ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    【Inazuma Eleven all series x OC】月の花嫁 Tsuki no Hanayome

    ลำดับตอนที่ #10 : 10 Artemis

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 66


     

    Warning 

    • ตัวละครถูกล่วงละเมิดทางเพศ

    • กล่าวถึงกฎหมายที่ไม่แน่นหนาจนไร้ความยุติธรรมให้แกาตัวละคร

    • บรรยายฉากหลังจากที่ตัวละครผ่านการมีเพศสัมพันธ์

    • ตัวละครอยู่ในสภาวะโรคซึมเศร้า (แต่ได้รับการเยียวยา ถึงจะไม่ตรงตามหลักแพทย์)

    • อ้างอิงตัวละครจากตำนานเทพกรีก และเนื้อหามีีบางส่วนไม่เป็นความจริง

    • ตัวประกอบเสียชีวิต

     

     

     

    เรื่องราวความรักของโอไรอ้อน และอาร์เทมิส

    อย่างที่รู้กันดีว่าเรื่องเล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาจาก...

    ความรักของคนสองคน

    เพศที่ต่างกัน

    และความรักที่ถูกกีดกันด้วยกฎเกณฑ์

     

     

     

    ก่อนเหตุการณ์ที่พื้นที่แบ่งประเทศจะถูกแบ่งแยก และมีชื่อเรียกออกมาเป็นแต่ละประเทศ  เดิมทีพื้นที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่นั้นมีชื่อเดิมว่า มุเมย์[1] มาก่อน

    เมื่อหลายหมื่นปีก่อน มุเมย์มีประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นมนุษย์

    วัฒนธรรม อาหารการกิน ที่พักอาศัย ล้วนเป็นอิสระที่มนุษย์เราสามารถเลือกเองได้

    แต่มันก็ควรมีขอบเขต

    พวกมนุษย์ได้รวบรวมความคิดมากมาย เพื่อมาวิเคราะห์หนทางแห่งชีวิตของเขตพื้นที่มุเมย์

    ใช้เวลาหลายปี ในที่สุดพวกเขาก็ได้ข้อสรุปในสิ่งที่พวกเขากำลังตามหา

    นั่นก็ คือ กฎ

    กฎที่มนุษย์ในเขตพื้นที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

    แต่แล้ววันหนึ่ง ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งร้องขอความช่วยเหลือ

    อะไรคือต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวคนนั้นร้องขอความช่วยเหลือ?

    หญิงสาวนอนร้องห่มร้องไห้ ตามเนื้อตัวของเธอมีคราบสีขาว และบาดแผลตามตัว หว่างขาของเธอมีเลือดสีแดงสดไหลปะปนกับคราบสีขาว

    หญิงสาวผู้น่าสงสารถูกผู้ชายใจร้ายพาตัวมามีเพศสัมพันธ์ในบ้านของเขา

    เนื่องจากกฎของเขตพื้นที่มุเมย์ไม่ได้ครอบคลุมเรื่องเพศสัมพันธ์ของคนสองคน คนในเขตนี้จึงไม่สามารถช่วยหญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อระบายความใคร่ของชายคนนั้นได้

    วันถัดมา เหล่าผู้ทรงปัญญาของเขตนี้ได้ให้ข้อมูลแก่หญิงสาวคนดังกล่าวว่า

    ‘เรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์สองคู่ พวกเราไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกันได้ และบุรุษย่อมเป็นใหญ่กว่าสตรี’

    ‘บางที นี่อาจเป็นพรมลิขิตที่เจ้าทั้งสองเกิดมาคู่กันก็ได้’

    คำพูดที่เรียบง่าย แต่หญิงสาวที่ฟังกลับรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอถูกย่ำยีราวกับแก้วที่แตกร้าว

    ใช่สิ ก็แกมันผู้ชายเหมือนกับมัน

    แกจะไปเข้าใจความรู้สึกของสตรีเยี่ยงข้าได้อย่างไร!

