มิติมายากาล - นิยาย มิติมายากาล : Dek-D.com - Writer
×

    มิติมายากาล

    ถ้าหากโลกไม่ได้มีโลกเดียว ถ้าหากคนที่อยู่ในโลกไม่ใช่คน ถ้าหากเราไม่ใช่คนบนโลกนี้ ถ้าหากลองเปิดใจมาอ่านแล้วจะติดใจ

    ผู้เข้าชมรวม

    69

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    17

    ผู้เข้าชมรวม


    69

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  หักมุม
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  11 มี.ค. 65 / 18:01 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ยาววิกาลเขาว่าอย่าออกไปที่ไม่ควรไป ถ้ามันไม่มีที่มาเขาคงไม่เตือน...

    ความมืดในยามค่ำคืนว่าน่ากลัวแล้ว หากเป็นความมืดในสถานที่ต้องห้าม มันยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นไปอีกเท่าทวีคูณความเวิ้งว้างของป่าใหญ่ทำให้ร่างผู้มาเยือนหนาวสะท้านแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเมืองหลวงที่ใหญ่โตสวยงามขนาดนี้จะมีสถานที่แสนจะลึกลับอยู่ใบป่าที่น่ากลัวแบบนี้

    บ้านร้างกลางป่าใหญ่ อันเคยเป็นที่พักของคนที่มีฐานะร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเมืองในอดีตมันเป็นบ้านที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดวิจิตรการตาที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองแห่งนี้เลยทีเดียวแต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันด้วยความรวยก็หนีไม่พ้นความไม่ปลอดภัยที่ตามมาซึ่งคนเราก็มีทั้งดีชั่วปนกันไปแต่ด้วยในสมัยนั้นเราก็คงไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตัว การถูกปล้นสมบัติที่เราพยายามหามาทั้งชีวิต มันคงเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับเราๆ อย่างคนหากินทั่วไป แต่มันก็ไม่น่าเศร้ากว่าการที่ถูกฆ่ายกครอบครัว เฉกเช่นครอบครัวเศรษฐีใหญ่ ณ บ้านร้างหลังนี้

    ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำยำ แต่งชุดดำปิดหน้าปิดตา บุกเข้ามาในยามวิกาล ประตูบานใหญ่หน้าบ้านถูกถีบออก เกิดเสียงดังลั่นบ้าน ทุกคนในบ้านต่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านตัวเอง ทุกคนต่างรีบลงมารวมตัวกันที่โถงข้างล่าง แล้วก็ได้พบกับโจรใจโหด ที่สาดลูกกระสุนปืนขึ้นเพดานขู่ทุกคนภายในบ้านให้อยู่ในความสงบ ซึ่งมันก็ได้ผลดี ทุกคนนิ่งสงบด้วยความสั่นกลัว ภาพจากกล้องวงจรปิดภายในบ้านแสดงให้เห็นเหตุการณ์ในวันที่เกิดเหตุอย่างเด่นชัด จากในคลิปที่เจ้าหน้าที่ได้ดูพบว่า เจ้าของบ้านมีความนิ่งเป็นพิเศษ แถมยังมีการแอบมองกล้องเป็นระยะ มันทำให้หนึ่งในพรรคพวกของโจรสังเกตเห็น และได้มองไปตามที่เจ้าของบ้านมอง ก็ได้พบกับกล้องวงจรปิดของบ้านนี้ เมื่อเห็นอย่างนั้นมันก็ได้บอกหัวหน้าของมัน พอหัวหน้ามันรู้ตัวมันก็ได้ยิงไปโดนกล้องวงจรปิดทำให้ภาพ ณ ห้องโถงนั้นถูกตัดไป 

