ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    【Inazuma Eleven all series x OC】月の花嫁 Tsuki no Hanayome

    ลำดับตอนที่ #15 : 15 Puzzle

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 66


     

     Warning 

    • บรรยายฉากสยอง

    • เลือด

    • กล่าวถึงคนคลั่งลัทธิ และศาสนา

    • ตัวประกอบเสียชีวิต

     

     

     

    เวลาผ่านไปไวเหมือนวันหยุด หลังจากที่มิสึกิเดินออกมาจากสนามบอลก็ได้พบกับคิชิเบะในร่างสิงโตที่ยืนรอเขาอยู่

    ถูกอีกฝ่ายถามไว้เยอะมาก ประมาณว่าเขาได้รับบาดเจ็บ หรือ โดนทำร้ายรึเปล่า พอตอบว่าเกือบ แต่หลบได้ คิชิเบะก็ดุเขาไปทีนึงแล้วพุ่งไปทางสนามบอล ถ้าเขาไม่รั้งไว้ก่อน

    ถ้าไม่หยุด มีหวังได้ฆ่ากันตายแน่ ๆ

    สุดท้ายก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงนั่งเล่นกับคิชิเบะ และก็มีพวกตัวทดลองจากชั้นนี้ที่เป็นพวกปากร้าย แต่ญาติดีมานั่งคุยด้วย

    ตอนแรกก็ตกใจ นึกว่าแก๊งค์มาเฟียเดินมาหาเรื่อง เพราะพวกด้านหลังทำหน้าพร้อมต่อยสุด ๆ แต่ดีนะที่มีคนพูดดักไว้ก่อนเลยไม่ได้คิดมาก คิชิเบะเองก็เกือบจะเข้าไปขย้ำคอพวกนั้น ถ้าฉันไม่ห้ามเขา

    คนแรกที่แนะนำตัว ชื่อ คิตะ อิจิบัน เป็นลูกชายของนักวิทยาศาสตร์หญิงของที่นี่

    ตอนรู้จักก็แบบ ว้าว นายเองก็ต้องมาทนอยู่ที่นี่สินะ น่าสงสารจัง แต่เหมือนโดนอ่านความคิด อิจิบันตอบมาว่าใช่

    คนถัดไป ชื่อ ทาคิ โยชิฮิโกะ เด็กน้อยจากห้องทดลองโซนพวกมนุษย์ปกติ อายุแค่ 12 แต่ต้องมาหาพี่ชายที่ชื่อทาคิ โซสึเกะบนชั้นนี้

    อิจิบันบอกที่นี่ไม่ให้ตัวทดลองเดินนอกห้องตัวเอง หากไม่ได้รับอนุญาต อิจิบันเลยขอแม่ให้โยชิฮิโกะไปหาพี่เขาที่มีช่วงเวลานี้ โดยมีอิจิบันเป็นคนพามา

    ถัดจากโยชิฮิโกะ คือ นามิคาวะ เรนสึเกะ และมินามิซาวะ อัตสึชิ ทั้งสองคนเป็นตัวทดลองของชั้นนี้ ปกตินามิคาวะจะเป็นฝ่ายท้าต่อยพวกไฮซากิเสียส่วนใหญ่ แต่วันนี้อารมณ์ดีเลยทำเป็นไม่สน มินามิซาวะเองก็ชอบหมกตัวอยู่ในห้อง แต่โดนผู้ชายที่เป็นนักวิจัยที่ชื่อเฮียวโดลากออกจากห้อง โดยเฮียวโดอ้างว่าออกมาสูดอากาศนอกห้องซะบ้าง...

    เหมือนว่า 4 คนนี้จะบังเอิญเจอกันระหว่างทาง (แค่บางคน) พอได้คุยกันนิด ๆ หน่อยก็สนิทกันแล้ว

    ไทกะเคยบอกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาคนชื่อคิตะอยู่ แต่ไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่พอพวกเราจับเข่ากลุ่มคุยกันก็ดูสนุกดี

    แต่น่าเสียดายที่เวลาแห่งความสุขนั้นมีจำกัด เป็นมิสึกิที่เป็นฝ่ายขอตัวไปก่อน เพราะเขาต้องส่งเอกสารผลตรวจเบื้องต้นพวกนี้ให้ทัตสึยะแล้วจะแอบอู้ไปนอนในห้องสักหน่อย และช่วงหกโมงเย็นต้องไปประชุมกับหัวหน้าคิระอีก

