บรรพกาลรัก - นิยาย บรรพกาลรัก : Dek-D.com - Writer
×

    บรรพกาลรัก

    พลังลี้ลับบางอย่าง นำพาหญิงสาวข้ามมิติ เพื่อได้พบพานกับเขา ชายหนุ่มในอดีตกาล ผู้มั่นคงในความรัก และเฝ้ารอเธอเพียงคนเดียว

    ผู้เข้าชมรวม

    317

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    317

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    จำนวนตอน :  4 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  12 ต.ค. 64 / 13:50 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

               ตอนที่1        สู่เส้นทางการหวนคืน 

    ประเทศไทย  จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปีพ.ศ.2562

    ”โอ้ย” หญิงสาวร่างสูงโปร่ง เสียหลักล้มลง สวนยางรกร้างมีเพียงเธอและเพื่อนชายอีกคนในบริเวณนี้

    หันไปมองรากไม้ตัวต้นเหตุ พลางนึกเจ็บใจในความไม่ระวังของตนเอง

    “แกเป็นไงบ้าง?”  ชายหนุ่มร่างสูงกำยำพยุงเธอลุกขึ้นยืน แม้จะนึกห่วงก็อดอมยิ้มไม่ได้ ถ้าขึ้นชื่อว่าสวยแต่ซุ่มซ่าม ก็คงไม่มีใครเกินนิภา 

    ใบหน้ารูปไข่หันไปทันเห็นรอยยิ้มขำขันจากเขาพอดี  เธอแกล้งทำมองไม่เห็น ได้แต่กัดริมฝีปากไว้นิดๆ

    ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะเอาคืน ทีใครทีมันแล้วกันนะนาคินทร์ ไอ้เพื่อนบ้ามายิ้มเยาะกันอยู่ได้ 

    “ไม่ ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่” เธอปัดเศษดินออกจากกางเกงตัวโปรด เพิ่งถอยมาใหม่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วใครจะรู้ว่าต้องมาเปื้อนแบบนี้ 

    “ใครใช้ให้ใส่เสื้อผ้ายี้ห้อแพงๆมาเดินป่าล่ะ” ชายหนุ่มเหมือนเดาออกว่าเธอคิดอะไร เสื้อแขนยาวสีดำรัดรูปกับกางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อน ทำให้ร่างเพื่อนสาวดูอรชร ราวนางรำในวรรณคดีไทย ใช่ดูอรชรอ้อนแอ้น แทนที่จะทะมัดทะแมง 

    แกหุบปากไปเลย ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอกนะหนึ่ง เธอเบ้ปากใส่เขาเชิงงอนนิดๆ กลางป่ากลางเขา เธอจะเก็บอาการไว้ก่อน เพราะอยากทำตัวเป็นผู้ติดตามที่ดี 

    ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย จนเข้ามหาวิทยาลัยก็ตามๆกันมาเรียน ถึงแม้นาคินทร์จะอยู่คณะโบราณคดี และเธออยู่คณะมนุษย์ศาตร์ ทั้งคู่ก็มีกิจกรรมพบปะเพื่อทำร่วมกันเสมอ จนเพื่อนๆบางคนแซวว่าคู่จิ้น แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยสนใจ เพราะรู้ดีว่าความสนิทสนมที่ให้ต่อกันนั้น คือเพื่อนจริงๆ

    “เราต้องเดินอีกนานแค่ไหน นี่เข้ามาไกลมากแล้วนะหนึ่ง “

    ห่างออกมาจากแหล่งชุมชนเล็กๅประมาณสี่กิโลเมตร บริเวณนี้รายรอบด้วยสวนยางอายุมากที่หน้ายางแทบไม่เหลือพื้นที่ให้กรีดเพิ่มได้อีก  ต้นไม้รกขึ้นเป็นหย่อมๆ ใบยางร่วงหล่นพริ้วตามลม แดดร้อนทะลุยอดยางลงมาถึงด้านล่าง ชุดที่ใส่เริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ไรผม และ ปลายจมูกมีหยดน้ำแวววาวยามต้องแสงอย่างเห็นได้ชัด

