใครเห็นก็ว่าแนวดีและอยากเอาไฮเตอร์มาแต้มตามมั่ง--ข้าน้อยนำแฟชั่นใหม่ซะงั้น)
ชายเสื้อยาวมีรอยเปื้อนสีจางแทบมองไม่เห็นเป็นจุดเล็กจุดน้อยมากมายที่ซักไม่ยอมออก
จับมันขึ้นมาเพ่งพลิกดูดีๆ แล้วก็พอจะเดาออกว่าคืออะไร
รอยสีเขียวน้ำเงินจางจากน้ำล้างจานสีโปสเตอร์ เมื่อตอนอยู่ชมรมศิลปะตอนม.1
รอยเส้นบางเบาสีนวลที่เกิดจากซอสมะเขือเทศร้านไก่ทอดจากฝีมือบีบของยัยเพื่อนเลิฟ
รอยหมึกสีเทาอ่อนเป็นจุดละอองเล็กเท่าหัวเข็มหมุดโดยการแก้แค้นของของแย้ไรเดอร์ที่ข้าน้อยเอาพู่กันจุ่มหมึกไปวาดหนวดให้มัน
น่าเสียดายที่ข้าน้อยใช้เสื้อตัวนี้เถลือกไถลเหลือเกิ๊น ไม่งั้นคงบริจาคต่อให้หลานๆได้
เสื้อเนตรนารีเอาใส่ถุงไปบริจาคกับทางโรงเรียนแล้ว หวังว่าคนที่ได้เขาจะใช้ประโยชน์ให้คุ้ม
หวังว่าเสื้อข้าน้อยกับบรรดาเพื่อนๆจะได้ไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนของรุ่นน้องต่างจังหวัดในโรงเรียนเดียวกัน
ให้เพื่อนและเพื่อนได้ใส่เสื้อของพวกเราต่อไป
โต๊ะเครื่องแป้งยังรกๆเหมือนเคย
ที่เด่นสุดคือนาฬิกาสีเงินเรือนเล็กที่เพื่อนๆทั้งหลายชอบทักเสมอๆ บางคนก็ชอบถอดออกไปลองใส่
ซากสร้อยข้อมือหินทิเบตยังคงนอนนิ่งในตลับ แต่เศษเหรียญที่เคยห้อยอยู่หายไปแล้ว
ยัยเพื่อนเลิฟเอาดาบตีแตกกระจายไปแล้วในวิชาฟันดาบ
คนสุดท้ายที่ได้เล่นเหรียญสองเหรียญนั่นในสภาพดีก่อนแตกคงเป็นเจ้าชายผมขาว
ที่มานั่งเขี่ยเล่นตอนเช้าเหมือนลูกแมวเขี่ยลูกบอล ส่วนเศษเหรียญพวกนั้นเจ้าชายสามขวบก็โกยไปเก็บที่ไหนแล้วไม่รู้
โดยทึกทักเอาว่าเป็น "ซากเหรียญโบราณ OoO!!"
