ตอน 36
รอยด่างพร้อยจากคำว่า แม่มีชู้ ทำให้ภราทิตย์เติบโตมาพร้อมกับทิฐิในใจ ต่อต้าน เกลียดชัง มองทุกสิ่งในแง่ร้ายและไม่เป็นมิตรกับใคร กระทั่งเมื่อเขาได้พบกับอิงอร จึงทำให้เธอแทบจะเกลียดผู้ชายทั้งโลก
ผู้เข้าชมรวม
1,061
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตอน 1
แสงจันทร์ยามค่ำคืนกระจายรัศมีเหลืองนวลจากฟากฟ้า ประกายระยิบระยับของหมู่ดาราน้อยใหญ่ เปล่งประกายอวดประชันความโดดเด่น เงาวับจากประตูอัลลอยด์ราคาแพง แวววาวสะท้อนแสงจันทร์ล้อเล่นกับท้องนภา
รถยนต์คันหรูแล่นผ่านประตูอัตโนมัตที่เปิดออกทีละน้อยอย่างรู้เวลา ไฟสว่างจ้าจากหน้ารถยนต์มองเห็นตลอดสองข้างทางที่มุ่งสู่ตัวบ้าน ได้รับการตกแต่งอย่างมีสไตล์ ประติมากรรมปูนปั้นกลุ่มสิงโตนำโชคตรงสวนหย่อมสะดุดตากว่าสิ่งใด ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ตัวใหญ่จนถึงตัวเล็ก แสดงสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจและบารมี
ถัดจากกลุ่มสิงโตเป็นกลุ่มของฝูงม้า แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำ ที่คอยสังเกตระวังภัย มุ่งมั่นไปด้านหน้าอย่างไม่ละล้าละลัง ทั้งฝูงสิงโตและฝูงม้า จัดสรรค์เหมาะเจาะให้อยู่ตรงลานด้านหน้าน้ำพุขนาดใหญ่ ประดับประดาด้วยแสงไฟได้สัดส่วน ส่งเสริมให้ “คฤหาสน์จรัสเพชร” บนเนื้อที่กว่า 200 ตารางวา ไร้ข้อติติงใดๆ
รถที่แล่นเข้ามาจอดสนิทลงแล้ว จึงเห็นคนขับรถลงมาเปิดประตูให้เจ้านายก้าวลงมาช้าๆ ชายวัย 40 ตอนปลายภายใต้ชุดสูทสีดำสนิท ยังดูสง่าผ่าเผยแม้ผ่านเวลามาถึงยามค่ำคืน
เจ้าของคฤหาสน์หลังงามผู้นี้คือ ‘กสิณธร จรัสเพชร’ ผู้บริหารใหญ่ของบริษัท “จรัสเพชรเรียลเอทเตท” ดำเนินธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงธุรกิจรถยนต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ครอบครัวจรัสเพชรมีกสิณธรเป็นประมุขของบ้าน เคียงข้าง‘ประภา’ภรรยาสุดที่รัก รวมไปถึง‘เด็กชายภราทิตย์ จรัสเพชร’ บุตรชายวัย 12 ปีที่เติมเต็มความสมบูรณ์ของครอบครัวให้ลงตัวอย่างหาที่ติไม่ได้
“แม่ครับ คุณพ่อมาแล้วครับ” ภราทิตย์ส่งเสียงใสบอกมารดาที่นั่งอยู่ข้างกัน ก่อนลุกขึ้นยืนชะเง้อชะแง้ท่าทางดีใจ
ถึงจะเป็นเด็กชายร่างผอม แต่เขาดูว่องไวคล่องตัวอยู่มาก ที่สำคัญกว่านั้นเขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น น้ำเสียงแหบพร่า ใบหน้ามีสิวเป็นจุดเล็กๆ และรักการแต่งตัวมากกว่าที่เป็น
ภราทิตย์ติดพ่อมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อค่อนข้างตามใจ และมักอยู่รอการกลับมาของบิดาแบบนี้เสมอ แตกต่างจากประภาที่มักดุว่าเมื่อลูกชายดื้อดึงอยู่บ่อยๆ
“เจอพ่อแล้วรีบขึ้นนอนล่ะ สี่ทุ่มกว่าแล้วนะลูก” เธอบอกลูกชายแล้วละสายตาจากหนังสือในมือ