    “มาทางนี้” หลังจากสำรวจอยู่พักหนึ่ง  เขาดึงข้อมือเธอให้มุดซุ้มต้นไม้รกๆเพื่อเข้าไปฝั่งด้านใน

    “นี่มันรกมากนะ เราจะต้องเข้าไปทางนี้จริงๆใช่มั้ย” หญิงสาวทำท่าทางลังเล

    “มาเถอะน่า” เขาแตะบ่าเบาๆเป็นสัญญาณให้ย่อตัวลง ค่อยๆก้มฝ่าเถาวัลย์และกิ่งไม้เล็กใหญ่ ที่เหมือนมีใครสักคนมากองสุมปิดกั้นทางผ่านไว้ ก้อนหินระเกะระกะขวางเดิน ขณะที่ด้านบนก็ต้องก้มหัวลงเยอะๆเพื่อไม่ให้ศรีษะโดนเข้ากับกิ่งไม้ที่ยื่นยาวลงมา 

    ทันทีที่ผ่านซุ้มไม้รกร้าง ราวกับว่าคนทั้งคู่ผ่านเข้าสู่อีกโลกหนึ่งที่แตกต่างกับเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง เสียงแมลงปีกแข็งร้องดังระงม โขดหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน ต้นไม้สูงใหญ่แข่งกันหยัดลำต้นทะมึน 

    เขาเหลียวมองรอบกาย ไอชื้นจากดินทำให้ป่าแถวนี้เย็นยะเยือก ร่มไม้สูงใหญ่ ปิดบังตะวันจนแสงแทบจะลอดผ่านลงมาไม่ได้ เถาวัลย์ขนาดข้อแขน ห้อยระโยงระยาง อยู่ตามข้างทาง สองคนยืนอยู่บนทางเดินเล็กๆขนาดกว้างหนึ่งศอก รกไปด้วยต้นหญ้าทั้งเล็กใหญ่และก้อนหินหลากหลายขนาด

    “แกอยากพักก่อนมั้ยตรงนั้นมีหินก้อนใหญ่ให้นั่งสบายๆ”

    “ไม่ดีกว่า เราเดินต่อไปเถอะ ถ้ำที่แกว่าน่ะ ยังอีกไกลมั้ย” เธอถามพลางดึงขวดน้ำจากข้างเป้ขึ้นมาดื่ม ได้กลิ่นดอกไม้ป่าโชยมาพอชื่นใจ คล้ายกลิ่นดอกกระดังงาหรืออาจเป็นกระดังงาป่า

    “ไม่ไกลหรอก  ถ้าจากบันทึกของปู่ที่เราอ่านเจอ มันไม่น่าจะไกลจากนี้มาก ปู่เขียนไว้ว่า ปู่เดินเข้ามาจากถนนใหญ่ เพียงประมาณไม่ถึงชั่วโมง”

    “แกรู้ได้ไงว่าเข้าทางไหน  เราต้องมุดทางไหน”

     “ปู่บอกว่าเดินมาถึงสวนยางให้มองหา กอกล้วยไม้ป่าสีชมพูบนต้นยางแถวสุดท้ายของสวน”

    “กล้วยไม้ป่ามันก็ขึ้นตามต้นยางออกเยอะแยะไป จะรู้ได้ไงต้นไหนยังไง”เธอแย้ง

    “แต่ต้นเมื่อกี้ เหนือกอกล้วยไม้ดอกสีชมพูเล็กๆ มีรอยสัญลักษณ์กากบาท ใกล้ๆกันมีต้นยางอีกสามต้น ต่างมีกากบาทหันหน้าเข้าสู่ทางเดินจากคนละทิศ และด้านล่างเมื่อหันหน้าเข้าป่าใหญ่ สังเกตดีๆจะเห็นแผ่นหินสี่เหลี่ยมอยู่ฝังอยู่ มีลูกศรชี้ให้เดินมาทางนี้ ตรงกับที่่บันทึกไว้”

