ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Story of The Magical Power

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 ซีซิลลอส

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19
      0
      1 ธ.ค. 48



        ชายคนนั้นดูสง่างามมากทีเดียว ต่างจากผู้คนที่บิงค์มากมายนัก



    –อ้อ ใช่สิ ก็เขาเป็นออสนี่- เบเดนคิดในใจ เขาเดินราวกับว่าโดนลมพัดไป พัดไป



    ตามชายคนนั้นไปเรื่อยๆ ตลอดทางมีแต่สีขาว กับสีเงินสลับกันไป



    ทั้งต้นไม้ เถาวัลย์ บ้าน น้ำในลำธารที่ดูขาวราวกับน้ำนม ทุกอย่างล้วนให้ชวนมองนัก



    บัดนี้ เบเดนเริ่มเข้าใจแล้วว่า เขาจะรู้สึกอย่างไร



    หากเหล่าออสต้องตายจากไปแม้สักเพียงตนเดียว







        เขามัวแต่คิดนั่นคิดนี่ จนมารู้สึกตัวอีกที เขาก็ยืนอยู่หน้าทางเข้าโถงใหญ่



    ทางเข้ามีออส 2 ตนยืนอยู่ เมื่อเบเดนเห็นหน้าออสเหล่านั้นชัดๆ ตนหนึ่งดวงตาสีเขียวสดใส



    เรือนผมสีน้ำเงินสดตัดกับสิ่งรอบข้าง อีกตนหนึ่งดวงตาสีขาวดูลุ่มลึกและให้ความรู้สึกอย่างประหลาด



    แต่ทีเหมือนกันคือทั้งสองตนนี้สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูเหมือนใยบางๆ สีขาวราวกับน้ำนม



    สวมสร้อยไข่มุกสีขาว ทั้งสองมองมาพร้อมกับส่งรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นมาให้ และพูดจากันด้วยภาษาที่เขาไม่มีวันเข้าใจ







    “มาแล้ว มาแล้ว ลูกชายข้า เบเดน นี่เคย์ร่า ผู้ปกครองที่นี่”







    “ยินดีต้อนรับสู่ซีซิลลอส เบเดน ยินดีต้อนรับ”







        เคย์ร่า ไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้ ไม่ดูชราเลยแม้แต่น้อย มีเพียงผมและเคราสีขาว



    นั่นเพราะเคย์ร่าเป็นออส อาจดูหนุ่มกว่าพ่อก็ได้ ถ้าเขาผมดำ- เขาคิดอยู่ในใจ







    “ช่าย เจ้าเข้าใจถูกแล้วเบเดน เพราะข้าเป็นออส งั้นข้าจะลองเสกผมดำก็ได้นะ”







    “อย่าเลย เคย์ร่า มันมากมายเกินไปที่ท่านจะทำให้เขาเห็น” เบซัคกล่าวสั่นๆ







    “ถูกอย่างเจ้าว่า เบซัค แต่ลูกเจ้าคงไม่เข้าใจ ที่จริงแล้ว ถึงข้าจะมีอายุเป็นพันปี



    ผมข้าก็ไม่เคยเปลี่ยนไป เคยสีขาวอย่างไรก็จะยังคงขาวอย่างนั้น



    มันจะเป็นเรื่องไม่ดีสักเท่าไร ถ้าข้าจะเสกเป็นสีดำ เพราะข้าไม่ใช่แบบเจ้า เข้าใจไหม



    สีดำมันไม่เหมาะกับที่นี่... แล้วเจ้าคงสงสัยว่า ทำไมบางตนมีผมและดวงตาสีขาว



    แต่บางตนไม่ใช่ คงจะเห็นจากตรงโถงใหญ่แล้วสิ นั่นเพราะเหล่าออสเองต่างก็



    เหมือนกับเจ้าที่ มนุษย์มีทั้งชาย และหญิง อย่างนี้พอจะเข้าใจไหมล่ะ”







    “เบเดน ออสน่ะ สูงส่งกว่าเรามากมายนัก เจ้าไม่สังเกตเลยเหรอว่ามาถึงนี่แล้ว



    แต่เจ้าไม่เห็นอะไรที่เป็นสีดำเลย อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่แปลกใจ พ่อจะบอกเจ้าก็ได้ สำหรับเราน่ะ



    สีดำเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่นี่ ซีซิลลอส สีดำคือความชั่วร้าย



    อ้อ! แล้วนั่น ที่กำลังมา เกรฮายย์”







    “เป็นอย่างไรบ้างสหายข้า” เกรฮายย์เป็นออสที่ดูคล้ายๆ กับเคย์ร่า



    เพียงแต่เขาดูชราภาพราวกับมีอายุมานานมากแล้ว



    ดวงตาสีขาวขุ่น สายตาที่จ้องมองราวกับจะค้นความจริง “แล้วนี่...”