ยางมัดผมสีดำกำมะหยี่ยืดหมดแล้ว สามปีมานี่ข้าน้อยเปลี่ยนมาไม่รู้กี่สิบอัน
ใช้แป๊บๆก็ยืดจนมัดไม่อยู่ โบว์สีดำมีไว้ติดในโอกาสพิเศษ อาทิวันสอบ หรือวันที่คณะกรรมการมาตรวจโรงเรียน
อันเป็นวันเดียวที่นักเรียนจะมานั่งท่องวิสัยทัศน์ คำขวัญ พันธกิจ และอื่นๆที่เคยท่องครั้งสุดท้ายเมื่อตอนสอบสัมภาษณ์เข้าเรียน
สามปีแล้วที่ข้าน้อยไม่เคยติดกิ๊บเลยสักตัว แม้ว่าจะไรผมมากมายมหาศาลก็ตาม
ยัยเพื่อนเลิฟเองก็ไม่เคยเหมือนกัน แปลกดีที่อาจารย์ผู้คุ้มกฎแต่ละคนไม่เคยทัก
หรือเพราะหน้าตาพวกเรามันเด็กเรียนเกินไปหว่า..ไม่ใช่ละๆ ข้าน้อยยังเคยโดนเตือนเรื่องถุงเท้าเลย
ทั้งที่ไม่ได้ผิดกฎโรงเรียนสักหน่อย สงสัยจะเป็นวันดวงซวยที่อาจารย์อารมณ์บ่จอยก็เป็นได้
รูปถ่ายในเครื่องคอมยังอัดแน่นไปด้วยภาพของเพื่อนๆและกิจกรรมทั้งหลายแหล่ของโรงเรียน
ดูเหมือนเงาของโรงเรียนจะทิ้งไว้ทุกหนทุกแห่งในชีวิตข้าน้อย
แบคกราวน์หน้าจอข้าน้อยยังเป็นรูปหลังห้องเรียนที่แสนคุ้นเคย
โต๊ะเล็กเชอร์โยกเยก บางตัวก็กระดกมากจนมีคนตกเก้าอี้นับครั้งไม่ถ้วน
บางตัวก็ยกแยกชิ้นส่วนออกมาได้เหมือนเลโก้ วงจรชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราสมบุกสมบัน+อึดถึกกันสุดๆ
ยังมีกองหนังสือการ์ตูนของแย้ไรเดอร์ที่เอามาเผื่อแผ่ผองเพื่อน
ข้าวกล่องของเจ้าหูกาง
สมบัติของพวกผู้ชายส่วนใหญ่วางเรียงกันไว้ตรงร่องบอร์ดหลังห้องและบนขื่อ
ที่มุมหลังห้องตรงนี้ เราลงไปนั่งล้อมวงกันอยู่บ่อยๆ
บางทีก็ลงไปนอนหนุนตักใครซักคน
นอนไปเล่นไปกินไป บางทีก็ถอนผมหงอกเพื่อนไป
เสื่อปูนอนของพวกภูตน้อยยังม้วนเก็บอยู่อย่างดี กระดานครอสเวิร์ด โกะ จิกซอว์ ฯลฯ
ที่เอามาซ้อมกันระหว่างเรียนก่อนไปแข่งข้างนอกก็ยังซ้อนๆกันอยู่
เหมือนห้องเรียนถูกเรายึดเป็นนิวาสสถานไปซะแล้ว
ห้องอื่นเขาย้ายไปเรื่อยๆ แต่ห้องเราอยู่ห้องเดิมมาตั้งแต่ ม.2
ในภาพถ่ายนี้บอร์ดยังสวยเรียบร้อยอยู่ แต่ปัจจุบันนี้โดนลูกบอลอัดจนเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่ทราบได้
ของติดบอร์ดหลุดลงมาทุกวันจนเราปลงกับมัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา~~~
พัดลมสีเขียวส่งเสียงออดแอดคร่อกแคร่กนิดหน่อยเป็นธรรมชาติของมัน
มีครั้งหนึ่งที่มันโยกไหวซ้ายขวามากจนข้าน้อยที่ตอนนั้นนั่งอยู่จุดใต้พัดลมพอดีถูกผองเพื่อนลากออกมาห่างๆ