    หญิงสาวบอบช้ำทั้งร่างกาย และจิตใจ ผ่านไปนานวันเข้า เธอไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่กับชายที่เธอไม่รักด้วยทำไม?

    ไม่ได้มีสานสัมพันธ์ที่รักกันแน่นแฟ้น ถูกใช้เยี่ยงทาส ทั้งถูกตบ ถูกตี ร่างกายนี้ถูกใช้ระบายที่สำเร็จความใคร่ และถูกใช้เป็นสิ่งที่ระบายอารมณ์ด้านต่าง ๆ ของชายคนนั้น

    ทรมานเหลือเกิน

    เจ็บปวดเหลือเกิน

    ทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับชีวิตดวงน้อย ๆ เช่นนี้?

    หนทางเดียวที่สามารถหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นได้คงมีทางเดียว

    นั่นก็คือความตาย

    หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นได้คิดวิธีฆ่าตัวตายด้วยวิธีการพาร่างของเธอไปถ่วงน้ำ

    เมื่ออุปกรณ์พร้อม หญิงสาวจึงทำการใช้เชือกผูกเป็นเงื่อนไว้กับสะพานแล้วมาจบที่ร่างของเธอ เธอพาตัวเองไปที่แม่น้ำแล้วปล่อยตัวลงไป

    หญิงสาวร้องไห้ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงร้องไห้

    และร่างกายของเธอก็ดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของคลื่นน้ำที่ไหลไปตามทาง

    แต่เหมือนจะมีคนบังเอิญไปพบเข้า

    ใช้เวลาไม่นาน ร่างของหญิงสาวก็ถูกช่วยเอาไว้

    เธอไอคอกแคก พยายามอ้าปากไปต่อว่าคนที่บังอาจยื่นมือมาช่วยเธอ แต่แล้วเธอก็ต้องชะงัก

    อีกฝ่ายที่ช่วยหญิงสาวกลับเป็นแค่เด็กน้อยที่อายุน่าจะประมาณสิบขวบ

    แต่กระแสน้ำที่แม่น้ำที่นี่แรงพอที่จะสามารถพัดพาเด็กตัวเล็ก ๆ ไหลไปไกลได้

    แสดงว่าเด็กคนนี้ต้องชำนาญการอยู่ในป่าเขามานานพอสมควร

    ด้วยความใจอ่อนต่อเด็ก หญิงสาวจึงชวนเด็กน้อยตรงหน้าคุย

    เด็กน้อยตรงหน้ามีนามว่า อาร์เทมิส

    เธอเป็นเด็กสาวที่อาศัยอยู่กับแม่ที่ล้มป่วยในป่านอกเขตพื้นที่มุเมย์ พ่อพ่อเสียชีวิตจากการถูกสัตว์ป่าทำร้าย

    หญิงสาวพยายามเกลี้ยกล่อมให้อาร์เทมิสกลับบ้าน แต่เด็กน้อยปฎิเสธ และยังสวยกลับมาว่า

    ‘ถ้าข้ากลับบ้าน แล้วผู้ใดจะหาอาหารมาให้ท่านแม่?’

    คนฟังนั้นช่างเจ็บปวดใจ เพราะอาร์เทมิสยังเด็ก เธอพยายามช่วยแม่ที่ล้มป่วยจากพิษไข้

    ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง เด็กน้อยช่างพูดชวนหญิงสาวคุย

    ทำไมถึงฆ่าตัวตาย?

    มันไม่ดีนะ

    มนุษย์มีชีวิตเดียว และเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตของเราได้

    ท่านเองก็พยายามต่อไปนะ!