วัย 35 ปีเศษของประภาไม่ได้ทำเธอเปลี่ยนแปลงจากวัยสาว หากแต่ยังคงความสวยงามมากขึ้นกว่าเดิม ท่าทีของภราทิตย์กับการแสดงความรักบิดายังคงเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้ประภาพลอยมีความสุขตามไปด้วย
กสิณธรเดินเข้ามาถึงห้องรับแขก ประภายิ้มแย้มลุกเดินเข้าไปหาพร้อมน้ำเย็นๆ ส่งให้สามีรับไปดื่ม
“งานวันนี้คนเยอะมั้ยคะ” เธอถามอย่างอ่อนโยน
เขาดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้วส่งคืนให้ภรรยา “คนเยอะมาก คุณหญิงชมนารถถามหาประภาด้วยนะว่าทำไมไม่ไป”
“ประภาเวียนหัวชอบกล เลยไม่อยากออกงาน”
“แล้วกินยาหรือยังล่ะ”
“เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ พรุ่งนี้ประภาไม่เข้าบริษัทนะคะ อยากพักอยู่บ้านสักวัน”
“พักหลายวันก็ได้นี่นา ประภาเป็นเมียเจ้าของบริษัทนะ ทำไมต้องกังวลด้วย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ถึงยังไงก็ต้องเข้าไปดูแลใกล้ชิด”
ฝ่ายสามีหันไปทางบุตรชายที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงบอกบุญไม่รับ กสิณธรรู้ว่าลูกกำลังแง่งอนจึงรีบเดินเข้าไปโอบกอดพร้อมบอกเบาๆ
“พ่อทักทายกับแม่แป๊บเดียว น้อยใจไปได้”
“ผมไม่ได้โกรธพ่อนี่ครับ”
“พ่อรู้จักลูกพ่อดีหรอกน่า ห้าทุ่มแล้วนะยังไม่นอนอีก”
“เพื่อนๆ นอนกันดึกกว่านี้ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ วันนี้วันศุกร์ด้วย”
“ประภาบอกให้ขึ้นนอนตั้งนานก็ไม่ยอมขึ้น จะรอพ่อท่าเดียว” เสียงมารดาสมทบ
“พ่อครับ...ผมไม่อยากให้พ่อกลับดึกแบบนี้อีก ผมเป็นห่วงพ่อ”
“พ่อมีงานจำเป็นนี่ลูก อีกหน่อยถ้าดลมาทำหน้าที่แทนพ่อก็ต้องดูแลลูกค้าแบบนี้เหมือนกัน”
“อีกตั้งนานนี่ครับ”
“เวลาน่ะมันผ่านไปเร็วจะตายไปลูก ดูสิลูกจะเป็นหนุ่มแล้ว พ่อก็แก่ลงทุกวันๆ”
“ชาร้อนมาแล้วค่ะ คุณผู้ชาย” หญิงมากอายุวัย 50 ต้นๆ วางชาร้อนลงบนโต๊ะ พร้อมร่วมออกความเห็นไปกับกสิณธร “คุณดลยิ่งโต หน้ายิ่งเหมือนพ่อนะคะคุณผู้ชาย”
กสิณธรยิ้มภูมิใจ “ลูกพ่อก็ต้องหน้าเหมือนพ่อสิป้าบัว” เขาบอกพร้อมรับชามาดื่ม
ป้าบัวมองภราทิตย์ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู ความรักที่ป้าบัวมีให้ภราทิตย์ไม่ต่างไปจากทุกคน เพราะเลี้ยงดูภราทิตย์มาตั้งแต่แบเบาะ รับรู้ความเป็นไปของครอบครัวจรัสเพชรมาโดยตลอด
เสียงกสิณธรบอกตัดบท “ขึ้นนอนกันเถอะ เดี๋ยวจะดึก”
“ไปครับคุณแม่” ภราทิตย์เข้ามาจูงมือมารดาให้เดินไปด้วยกัน
แต่แล้วเมื่อประภาก้าวเดินไปได้สักครู่ก็เกิดหน้ามืดทำท่าจะล้มลง
“ประภา!..” กสิณธรถลาเข้ามาประคองภรรยาอย่างทันท่วงที “เป็นอะไรไป”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อเช้า..เดี๋ยวขึ้นไปนอนพักก็คงจะหาย”
“พรุ่งนี้ไปหาหมอดีมั้ย จะได้เช็กให้ละเอียด”
“ดีเหมือนกันค่ะ”
กสิณธรประคองภรรยาพาเดินขึ้นไปทางบันได ป้าบัวมองตามจนพ้นหลัง อดกังวลไปกับอาการของประภา ไม่ได้ พอหันกลับมาทำท่าจะเดินออกไปป้าบัวร้องเสียงหลง
“ว้าย อกอีแป้นแตก!..”