พวกผู้ชายต้องปีนเก้าอี้ไปซ่อม พัดลมตัวนี้เหมือนจะผ่านสงครามโลกมาหลายรอบ
ทั้งลูกบาส ลูกวอลเลย์ ลูกปิงปอง จรวดกระดาษ และสารพัดสิ่งที่ลอยขึ้นไปได้
แอร์สองตัวของห้องเราให้ความรู้สึกถึงดินแดนสโนว์แลนด์ขั้วโลกได้อย่างดีเยี่ยม
ถ้าใส่ฟอร์มาลีนเข้าไปนิดหน่อยละก็ใช่เลย..ตู้เก็บศพแหงมๆ
แอร์ตัวนี้ที่ทำให้หนาวจนมือแข็งเขียนหนังสือไม่ได้
จนพวกเราต้องขนเสื้อหนาวมาโรงเรียนกันแม้แต่ในฤดูร้อน
และทำให้เราได้อพยพย้ายถิ่นไปยังจุดอื่นที่ไม่โดนแอร์
หรือหาที่กำบังอย่างพวกผู้ชายตัวใหญ่ๆหลังห้องมาเป็นที่กันลม
วันไหนที่ไม่มีเสื้อหนาว เราก็ได้ฉกชิงวิ่งราวจากเพื่อนๆ
หรือไม่ก็ขออาศัยเสื้อซ้อมแข่งจากนักกีฬาคนใดคนหนึ่ง
ถ้าพูดกันถึงสิ่งที่พวกเราต้องซ่อมบ่อยๆ
เครื่องต่อไมโครโฟนเป็นอย่างหนึ่งที่มีปัญหาประจำ
ไมค์ของอาจารย์แต่ละคนมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน และไม่ว่ามันจะยี่ห้อดี+ประกันชั้นเลิศยังไงก็ตาม
พอมาเจอฤทธิ์เครื่องต่อห้องเราก็ต้องสยบ ทำเสียงคร่อกๆแคร่กๆไม่ก็หอนโหยหวน
อุปกรณ์การสอนในช่วงที่พวกเราเข้ามาใหม่ๆ โอเวอร์เฮดและแผ่นใสยังนิยมอยู่ มีปัญหาพอๆกับไมค์
กระจกสะท้อนและตัวปรับความชัดไม่เคยเสถียรซักที
บางทีก็ต้องช่วยกันเอาดินสอปากกาไปสานขัดเอาไว้ให้มันฉายขึ้นไปได้
หรือไม่พวกแถวหน้าก็ต้องเอามือจับประคองไว้
นักเรียนที่นี่ความสามารถสูงเป็นอย่างยิ่ง
มือซ้ายงัดกระจกให้ง้าง มือขวาจดเล็กเชอร์
ส่วนเท้าเหยียบสายไฟไว้ให้อยู่ในมุมที่ไฟไม่ดับ
ดังนั้นโอเวอร์เฮดตัวที่ดีหน่อยจะถูกแย่งชิงกันเป็นสมรภูมิยามเช้า
ห้องไหนไวกว่าก็รีบใช้กำลังเข้าแย่งชิงมาเก็บที่ห้องตัวเอง
มีหลายห้องสมานกำลังเป็นพันธมิตรกัน อาญัติโอเวอร์เฮดมาใช้ร่วมกันก็มี
หลายเดือนต่อมา จากรุ่นน้องกลายเป็นรุ่นพี่
โปรเจคเตอร์ก็ได้ถูกติดตั้งเป็นของเล่นใหม่ของพวกเรา
คนที่คุมมันได้ราบคาบส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหมูน้อย ผู้ยึดรีโมตโปรเจคเตอร์เป็นสมบัติส่วนตัว
แน่นอนพอมีโปรเจคเตอร์ ก็ต้องมีโน้ตบุ๊คพ่วง
กลายเป็นที่ให้พวกเราได้เอาไวรัสเข้าไปฝาก เหมือนอย่างคอมห้องสมุดที่เป็นโรงแรมไวรัส
ห้องสมุดเป็นทุกอย่างของพวกเรา
โดยเฉพาะคนชมรมห้องสมุดที่ได้เช็ดถูปัดกวาดมันมาแล้วทุกตารางนิ้วตามคำสั่งอาจารย์