    ในคืนวันเกิดเหตุได้มีชาวบ้านละแวกได้นั้นยินเสียงปืนที่ดังลั่นหลายนัดจึงได้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบ พอเจ้าหน้าที่มาถึง ก็กลับพบกลับความแปลกใจ เพราะกลางห้องโถงนั้น กลับพบศพของโจรใจโหดที่มาปล้นบ้านหลังนี้เพียงเท่านั้น ส่วนคนที่อาศัยอยู่ใบบ้านหลังนี้กลับไม่พบใครอยู่เลย และจากการตรวจสอบภายในบ้าน และรอบๆ บ้าน ก็พบว่าข้าวของเงินทองของมีค่าภายในบ้านได้หายไปหมดไม่เหลือสักชิ้น แถมยังไม่พบร่องรอยการเดินทางออกไปจากบ้านนี้หลังจากที่โจรได้บุกเข้ามาปล้น แม้แต่ร่องรอยเล็กๆ ยังไม่มี แถมกล้องวงจรปิดจุดอื่นก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนกับว่าทุกคนหายไป ณ จุดเกิดเหตุอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียวซึ่งนั้นสร้างความงุนงงให้กับเจ้าหน้าที่ ที่เข้ามาตรวจสอบและทำคดีนี้เป็นอย่างมาก

    หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ก็ได้ลงประกาศข่าวว่า เกิดเหตุฆาตกรรมปล้นฆ่าเศรษฐีใหญ่ตายยกครอบครัว เหตุการณ์นั้นสร้างความน่ากลัวให้กลับชาวบ้านละแวกนั้นเป็นอย่างมาก จนทำให้บ้านหลังนั้นถูกทิ้งร้างและโดดเดี่ยวมานานจนถึงปัจจุบันนี้

    จ่อย หัวหน้าแก๊งเด็กเกรียน 5 จอ ได้เล่าประวัติสถานที่ที่พวกเขากำลังจะเดินทางไปสำรวจอย่างสนุกปากเขา “เป็นไงละพวกมึงแค่นี้น่ากลัวพอมั้ยละพวกมึง” จ่อย พูดปนขำแห้ง

    “แล้วมึงจะมาเล่าให้มันน่ากลัวกว่าเดิมอีกทำไมวะ แค่นี้กูก็ฉี่จะราดแล้ว” เจิมพูด พลางตัวสั่นไปด้วยความกลัว แต่ก็ต้องมาด้วยเพราะเดี๋ยวจะถูกไล่ออกจากแก๊ง

    “เฮ้ย อย่าเสียงดังไปเดี๋ยวก็มีคนได้ยินหรอก” จ่อยเอ็ดดุเจิม

    จากนั้นก็มีเสียงกระซิบเบาๆ ลอยมาจากข้างหลังจ่อย “กูจะเอาชีวิตมึงไป” แจ๋วหญิงสาวผมสั้นออกจะคล้ายทอมพูดใกล้หูจ่อย 

    “เอ้ อีแจ๋วเดี๋ยวก็ป้าบเข้าให้นี่” จ่อยเริ่มมีท่าทีโมโหที่ทุกคนต่างไม่ได้งานเอาแต่เล่นตลอดทาง มีก็แต่จ้อยเพื่อนคนสนิทของจ่อยที่ได้ตำแหน่งรองหัวหน้าแก๊งที่ดูจะตั้งใจในการมาสำรวจบ้านร้างที่เป็นตำนานหลังนี้

    “กูว่าเราใกล้จะถึงแล้วนะพวกมึง” จ้อยพูดขึ้นมาเพราะจ้อยเคยมาเก็บของป่ากับพ่ออยู่บ่อยๆ จึงรู้จักเส้นทางแถบนี้ดี แต่จ้อยก็ไม่เคยย่างกลายเข้าไปใกล้บ้านหลังนี้เลยสักครั้ง ก็ด้วยที่มันเป็นเรื่องราวที่น่ากลัวที่อยู่ดีๆ ก็มีคนตายในบ้านหลังนี้ยกครอบครัว

    “แต่ เอ้ะ ไอจ่อย เรื่องที่มึงเล่ามึงไปได้ยินมาจากไหนวะ ที่ว่าคนที่ตายไม่ใช่ศพของครอบครัวนั้นแต่เป็น ศพของพวกโจร” จอมเด็กที่ดูฉลาดในแก๊งนี้ที่สุดแล้วพูด

    จ่อยค่อยๆ หันหน้ามาหาเพื่อนๆ อย่างช้าๆ แล้วก็ค่อยๆ กรอกตามองเพื่อนๆ ทุกคนอย่างน่ากลัว แล้วก็พูดขึ้นมาว่า