“ฉันเองป้า”
“ไอ้ณรงค์..ตกใจหมด เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง แล้วมีธุระอะไร”
เจ้าของชื่อยิ้มแหยเหมือนรู้สึกผิด หน้าที่ของณรงค์คือการขับรถให้กสิณธร และเมื่อหมดหน้าที่เขาควรกลับที่พักมากกว่า ระยะหลังป้าบัวมักเห็นเขาทำลับๆ ล่อๆ อยู่แถวตึกใหญ่ ทำให้เริ่มเห็นความิดปกติ
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรเหรอป้า”
“ข้าก็ไม่รู้..เห็นบ่นวิงเวียนหน้ามืด”
ณรงค์มีท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัด ป้าบัวพิจารณาสีหน้าและแววตาณรงค์แล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ในความเป็นจริงแม้นณรงค์จะอยู่ในวัยใกล้ 40 แต่รูปร่างหน้าตายังดูหนุ่มแน่นกว่าวัย กิติศัพท์ความเจ้าชู้ได้ยินเข้าหูมาบ้างในตอนที่กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านนอก
ณรงค์เป็นลูกพี่ชายป้าบัวที่ขอเข้ามาทำงานเป็นคนสวนบ้านจรัสเพชร ณรงค์ขอร้องป้าบัวไม่ให้บอกใครว่าตนเป็นหลานชายแท้ๆ เพราะยังหนีคดีต่างๆ จากบ้านนอก กลัวว่าป้าบัวจะพลอยเสียชื่อเสียงไปกับตน
ที่มาที่ไปของณรงค์เขาบอกทุกคนว่าอยู่หมู่บ้านเดียวกับป้าบัว เพราะนาแล้งทำกินไม่ได้ จึงต้องเข้ามาหางานทำในเมือง เมื่อมีป้าบัวซึ่งทุกคนให้ความไว้วางใจรับรองความซื่อสัตย์ให้ กสิณธรจึงเปิดใจรับเข้าทำงานโดยไม่ได้ซักถามอะไรให้มากความ หน้าที่คนขับรถคือตำแหน่งที่ณรงค์ได้รับมอบหมาย
การเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังงามของเขา ป้าบัวคิดว่าน่าจะควบคุมพฤติกรรมหลานชายให้อยู่ในขอบข่ายที่ดีได้ ประกอบกับช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา ณรงค์ไม่ได้สร้างเรื่องเลวร้ายใดๆ ทำให้ป้าบัวอุ่นใจในตัวเขา
“ไอ้ณรงค์!..”
“อะไรป้า” เขามองหน้า เมื่อน้ำเสียงผู้ถามดุดันในที
“อย่าให้ข้ารู้ว่าเอ็งคิดอะไรกับคุณผู้หญิง ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เอ็งกลับไปนั่งกินแกลบอยู่บ้านนอกโน่น”
“ป้าก็..ฉันจะไปทำแบบนั้นทำไม ฆ่าตัวเองชัดๆ ฉันรู้หรอกน่าว่าใครเป็นใคร”
“พ่อเอ็งกำชับข้าหนักหนาว่าให้ช่วยควบคุมเอ็ง ริจะทำอะไรก็จำตอนที่ติดคุกเอาไว้บ้างนะไอ้ณรงค์ รับรองว่าข้าไม่ไปประกันตัวเอ็งออกมาแน่”
“พูดกับป้าแล้วหงุดหงิด ไปดีกว่า” บอกพร้อมรีบผละออกไปเป็นการตัดบท
ห้องนอนภราทิตย์อยู่ติดกับห้องนอนประภา ภายในนั้นตกแต่งด้วยการ์ตูนของเด็กชายเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ปลอกหมอน ผ้าห่มและผ้าปูที่นอน รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ยังเป็นลายการ์ตูนที่ชื่นชอบ กสิณธรและประภาเข้ามาส่งบุตรชายในห้อง สักครู่ใหญ่จึงกลับออกไปจากเมื่อเห็นว่าลูกหลับไปแล้ว
ขณะกลับเข้ามาที่ห้องของตัวเอง กสิณธรเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย ฝ่ายภรรยาหยิบผ้าเช็ดตัวเข้ามาส่งให้พลางสอบถามน้ำเสียงนุ่มนวล
“กล่องยาล่ะคะ ประภาจะได้หยิบยาเตรียมไว้ให้”
“ลืมไว้ข้างล่าง”
“ถ้างั้นเดี๋ยวประภาไปเอามาให้ดีกว่าค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ยิ่งวูบวาบอยู่ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็เป็นอะไรไปอีก..รู้มั้ยว่าพี่เป็นห่วงแค่ไหน” สายตาที่มองมายังภรรยาอ่อนโยนบ่งบอกความจริงจากใจ
ยิ่งเห็นความห่วงใยจากสามี ประภากลับรู้สึกสะท้อนใจในบางสิ่งที่เก็บงำไว้ภายใน เธอเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนโผเข้ากอดสามี
“ประภารักคุณพี่จัง แต่คุณพี่ห่วงคนอื่นจนไม่สนใจตัวเอง”
“คนอื่นที่ไหน นี่เมียพี่แท้ๆ”
“ถ้างั้นประภาจะไปเอายามาให้คุณพี่ เพราะประภาห่วงคุณพี่เหมือนกัน อย่าห้ามนะคะ เพราะยาเนี่ยคุณอาหมอกำชับว่าต้องกิน”
“อย่าตื่นเต้นเกินไปเลยน่า อาหมอบอกว่าแค่อาการเริ่มแรกของโรคหัวใจเท่านั้น”
“ภรรยาเป็นห่วงสามีไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย เพราะฉะนั้นห้ามว่าคนที่เขาห่วงเด็ดขาด คุณพี่อาบน้ำเถอะค่ะ”
“ตามใจ” เขาพยักหน้าน้อยๆ เหมือนรู้ว่าขัดไม่ได้ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ประภาเดินลงบันไดช้าๆ มุ่งหน้าจะเข้าไปยังห้องครัว เห็นว่าแสงไฟเปิดอยู่ด้านในก่อนแล้ว หากจะให้เดาน่าจะเป็นป้าบัว ที่ยังสะสางงานครัวไม่เสร็จสิ้นมากกว่า สองเท้าก้าวเข้าไปช้าๆ แล้วหยุดยืนนิ่ง เมื่อเห็นด้านหลังของผู้ยืนอยู่ก่อนแล้ว
“นายณรงค์!..”
