[END] Soul Verse : [I.M x KiHyun] - นิยาย [END] Soul Verse : [I.M x KiHyun] : Dek-D.com - Writer
×

    [END] Soul Verse : [I.M x KiHyun]

    โดย I.M the BEST

    "ยูกีฮยอน, ในใจดวงนั้นของคุณ เป็นผมหรือเป็นเขา ที่อยู่ในนั้น ..."

    ผู้เข้าชมรวม

    4,751

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    116

    ผู้เข้าชมรวม


    4.75K

    ความคิดเห็น


    107

    คนติดตาม


    139
    จำนวนตอน :  25 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  21 พ.ย. 62 / 12:48 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ






    สนามบินนานาชาติดัลลัส,



         ยูกีฮยอน กำลังนั่งจิบช็อคโกแล็ตร้อนอยู่ในร้านสตาร์บัคส์ที่อาคารผู้โดยสารขาออกเพื่อรอเวลาประกาศเรียกขึ้นเครื่อง แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ที่ท่าอากาศยานแห่งกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แต่จิตใจกลับเตลิดไปไกลถึงค่อนโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


         ...และการได้กลับบ้านเกิดเป็นเรื่องที่ดีทีสุดสำหรับเขาในวันนี้


         ต้องขอบคุณทุนวิจัยทางการแพทย์ ที่ทำให้หมอนิติเวชอย่างเขามีโอกาสเข้าร่วมในงานวิจัยและใส่ชื่อเป็นผู้ค้นพบโรคทางประสาทวิทยาอันเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อส่วนเดิมๆมาเป็นเวลานาน เขาทุ่มเทเวลาเป็นแรมปีเพื่อการศึกษาครั้งนี้และมันก็ไม่ได้สูญเปล่าอย่างที่ใครเคยสบประมาทเอาไว้ เขากำลังกลับบ้านพร้อมกับความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ



              "ไปเที่ยวที่เกาหลีเหรอคะ"



         เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินสาวที่มีผมนำ้ตาลเข้มและตาสีบรูเน็ตถามขึ้นขณะเอื้อมมือมารับบัตรโดยสารจากกีฮยอนมาแสกนบาร์โค้ดก่อนขึ้นเครื่องพร้อมทักทายเขาอย่างเป็นมิตร



              "อ้อ กลับบ้านน่ะครับ" กีฮยอนตอบหล่อนด้วยภาษาอังกฤษแบบสุภาพพร้อมรอยยิ้ม



              "งั้นก็ขอให้เป็นไฟล์ทที่ดีนะคะ" นั่นคือคำอวยพรสุดท้ายจากพนักงานสาวคนนั้น



         กีฮยอนไม่ว่าอะไรต่อนอกจากเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วก้าวเข้าสู่งวงช้างที่เป็นทางเดินเข้าสู่ตัวเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777 เที่ยวบินที่ 514 ลำนี้


         ด้วยใบหน้าขาวใสไร้ริ้วรอยกับความสูงแบบชาวเอเชีย ยูกีฮยอนค่อนข้างตัวเล็กเมื่อเทียบกับชาวตะวันตกคนอื่นๆ แต่ด้วยความเป็นตัวเขาต่างหากที่มันกลับดึงดูดให้คนเข้าหา นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วยังมีเรื่องของสติปัญญาที่พ่วงมาด้วยดีกรีนายแพทย์เฉพาะทางอีก


         แต่ถึงอย่างนั้นกีฮยอนก็ยังไม่ได้คิดคบใครจริงจัง...เขามีแค่งาน และงานเท่านั้น



    .


    .


    .