    “เบเดนลูกชายข้า”







    “อ้อ เจ้ารึ อย่ามองข้าแบบนั้นหนุ่มน้อย ข้าสามารถอ่านใจเจ้าได้นะ...เจ้าน่ะดวงตาเหมือนแม่ไม่มีผิด



    ข้าเคยเลี้ยงนางมาเมื่อนานมาแล้ว ข้าเฝ้าดูวันที่นางเติบโต แต่แล้ว...”







    “เกรย์ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถอะ” เคย์ร่าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สุขุมยิ่งนัก







        การสนทนาเนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ เบเดนเริ่มรู้สึกอึดอัดนัก เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพ่อมดเกรฮายย์



    เหมือนตอนนี้เขากำลังถูกมองลึกไปในจิตใจ วันเวลาที่นี่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า



    ราวกับว่า...ที่นี่ไม่มีวันและเวลา-เขาคิดในใจ







    “ถูกแล้วล่ะ เบเดน ที่นี่น่ะเวลาเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับพวกเรา เจ้าคงเข้าใจสินะว่าทำไม”



    เคย์ร่าเองก็ดูเหมือนไม่แปลกใจเท่าไรนักที่เขาสงสัยอะไรมากมายเพียงนี้







    “ครั้งแรกที่พ่อเจ้ามาที่นี่เขาไม่เคยถามอะไรเลย เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไร” เบเดนสั่นหัวพลางมองอย่างสงสัย







    “ก็เพราะพ่อเจ้าเข้าใจอะไรๆ ได้เร็วมาก จนข้าเองก็นึกตกใจว่าทำไมมนุษย์อย่างพ่อเจ้า



    จึงเข้าใจอะไรได้ง่ายดายเพียงนี้ ครั้งแรกที่ข้าได้เจอมนุษย์ อาราเคส



    ข้าจำได้ดีเขาคือบรรพบุรุษของพวกเจ้า คือกษัตริย์คนแรกของบิงค์



    เขามาหาด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น และขอให้ข้าช่วยดูแลและปกป้อง เพราะมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ



    ข้าจึงชี้แนะเขาไปว่า ให้เขารักษาหลักธรรม ดำรงไว้ซึ่งความดี



    แล้วข้าจะรักษาแคว้นแดนดินของเขาเอง จากนั้น บ้านเมืองเจ้าจึงสงบสุขเรื่อยมา



    ข้าเฝ้าดูตลอด กษัตริย์ของบิงค์คนแล้วคนเล่า



    จนถึงรุ่นพ่อเจ้า เบซัค ก็เป็นรุ่นที่ 63 แล้วสิใช่ไหม”







    “ใช้แล้วท่านเคย์ร่า บรรพบุรุษของข้า คนแล้วคนเล่า ที่มาหาท่าน ต่างก็ยึดถือปฏิบัติตามที่ท่านบอก



    จนรุ่นข้า และรุ่นต่อจากนี้ไป ลูกชายข้าเบเดน ข้าขอสัญญาว่าทายาทคนต่อไป และต่อไป



    จะยังคงรักษาไว้ซึ่งแนวทางที่ท่านบอก หาเช่นนั้น ความพินาศจักมาเยือนพวกเราเป็นแน่”







    “ข้าเชื่อมั่นท่าน เหมือนดังที่ข้าเคยเชื่อ เบซัคท่านไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ท่านยึดถือปฏิบัติ



    ตราบใดที่ยังมีความดีคอยหล่อเลี้ยงผลึกคริสตัล ข้าก็จะยังรักษาวงศ์วานแห่งกษัตริย์ และประชากรของบิงค์”







    “ทีนี้ เจ้าพอจะเข้าใจอะไรแล้วใช่ไหม เบเดน อย่าลืมสิ ข้าอ่านใจเจ้าออก สิ่งที่เจ้าสงสัยมาแต่ไหนแต่ไร



    เกี่ยวกับผลึกคริสตัลที่อยู่ในโถงพระราชวังเจ้าน่ะ นี่แหละคือคำตอบ มันจะยังคงอยู่ได้



    และบ้านเมืองของเจ้าจะยังสงบสุข ตราบเท่าที่พวกเจ้ายังทำความดี



    และมันจะแตกสลาย เมื่อถึงอายุขัยของมันในไม่ช้า



    และกษัตริย์แห่งบิงค์คนหนึ่งจะละทิ้งคำสอนของท่านเคย์ร่า เมื่อนั้น...”