    ฟังเขาอธิบายจบ เธอชะงักไปนิดนึง เอียงหน้าบอก

    .”มันยังกับหนังผจญภัยเลยนะ แหม ถ้ามันจริงดังว่า แกคงชี้ให้ฉันดูแล้วม้างหนึ่ง อย่ามาอำเลย”

    เขามองหน้าเธอยิ้มๆแล้วเลือกจะไม่ตอบ

     “รถยนต์ไม่หายแน่นะ” เธออดห่วงไม่ได้ มันถูกจอดทิ้งอยู่ริมถนนใหญ่ เพราะไม่มีทางสำหรับรถยนต์ให้วิ่งเข้ามา เขาลูกโดด ที่พวกเธอกำลังจะเดินขึ้นไป ต้องใช้วิธีเดินเท้า ที่น่าแปลกคือ สองคนพยายามหาจุดของเขาลูกโดดลูกนี้โดยการหาพิกัดผ่านดาวเทียม  แต่กลับไม่เจอ ทั้งคู่จึงตัดสินใจขับรถมาถึงจุดหลักจากเสากิโลเมตรที่ปู่เขียนบันทึกไว้ เดินเท้าผ่านสวนยาง จนเข้ามาในป่าลึกนี่ 

    “เขาลูกโดดคืออะไร” เธอถามเมื่อเขาเอ่ยปากชวนมาขุดค้น 

    “ภูเขาที่จู่ๆก็เกิดขึ้นมาเพียงลูกเดียว ขณะที่รอบด้านเป็นเพียงพื้นที่ราบเรียบ เหมือน ขนมตาลโบราณที่วางบนจานแบนๆ แบบนี้แกจะเข้าใจง่ายขึ้นมั้ย “

    “เพราะแกสนิทกับปู่รึเปล่า แกถึงเลือกเรียนโบราณคดี” เธอถามมาจากด้านหลังบ่ากำยำของเขา ถึงตอนนี้ไม่มีเส้นทางคนเดินอีกแล้ว ข้ามโขดหินก้อนโตมา ก็กลายเป็นป่ารกสมบูรณ์แบบ

    ดินดูฉ่ำชื้นขึ้นกว่าเมื่อครู่ รองเท้าผ้าใบคู่โปรดเปื้อนดินจนแทบ ไม่มีความสวยงาม ดีหน่อยก็ตรงที่ผ้านุ่มเดินสะดวกไม่ค่อยปวดเท้า ใครบางคนบอกว่า สิ่งที่เราควรดูแลให้ดีที่สุด คือเท้าของเรา เพราะใช้งานหนักมากที่สุด เธอจึงไม่เคยลังเลที่จะซื้อหารองเท้าดีๆมาสวมใส่ เท่าที่พอมีกำลังจะจ่ายไหว รอบด้านตอนนี้นั้น ดูเหมือน นกและแมลงต่างเงียบเสียงหายไปแล้ว สัตว์เล็กๆตามกอหญ้าก็เงียบกริบ ได้ยินแต่เพียงลมหายใจหนักๆเป็นจังหวะ ของคนทั้งคู่ 

    “อาจเพราะเราได้ฟังเรื่องเล่า จากปู่มาตั้งแต่เด็กๆ เลยซึมซับความชอบแบบนี้ไว้ก็ได้นะ” เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านใบกล้วยป่าสูงท่วมหัว เหมือนได้กลิ่นหอมของดอกไม้อะไรสักอย่าง แต่มองหาไม่เจอ พลันสายตาก็สะดุดกับเนินเขาสูง ที่เด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ภูเขาลูกเดียวที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ ถูกปกคลุมไปด้วยไม้สูงใหญ่  ไอหมอกจางๆลอยอยู่รอบๆตัว  ปู่เคยเล่าว่าเขาลูกโดดลูกนี้ มีเครื่องปั้นโบราณกระจัดกระจายอยู่มาก แต่ตอนนั้นปู่ไม่ได้เอาอะไรกลับออกไป  ปู่บอกแค่ว่า ไม่ใช่เจ้าของก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้  จนปู่เสียชีวิตลง นาคินทร์ก็ได้สมุดบันทึก ของปู่มาไว้ในครอบครอง คงเป็นเพราะไม่มีลูกหลานคนไหน ใกล้ชิดปู่เท่ากับเขา เลยไม่มีใครคิดแย่งสมุดเล่มเก่าๆ ไปจากเขา จนเมื่อเขาเริ่มเรียนโบราณคดี ความอยากรู้อยากเห็นจึงเพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องบุกป่าฝ่าดงมาถึงนี่ 