         กีฮยอนนั่งประจำที่ริมหน้าต่างของตัวเอง ข้างๆเขาเป็นที่ว่างและที่นั่งถัดไปเป็นเด็กหญิงวัยรุ่นชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลีที่อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบนั่งอยู่ถัดไปอีกที


         ในขณะที่เครื่องบินทะยานขึ้นจากรันเวย์สนามบินดัลลัสและไต่ระดับขึ้นมาได้พอสมควร สัญญาณรัดเข็มขัดก็ดับลงพร้อมกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเริ่มทยอยแจกเครื่องดื่มเป็นของว่าง


         นายแพทย์หนุ่มรับแก้วน้ำส้มที่เปรี้ยวจนแทบลืมตาไม่ขึ้นจากลูกเรือมาถือเอาไว้ในมือ ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือของเด็กสาวที่นั่งถัดจากเขาไปหนึ่งที่นั่ง



              "คุณก็อ่านเรื่องนี้เหมือนกันเหรอ" หล่อนหันมาถามเขาด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันชัดแจ๋ว



              "ไม่หรอก แค่เห็นหน้าปกสวยดี" เขาพูดไปตามความจริงพร้อมกับปรายตามองไปที่หนังสือหน้าปกสีน้ำตาลไหม้พร้อมกับตัวหนังสือสีทองในมือของเธออีกครั้ง



         เด็กสาวส่งยิ้มกว้างให้เขา พร้อมกับชูหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาให้เห็นชัดๆ และพูดว่า 



              "เมฆทางตะวันออก ไม่ฉาบสีทองอีกต่อไปแล้วล่ะ"



         นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายระหว่างกีฮยอนกับเธอ เพราะอีกไม่กี่วินาทีถัดมาเครื่องบินก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนในห้องโดยสารนั้นเต็มไปด้วยข้าวของมากมายที่ปลิวว่อนไปมา ทั้งแก้วน้ำ กระเป๋า คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป ช้อนส้อมและมีดแบบพลาสติก ดินสอ ปากกา หนังสือ ทุกอย่างพุ่งไปมาอยู่รอบๆตัวของผู้โดยสารทั้งหมด


         สัญญาณรัดเข็มขัดปรากฎขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความวุ่นวาย ทั้งกีฮยอนและเด็กหญิงอเมริกันเชื้อสายเกาหลีคนนั้นต่างรีบคว้าเข็มขัดมาคาดร่างของตัวเองให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ทุกลักทุเลเช่นนี้


         แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะเลวร้ายมากกว่านั้น เมื่อในห้องโดยสารเริ่มมีควันไฟปรากฎขึ้นมา ผู้โดยสารคนอื่นเริ่มไอโขลกขณะที่กีฮยอนแหงนมองบนเพดานเหนือที่นั่งของตัวเอง พร้อมกับสบถขึ้นในใจ



              'บ้าเอ๊ย หน้ากากออกซิเจนไม่ได้ทำงานแบบอัตโนมัติหรือไงกัน'



         เขาจึงขยายเข็มขัดที่รัดหน้าท้องตัวเองให้หลวมขึ้นก่อนจะยืดตัวไปทุบที่แผงหน้าปัดไฟเหนือที่นั่งจนมันแตกออกจากกันเป็นเสี่ยง เผยให้เห็นอุปกรณ์สีเหลืองสดพร้อมกับสายยางที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบนอนขดนิ่งสนิทอยู่ในนั้น


         กีฮยอนล้วงมือหยิบมันออกมาโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก..ก่อนจะทันได้เห็นว่า มีหน้ากากออกซิเจนสองอันติดมือเขาออกมา


         นายแพทย์หนุ่มคว้าหน้ากากอันหนึ่งมาสวมครอบจมูกและปากของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะใช้อีกอันหนึ่งสวมใส่ให้เด็กหญิงข้างๆแบบเดียวกัน เขาใช้มือกดหัวเธอให้ก้มลงต่ำและหวังว่าคำแนะนำนั้นจะเป็นความหวังของการรอดชีวิตจากเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งนี้


         กลุ่มควันคุหนาแน่นกว่าเดิมในส่วนของห้องผู้โดยสาร ความหวาดกลัวนั้นเกิดขึ้นเมื่อไม่รู้ว่าไฟนั้นอยู่ที่ไหนหรือมันเผาไหม้อะไรไปแล้วบ้าง