    “เอาล่ะ ถึงแม้เหล่าออสทั้งหลายจะเป็นอมตะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ต้องการกินนะ ไปเถอะ



    คนของข้าจัดเตรียมไว้สำหรับพวกท่านแล้ว... ท่านล่ะ เกรย์ จะอยู่ด้วยกันไหม”







    “ไม่ล่ะ งานนี้ข้าขอตัวก่อน มีอย่างอื่นที่ต้องทำ” เฒ่าเกรฮายย์ตอบ



    พลางจ้องมองเบเดนคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็จากไปในพริบตา







    “อย่าใส่ใจเลย เป็นเฒ่าเกรย์แบบนี้แหละ เขาไม่ชอบที่จะสมาคมกับมนุษย์สักเท่าไรนัก



    ข้าเสียใจที่ต้องพูดความจริง เพราะปิดไปก็ไร้ประโยชน์ ยังไงพวกเจ้าคงสงสัย



    และข้าก็อ่านใจเจ้าออกเสียด้วย” เคย์ร่าพูดพลางเลิกคิ้วให้เบเดน ซึ่งเขาเองก็แอบยิ้มเหมือนกัน







        ขณะที่เดินพ้นประตูออกมา เบเดนก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่อีกห้องหนึ่งแล้ว



    เป็นห้องทรงกลม สีขาว มีไข่มุกประดับไว้โดยรอบ มีแสงสีนวลสาดส่องทั่วทั้งห้อง



    ราวกับมีดวงจันทร์หลายสิบดวงแขวนอยู่บนเพดานอย่างนั้น แต่แปลกที่ห้องนี้เหมือนกับไม่มีเพดาน



    เมื่อแหงนมองขึ้นไปก็จะเห็นแต่ปุยนุ่นขาวลอยวนอยู่เท่านั้น ภายในห้องนี้ มีโต๊ะกลมตัวใหญ่วางอยู่ตรงกลาง



    จานชามวางเป็นระเบียบพร้อมทั้งอาหารที่มีลักษณะชวนมองมากกว่าจะให้กิน







    “เบเดน เจ้าคงไม่ค่อยคุ้นเท่าไรนัก กับอะไรที่แปลกตาเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าเจ้าคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม”







    “ข้า...เอ่อ ที่อยู่บนโต๊ะนี้คืออาหารจำพวกไหนกันเหรอท่านเคย์ร่า”







    “เหล่านี้น่ะ เป็นอาหารที่ปรุงกันในหมู่ของชาวออสเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนใดก็ไม่เคยลิ้มลอง



    และแน่นอนทีเดียว เว้นเสียแต่บรรพบุรุษของเจ้าเท่านั้น”







        ขณะที่กำลังนั่งลงล้อมโต๊ะกลมนั้น เบเดนสังเกตเห็นที่ว่างอยู่อีกหนึ่ง เพียงแค่คิดเท่านั้น เขาก็ได้รับคำตอบ







    “ที่นั่นเป็นของไอร์ร่า ลูกสาวของข้าเอง แน่ะ! มาพอดีเชียว”







        หญิงสาวผู้มีความสง่างามหาใครเทียบไม่ได้อีกแล้ว ดวงตาสีเขียวเข้ม



    เรือนผมที่เหยียดตรงบางเบาดุจเส้นไหมสีน้ำเงิน เสื้อผ้าสีขาวระยับด้วยแสงจากดวงดาว



    แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเหล่าออสที่เขาเห็น นั่นคือ นางสวมสร้อยสีน้ำเงินเข้ากับสีผม



    แทนที่จะเป็นสร้อยไข่มุก ทั้งผมที่พลิ้วไหว และสร้อยสีน้ำเงินนั้น



    ชวนมองเสียยิ่งกระไร แต่ในความลุ่มลึกของสีน้ำเงินนั้นเอง



    ราวกับว่ามันกำลังจะปลิดวิญญาณผู้ที่จ้องมองมันอย่างนั้น







    “ยินดีที่ได้พบท่านอีกครั้ง เบซัค...แล้วนี้คงเบเดนสินะ” นางมองมาด้วยสายตาอ่อนโยนคล้ายกับ...







    “แม่...” เขาโพล่งออกมาโดยที่ไม่สามารถบังคับได้







    “เหมือนกันมากขนาดนั้นเชียวหรือ” สายตานางจับจ้องอยู่ที่เขาราวกับกำลังเค้นเอาความจริง







    “คือ...แม่ฝากความคิดถึงมาถึงท่านด้วย แม่บอกว่า อยากพบท่านอีก” เขาพูดแทบไม่หายใจ







    “ขอบใจที่พูดความจริง ข้าเองก็ดีใจที่ได้ยินนางพูดเช่นนั้น” สายตาของนางยังจับจ้องอยู่ที่เขา



    แต่คราวนี้เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน พลางลูบแก้มเบเดนอย่างรักใคร่



    “ฝากท่านเบซัคบอกนางด้วยว่า ข้าจะรอวันที่จะกลับมาพบกันอีกครั้ง”







    To Be Cont...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×