    ช่างเป็นคำพูดที่แสนอ่อนโยน และไร้เดียงสา

    แม้จะเป็นคำพูดที่เรียบง่ายตามประสาเด็ก แต่กลับทำให้หญิงสาวน้ำตาไหลลงข้างแก้ม

    เธอร้องไห้ให้กับความอ่อนต่อโลกของอาร์เทมิส

    คำพูดปลอบใจที่เธอไม่ได้รับมาก่อนในช่วงเวลาที่เธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย

    อาร์เทมิสจูงมือหญิงสาวเข้าป่า เด็กน้อยพาเธอไปตามทาง

    หญิงสาวที่น้ำตายังคลอไหลมองเห็นแสงสว่างตรงหน้า

    แสงสว่างที่อยู่ใจกลางป่า คือ ทุ่งดอกไม้ที่ติดลำธาร

    อาร์เทมิสวิ่งไปที่ทุ่งดอกไม้แล้วหันมาโบกมือน้อย ๆ ให้หญิงสาวตามมา

    หญิงสาวตามเด็กน้อยไปที่ใจกลางทุ่งดอกไม้ เธอมองการกระทำของอาร์เทมิสที่กำลังเด็ดดอกไม้ออกมาแล้วร้อยเรียงเป็นวงกลม

    ‘มงกุฎดอกไม้ ข้าให้ท่าน!’

    เด็กน้อยยิ้มแฉ่งพร้อมยื่นมงกุฎดอกไม้ให้หญิงสาว

    เธอรับไว้แล้วนำมาสวมใส่บนหัว แต่เธอก็ต้องถูกเด็กน้อยจูงมือพาไปไหนสักที่แถวนี้ ๆ

    อาร์เทมิสชี้ไปที่ลำธาร และยังบอกให้เธอลองก้มหน้าไปดูที่ลำธาร

    หญิงสาวก้มหน้าไปดูก็พบเพียงแค่แม่น้ำที่ไหลไปตามทาง และ—

    ใบหน้าของหญิงสาว..

    หญิงสาวอึ้งกับภาพตรงหน้า เธอไม่คิดว่าตัวเธอนั้นจะงดงามขนาดนี้ เมื่อมีมงกุฎดอกไม้ใส่บนหัว

    ‘สวยใช่หรือไม่? ฮิฮิ’

    เด็กน้อยขบขัน

    ‘อืม.. สวยงามเหลือเกิน’

    เธอยิ้มเศร้า

    สัมผัสอบอุ่นที่ถูกแบ่งปันไปทั่วร่างของหญิงสาวจนเธอต้องหันไปมอง

    อาร์เทมิสกำลังกอดเธอ ด้วยความอบอุ่น..

    หญิงสาวน้ำตาไหลอีกครั้ง คราวนี้เธอตอบรับอ้อมกอดที่เธอโหยหามานาน

    ดีเหลือเกินที่ยังรอด..

    ดีเหลือเกินที่พระเจ้ายังเห็นใจของข้า..

    ดีเหลือเกินที่โชคชะตาส่งเด็กมาให้พวกเราพบกัน

    หญิงสาวก็ผละอ้อมกอดนั้นออก เธอกำลังจะอ้าปากพูดขอบคุณเด็กน้อย แต่เธอก็ต้องชะงักกับภาพตรงหน้า

    ภาพของเด็กน้อยที่หันหน้ามาทางเธอ เส้นไหมสีขาวสว่างไหลไปตามแรงลม ดวงตาสีน้ำทะเลที่ฉายแววสะท้อนตัวตนของเธอ ปากเล็กฉีกยิ้มกว้าง

    เด็กคนนี้ช่างกล้าแกร่ง และงดงาม..