    ก่อนไป มิสึกิได้เห็นใบหน้าหงอยของคิชิเบะ ดูก็รู้ว่าไม่อยากให้ไป แต่ทำไงได้ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ และคิชิเบะเป็นตัวทดลอง ถึงจะสงสาร แต่มิสึกิเองก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก

    ระหว่างเดินทางไปหาทัตสึยะ ดูเหมือนร่างเล็กจะฉุดคิดอะไรขึ้นมาได้

    “อ่า.. ลืมกินข้าวเลย”

     

     

     

    มิสึกิรู้มาว่าทัตสึยะไม่อยู่ เห็นว่าไปหาหัวหน้าคิระที่ชั้นล่างสุด ซึ่งเป็นพื้นที่ห้ามเข้าที่มีแค่คิิระ เซย์จิโร่เท่านั้นที่เข้าได้

    ถึงจะไม่เจอทัตสึยะก็ไม่เป็นไร แค่วางเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วก็รีบไปศูนย์อาหาร แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นกรอบรูปภาพตั้งโต๊ะ

    ทั้งที่ไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนอื่นแท้ ๆ แต่มันดันไปเห็นซะได้..

    ดวงตาสองสีมองรูปภาพในกรอบรูป เป็นภาพที่มีผู้หญิงสองคน และเด็กผู้ชายตัวเล็กในอ้อมกอดของผู้หญิงอีกคน ผู้หญิงคนแรกมีผมสีฟ้าเข้มไฮไลท์ขาวที่บริเวณช่วงคอ ถัดมาเป็นผู้หญิงผมสีเขียวแก่ที่กำลังอุ้มเด็กน้อยผมแดง

    ผู้หญิงสองคนนั้นไม่คุ้นแฮะ แต่เด็กในรูปคงเป็นทัตสึยะ? สีผมกับสีตาก็ใช่อยู่..

    ระหว่างคิดอะไรเพลิน ท้องเจ้ากรรมดันร้องออกมาซะก่อน มือขาวกุมไปที่ช่วงท้องด้วยความเขินอายจนต้องรีบออกจากห้องนั้นโดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนกำลังแอบมองอยู่

     

     

     

    ใช้เวลาสิบนาทีในการมีที่ศูนย์อาหาร และเป็นเวลาเกือบสี่โมงที่มิสึกิพึ่งได้ทานข้าว

    โอ้พระเจ้า นี่เขาบ้างานถึงขนาดที่ไม่มีเวลากินข้าวเลยหรอ?

    คิดแบบนั้นแล้วอยากตีตัวเอง งานก็สำคัญอยู่หรอก แต่ถ้าไม่ดูแลตัวเองมันก็ไม่ควรฝืน

    ใช้เวลาคิดเกือบห้านาทีว่าจะทานอะไรดี มันมีอาหารหน้าตาหลากหลายให้เขาเลือกทาน แต่มันเลือกยากอ่ะ น่ากินเกือบทุกเมนู

    แต่ไม่คิดเลยแฮะ ว่าอาหารพวกนักวิทยาศาสตร์จะดูหรูเหมือนข้างบน, มิสึกิคิด

    “กินอะไรที่มันย่อยง่าย ๆ แล้วกัน”

     

     

     

    หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ มิสึกิเก็บจานไปที่พื้นที่เก็บจานแล้วเดินกลับห้องของเขา

    อร่อยมาก และอิ่มมากเหมือนกัน ดูถูกอาหารที่แล็ปไม่ได้เลยสินะเนี่ย

    เมื่อมาถึงห้องที่มีป้ายหมายเลขแสนคุ้นตา เขาก็พาตัวเองเข้าห้อง

    เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวสำหรับคนแอบอู้ คงไม่พ้นเรื่องการนอน เมื่อหัวของมิสึกิถึงหมอน ร่างกายของเขาก็ดับทันที

     

     

    ‘ต่อไปนี้ เธอมีชื่อว่ามิสึกิ อากิระ’

    เธอจ้องมองร่างของบุคคลตรงหน้า

    ‘ส่วนนาย ชื่อโนวิโอ้

    คราวนี้คนปริศนาหันไปมองคนผมขาวล้วน แต่ที่เด่นชัดคงเป็นดวงตาสองสี

    ‘แล้วนายเป็นใคร?’

    คนที่ชื่อโนวิโอ้ถามบุคคลปริศนา

    ....