เจ้าของชื่อหันมาท่าทางตกใจ “คุณผู้หญิง”
“เข้ามาทำอะไรในนี้”
“ผมปวดท้อง ก็เลยมาหายาทาน พอดียาที่ห้องผมหมด ก็เลยขอป้าบัวเข้ามาเอายาที่ห้องครัว”
ประภาเงียบลง ในความเป็นจริงห้องครัวในบ้านนี้มีเพียงป้าบัวเข้าออกได้สะดวก และมักไม่ให้คนรับใช้ที่บ้านหลังเล็กเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ณรงค์เป็นเพียงคนขับรถแต่ทำไมป้าบัวให้ความไว้วางใจขนาดนั้น แทนที่จะซักถามประภาจำต้องเงียบ ป้าบัวคงมีเหตุผลของแกนั่นแหละ...คิดได้อย่างนั้น จึงเดินเลี่ยงไปหยิบชาจากตู้เล็กๆ ในนั้น
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรเหรอครับ”
“ฉันแค่เวียนหัวนิดหน่อย เลยจะชงชากิน เผื่อจะดีขึ้น”
ทุกอิริยาบถของประภาที่ดำเนินไป อยู่ในสายตาของณรงค์ที่มองดูอย่างชื่นชม การชงชาของประภาเริ่มมีปัญหาเมื่อรู้ว่าเป็นเป้าสายตาของใครบางคน เธอหยุดยืนนิ่งบอกเสียงนุ่มนวลแฝงความจริงจัง
“เสร็จแล้วก็กลับออกไปเถอะ ฉันชงชาไม่ถนัด”
“แต่ว่า...”
“ออกไป!..” เธอสั่งซ้ำเมื่อเห็นเขาทำท่าจะเดินเข้าหา
ณรงค์จำต้องหันหลังทำท่าจะเดินออกไป แต่ไม่วายหันมาย้ำถาม
“คุณผู้หญิงไม่ค่อยสบาย เอ่อ...”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก” น้ำเสียงห้วนย้ำชัดว่า “คนที่ห่วงใยฉันที่สุดน่าจะเป็นคุณผู้ชาย ตามหน้าที่และความเหมาะสมที่ควรจะเป็น ส่วนนายก็น่าจะกลับออกไปพักผ่อนได้แล้ว”
ณรงค์ยังยืนนิ่งมองมายังประภา คำบอกเล่นเอาใจไหวหวั่นไปบ้าง
“คุณผู้หญิงพูดถูกแล้วครับ เพราะการที่ผมห่วงใยคุณผู้หญิง ก็เป็นไปตามหน้าที่เหมือนกัน”
“นายณรงค์”
“จำชื่อผมแม่นจังนะครับ”
“ออกไป!..” ประภาโกรธจนยืนเซ
อารามตกใจทำให้ณรงค์รีบวิ่งเข้ามาประคอง แต่กลับถูกประภาสะบัดออกห่าง “อย่ามาแตะต้องตัวฉันอีก ไปให้พ้น!..”
คำสั่งสุดท้ายทำให้ณรงค์จำต้องขยับถอยแล้วค่อยก้าวออกไปช้าๆ สายตาประภาที่มองตามเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวล หยุดนิ่งอยู่สักครู่ ก่อนจะหันไปสนใจการชงชาของเธอต่อไป แต่เมื่อกลิ่นชาโชยคลุ้งเข้าจมูก จู่ๆ ประภาก็เริ่มกระอักกระอ่วน รีบเดินห่างออกไปจากแก้วชา
“ทำไมเหม็นอย่างนี้นะ...หรือว่าชาจะเสีย” พูดพร้อมหยิบถุงชาขึ้นมาดูวันหมดอายุ แต่ก็เห็นว่ายังไม่ถึงกำหนด เมื่อนิ่งคิดทบทวนไปมายิ่งทำให้หวาดกังวลมากกว่าเดิม “หรือว่าเรา...”