เพื่อลดงานให้ภารโรง ห้องสมุดที่ชาวชมรมต้องช่วยกันจัดบอร์ดและติดมันกับตะแกรงด้วยเข็มไซส์ประมาณปากกา
(ถ้าเกิดทิ่มตาคือไม่ต้องหวังว่าจะมีใครช่วยได้)
ตะแกรงหนักๆพวกนี้มีคนนอกชมรมมาช่วยเรา
หนึ่งในนั้นคือเจ้าชายใจน้อยที่มายกไปยกมาหลายรอบเนื่องจากตกลงกันไม่ได้ว่าจัดยังไงถึงจะมีช่องพอให้คนเดินเข้า
ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่เดินผ่านไปมามีใครคิดจะหยุดอ่านเนื้อหา(ที่ไม่ค่อยมีสาระ)ของบอร์ดบ้างรึเปล่า
แต่พอจัดเสร็จแล้ว..ก็ภูมิใจดี
วนกลับมายังห้องของเรา แม้จะไฮเทคก้าวหน้าไปไกลขนาดไหน
กระดานของห้องก็ยังคงเป็นกระดานไม้สีเขียวอย่างเดิม
ไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนเป็นไวท์บอร์ดหรือกระดานกระจกใสแบบห้องEP
กระดานดำ(เขียว)ที่มีกฎชัดเจนว่าห้ามนักเรียนไปขีดเขียน ไม่อาจต้านทานความมีศิลปะในหัวใจของพวกเราได้
ทุกวัน คนที่มาเช้าต้องมาจัดการเขียนกระดานก่อนอาจารย์ให้ได้เป็นมงคลฤกษ์
โรงเรียนเราแสนจะหวงและห่วงชอล์กที่สุด
ย้ำนักย้ำหนา "แท่งละตั้ง 4 บาทเชียวนะ >[]<*!!!"
ไม่รู้ว่าชอล์กที่นี่วิเศษวิโสกว่าของโรงเรียนอื่นตรงไหนเหมือนกัน
บอกว่าเป็นชอล์กไร้ฝุ่น รู้สึกพวกเราก็ยังฟุดฟิดฝุ่นชอล์กกันประจำ
เราไม่ค่อยเขวี้ยงชอล์กเล่นกันเท่าไหร่ คนที่ปาชอล์กมากที่สุดรู้สึกจะเป็นอาจารย์ซะมากกว่า
ใครคุยก็หดหัวไว้ดีๆละกัน ตัวใครตัวมันหวะ
ข้าน้อยหยิบของออกมาจากกระเป๋าเป้
เป้สีกรมท่าซีดจนออกฟ้าเขียวหน่อยๆแล้ว
พวงกุญแจกิโรโระ 2 ตัวยังมีชีวิตอยู่ดีแม้ผ่านสงครามมานับร้อย
ขอสารภาพข้าน้อยเป็นคนที่ใช้ของไม่ทนเอาซะเลย
พวงกุญแจใช้ได้ไม่ถึงสัปดาห์เป็นต้องหลุดหายประจำ แต่กิโรโระนี้อยู่นานเพราะตั้งใจรักษา
กิโรโระเตือนให้นึกถึงบรรดาลูกชาย
ข้าน้อยคือสโนไวท์ลูกชายเจ็ด
ใครบ้างในโลกจะมีลูกชายแสนน่ารัก(รึเปล่า?)ตั้ง 7 คนแบบสำเร็จรูปอย่างงี้
แม้ว่าในเวลาที่เป็นแม่ลูกกัน ลูกชายคนโตและคนสุดท้องจะไม่เคยมายุ่งเลยก็ตาม
เอาเหอะ ลูกชายห้าคนก็นับว่าไม่เลวนัก
อันที่จริงเรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีสุดๆอย่างหนึ่งรองจากเพื่อนในกลุ่ม
ลูกชายแต่ละคนมีความเก่งแตกต่างกัน
เก่งในสิ่งที่ข้าน้อยและเพื่อนห้องเดียวกันไม่เก่ง มองอะไรในมุมที่ห้องข้าน้อยไม่เคยมอง