    “หนึ่ง เราลืมเอาไฟฉายมา” 

    ชายหนุ่มหันกลับไปมองหญิงสาว ผมที่ถูกมัดสูงเป็นหางม้าสะบัดไปมาเบาขณะเธอควานหาของในกระเป๋าเป้ 

    “ไม่เป็นไรหรอก วันนี้เราน่าจะสำรวจไม่ลึกมาก ถ้าเจอปากถ้ำคงเดินไปไม่ไกลแล้วกลับออกมาก่อน 

    แค่มาให้รู้แน่ ว่าอยู่ตรงไหนน่ะ ไม่ทันมืดหรอกนิภา”

     เธอสะพายเป้กลับเหมือนเดิม พยักหน้ารับรู้ เป็นสัญญาณ ให้เขาเดินนำไปต่อ 

              ถัดมาด้านหลังของทั้งคู่เพียงไม่กี่ก้าว ท่ามกลางม่านหมอกที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันปรากฎ ร่างระหงของสตรีนางหนึ่งที่ค่อยๆมองเห็นได้ชัดขึ้นทีละนิด ใบหน้ารูปไข่นั้น มีผิวเนียนนวลราวไข่มุก หน้าผากโหนกนูนรับกับคิ้วสีน้ำตาลเข้มเรียวได้รูปสวย ดวงตาสีน้ำผึ้งฉายแววอ่อนโยน ดูช่างเข้ากันขนตายาวงอนย่างละมุนละไม จมูกโด่งเชิดรั้นขึ้นนิดๆ แก้มสองข้างมีเลือดฝาดสีชมพูอ่อน ริมฝีปากเรียวบางเป็นกระจับ  ผมยาวดำขลับได้รับการกล้าขึ้นไปเป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ประดับด้วยรัดเกล้าสีทองอร่ามสลับกับพลอยทับทิมเม็ดเล็กใหญ่ดูระยิบระยับ เข้าชุดกับต่างหูทรงกลมรูปดอกไม้สีแดงเพลิง และสร้อยคอแผ่นทับทรวงรูปทรงขนมเปียกปูน ผ้าคาดอกสีทองถูกทาบด้วยผ้าสะพายเฉียงเบาบางปักลวดลายวิจิตรบรรจง เผยให้เห็นผิวขาวนวลช่วงลำคอ และเนินอกอันเต่งตูม    ส่วนลำแขนอันงดงามนั้นเล่า ก็ถูกขับความเปล่งปลั่งด้วยทั้งกำไลต้นแขน และกำไลข้อมือ ไล่มาถึงช่วงเอว ที่ไร้สิ่งใดปกปิดนั้น ช่างดูอรชรอ้อนเเอ้น รับกับสะโพกกลมกลึง ซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผืนเดียวพับซ้อนเป็นแถบไว้ด้านหน้า จบลงด้วยการปล่อยชายทิ้งลงมาตรงสะเอว คาดทับด้วยเข็มขัดทอง ทั้งร่างกายเธอสวยงามผุดผ่อง แต่ใบหน้าแสนเศร้าสร้อย ยืนมองชายหญิงทั้งสองเดินลับหายไปด้วยแววตาวิตกกังวลยิ่งนัก

    “เสด็จพี่ เสด็จพี่กลับมาแล้วหรือเพคะ” เปล่งคำพูดออกมาเพียงเท่านั้น ร่างแสนงดงามก็ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับกลิ่นหอมรัญจวนแห่งมวลดอกไม้