ความคิดที่เริ่มจะเตลิดไปไกล กลับกลายเป็นความเครียด ประภาเดินไปเดินมากระวนกระวายใจ
สักครู่เมื่อคิดว่าทุกอย่างอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด เธอตัดใจเดินไปหยิบยาสามีที่วางอยู่ตรงห้องรับแขกแล้วขึ้นบันไดไป
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องกลับเห็นว่าเขาหลับไปก่อนหน้าได้ไม่นาน เธอเดินเข้าไปใกล้สามี นิ่งพิจารณาใบหน้าในระยะใกล้ ขยับผ้าขึ้นมาห่มให้ที่อก
เขาคงเครียดจากงาน แล้วก็คงเหนื่อย....เธอคิดในใจ
ตั้งแต่มีภราทิตย์ประภารับรู้ว่าสามีขยันทำงานจนแทบไม่ได้พัก เนื่องจากธุรกิจรถยนต์ที่เพิ่มเข้ามาเติบโตอย่างรวดเร็ว เธอเองก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือสามีที่บริษัทเช่นกัน กว่าจะกลับถึงบ้านก็เล่นเอาเหนื่อยล้า
ส่วนภราทิตย์มีรถประจำรับส่งถึงที่ ในช่วงเย็นป้าบัวจะเป็นคนดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ภราทิตย์ติดป้าบัวแจ ภราทิตย์มักอยู่รอทั้งพ่อกับแม่กลับบ้านเกือบทุกวัน ทั้งนี้ทั้งนั้นป้าบัวจะเป็นผู้พิจารณาถึงความเหมาะสม เพราะถ้าหากดึกดื่นเกินไปจะจัดให้เข้านอนเพื่อสุขภาพของเขาเอง
ประภาล้มตัวลงนอนเคียงข้างสามี โอบกอดไว้อย่างแสนรัก ปฏิกิริยาจากเขาขยับตัวเล็กน้อยรับรู้การสัมผัสก่อนกุมมือภรรยาอย่างนุ่มนวลแล้วหลับไปด้วยกัน
บรรยากาศยามเช้าที่บ้านจรัสเพชรดำเนินไปอย่างเช่นทุกวัน ภราทิตย์ไปโรงเรียนด้วยรถรับส่งประจำ ส่วนประภาและสามีที่แต่งตัวเสร็จแล้ว เข้ามานั่งดื่มกาแฟตรงโต๊ะอาหารที่ป้าบัวจัดเอาไว้ให้ ประภายังดูอ่อนเพลียไม่กระปรี้กระเปร่าอย่างเคยเป็น เธอตัดบทไม่รับกาแฟแต่ขอเป็นน้ำเปล่าแทน กสิณธรสังเกตท่าทางภรรยาแล้วเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“ดีขึ้นมั้ย”
“นิดหน่อยค่ะคุณพี่”
“ถ้างั้นเดี๋ยวประชุมเช้าเสร็จแล้ว พี่จะพาไปหาหมอ ให้เช็กดูหน่อยดีกว่า”
“ค่ะ”
ณรงค์เดินเข้ามารับกระเป๋าเอกสารของเจ้านาย เพื่อจะนำไปที่รถ ระหว่างนั้นกสิณธรก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เดี๋ยวก่อน..เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวนายณรงค์ไปส่งฉันที่บริษัท แล้วก็เลยไปส่งคุณผู้หญิงที่โรงพยาบาลเลย”
“คุณพี่คะ แต่ว่า”
“พี่ประชุมเสร็จน่าจะตามไปทันพอดี..เอาตามนี้นะ”
นายณรงค์แทรกคำถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “คุณผู้หญิงเป็นอะไรหรือครับคุณผู้ชาย”
“เห็นบ่นว่าวิงเวียน สงสัยความดัน”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้ พลางหันมาทางประภาที่มองเมินไปทางอื่น แล้วเดินไปรอที่รถ
วันนั้นณรงค์ขับรถพากสิณธรไปส่งบริษัทอย่างเช่นทุกวัน เมื่อถึงที่หมายแล้ว กสิณธรบอกเขาว่าไม่ต้องถือกระเป๋าเอกสารตามไปส่งบนห้องทำงาน และให้รีบพาประภาไปโรงพยาบาล เพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลา
ระหว่างรถแล่นไปบนถนนประภาไม่ได้พูดอะไรกับณรงค์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบ สายตาคนขับรถมองมาทางเจ้านายผ่านกระจกเป็นระยะ ประภาแม้รู้อยู่เป็นนัยกลับนั่งนิ่งเฉย ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ เมื่อใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้วเธอออกคำสั่งกลายๆ ว่า
“เดี๋ยวจอดรถให้ฉันลงแล้วนายก็ไปได้เลย”
“คุณผู้ชายบอกให้ผมดูแลคุณผู้หญิงอย่างใกล้ชิด” เสียงยอกย้อนอย่างไม่ยอมกัน
“ฉันบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องสิ ฉันโตแล้ว ดูแลตัวเองได้”
“แต่ว่า..”