    ‘ฉันชื่อ ■’

     

     

     

    กรี๊〜ง

    มิสึกิสะดุ้งตื่น ร่างกายดีดตัวขึ้นอย่างตกใจ สองมือกุมข้างแก้มแล้วลูบเบา ๆ ราวกับปลอบตัวเอง

    ฝันอะไรกัน..

    ดวงตาสองสีหันไปมองเสียงที่พาเขาตื่นจากฝันแปลกประหลาด

    นาฬิกาปลุก..

    พอรู้ว่ามันคือะไรก็ใช้มือกดด้านบนของนาฬิกาจนมันเงียบ

    อีกประมาณสามสิบนาทีจะเริ่มประชุม

    มิสึกิลงจากเตียงแล้วก้าวขาเดินไปที่ห้องน้ำ มือหมุนก๊อกน้ำแล้วใช้ฝ่ามือกรองน้ำขึ้นมาล้างใบหน้า ใช้นิ้วมือถูใบหน้าเบา ๆ จนรู้สึกพอใจแล้วหมุนก๊อกน้ำ เพื่อให้น้ำหยุดไหล

    กระจกใสแสดงใบหน้าสละสลวย ผิวเนื้อนวลเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำ ดวงตาสีโทนเย็นสองข้างที่ต่างสี ผมสีขาวยาวที่เรียบสวยแสดงให้เห็นว่าเจ้าของดูแลอย่างดี แต่ที่เด่นชัดก็คงเป็นไฮไลท์ผมข้างที่มีสองสีเหมือนสีของดวงตา ปากเล็กที่เรียบตรง และสันจมูกที่โด่งสวย

    กระจกใบนี้กำลังสะท้อนใบหน้าของมิสึกิ อากิระ

    และก็เป็นใบหน้าที่เหมือนของคนในฝันเมื่อครู่ ชายผู้มีผมสีขาวล้วน และดวงตาสองสีอันเป็นเอกลักษณ์

    เหมือนกับเขา..

    “แย่ล่ะ ประชุม!”

    เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นจนลืมไปว่ามิสึกิยังมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำอีกเรื่อง นั่นก็คือประชุม

    มือเรียวหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดใบหน้าแบบลวก ๆ แล้วรีบวิ่งออกจากห้องของตัวเอง โดยไม่คิดที่จะปิดไฟให้เรียบร้อย

    อีกยี่สิบสามนาที

    แค่วิ่งขึ้นห้องประชุมก็ล่อไปสิบกว่านาทีแล้ว ไหนจะต้องรอคนขึ้นลิฟท์อีก

    จะโดนหักเงินเดือนไหมนะ..

     

     

     

    “เกือบไม่ทันแล้วนะครับ”

    “เงียบ—แฮ่ก แฮ่ก ไป..”

    หนุ่มผมแดงขำเบา ๆ ดูสิ พนักงานใหม่เกือบมาประชุมไม่ทัน เพราะคนใช้ลิฟท์เยอะจนต้องใช้บรรไดฉุกเฉินวิ่งขึ้นมาราว ๆ ห้าชั้น

    ดวงตาสีมรกตจ้องมองใบหน้างามของพนักงานใหม่ข้างกาย ใบหน้าขึ้นสีแดงอ่อน หยาดเหงื่อที่ไหลลงข้างแก้ม เสียงหอบหายใจกระเส่า

    ช่างเป็นใบหน้า และน้ำเสียงที่อิโรติก..

    ทัตสึยะรีบหันหน้าหนีไปทางอื่นจนมิสึกิที่สังเกตเห็นว่าอีกคนหันหน้าไปอีกทางจนเขาทำหน้าสงสัย

    มือของชายผมแดงกุมที่หน้าอก ใบหน้าของเขาก็เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ

    ผมจะมาคิดเรื่องลามกที่ห้องประชุมไม่ได้นะ, ทัตสึยะคิดในใจ

    “ทัตสึยะ เป็นอะไรไป?” มือเล็กสะกิดแขนเสื้อสีดำของอีกคน

    “ปะ เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร..”