                 เสียงลมพัดซู่ปะทะกิ่งไม้ใบไม้ เป็นระยะ เดินมาไม่นาน นาคินทร์ก็มองเห็นเพิงถ้ำ ฝนไล่หลังมาพร้อมลมหอบใหญ่ เสียงใบไม้กรูกราว ต้นไม้ใบไม้ดูรกครึ้ม ความมืดปกคลุมบริเวณนั้นเพียงชั่วพริบตา 

    นิภา มาทางนี้ เขาจูงมือเพื่อนสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งให้ไปหลบใต้เพิงหินหน้าปากถ้ำ 

    “ทำไมเราไม่หลบในถ้ำล่ะหนึ่ง “ 

    เขาหันไปมองตรงถ้ำ ที่อยู่ทางขวามือ 

    “ไม่ได้  หลบตรงนี้ก็ไม่เปียกหรอก เพิงหินกว้างแบบนี้ กันลมกันฝนได้ เราวางแผนผิดไฟฉายอันเล็กๆไม่น่าสว่างพอ ไม่คิดว่าถ้ำนี้จะมืดขนาดนี้ แถมฝนตก ฟ้าปิด มองไรแทบไม่เห็น ข้างในมีตัวอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้ ตอนนี้กี่โมงแล้วแกดูให้ที”

    หญิงสาวค่อยๆควานหาโทรศัพย์มือถือจากในย่าม

    “ตายละ เเบตหมดได้ไงเนี่ย ทำไมเครื่องดับไปเลย นี่เราชาร์จมาเต็มเลยนะ” 

    เสียงสวบสาบเหมือนคนเดินดังขึ้นจากที่ไกลๆ

    เงียบก่อน เขากระซิบพลางจับข้อมือเธอไว้แน่น

    หยุดนิ่งแทบไม่กล้าหายใจ มือเพื่อนชายเปียกชื้น เธอไม่แน่ใจว่านั่นรวมถึงเหงื่อของเขาด้วยหรือแค่เปียกฝนจากเมื่อครู่ก่อนหน้านี้  ทั้งคู่ไม่ขยับตัวอยู่ครู่ใหญ่ ตอนนี้ไม่ได้ยินอะไรแล้วนอกจากเสียงฝนที่ตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง อาจหูฝาดไป เพราะไม่ชินกับเสียงในป่านัก

     นาคินทร์เปิดไฟฉาย ดึงเอาอุปกรณ์บางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋า รูปทรงคล้ายที่ฉาบปูนแต่ดูดีกว่านั้นเพราะมีลวดลายสลักสวยงาม

    “อะไรน่ะ”นิภายื่นหน้ามาใกล้

    “อ่อ อุปกรณ์ในครัวของฝรั่ง อาจเป็นที่เค้าใช้ทำขนมก็ได้นะ ปู่ให้เราไว้ตอนเด็กๆเวลาไปหาวัตถุโบราณกับปู่ๆจะใช้อันใหญ่หน่อย ส่วนอันนี้ของเรา ปลายมันเเหลมๆเหมือนเกรียง ปู่บอกว่าเวลาปู่ขุดหาของโบราณ เหมือนดวงจะสมพงศ์กับอันนี้  ตั้งใจไม่ตั้งใจก็จะได้อะไรขึ้นมาเสมอ..” 

    “ให้เราทำไม” นิภาถามอย่างสงสัยแต่เธอก็ยื่นมือรับไว้

    “อาสามาช่วยหาหลักฐานยุคโบราณไม่ใช่เหรอ  อันนี้น่ะของเราเอง เราให้แก มันอันเล็กกว่าแกน่าจะจับถนัดมือ ขุดสิเผื่อเจอจะนั่งเฉยๆทำไมกัน”  เขาแบ่งไฟฉายให้เธออันนึง 

    “จำไว้ มาในป่า ต้องมีแผนสำรอง ปู่สอนว่าต้องพกไฟฉายมาเกินจำนวนคนเสมอ “

    “แก ตอนนี้กี่โมงแล้ว ทำไมมืดจัง เราเดินมาตอนสิบเอ็ดโมง ตอนนี้ไม่น่าเกินเที่ยงนะ แต่ในป่านี้ยังกะหกโมงทุ่มนึง”