“ถ้านายไม่เลิกวุ่นวาย ฉันจะบอกคุณผู้ชายไล่นายออกไปซะ” น้ำเสียงตัดบทบอกอย่างไม่ไยดี
ณรงค์ไม่พูดอะไรจากนั้น ใช้เพียงสายตาเหลือบมองหน้าเธอผ่านกระจกเป็นระยะ
ภายในห้องประชุมบริษัทจรัสเพชรเรียลเอทเตท การประชุมกำลังดำเนินไปอย่างยืดเยื้อ เมื่อตัวแทนจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างหลายรายเข้ามาร่วมประชุมด้วย ต่างเสนองบประมาณในการก่อสร้างตามโครงการต่างๆ ที่ทางบริษัทกำลังมีโปรเจ็กต์ใหม่ขึ้นมา
และเมื่อการประชุมเสร็จสิ้นลงในวันนั้น กสิณธรรีบโทรศัพท์ไปหาภรรยา เพื่อสอบถามผลการตรวจจากหมอ
“แค่ความดันขึ้น ก็เลยวิงเวียน ตอนนี้หมอให้ประภากลับไปนอนพัก ประภาติดต่อเข้าไปที่คุณพี่ เลขาฯ บอกว่ายังไม่ออกมาจากห้องประชุม ก็เลยกลับมาก่อนค่ะ”
“แล้วนายณรงค์ไปส่งประภาที่บ้านใช่ไหม”
“ประภาให้เขากลับมาก่อนนานแล้วนี่คะ”
“ทำไมเหลวไหลแบบนี้นะ”
“ประภาให้เขากลับไปก่อนเองค่ะ จะได้ไม่ต้องรอนาน”
“ถ้างั้นก็นอนพักเถอะ เดี๋ยวตอนค่ำพี่จะรีบกลับ”
“ค่ะ” เธอวางสายจากสามีท่าทีอ่อนแรงกว่าทุกครั้ง
ห้องนอนกว้างใหญ่มากมายไปด้วยเฟอร์นิเจอร์มีราคา ร่างประภานอนนิ่งบนเตียงเหมือนหมออาลัยตายอยากในชีวิต แววตาแห้งผากเหม่อลอยไปยังเพดานด้านบน หลายสิ่งหลายอย่างในความคิด กำลังดำเนินไปอย่างไม่เป็นขั้นเป็นตอน ไม่ได้สับสนแต่จำนนกับทางออกมากกว่า คำพูดของหมอวนเวียนอยู่ในความทรงจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ผมดีใจด้วยนะครับ คุณท้องได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว”
ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจ แต่ที่แน่ๆ เธออยากให้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน
“ประภาจะทำยังไงดีคะคุณพี่ มันน่าละอายใจเหลือเกิน”
เมื่อรู้ว่าภรรยาไม่ค่อยสบาย บรรยากาศการทำงานของกสิณธรในวันนั้นดำเนินไปอย่างเร่งรีบ เพราะอยากกลับไปดูแลประภาใกล้ชิด เซ็นเอกสารและตรวจงานตามหน้าที่จนเรียบร้อย เขาเป่าปากระบายลมหายใจโล่งอก
“เสร็จซะที”
ขณะเตรียมตัวจะกลับบ้าน เสียงโทรศัพท์จากเครื่องบนโต๊ะทำงานดังขึ้น
“ท่านคะมิสเตอร์ลีอยู่ในสายค่ะ”
“มินเตอร์ลี..ลูกค้าวีไอพีจากฮ่องกงน่ะเหรอ” เขาย้ำถามเลขาฯ ที่ติดต่อเข้ามา
“ค่ะ บอกว่าพาครอบครัวมาเที่ยวเมืองไทย”
“ปล่อยสายเข้ามาได้”
เลขาฯ หน้าห้องปล่อยสายมิสเตอร์ลีให้สนทนากับกสิณธรตามลำพัง
ตลอดการพูดคุยกสิณธรมีสีหน้ายิ้มแย้ม เนื้อหาของการเจรจามิสเตอร์ลีชักชวนเขาไปร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แม้ว่าอยากปฏิเสธเพราะต้องกลับไปดูภรรยา แต่เมื่อเห็นว่ามิสเตอร์ลีเป็นลูกค้าคนสำคัญ และกำลังมีโปรเจ็กต์ทางด้านธุรกิจรถยนต์กันอยู่ ทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้
หลังวางสายจากมิสเตอร์ลี กสิณธรโทรศัพท์เข้าไปที่ณรงค์พร้อมสั่งการ
“วันนี้ไม่ต้องรอฉัน ฉันต้องไปกินข้าวกับมิสเตอร์ลี เดี๋ยวจะชวนนเรนทร์ไปด้วย แล้วจะให้นเรนทร์เลยไปส่ง”
“ครับท่าน” เขารับคำแล้วกดวางสาย