    คนถูกถามรีบหันมาแก้คำถามนั้นด้วยความลนลาน

     

     

     

    การประชุมถูกดำเนินอย่างต่อเนื่องเกือบสองชั่วโมง

    มิสึกิไม่ใช่พวกที่ชอบนั่งนิ่ง ๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเลยเป็นเวลานานแบบนี้ เรียกได้ว่าเขาไม่ใช่พวกอยู่นั่งอยู่เฉย ๆ อย่างน้อยต้องมีอะไรสักอย่างที่สามารถทำฆ่าเวลาได้

    ผิดกับทัตสึยะ ต่อให้ต้องประชุมสักหนึ่งวัน หนุ่มผมแดงคนนี้ก็ยังสามารถนั่งปั้นหน้ายิ้มได้อย่างสบาย ๆ

    สกิลความสามารถพิเศษงั้นเรอะ..

    เป็นมิสึกิ มิสึกิเดินออกตั้งแต่ยี่สิบนาทีแรกแล้วนะ..

    “ฉะนั้นฉันขอจบการประชุมไว้เพียงเท่านี้”

    เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจากที่หัวหน้าคิระพูดจบ

    หนุ่มผมขาวทำหน้าอย่างเบื่อหน่าย แต่ก็ยอมปรบมือตามสถานการณ์ โดยมีดวงตาสีมรกตข้างกายมองเป็นระยะ

    ทัตสึยะยกยิ้ม ช่างเป็นการกระทำที่ซื่อตรงจริง ๆ

    ถ้าหากได้ทำกันบนเตียง...

    หนุ่มผมแดงนิ่ง ความคิดในหัวเริ่มโยงเข้าเรื่อง 18+ จนเขาต้องรีบตั้งสติ

    “หมดประชุมแล้วกลับห้องได้เลยใช่มั้ย?” มิสึกิถาม

    “ใช่ครับ แต่ถ้าไม่อยากกลับห้องก็สามารถไปดูพวกตัวทดลองก็ได้นะครับ ระดับของมิสึกิคุงเองก็พิเศษพอที่จะดูได้ทุกตัวในอาคารนั้น”

    ห้ะ อะไรพิเศษนะ?

    “เดี๋ยว หมายความว่ายังไง? ระดับพิเศษ? ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”

    ขณะที่ทั้งสองออกมาจากห้องประชุม มิสึกิก็ถามด้วยความสงสัยจนต้องหยุดเดิน

    “ตั้งแต่เหตุการณ์ของฮาคุริวคุง มิสึกิคุงก็เลยได้รับระดับพิเศษที่สามารถตรวจตราพวกอาบีสได้ทุกตัวในอาคารนั้น จริง ๆ แล้วนักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่นี่ไม่มีระดับอะไรที่พิเศษพิโสขนาดนั้น ทุกคนสามารถตรวจสอบอาบีสได้ทุกตัว ยกเว้น 5 ตัวที่ชั้นบนสุด”

    “มีแค่ระดับหัวหน้าหน่วยเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปชั้นบนโดยไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องจากหัวหน้าคิระ แต่ดูเหมือนมิสึกิคุงพิเศษมากพอสำหรับฮาคุริวคุงเลยเว้นไว้เป็นกรณีพิเศษ”

    คนฟังถึงกับเหงื่อตก คงเป็นเพราะว่าฮาคุริวเรียกเขาว่าแม่เลยมีอะไรที่น่าสนใจล่ะสิ

    ถ้าหากคีย์หลักในการวิจัย คือ ฮาคุริว

    ตัวแปรสำคัญที่สามารถทำให้ฮาคุริวเชื่องได้ก็คงไม่พ้นสิ่งที่ฮาคุริวทั้งรักทั้งหวงยิ่งกว่าไข่ในหิน

    “แม่...” มิสึกิพึมพำ

    ทัตสึยะลอบยิ้ม เขาเอื้อมมือไปปัดผมที่เป็นไฮไลท์สีน้ำเงินสอดเข้าที่หลังหูของมิสึกิด้วยสายตาที่หลงใหล เมื่อถูกกระทำแบบไม่ทันตั้งตัว มิสึกิสะดุ้งตกใจ ดวงตาสองสีมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง

    “ก็อย่างที่มิสึกิคุงเข้าใจ ฉะนั้นผมขอตัวก่อน ไว้เจอกันใหม่นะครับ”

    หนุ่มผมแดงละมือออก ดวงตาสีมรกตสะท้อนตัวตนของมิสึกิอย่างเด่นชัด

    “อื้อ ไว้เจอกันใหม่นะ..”

    มิสึกิโบกมือลาให้อีกคน ทัตสึยะเดินจากไปจนแผ่นหลังของเขาเริ่มหายไปตามทาง

    “อะไรของหมอนั่น?”