    “เดี๋ยว ขอดูเวลาก่อน" เขาล้วงมือถือออกมา 

    “อ้าว เเบตหมดได้ไงนี่  แต่เครื่องเรามันไม่ค่อยดีอยู่แล้วแหละ สงสัยเเบตเสื่อม” วูบหนึ่งเขารู้สึกเหมือนมีสายตาบางคู่จ้องมาจากในถ้ำ

    “มองอะไรอ่ะแก แกอย่าทำฉันกลัวสิ ฝนบ้านี่ก็ไม่หยุดตกเสียที อยากกลับบ้านแล้ว”นิภาสะกิดเพื่อนเบาๆ

    .อยู่ในป่าในดงเขาห้ามพูดจาอย่างงี้นะ ห้ามว่าดินฟ้าอากาศ ปู่เคยสอน มาเถอะ หาตรงแถวๆเรานั่งนี่แหล".

    ”ค่อยๆเขี่ยดินออกทีละนิด ระวังๆ เบาๆมือ เผื่อเจอเครื่องปั้นดินเผาโบราณ จะได้ไม่แตกหักเสียหาย.”เขาบอกเธอขณะเดินไปมาเพื่อหาหย่อมทำเลที่จะขุดว่าจะเป็นในถ้ำหรือตรงเพิงถ้ำด้านหน้าดี  เสียงฝนหนักขึ้น ผสมกับเสียงเสียดสีของใบไม้ ชวนให้ป่าทั้งป่าดูวังเวงไปทั่ว คนสองคนไม่ได้เข้าไปในถ้ำ เพราะแสงไฟสว่างไม่มากพอจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนมาก นาคินทร์จึงเลือกเอาบริเวณเพิงหน้าปากถ้ำเป็นที่ทดลองขุดหาดูก่อน  ดินบริเวณนี้ไม่เปียกฝนเช่นด้านนอก เพิงผาหินนี้กันลม กันฝน ได้ดีทีเดียว สนั่นหมายความว่า หากมหลักฐานโบราณหลงเหลืออยู่ในบริเวณนี้ มันจะถูกเก็บรักษาไว้ใต้ดินได้อย่างดีระดับหนึ่ง เนื่องจากไม่โดนฝนหรือความชื้นของหน้าดินทำลาย เสื้อผ้าที่เปียกชื้นอยู่เริ่มแห้ง ฝนด้านนอกยังตกหนัก คนทั้งคู่ทรุดตัวลงนั่ง แล้วค่อยๆใช้เกรียงเกลี่ยหน้าดินออกช้าๆ

    ผ่านไปเพียงครึ่งชัวโมง นาคินทร์เริ่มมีความหวังอย่างเห็นได้ชัด เขาพบว่าบริเวณนี้เต็มไปด้วยเครื่องปั้นดินเผาแบบโบราณ

    “.แกดูนี่สิ อันนี้คือขอบภาชนะหม้อดินเผา เสียดายว่าสองสามชิ้นที่เจอนี่ มันแตกหักเสียทุกชิ้น ไม่งั้นคงได้หลักฐานชั้นยอดเลย”

    เอาหลักฐานชั้นยอดจากฉันไหมล่ะ นิภาพูดล้อๆ

    “อะไร” เขาถามไม่เงยหน้า คงขุดคุ้ยดินอย่างต่อเนื่อง

    “นี่ไง อะไรดำๆก็ไม่รู้ เจอมาสามสี่ก้อน แถวๆนี้” เธอยื่นก้อนดำๆเล็กๆขนาดประมาณไข่นกกระทา มาตรงหน้าเขา

     “นี่ไง” ชายหนุ่มอุทานลั่น ตบหัวเข่าเสียงดัง

    “เธอเป็นผู้ช่วยที่ดีมากนิภา  สิ่งที่เธอเจอมันคือถ่าน”

    “ก็ใช่ไง ถ่าน” ถ่านแล้วไง  นั่นไงล่ะ อีกแล้วใช่มั้ยเธอน่าจะเจอคำเยาะเย้ยอีกแล้วแน่ๆ