สถานที่รับประทานอาหารค่ำนั้นกสิณธรเลือกเอาร้านแบบไทยๆ เพราะเห็นว่ามิสเตอร์ลีชื่นชอบ การสนทนาดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง เพราะคุ้นเคยกันมาก่อน มิสเตอร์ลีแนะนำภรรยาให้กสิณธรและนเรนทร์รู้จัก รวมไปถึงบุตรชายทั้งสองที่พามาท่องเที่ยวเมืองไทยในครั้งนี้ด้วย
มิสเตอร์ลีรู้จักนเรนทร์มาก่อนหน้าแล้ว เพราะเคยติดต่องานกันอยู่บ่อยๆ แถมยังชื่นชมว่าน้องชายกสิณธรบริหารงานเก่งเหมือนกับพี่ชาย
นเรนทร์เป็นน้องชายคนเดียวของกสิณธร แต่งงานแยกออกไปมีครอบครัวแล้วแต่ยังไม่มีลูก อายุของเขามากกว่าประภา เป็นคนขยันและซื่อสัตย์ต่อการทำงาน จึงได้รับความเคารพและไว้วางใจจากทั้งประภาและกสิณธร
ภรรยามิสเตอร์ลีสอบถามถึงประภา ซึ่งเคยพบกันมาแล้วครั้งหนึ่ง กสิณธรบอกว่าเธอไม่สบาย จึงให้นอนพักอยู่ที่บ้าน มิสเตอร์ลีแสดงความห่วงใยและฝากเยี่ยมเยียนผ่านกสิณธรไปด้วย
กว่าจะรับประทานอาหารเสร็จ กลับถึงบ้านคืนนั้นก็เกือบเที่ยงคืน นเรนทร์ขับรถไปส่งพี่ชายที่บ้านแล้วกลับออกไป ณรงค์อยู่รอเจ้านายและเข้าไปช่วยถือกระเป๋าเอกสารอย่างรู้หน้าที่ ได้กลิ่นไวน์กรุ่นๆ แผ่วเข้าจมูก แค่พอให้รู้ว่ากสิณธรดื่มมากับแขกบ้าง แต่ไม่มากนัก
กสิณธรเดินขึ้นบันไดผ่านห้องนอนบุตรชาย จึงเปิดประตูแวะเข้าไปดูความเรียบร้อย ภราทิตย์หลับนานแล้วเพราะประภาบอกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเข้านอน ว่าพ่อติดธุระกับลูกค้ากว่าจะกลับคงดึก กสิณธรดึงผ้าขึ้นมาห่มให้ที่อกอย่างนุ่มนวล ก้มลงหอมที่หน้าผากแผ่วเบา
สัมผัสจากบิดา ทำให้เด็กชายภราทิตย์ลืมตาตื่นขึ้นมาจนได้
“พ่อ..”
“พ่อนึกว่าหลับแล้วเสียอีก”
“ผมปวดฉี่ครับ” ลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ ทั้งที่ตายังสะลึมสะลือ
ปฏิบัติภารกิจเพียงไม่นานก็กลับมาล้มตัวลงนอนต่อ ปากไม่วายบอกบิดาอย่างจำได้
“พ่อครับ พรุ่งนี้วันพ่อ โรงเรียนจัดงาน”
“พ่อรู้แล้วลูก แม่เขาย้ำกับพ่อตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว รับรองว่าไม่พลาด หลับเถอะ เดี๋ยวตื่นสาย พรุ่งนี้จะได้ไปโรงเรียนพร้อมกัน”
“ครับพ่อ”
“พ่อรักลูกนะดล” บอกแล้วหอมซ้ำลงที่หน้าผากอีกครั้ง
“ผมก็รักพ่อครับ”
เมื่อเห็นภราทิตย์หลับตาลงอย่างว่าง่าย กสิณธรจึงเดินออกไปจากห้อง
ประภายังไม่ได้หลับ เพราะรอการกลับมาของสามีด้วยใจจดจ่อ เมื่อเห็นเขาเข้ามาในห้อง จึงลุกเดินเข้ามาหา
“ยังไม่นอนอีกเหรอประภา”
“รอคุณพี่น่ะค่ะ”
“หน้ายังซีดๆ อยู่เลย นี่ถ้าไม่ใช่ลูกค้าคนสำคัญจะให้นเรนทร์ไปรับรองแขกคนเดียว หมอให้พักผ่อนมากๆ ไม่ใช่เหรอ ยังมารอรับพี่อีก”
“คุณพี่คะ...ประภามีอะไรจะบอกคุณพี่” เสียงสั่นเครือกับน้ำตาที่เอ่อคลอทำให้ผู้สามีแปลกใจ
“มีอะไรประภา?”
ฝ่ายภรรยาโถมตัวเข้ามาโอบกอดสามีร้องไห้อย่างอัดอั้น น้ำตาทะลักทะลายอย่างสุดจะยับยั้งได้ กสิณธรตบไหล่เบาๆ เหมือนปลอบโยน
“พี่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่ประภาจะบอก แต่ถ้ามันลำบากใจเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยบอกก็ได้ พี่ไม่อยากให้ประภาเป็นแบบนี้เลย เอาอย่างนี้คืนนี้นอนหลับให้สบาย ตอนเช้าเราค่อยมาพูดกัน จำเอาไว้นะประภา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พี่ก็รักประภาแล้วก็ลูกของเรามาก”
“คุณพี่...”