ไม่ซีเรียสกับชีวิต ทุกคนพยายามทำให้ข้าน้อยหัวเราะบ่อยๆ
(ปกติข้าน้อยจะโดนเพื่อนบอกว่าหน้าตาเคร่งขรึม--เหรอฟะ? ถามยัยเพื่อนเลิฟเดะจะรู้เนื้อแท้ของความ...บ้า)
มันจะบอกว่าอย่าไปเครียดจริงจัง ใช้ชีวิตให้มีความสุข
สอบตกไม่ได้แปลว่าโลกจะแตก อะไรประมาณนี้
ลูกชายที่ข้าน้อยโปรดปรานที่สุดคือเจ้าชายน้ำหมึก
เป็นคนน่ารักและน่าสนใจมาก
ทั้งที่การเรียนและกิจกรรมก็ไม่ได้เด่นเท่าไหร่ คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น (ของแปลก เอิ๊กๆ)
แต่ข้าน้อยชอบนิสัยน่ารักๆของมัน เป็นลูกคนเดียวที่ขี้อ้อน
อ้อนขอเคโรโระ อ้อนขอดาร์คชอกโกแลต อ้อนขอเปิดกล่องของขวัญของข้าน้อยในวันวาเลนไทน์เป็นคนแรก ฯลฯ
(เล่นด้วยแล้วมีความสุขจัง)
ลูกชายที่ข้าน้อยภาคภูมิใจมากที่สุด คือเจ้าชายคิ้วขาด เพราะเรียนเก่งกว่าชาวบ้านเค้าอย่างแรง
ข้าน้อยไม่เคยเจอใครที่เก่งวิทย์-คณิตและชอบสอนมากขนาดนี้มาก่อน
ใครๆที่เก่งเท่าที่ข้าน้อยเคยเจอมา มักจะหวงวิชา+หยิ่ง แต่เจ้าชายไม่เป็นอย่างงั้นเลย เล่าเรื่องให้ฟังทุกอย่าง
สอนจนคนฟังตรัสรู้เรื่องที่มันสอนเลยทีเดียว (แอบปลื้ม)
ลูกชายที่ล่วงรู้ความลับจนเป็นตู้เซฟของข้าน้อย ต้องยกให้เจ้าชายใจน้อย
เป็นคนน่ารักมากอย่างหาจับตัวยาก
เป็นประเภทวิญญาณอิสระไม่ค่อยเกาะกลุ่มกับใครเท่าไหร่
แต่คอยดูห่างๆจนจับได้หมดว่าข้าน้อยคิดอะไร(แอบร้ายลึกง่ะ)
ลูกชายที่ข้าน้อยไว้ใจและสนิทด้วยมากที่สุด คือเจ้าชายโกะ
ข้าน้อยคุยและเล่นด้วยบ่อยมากกกกกกกก
ขอนำเสนอค่ะ เป็นคนเก่งสุดยอด เก่งทุกด้านทุกเรื่องจนน่าทึ่ง(ยกเว้นเรื่องภาษา--ไม่ได้มีเชื้อแม่เล้ย)
ดูเผินๆเหมือนจะเถื่อน แต่มองลึกๆเป็นคนอ่อนโยน+sensitive
ตอนนี้ข้าน้อยคงขาดเจ้าชายไม่ได้แล้ว เหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่เห็นอยู่ทุกวันจนชิน (มันขยันมา=_=;)
ส่วนลูกชายคนที่ข้าน้อยห่วงและผูกพันด้วยมากที่สุด
น่าจะเป็นเจ้าชายผมขาว
เป็นคนที่ภายในไม่เหมือนหน้ากากที่สวมอยู่เลย
เป็นลูกที่โดนลากมาคนแรกโดยไม่เต็มใจ และบอกทุกครั้งว่าไม่อยากเป็นลูก (ไม่ดีพอจะเป็นแม่มัน-*-)
เจ้าชายสองคนสุดท้ายที่ข้าน้อยแทบไม่ได้คุยด้วยเท่าไหร่
คือเจ้าชายคารินและเจ้าชายหมายเลขเจ็ด
สองคนนี้น่ารักและจริงๆก็เป็นคนดีมากแต่คนมักจะมองว่าไม่ดี (อย่าบังอาจมาว่าลูกชั้นนะยะ!)