    “ฟังนะ ถ้าที่ไหนเราเจอพวกของใช้เครื่องปั้นดินเผา แล้วเจอถ่านด้วย แสดงว่า สถานที่นั้นบ่งบอกว่าเคยมีการอยู่อาศัยมาก่อนอย่างแน่นอน เราเรียกว่าร่องรอยวัฒนธรรมของมนุษย์ในอดีต มันเป็นการยืนยันกิจกรรมการดำรงค์ชีวิตของพวกเขา” 

    “อ้อเหรอ” หญิงสาวยิ้มหวาน “ฉันก็มีประโยชน์น่ะนะ”

    “ว้าว ๆๆๆ ชิ้นนี้น่าสนใจ” ชายหนุ่มร้องออกมาอย่างดีใจ เพียงใช้ปลายของเกรียงเขี่ยไปที่ดินปนทรายแห้งๆสองสามครั้ง เขาก็เจอกับอะไรบางสิ่ง ลักษณะ เป็นขณะเดียวกับที่รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะโดนฝนจนเสื้อผ้าเปียกและลมแรงก็ได้เขาบอกตนเอง ค่อยๆเช็ดเศษดินที่เปื้อนติดอยู่ออก

    นิภามองตามเสียงร้องอย่างดีใจของอีกฝ่าย หญิงสาวเอื้อมมือหยิบของสิ่งนั้นจากมือเพื่อนชาย ก้อนกลมๆเล็กๆขนาดประมาณเม็ดมะยม เริ่มเปล่งประกายแสงสีเขียวเรืองเจิดจ้าขึ้นมาทีละน้อย ความสวยงามของลำแสงดึงดูดคนทั้งสองจนตะลึงงัน นิภารู้สึกถึงพลังงานบางอย่างไหลวาบเข้าไปทั่วร่างกาย ขณะที่ดวงจิตสัมผัสความโศกเศร้าแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน ส่วนนาคินทร์นั้นคล้ายว่าโดนกระชากความรู้สึกจากกายไปกว่าครึ่ง มือเท้าชาแทบไร้ความรู้สึก แสงสีเขียวจ้าสว่างโพลงอยู่กลางนัยน์ตาของเขา  ฉับพลันเมฆก้อนใหญ่สีดำทมึน ลอยมาปิดท้องฟ้าจนไม่เหลือแสงสว่าง แต่สิ่งที่อยู่กลางฝ่ามือกลับยิ่งขับแสงสีฟ้าอมเขียวสว่างไสวทั่วบริเวณ น่าอัศจรรย์ใจแก่คนทั้งสองยิ่งนัก   

    นี่มันอะไรกัน นิภาพึมพำ เอามือจับสายสร้อยคอที่ห้อยพระหลวงปู่ทวดรุ่นพศ_2497ไว้แน่น ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่าสิ่งไม่พึงปรารถนากำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เธอรู้สึกใจไม่ดีเลย

    “ได้กลิ่นอะไรมั้ย” นาคินทร์ถามเธอกลับ สูดกลิ่นหอมประหลาดเข้าไปเต็มปอด  เขารู้สึกว่าโลกกำลังหมุน และเหมือนคล้ายจะหายใจติดขัด

    เพียงไม่กี่วินาที คนทั้งคู่ก็ล้มนอนสลบลง ความมืดมิดค่อยๆขยับกลืนกินป่าทั้งผืนจนแทบมองอะไรไม่เห็น นอกจากลำแสงสีขาวทอง ที่พุ่งออกมาจากองค์หลวงปู่ทวดบนสายสร้อยคอของนิภา และประกาย สีเขียวเจิดจรัสของสิ่งที่เพิ่งถูกขุดพบมาหมาดๆ ลำแสงทั้งสองม้วนเกี่ยวพันกันเป็นเกลียว สูงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบนก่อนจะค่อยๆหายไป เหลือแต่ความมืดมิดปกคลุมผืนป่าอย่างแท้จริง                       

     

             

     

     

     

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น