    ‘ทีนี้ ท่านบอกข้าได้หรือไม่ ว่าท่านชื่ออะไร’

    ‘อาเธน่า.. นามของข้าคืออาเธน่า’

    เด็กน้อยทำหน้าดีใจ

    อาเธน่ามองเด็กน้อยที่ทำท่าทางดีอกดีใจที่เธอยอมบอกชื่อให้เด็กคนนี้รู้

    ‘ไปล่าสัตว์กัน! แล้วก็กลับบ้านไปหาท่านแม่ของข้า’

    อาร์เทมิสยื่นมือไปทางอาเธน่า หญิงสาวยกยิ้มแล้วเอื้อมมือไปจับมือนั้นอย่างไม่ลังเล

    ‘เอาสิ’

    ความตายมิอาจใช่หนทางเดียวที่สามารถทำให้ชีวิตของข้ารอดพ้นจากความทรมานนั้นได้

    เป็นอย่างที่อาร์เทมิสกล่าวไว้

    ข้าสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตของข้าด้วยตัวเองข้า มิจำเป็นต้องให้ผู้ใดมายุ่มย่ามชีวิตของข้า

    สองร่างของสองสตรีจับมือกันอย่างแน่นแฟ้นแล้วก้าวขาเดินไปที่ป่า

    สายลมที่อ่อนช้อยพัดเส้นผมสีขาวของอาร์เทมิส และเส้นผมสีเขียวมิ้นท์ของอาเธน่าปลิวไสวไปตามแรง

     

     

     

    ผ่านไปสิบปี จากเด็กน้อยสู่สาวงามที่กล้าแกร่ง และทรงสง่า

    ไม่กี่ปีก่อนหน้า แม่ของอาร์เทมิสที่ล้มป่วยก็ต้องเสียชีวิต เพราะร่างกายแบกรับไม่ไหว

    แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ใช่ว่าอาร์เทมิสจะหยุดอยู่แค่นั้น

    อาร์เทมิส และอาเธน่าให้คำมั่นสัญญาพี่น้องว่าจะทิ้งอดีตเหล่านั้นแล้วก้าวมันออกมา เพื่อทำตามเส้นทางชีวิตที่ทั้งสองกำหนดไว้

    บ้านไม้หลังโทรมที่เป็นที่อยู่อาศัยหลักของอาร์เทมิส และที่พักพิงทางกาย และทางใจของอาเธน่าถูกเผาทิ้งพร้อมกับศพของแม่ที่ล้มป่วย

    ทั้งคู่จับมือกันแล้วออกเดินทาง แม้จะมีน้ำตาที่ไหลออกมา แต่มันก็ต้องหยุดลง เพราะนี่ไม่ใช่จุดจบที่ทั้งสองเลือกไว้

    อาร์เทมิส และอาเธน่าตัดสินใจขัดเกลาฝีมือของตัวเองให้แกร่งกล้าขึ้น เพื่อปกป้องหญิงสาวที่ตกอยู่ในอำนาจอย่างไม่เป็นธรรม โดยพวกเธอตั้งชื่อกลุ่มว่า

    วีรสตรีแห่งนครไร้นาม

    ผู้ก่อตั้งกลุ่มนี้ คือ วีรสตรีทั้งสามคน ได้แก่ อาร์เทมิส , อาเธน่า และเฮสเทีย โดยทั้งสามได้ตั้งกฎของกลุ่มนี้ถูกตั้งไว้เพียงแค่สี่ข้อ

    1. ไม่ครองรักมีแค่สตรีเท่านั้นที่เข้าร่วมได้

    2. ไม่มีเพศสัมพันธ์กับบุรุษ (หากมีมาก่อน แต่อยากเข้าร่วม จะพิจารณาอีกที)

    3. หมั่นเพียรขัดเกลาฝีมือของตัวเอง เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง และครอบครัวอันเป็นที่รัก

    4. ไม่ครองรัก

    และนี่คือเรื่องราวหลังจากผ่านไปสิบปีของอาร์เทมิส

    ก่อนที่จะมาพบกับชายแปลกหน้าที่ได้ครองหัวใจรักแรกของเธอ

    โอไรอ้อน...

     

     

     

     

    [1] ไร้นาม (Nameless) ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่านานาชิ หรือ มุเมย์ (無名)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×