กสิณธรขยับตัวภรรยาออกเบาๆ เช็ดน้ำตาให้อย่างละมุนละไม ประคองพาไปนอนที่เตียงอย่างแสนรัก
“นี่ถ้าตาดลมาเห็นแม่เป็นแบบนี้ คงคิดว่าพ่อรังแกแม่แน่ๆ ” บอกภรรยาเพียงเท่านั้น กสิณธรจึงเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ
ประภากำลังจะหลับตาลง แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
“ตายจริง..ถุงยา ลืมไว้ที่ห้องครัว ทำไมเผลอเรออย่างนี้นะ”
ท่าทางร้อนใจแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เธอลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้าไปถึงห้องครัว ประภากวาดสายตามองหาถุงยาแต่กลับไม่เห็นมันอยู่แถวนั้น เธอเริ่มกังวลใจขึ้นมา
“หายไปไหนนะ จำได้ว่าเอาไว้ตรงนี้นี่นา”
ยืนครุ่นคิดทบทวนอยู่สักครู่ ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าหายไปได้อย่างไร
“หรือว่าวางอยู่ที่ห้องรับแขก” ท่าทีวิตกมีมากขึ้น
ประภาเดินมาถึงห้องรับแขกแล้วชะงัก เมื่อเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ในมือของเขามีสิ่งที่เธอกำลังตามหา
“หาไอ้นี่อยู่หรือเปล่าคุณผู้หญิง”
“นายณรงค์” ประภายืนอึ้ง ทำท่าจะถลาเข้าไปยื้อแย่ง แต่อีกฝ่ายรีบดึงมือไปไว้ด้านหลังไม่ยอมให้ไปง่ายๆ “เอาคืนมาให้ฉัน”
อีกฝ่ายยิ้มแทนคำตอบ หากแต่เป็นรอยยิ้มของชัยชนะอยู่ในที “เราน่าจะยินดีไปด้วยกันนะครับคุณผู้หญิง..เพราะว่าเรากำลังจะมี..”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ...อย่าพูดอะไรบ้าๆ นะ ไม่..มันต้องไม่เป็นแบบนั้น”
“ทำไมล่ะ...นี่ผมกำลังดีใจแทบตาย...หรือว่าผมจะต้องไปบอกคุณผู้ชายดีนะ”
“ไม่!..อย่านะ ออกไป เอาของมาให้ฉัน”
“คุณผู้ชายน่าจะดีใจนะที่คุณผู้หญิงจะมีลูกอีกคนให้เขา” ขยับเข้าไป แล้วย้ำเสียงเข้ม “คุณผู้หญิงกำลังท้องกับผม..เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน”
“หยุด..ฉันไม่อยากฟัง”
“คราวนี้จะทำยังไงดี”
“คุณพี่ต้องไม่รู้เรื่องนี้” ประภาเสียงดังใส่
“ได้..สามีโง่ๆ ของคุณผู้หญิงจะไม่รู้เรื่องนี้ เพราะอาจจะช็อกตายเสียก่อน...แค่อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ให้ความสุขกับเมียตัวเองไม่ได้ ก็ทำให้โรคหัวใจกำเริบขึ้นมาไม่รู้กี่รอบ ดีนะที่ได้ลูกจ้างอย่างผมเข้ามาทำงาน เพราะทำหน้าที่จนคุ้ม นอกจากจะคอยรับใช้เจ้านาย ยังให้บริการเมียอีกต่างหาก”
“หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกคุณพี่ว่านายข่มขื่นฉัน นายมันเลว ฉันไม่ได้เต็มใจเป็นของนาย คุณพี่จะต้องไล่นายออกไปจากที่นี่”
“ก็เอาสิ บอกให้หมดด้วยล่ะ ว่าผมข่มขืนแค่ครั้งเดียว..เพราะว่าหลังจากนั้นก็เป็นความสมัครใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย...จะให้บรรยายอีกไหมว่าขึ้นเตียงแบบไหนแล้วคุณผู้หญิงชื่นชอบ”
ประภาเงื้อมือฟาดหน้าณรงค์ฉาดใหญ่
“แก ไอ้คนเลว อยู่ไปก็มีแต่จะทำให้ฉันอับอาย อย่าอยู่เลย” ประภาถลาเข้าไปคว้าแจกันใกล้ตัวปาเข้าใส่ แต่อีกฝ่ายหลบทัน ทำให้แจกันหล่นแตกกระจายเกลื่อนพื้น
“คิดจะฆ่าพ่อของลูก มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอคุณผู้หญิง” เขาปรี่เข้าไปจับบ่าทั้งสองข้างของเธอบีบแรงๆ
“ปล่อยนะ ฉันเจ็บ”
“คนขับรถอย่างไอ้ณรงค์คนนี้ ถึงยังไงก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผัว ไปตรวจกับหมอแล้วจะไม่บอกผัวคนนี้สักคำหรือว่าท้อง น่าเสียดายที่ไอ้ณรงค์มันไม่ได้โง่อย่างที่คิด”
“หยุด..ฉันบอกให้หยุด”
เพล้ง!...เสียงแก้วน้ำหล่นแตกกระจาย
ทั้งณรงค์และประภาหันไปตามเสียง ก่อนจะเห็นร่างกสิณธรทรุดตรงเชิงบันได
“คุณพี่!..” ประภาวิ่งเข้าไปหาสามี
“หยุดอยู่แค่นั้น..ไม่ต้องเข้ามา” กสิณธรเริ่มหายใจแรง
ฝ่ายภรรยาหยุดยืนนิ่งทั้งที่ยังไม่ถึงตัวสามี “คุณพี่..ประภา..ประภาขอโทษ”
แม้ระบบการเต้นของหัวใจจะขาดหายเป็นห้วงๆ สายตากสิณธรยังจ้องมองไปยังคนขับรถของตนแน่วแน่ ยกมือหนึ่งชี้หน้าอย่างอาฆาตมาดร้าย
ผลงานอื่นๆ ของ 8244430 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ 8244430
ความคิดเห็น