         แล้วความปั่นป่วนอันน่ากลัวนั้นก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น กีฮยอนรู้ดีว่าตอนนี้เครื่องบินที่เขากำลังโดยสารนั้นเริ่มทำมุมตกสู้พื้นดินและชันขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขาเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะในสวนสนุกที่กำลังดิ่งลงด้วยความชันเกือบๆเก้าสิบองศาเสียด้วยซ้ำ


         วูบหนึ่งในความคิดเขานึกขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า ให้เครื่องบินลำนี้ตกลงบนมหาสมุทรหรือท้องทะเลกว้างสักแห่ง แต่อีกใจก็ร้องบอกขึ้นมาว่า เครื่องบินดิ่งลงขนาดนี้ ไม่มีหรอกการจอดลงในน้ำอย่างปลอดภัยแบบในหนัง มีเพียงแค่การกระแทกบนพื้นน้ำที่แรงที่สุดเกินกว่าเขาจะจินตนาการได้ก็เท่านั้น


         ขณะที่แรงกดอากาศในเครื่องเพิ่มสูงมากเกินกว่าจะรับได้อีกต่อไป แรงสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหวก็ทำให้ตัวเครื่องสั่นอย่างแรง ปีกขนาดยักษ์ที่กีฮยอนเห็นด้านนอกนั้นสั่นกระพือราวกับกำลังจะหลุดออกจากตัวเครื่องเสียให้ได้


         เมื่อถึงจุดหนึ่งนายแพทย์ยูกีฮยอนคงจะตระหนักแล้วว่าความหวังทั้งหมดนั้นได้สูญสิ้นไปแล้ว เขากับผู้โดยสารและลูกเรือคนอื่นๆกำลังจะตกลงสู่ความตายในเวลาอีกไม่นาน เครื่องยนต์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างส่งเสียงแผดร้องราวกับโหยหวนในนาทีสุดท้ายพร้อมกับประกายไฟลุกโชนจนสว่างวาบเข้ามาในห้องโดยสาร


         ในตอนนั้นเองกีฮยอนดันนึกถึงบทความหนึ่งที่ตัวเองเคยอ่านเจอในคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมาราวกับมีคนมากระซิบอยู่ในหัวตลอดเวลา และเขาเองก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงนึกถีงบทบัญญัติเหล่านี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยอยู่ในความทรงจำเลยเสียด้วยซ้ำ



              "ถ้ามนุษย์ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาอีกหรือ? ถ้าเป็นได้ ข้าฯสมัครใจคอยตลอดเวลากำหนด จนกว่าจะทรงปล่อยข้าฯออกมา" - โยบ 14:14



         ช่วงวินาทีหนึ่งเขานึกลังเลที่จะสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อขอให้มีความหวังในสถานการณ์อันน้อยนิดแบบนี้ดีไหม แต่ก็รู้สึกว่านี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาพอจะทำได้ก่อนความตายจะมาถึง..นั่นคือการสวดมนต์แค่นั้น


         เครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ปะทะกับทุ่งหญ้าด้วยการกระแทกอย่างวินาศสันตะโรเสียงจนเสียงนั้นดังไปไกลมากกว่ายี่สิบไมล์ในชนบท ฝูงนกต่างบินแตกฮือออกจากกิ่งไม้เพราะความตกใจ และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นต้องสะดุ้งตื่นก่อนเวลาอันสมควร


         การตกครั้งนั้นของเที่ยวบินหมายเลข 514 เป็นหายนะ หลังจากตัวเครื่องระเบิดในการกระแทกกับพื้นดินแล้ว ยังไถลไปในทุ่งหญ้าและแตกเป็นเศษซากที่ลุกไหม้เป็นเสี่ยงๆแทบจะนับไม่ได้ น้ำมันไอพ่นที่ทะลักออกมาจากเครื่องยนต์ ทำให้ติดไฟลุกไหม้กับเศษหญ้าและต้นไหม้จนป่าทั้งป่าสว่างไสวไปด้วยเปลวเพลิง 


         ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดในเที่ยวบิน514 จำนวนสามร้อยยี่สิบสี่คนเสียชีวิตลงทันที









    =========================================================================


    แนวนี้จะรอดไหมน๊อ...

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น