เจ้าชายคารินสนิทกับข้าน้อยมากกว่า และเป็นที่พักพิงเวลาข้าน้อยไม่สบายใจ
ส่วนเจ้าชายหมายเลขเจ็ดเป็นคนร่วมทางกลับบ้านกับข้าน้อยเป็นครั้งคราว--เลี้ยงค่ารถเมล์ให้ข้าน้อยกับทุกคนทุกครั้งเลย
คิดไปคิดมาแล้วก็เสียดาย ต่อไปนี้ข้าน้อยคงไม่มีลูกอีกแล้ว
ไปที่อื่นจะหาลูกชายแบบนี้ได้อีกที่ไหนกัน
บางทีมันอาจจะดูเป็นความคิดเด็กๆที่พวกเราที่นี่ชอบเล่นแม่ลูก ชอบสร้างระบบเครือญาติขึ้นในหมู่เพื่อน
แต่ข้าน้อยเข้าใจ มันคือสายใยความผูกพัน
พอข้าน้อยมีลูกเจ็ดคน ก็เริ่มเห็นว่ามีหลานเหลนโหลนผุดขึ้นตามมาเต็มไปหมด
เราเหมือนพี่น้อง เหมือนญาติสนิท เราคือครอบครัวเดียวกัน
กระเป๋าดินสอสีดำนุ่มๆของข้าน้อยยังสภาพใหม่ดีอยู่ ตัวหัวเท็ดดี้แบร์สีแดงเริ่มเป็นขุยนิดๆ
ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่เคยมีกล่องดินสอ และไม่เคยมีความคิดว่าจะต้องมี
จนไปซื้อกระเป๋าดินสอให้เพื่อนๆในกลุ่มเป็นของขวัญ
ถึงได้เลือกหนึ่งอันให้ตัวเองลายเดียวกับยัยเพื่อนเลิฟ เวลาใช้จะได้นึกถึงทุกครั้ง
เครื่องเขียนของข้าน้อยมีนิดเดียว ทุกอย่างมีแค่อย่างละหนึ่ง(กลัวโดนยืมแล้วไม่คืน--บอกไปเลยตูมีอันเดียว สบายใจ)
น้ำปลาว่าข้าน้อยประจำ ยัยนี่ไม่เคยมีปากกาสำรอง
ข้าน้อยไม่ค่อยทำอะไรหายบ่อย และไม่เคยโดนขโมยหรือโดนใครแกล้ง
ตรงข้ามกับยัยเพื่อนเลิฟที่โดนทุกอย่างเท่าที่โลกหล้านี้จะทำได้
ตั้งแต่จั๊กกะจี๋ เตะขาเก้าอี้ กระตุกโบว์ ยันจิ๊กของ
เรื่องจิ๊กของนี่ทำกันแบบเป็นขบวนการ
บางครั้งข้าน้อยก็แอบมีเอี่ยวเล็กน้อย
ใครบางคนจะดึงดูดความสนใจของยัยเพื่อนเลิฟจากการป้องกันกระเป๋าตัวเอง
อีกคนจะรีบดึงกระเป๋าหรืออะไรสักอย่างบนโต๊ะยัยเพื่อนเลิฟออกไปส่งให้คนข้างหลังที่รอรับ
ส่งต่อๆกันใต้เก้าอี้ไปจนถึงหลังห้องที่ของจะถูกกักไว้โดยปลอดภัย หรืออย่างน้อยก็จนกว่ายัยเพื่อนเลิฟจะรู้ตัว
ต่อมายัยเพื่อนเลิฟเริ่มจับทางได้และกลุ่มผู้ชายที่โปรดปรานการแกล้งเล่นก็แยกย้ายกันไปแล้ว
มีหน้าใหม่เข้ามา หน้าเก่าอพยพไปไกลสุดเอื้อม
เมื่อก่อนกระเป๋าดินสอเพื่อนเลิฟรูปหมาจะถูกจับไปทารุณกรรมทุกวัน
ทั้งแขวนคอ นอนบนขื่อ ม้วนยัดร่องบานเกล็ด แขวนพัดลม เอาปากกาเขียน ฯลฯ