    หนุ่มผมขาวขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินไปตามเส้นทาง โดยมีจุดหมายคือห้องพักของเขา

     

     

     

    “กลับมาแล้วครับ..” หลังจากที่เดินเข้ามาในห้อง ทัตสึยะก็พูดขึ้น

    ในห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครตอบเขา หรือ ส่งเสียงอะไรเลย เพราะเดิมทีเขาก็อยู่คนเดียวมาตลอด เว้นแต่—

    “กลับมาแล้วหรอ ทัตสึยะ”

    ดวงตาสีมรกตมองร่างที่นั่งจิบชาตรงมุมรับแขก เขาเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา

    “ฉันได้เจอพนักงานใหม่แล้วนะ” ดูเหมือนว่าคำถามนี้จะเรียกความสนใจให้ทัตสึยะได้ไม่น้อย

    “งั้นหรอครับ เป็นไงบ้างล่ะ?” เขาถาม

    “ถึงจะไม่ใช่ตัวจริง แต่ก็ไม่ผิดแน่”

    ทัตสึยะที่บังเอิญเห็นว่ามีเอกสารอยู่บนโต๊ะ และในเอกสารนั้นมีลายเซ็นของคนที่เขาสนใจเป็นคนลงนาม

    “เป้าหมายอยู่ใกล้พวกเรามาก อย่าปล่อยให้หายไปเด็ดขาด”

    ชายผมแดงในชุดรัดรูปสีขาวที่มีพร็อพอุปกรณ์สีดำ ดวงตาสีมรกตของเขามองเงาที่สะท้อนผ่านน้ำชา

    “นั่นสินะ...”

    “แกรนด์”

     

     

     

    ณ อาคารร้างทางตอนตะวันออกของประเทศอาร์เทมิส

    ลึกลงไปยังใต้อาคารมีบันไดเก่าโทรมที่มีสิ่งของขวางทาง

    ปั—ง!

    “รีบขึ้นมาได้แล้วยัยหัวเขียว! ที่นี่แม่งเหม็นสาบศพมนุษย์ชะมัด”

    “หุบปากไปเลยนะแกมม่า ไม่ใช่ท่านโนวิโอ้ก็อย่าริอาจมาสั่งฉัน!”

    “....”

    สิ่งของที่ขวางทางบันไดไว้ถูกพังทลายออกมาจากด้านใน ปรากฏร่างของชายผมสีขาวไว้ทรงแหลมที่เดินออกจากตรงนั้นด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ถัดมาก็เป็นร่างของผู้หญิงผมสีเขียวมิ้นท์ที่ทำหน้าระรื่น และคนสุดท้ายเป็นชายผมสีม่วง ใบหน้าของชายคนนี้ช่างเรียบนิ่งราวกับไม่มีความรู้สึก

    “หาเรื่องงั้นหรอ!”

    “ก็มาสิ! ฉันจะยิงหัวนายให้เป็นรูเลยแกมม่า!”

    ชายผมขาวที่ชื่อแกมม่าหันไปกัดกับสาวน้อยผมเขียวมิ้นท์ที่ชื่อเบต้า

    ชายผมม่วงเดินดูสถานที่รอบ ๆ เพื่อจดจำรายละเอียด

    “ประเทศนี้ไม่มีคนอยู่เลยงั้นสินะ?” ชายคนนั้นพูดขึ้น

    “เออ ไม่มีหรอก อยู่ไปก็ตายเปล่า ๆ” แกมม่าตอบ

    “มีอะไรตะหงิดใจหรออัลฟ่า?” เบต้าถาม

    “อืม..” คำตอบแสนเรียบง่ายที่เรียกความสนใจของทั้งสองให้มาโฟกัสที่ชายผมม่วง หรือ อัลฟ่า

    ดวงตาสีเทามองพื้นที่บริเวณตรงหน้าเขา พบรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ และไม่น่าใช่สัตว์ป่าธรรมดา ๆ แต่ที่สำคัญกว่านั้น—

    “เลือดยังใหม่อยู่ แถวนี้คงมีเหยื่อถูกกินไปได้ไม่นาน ไม่แน่อาจเป็นสัตว์ป่า , อาบีส หรือ มนุษย์” เพราะคำพูดของอัลฟ่า ทำให้สองร่างที่พึ่งทะเลาะกันพร้อมใจกันมาหาเพื่อนร่วมงานอีกคน