    “อย่าไปบอกใครเชียวนะพวกมึง พวกมึงนะโดนกูหลอกแล้วละ” จ่อยขำอย่างสะใจ ที่ได้หลอกเพื่อนให้กลัว 

    “โถ่ ไอ***จ่อย” ทุกคนด่าจ่อยพร้อมกัน 

    “คร่าวหลังก็อย่าไปเชื่อใครง่ายๆ ละพวกมึง กูก็แค่ไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบเกินไปกูก็เลยแต่งเรื่องมาเล่าระหว่างทางพวกมึงจะได้ผ่อนคลาย” จ่อยพูดปนขำ

    “พวกมึง พวกมึง พวกมึง ถึงแล้ว ถึงแล้ว ถึงแล้ว” จ้อยพูดด้วยเสียงดังเพื่อที่จะให้เพื่อนคนที่เหลือสนใจในสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

     บ้านร้างกลางป่าที่ซึ่งในอดีตเคยเป็นบ้านที่สวยที่สุดในเมืองนี้ด้วยการตกแต่งให้ออกมาเป็นเรือนไทย สไตล์ฝรั่ง เป็นบ้านที่ขั้นล่างเป็นปูนชั้นบนเป็นไม้ มีการฉลุลายไทยตามคาน ตามหลังคาของบ้านอย่างวิจิตการตา ข้างหน้าบ้านเป็นสวนที่ปลูกดอกไม้สีสดนานาพันธุ์อย่างเป็นระเบียบ หลังบ้านมีสระว่ายน้ำที่ใหญ่โต บ้านหลังนี้เคยมีผู้คนแวะเวียนเข้าออกอยู่ประจำ แต่ดูภาพที่เห็นตอนหน้านี้สิ บ้านที่พุพังตะไครน้ำเกาะเต็มพนังบ้าน ลายฉลุไม้ที่เคยสวยงามก็พุพังด้วยปลวกที่กัดกิน สวนที่เคยมีดอกไม้สีสด ก็กลับกลายเป็นสวนที่มีหญ้าขึ้นสูงยาวไปหมด สระน้ำก็เห็นก้นสระที่มีแต่ตะไครน้ำเต็มไปหมด บ้านก็ถูกเถาวัลย์หญ้าเลื่อยเข้าไปในบ้าน สภาพดูแล้วน่าจะถูกทิ้งร้างมาไม่ต่ำกว่า 100 ปี แต่ในความเป็นจริงมันแค่ 10 กว่าปี แต่คงด้วยสภาพดินฟ้าอากาศและบ้านหลังนี้ก็ถูกสร้างในป่าที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งอาจจะโดนธรรมชาติกลืนกินไวกว่าบ้านที่สร้างอยู่ในเมืองจึงทำให้สภาพดูย่ำแย่ขนาดนี้

    บัดนี้แก๊งเด็กเกรียน 5 จอ ได้แต่ตกตะลึงจ้องบ้านหลังนี้อย่างไม่ละสายตา เมื่อได้มาเห็นถึงบ้านหลังนี้ แบบระยะเผาขน ที่ซึ่งยิ่งดูน่ากลัวที่ตอนนี้มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดมายังตัวบ้านมันทำให้ทุกคนขนลุกซู่แม้แต่จ่อยหัวหน้าแก๊งที่นำมาครั้งนี้

    แต่แล้วมีมือของใครบางคนมาแตะที่บ่าของจ่อย

    “เชี้ย ใครวะ” จ่อยถามเพื่อนของเขา

    “พูดอะไรของมึง” จ้อยตอบกลับ

    “ก็เมื่อกี้กูรู้สึกว่ามีมือใครมาจับที่บ่ากูนี่หว่า ถ้าไม่ใช่มือพวกมึงแล้วมันจะเป็นมือใครได้อีกวะ พวกมึงอย่ามาล้อเล่นกับกูจะเว้ย เดะกูป้าบรายคนเลยนี่”

    จ่อยพูดด้วยความอารมณ์เสีย พรางมองทุกคนด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ

    “มึงจะบ้าเปล่าจ่อย พวกเราก็กำลังตกใจกับบ้านที่มึงพามาอยู่ อีกอย่างใครจะไปกล้าแกล้งมึงได้ ขืนทำไปแล้วโดนจับได้ก็มีแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ แล้วนี่มึงไม่ไว้ใจพวกกูเหรอวะ” จอมพูดอย่างนิ่งๆ

    จ่อยคิดอยู่สักพัก แล้วก็ยอมเชื่อในสิ่งที่จอมพูดเพราะปกติแล้วไม่เคยไม่ใครในแก๊งคิดแกล้งเขา เพราะทุกคนในแก๊งต่างเกรงกลัว แต่ก็เคารพนับถือจ่อยอยู่ด้วยความที่จ่อย เป็นพี่ใหญ่แถมยังคอยช่วยเหลือปกป้องชาวแก๊งจากการถูกเพื่อนคนอื่นแกล้งเสมอ ส่วนที่คนในแก๊งทั้งหมดล้วนเป็นจุดด่างของแต่ละห้อง ที่เพื่อนคนอื่นไม่ให้ความสนใจ มักถูกเพื่อนคนอื่นรังแกอยู่เสมอ 

    จ้อยที่ถูกย้ายมากลางเทอมจึงทำให้จ้อยไม่ค่อยมีเพื่อน ประกอบกับจ้อยเข้าหาคนอื่นไม่เก่ง จึงทำให้เพื่อนในห้องมองว่าจ้อยเป็นจุดด่างของห้อง เพื่อนจึงชอบใช้จ้อยให้ทำนั่นนู้นนี่ ถ้าไม่ทำก็จะถูกรังแกอยู่ประจำ หลายวันผ่านไป จนจ่อยที่โดนพักการเรียนไปสองอาทิตย์จากเหตุละเลาะวิวาทที่จ่อยได้ต่อยกับเพื่อนข้างห้อง ได้กลับมาเรียนตามปกติ แต่จ้อยก็ยังถูกเพื่อนในห้องแกล้งอยู่ตามปกติ

    แต่แล้วเมื่อจ่อยเห็นจ้อยถูกแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ตอบโต้อะไรเลย มันทำให้จ้อยน่าหงุดหงิดยิ่งนัก เพราะต้องมาทนเห็นความอ่อนแอของเพื่อร่วมห้อง ที่เขาก็ไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่ เพราะเขาเป็นคนที่ชอบลุยๆ ท้าคนเก่งต่อยไปทั่วเพื่อวัดฝีมือของตนเอง ซึ่งจ่อยก้ไม่เคยแพ้ใครมาก่อน แต่ก็มีเลือดตกยางออกกันบ้านแต่สุดท้าย จ่อยก็ชนะอยู่เสมอๆ 

    “นี่ มึงหนะ มึงนั้นแหละ ชื่อจ้อยใช่มั้ย” จ่อยทักทายจ้อยอย่างห้าวๆ

    “ใช่เราจ้อย นายมีอะไรให้เราทำรึป่าวจ่อย” จ้อยพูดด้วยน้ำเสียงสั่น

    “มึงหนะจะยอมเป็นขี้ข้าแบบนี้ไปตลอดเหรอวะ กูเห็นแล้วกูรับไม่ได้วะ”

    จ่อยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกจ้อย แต่จ้อยก็นิ่งไปสักพักแล้วก็เริ่มเปิดใจคุยกับจ่อย

    “ก็เรามันเป็นจุดด่างของห้องนี่หนา เรามันเข้ากับเพื่อนไม่ได้” จ้อยตอบจ่อย

    “แล้วมึงไม่คิดจะตอบโต้บ้างหรือไงวะ มึงอยากจะเป็นแบบนี้ไปตลอดเหรอ”

    จ่อยถามจ้อย

    “เราก็ไม่อยากเป็นแบบนี้ไปตลอดหรอกแต่เราก็ไม่กล้าสู้ เรากลัวจะโดนครูทำโทษ” จ้อยกำหมัดแรง จ่อยเห็นดังนั้นจึงรู้สึกว่าไอจ้อยคนนี้มันก็มีของ

    “เอางี้มั้ย ถ้ามึงกล้าที่จะตอบโต้พวกนั้นสักครั้ง กูจะเป็นเพื่อนกับมึงเอง แล้วกูจะคอยปกป้องมึงเองเอามั้ย” 