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องต่อปากต่อคำโต้วาทีจะมาแรง
โดยมีเจ้าชายแวมไพร์สีซีดเป็นแกนนำ
เจ้าชายดูเหมือนจะเงียบแต่ความจริง...เอาเป็นว่าอย่าให้อ้าปากเลยจะดีที่สุด
ยังไงต่อไปยัยเพื่อนเลิฟก็คงไม่โดนแกล้งแล้ว--มีใครบางคนคอยปกป้อง กร๊ากๆ
หยิบหนังสือวิชาดนตรีออกมา คงไม่ได้ใช้แล้ว
พอยกขึ้นไปเก็บ ถึงเห็นกระดาษที่ฉีกมาจากสมุดร่วงออกมา
ข้าน้อยหยิบขึ้นมาอ่าน
มันเป็นกระดาษที่เขียนตั้งแต่ตอนเรียนเรื่องห้องโน้ต จังหวะ เมโลดี้
ท่อนเพลงสั้นๆที่พวกเราแต่งยกตัวอย่างกันตอนนั้นเขียนไว้ว่า
ห้อง ของ เรา ห้อง ของ เรา อยู่ ที่ ไหน ก็ ไม่ สุข ใจ เท่า ห้อง ของ เรา
เวลาของข้าน้อยในคืนนี้ใกล้จะหมดแล้ว หันไปมองโต๊ะกลางห้อง
ยังมีหนังสือวางกองอยู่เป็นตั้ง รอให้ข้าน้อยหยิบมันมาท่องแบบเอาเป็นเอาตาย
การสอบเข้าต่อม.4โรงเรียนอื่นเป็นเรื่องที่ทำให้ใจหาย
ก่อนหน้านี้มันไม่เคยอยู่ในสารบบของพวกเรามาก่อน
ไม่เคยคิดถึงการต้องจากกันไป
การสอบเป็นเรื่องสำคัญ
ขีดกำหนดอนาคตของเราให้ห่างไกลกันคนละฟากขอบฟ้า
เส้นทางการเดินทางถูกฉีกแยกออกตรงกลางสำหรับความฝันที่แตกต่างของเรา
ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา
ก็รู้ว่าไม่มีทางจะจับมือกันไว้ได้ตลอดไป
และตอนนี้...ก็ถึงเวลาต้องปล่อยมือ
.
.
.
ยินดีที่ได้รู้จักดีใจที่เรานั้นเคยได้ใกล้ชิด
ชีวิตฉันเคยมีเธอ
มีวันที่เป็นพิเศษ มีคืนที่ได้ฝันดีอยู่เสมอ
จนถึงนาทีสุดท้าย
หมดเวลาแล้ว ฉันรู้ ฉันเข้าใจ
ไม่มีเธอแล้ว ฉันอาจจะต้องเหงาใจ
อาจจะเดียวดาย ไม่ดีเหมือนเดิม
อย่างตอนที่ฉันมีเธอ
จะไม่มีใคร คนอื่นมาแทนที่เธอ
ก็ไม่เสียใจ
ยินดีที่ได้รู้จัก..ดีใจที่เคยรักเธอกว่าคนไหน
และฉันก็ยังจะรัก
อย่างน้อยก็มีครั้งหนึ่งที่เราได้เคยซึ้งใจ
ได้มีวันวานที่สวยงามให้จดจำ
.
.
.
ไม่เคยคิดอยากจากไปด้วยน้ำตาเลยนะ ไม่เคยคิดว่าคนเราต้องเสียใจทุกครั้งที่จากกัน
แต่วันนี้ ถึงเข้าใจเหตุผลที่ต้องร้องไห้
เพราะต่อจากนี้...ไม่มีอีกแล้ว
ผลงานอื่นๆ ของ seagull ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ seagull
ความคิดเห็น