    ภาพตรงหน้าของทั้งสองชวนให้เห็นแล้วก็รู้สึกอยากอ้วกสุด ๆ รอยเท้าขนาดใหญ่ที่คาดว่าน่าจะเป็นยักษ์ หรือ อะไรที่คล้าย ๆ ทำนองนั้น ตรงหลุมรอยเท้ามีซากอาบีสไร้สติปัญญาที่ถูกเหยียบเละจนเลือด ไส้ และกระดูกทะลักออกมาจากร่าง

    แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ซากกระดูกที่มีเนื้อ และเลือดกระจัดกระจายข้าง ๆ หลุมเท้ายักษ์

    “มนุษย์รึเปล่า มีอะไรขาว ๆ เหมือนผ้าตรงนั้นด้วย” เบต้าชี้

    สองหนุ่มมองตาม และคิดว่าอาจจะเป็นอย่างที่เบต้ากล่าวไว้

    “ศพนั่นเป็นศพของมนุษย์นั่นแหละ”

    เสียงของผู้มาใหม่เรียกความสนใจจากทั้งสาม แต่ในสามคนนั้นมีคนนึงที่ดีดกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ

    “ท่านโนวิโอ้~!” ใช่ เบต้านั่นแหละ

    “คงเป็นนักวิจัยที่ศึกษารายละเอียดสภาพแวดล้อมที่นี่ แต่น่าจะพลาดมาเจอพวกอาบีสเลยจบไม่สวย”

    หนุ่มผมขาวที่ปล่อยผมยาวจนถึงกลางหลังพูดขึ้น ขาของเขาก้าวออกมาหาทั้งสามด้วยความคล่องแคล่ว

    “แล้วจะเอาไงต่อ” แกมม่าถาม

    “ตามข้อมูลของซารุ, คิระ เซย์จิโร่เป็นพวกคลั่งศาสนาถึงขั้นสร้างลัทธิขึ้นมาโดยอ้างว่าเป็นสถานที่ในการทำวิจัย”

    “พวกเราต้องเข้าไปใต้ประเทศซีอุสจริง ๆ สินะคะ?” เบต้าเอานิ้วชี้แตะใต้คางของเธอ

    “แล้วยัยร่างก็อปอะไรนั่นของนายล่ะ?”

    “ระวังปาก แกมม่า” เป็นอัลฟ่าที่เตือน

    คนถูกเตือนถึงกับไม่สบอารมณ์

    “อากิระพึ่งเข้าทำงานได้ประมาณสองวัน ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ทันแน่ แค่ฉันเอาขาซ้ายของเทเรเซียไปไว้ในสถานที่ที่คลั่งไคล้เธอ มันก็ไม่ปลอดภัยแล้ว” โนวิโอ้กำหมัดแน่น

    “แล้วทำไมนายถึงเอาขาซ้ายไปไว้ในสถานที่บ้า ๆ แบบนั่นล่ะ โนวิโอ้?”

    ทั้งสี่คนรีบหันด้านหลังไปดูเสียงของผู้มาใหม่ ผู้มาใหม่คนแรกมีผมสีขาวเหมือนแกมม่า และโนวิโอ้ แต่ติดตรงที่เขามีผิวสีแทน และสวมแว่นบนหัว คนถัดมาเป็นชายผมเขียวอ่อนที่ยืนข้าง ๆ

    เฟย์ ซารุ พวกนายมาทำอะไรที่นี่?” โนวิโอ้ถาม

    “ก็พึ่งได้ข้อมูลใหม่มา แต่ตอนนั้นพวกนายสี่คนดันไม่อยู่ฉันเลยต้องให้เฟย์ช่วยพามา” ซารุตอบพร้อมกับชูกระดาษในมือ

    “ข้อมูลไรอีกวะ แค่จะบุกเข้าแล็ปเอย์เซย์มันต้องใช้ข้อมูลเยอะขนาดนั้นเลยรึไง” แกมม่าถึงกับบ่น

    “น่า ๆ อย่างน้อยก็ฟังไว้ดีกว่านะ” เฟย์ยิ้มเจื้อน

    “สำคัญขนาดไหน?” โนวิโอ้ยิงคำถามใส่ซารุทันที เบต้าหันไปมองหนุ่มตาสองสีด้วยความเป็นห่วง

    “สำคัญขนาดที่ว่าเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นความตายของขาซ้าย และร่างต้น”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×