    หลังจากนั้นจ้อยก็ได้แสดงให้จ่อยเห็นว่าเขาไม่ใช่คนอ่อนแออย่างที่เป็นมาถึงแม้ทั้งคู่จะโดนพักการเรียนอยู่บ่อยครั้งบ้างก็ตามที

    ส่วนเจิม แจ๋ว จอม ก็เป็นเพื่อนต่างห้องที่เคยเป็นจุดด่างของห้องมาก่อน แต่ก็ได้จ่อยกับจ้อยนี่แหละ ที่เข้าไปช่วยเหลือ แล้วก็ได้ก่อกำเนินแก๊งเกรียน 5 จอ ประจำโรงเรียนขึ้นมา ซึ่งจากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้ามาลองดีกับแก๊งนี้อีกเลยเพราะแต่ละคนในแก๊งนี้วีรกรรมใช่ย่อยทั้งนั้น แต่แก๊งนี้ก็มีความรักใคร่กลมเกลียวกันมาก

    “นี่จ่อย จ่อย จ่อย” จอมถามพรางตบตัวจ่อยเบาๆ

    “เออๆ กูคิดไรเพลินไปหน่อย เอาเป็นว่ากูคงรู้สึกเองแหละโทษทีนะพวกมึง” จ่อยตอบเพราะคิดได้ว่าแก๊งของเรามันคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก

    “แล้วทีนี้เราจะเอาไงกันดีละมึง กูว่าพวกเรากลับกันดีกว่ามั้ยมึง เข้าไปบ้านมันจะถล่มใส่เราเปล่าก็ไม่รู้” จอมพูดพรางอ้างเหตุผล เพราะใจจริงก้ไม่อยากเข้าไปในสถานที่อันน่ากลัวเช่นนี้

    “บ้าเหรอวะ มากันถึงขนาดนี้ละ ถ้าพวกมึงป้อดละก็ เชิญมึงใส่หัวกลับไปเลยแล้วก็ไม่ต้องมาอยู่แก๊งกูอีกนะ เชิญกลับไปโดนรังแกเลยนะพวกมึง.” จ่อยพูด

    ทุกคนต่างนิ่งไปสักพักกับคำที่จ่อยพูดทุกคนต่างไม่อยากกลับไปอยู่จุดเดิม และทุกวันนี้ที่ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขก็เพราะมีจ่อยคุ้มกะลาหัวอยู่ หากพวกเขาถูกไล่ออกเมื่อไหร่ละก็ คงไม่น่าจะดีสักเท่าไหร่สำหรับพวกเขานัก

    “เออ กูจะไปด้วยนะ” แจ๋วพูดขึ้นมาก่อน

    “เออ กูก็ด้วย” เจิมพูดตามถึงแม้ในใจก็ยังกลัวแต่ก็ไม่น่ากลัวกว่าการกลับไปอยู่จุดเดิม

    ส่วนจอมนิ่งไปอยู่สักพัก

    “เออ ไปก็ไปวะแค่นี้มันจะเป็นไรไป” จอมพูดด้วยความกล้ำกลืนฝืนใจ

    “เออ มันต้องอย่างนี้สิวะ ไป ไป ไป” จ่อยเริ่มเดินนำทุกคนเข้าไปในบ้านโดยจะต้องถาหญ้าที่ขึ้นสูงหน้าบ้านผ่านเข้าไปอย่างทุลักทุเล เหล่าสมาชิกแก๊งเด็กเกรียนได้เข้าไปในบ้านร้างหลังนี้ทีละคน โดยมีจ้อยเป็นคนเดินปิดท้ายและก็แอบขำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อยู่คนเดียว จู่ๆ จ้อยก็เหลือบไปเห็นสมุนไพรหายากที่พ่อเขาต้องการ มันเป็นหญ้าคาที่สามารถรักษาโรคร้ายแรงได้ จ้อยจึงปล่อยให้เพื่อนเข้าไปก่อน ส่วนตนก็ได้ค่อยๆ เก็บสมุนไพรไว้ในหย่ามของเขาให้ได้มากที่สุดเพราะเขาคงไม่คิดจะย่างกรายเข้ามาในบ้านหลังนี้อีกเป้นแน่ ไหนๆ ก็มาเจอของดีก็ต้องเอาให้คุ้มสักหน่อย จ้อยจ้วงเก็บเอาๆ จนเต็มหย่ามแล้วก็กำลังเดินตามเพื่อนเข้าไปข้างในบ้าน แต่แล้วก็ได้มีเสียงร้องของเพื่อน มาจากข้างในบ้าน จ้อยพยายามรีบวิ่งเข้าไปอย่างสุดชีวิต

    จ้อยได้ตามหาเพื่อนจนทั่วบริเวณแต่ก็ไม่พบ จ้อยไม่รู้จะทำยังไง จ้อยเลยกลับบ้านไปนอน คิดว่าเพื่อนคงจะกลับบ้านกันหมดแล้ว

    เช้าวันต่อมาได้ มีตำรวจมาที่หน้าบ้านของจ้อยและถามจ้อยว่าได้อยู่กับเพื่อนๆ ล่าสุดเมื่อไหร่ตอนไหน จ้อยก็ตอบตำรวจไปตรงๆว่า

    “เมื่อคืนผมกับเพื่อนไปสำรวจบ้านร้างกันในป่ากันครับ แล้วที่นี้ตอนที่เพื่อนผมเข้าไปในบ้านร้างนั้น ผมก็มัวเก็บสมุนไพรหายากอยู่ครับ ทีนี้ผมก็ได้ยินเสียงเพื่อนมันร้องเสียงดัง ผมก็ตามเข้าไปหาเพื่อนจนทั่ว แต่ก็ไม่พบเพื่อน ผมเลยคิดว่า เพื่อนคนกลัวจนหนีกลับไปบ้านกันหมดแล้ว ผมก็เลยกลับมานอนรอที่บ้านนี้แหละครับ”

    “เพื่อนคุณหายไปแต่คุณกลับมานอนรอเนี่ยนะ” คุณตำรวจถาม

    “ใช่ครับ ก็ผมคิดว่าเพื่อนจะกลับบ้านได้” จ้อยตอบ

    ตำรวจก็พยักหน้ารับแล้วก็เดินขึ้นรถจากไป

    จ้อยทำหน้างง แล้วก้ถามพ่อกลับไปว่า

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอพ่อ ทำไมตำรวจมาหาผมละพ่อ” จ้อยถามด้วยความสงสัย

    “ไอนี่ มึงไม่รู้รึว่าเพื่อนมึงหายตัวไปสองวันแล้วไอจ้อย” พ่อบอกจ้อยพร้อมจ้องเขม้น

    “หา พ่อว่าไงนะ เพื่อนๆ ผมหายตัวไปงั้นเหรอสองวันแล้วด้วย” จ้อยถามในใจก็ตกใจสุดขีด

    “ใช่สิวะ แล้วนี่มึงแอบไปทำอะไรที่บ้านร้าง กลางค่ำกลางคืนแบบนั้น มึงได้โดนไม้เรียวแน่ ไอจ้อย” พ่อพูดพร้อมกับเดินไปจะหยับไม้เรียวมาฟาดจ้อย

    แต่จ้อยไหวตัวทันแล้วก็ได้หยับหย่ามคู่ใจของตนวิ่งหนีออกจากบบ้านไป

    “หน่อยนะ ไอจ้อย ถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะตีให้ขาลายเลย” พ่อพูดด้วยความโมโห แต่รักและห่วงลูกตัวเองด้วย

    จ้อยได้วิ่งมาจนถึงบ้านร้างอันเป็นที่ที่เพื่อนของจ้อยหายตัวไป จ้อยได้แต่นั่งรอ และก็ได้ตามหาจนทั่วแต่ก็ไม่พบร่อยรอยใดๆ มันเหมือนกับว่าทุกคนหายตัวไปในบ้านหลักนี้แล้วไม่ได้ออกมา มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกัน จ้องพลางคิดแล้วก้นึกถึงเรื่องที่จ่อยเล่าเมื่อคืน มันมีความคลับคล้ายคลับคากับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานก่อนเลยที่อยู่ๆ ทุกคนก้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย 

    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่บ้านหลังนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วมันคืออะไรกันละ

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น