Fanfic League of Legends [Thresh] Before the legends
เรื่องเล่าของเหล่านักเดินทาง เรื่องราวของผู้คุมคุกที่โหดร้ายจนกลายเป็นตำนาน "Thresh"
ผู้เข้าชมรวม
376
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
“ตะเกียงของข้าเรืองแสงไปด้วยดวงวิญญาณที่ข้าเก็บสะสมมา
เคียวติดโซ่ของข้ามีไว้จับกุมเหยื่อที่ข้าหมายตา
และความรื่นรมย์ของข้า…
...คือการฉีกกระชากวิญญาณให้เป็นชิ้นๆ”
Thresh, The chain warden
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เมื่อครั้งที่ข้ายังมีชีวิต ข้ารับหน้าที่เป็นพัศดีในคุกแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าอาชญากรร้าย และด้วยความอ่อนต่อโลกของข้า ทำให้หลงกลของมัน จนเกือบจะเป็นจุดจบของชีวิตข้าแล้ว
ข้าถูกทำร้ายจนปางตายและมันก็แย่งกุญแจแล้วหนีไป บาดแผลในครั้งนั้นทำให้ข้าต้องพักรักษาตัวนานนับปี แต่ข้าก็ไม่ได้นอนอยู่เฉยๆ ข้าใช้เวลาที่มีเหลือเฟือค่อยๆวางแผนในการจับตัวมันกลับมา สิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจคือตัวข้านั้นไม่ได้มีความแข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับอาชญากร ดังนั้นข้าจึงต้องวางแผนให้มากเข้าไว้ จนกระทั่งวันที่ข้าหายดีก็มาถึง เป็นวันเดียวกับอาวุธที่ข้าสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อการตามล่าถูกสร้างเสร็จพอดี
อาวุธที่ข้าสั่งทำมีลักษณะเป็นเคียวขนาดเล็กที่ส่วนคมมีดใหญ่กว่าปกติและมีเงี่ยงที่เพิ่มความสามารถในการยึดจับเป้าหมาย ในขณะที่ด้ามจับถูกร้อยกับสายโซ่ที่ยาวเกือบสามเมตรเพื่อให้เหมาะแก่การเหวี่ยงฟาด นับว่าเป็นอาวุธที่เหมาะแก่การไล่ล่าและจับตัวมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามข้าก็จำต้องลบความคมของเคียวออกจนเกือบหมด เนื่องจากหน้าที่ของข้าคือการจับตัวมันกลับมารับโทษทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่การล่าสังหาร
หลังจากนำหน่วยทหารออกติดตามค้นหาร่อยรอยของมันนานนับเดือนข้าก็พบมันที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่นั่นมันอยู่ท่ามกลางเหล่าอาชญากร และพวกมันกำลังสนุกสนานไปกับการย่ำยีหญิงสาวที่ไร้ทางต่อสู้
สิ่งที่เห็นทำให้ข้าตัดสินใจสั่งให้ทหารเข้าจู่โจมทันที การเข้าจับกุมเป็นไปอย่างง่ายดายเนื่องจากศัตรูไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ จนกระทั่งมันจับหญิงสาวที่อ่อนแรงและเต็มไปด้วยบาดแผลคนหนึ่งมาเป็นตัวประกัน เธอขัดขืนจนหลุดและวิ่งหนีมาหาข้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่นั่นกลับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของเธอ
ข้ารับร่างของเธอไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกันคมดาบของมันก็แทงทะลุตัวเธอเข้ามาเพื่อที่จะสังหารข้า การโจมตีนี้เรียกเลือดจากข้าไปได้ไม่น้อย แต่นั่นไม่ทำให้ข้าตกใจเท่ากับตอนที่พบว่าร่างของหญิงสาวที่อยู่ในวงแขนของข้าไม่มีลมหายใจแล้ว ข้าทำได้แค่มองร่างไร้วิญญาณของเธอพร้อมสบถสาปแช่งโชคชะตาและความอ่อนแอของตัวเอง
หญิงสาวผู้น่าสงสาร เธอเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาแต่กลับต้องมาพบเจอชะตากรรมที่โหดร้ายเช่นนี้ แม้แต่ในช่วงเวลาที่เธอมีความหวังอันน้อยนิดที่จะหนีจากความเลวร้ายนี้วาระสุดท้ายกลับมาเยือนเธอเสียก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองตายตอนไหน รอยยิ้มบนใบหน้าไร้ชีวิตของเธอทำให้ข้าเหม่อมองเพียงครู่ ก่อนจะวางร่างไร้ชีวิตนั้นลงกับพื้นอย่างเบามือ
"Rest In Peace" (ขอให้พักผ่อนอย่างเป็นสุข) ข้ากระซิบกับร่างไร้วิญญาณของเธอแล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับตัวการที่สังหารเธอด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ถูก ข้าคล้ายกับถูกเผาด้วยเปลวเพลิงที่มองไม่เห็น ความเดือดดาลที่เกินจะระงับได้ทำให้ข้าตวัดเหวี่ยงอาวุธในมือใส่มันทันที
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ถึงแม้ว่ากำลังของข้าไม่อาจเทียบกับมันได้ก็ตาม แต่ความยาวของโซ่และความหนักของเคียวก็ช่วยเสริมความได้เปรียบให้ข้าได้ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย การต่อสู้ระหว่างข้ากับมันในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้ามาแทรกแม้แต่น้อย ศึกครั้งนี้จบลงเมื่อดาบเหล็กของมันไม่อาจทนรับการฟาดฟันที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องได้ จึงหักลงพร้อมๆกับที่เคียวของข้าปักลงไปที่ต้นขาของมัน
ด้วยการออกแบบเป็นพิเศษของข้าทำให้เคียวนี้ไม่มีความคมพอที่จะตัดผ่านเนื้อ แต่ก็ไม่สามารถดึงออกมาได้โดยง่ายหากไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง ข้าเพียงกระตุกสายโซ่มันก็ล้มลงนอนกลิ้งกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
ข้าสั่งให้ทหารเข้าไปใส่ตรวนมันก่อนจะถอนเคียวของข้าออกมา หลังจากจัดการกับศพและเศษซากความเสียหายแล้วจึงนำตัวพวกมันกลับไปรับโทษ แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นข้าก็ต้องตกตะลึงกับคำพิพากษาของศาล
มันไม่ถูกประหาร ไม่ต้องรับโทษใดๆเพิ่มเติมทั้งสิ้น เพียงแค่กลับเข้าไปใช้ชีวิตในห้องขังเท่านั้น ข้ารู้ได้ทันทีว่ามันต้องได้รับการช่วยเหลือจากใครสักคนแน่ๆ แต่ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทำตามคำสั่ง
ข้ากลับมานั่งเหม่ออีกในห้องพัศดีอีกครั้งพลางนึกถึงวิธีที่จะจัดการกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่นั่นก็เหมือนจะเกินขอบเขตที่ข้าสามารถนึกไปถึงได้ ในขณะที่ข้าคิดว่าไม่สามารถทำอะไรกับมันได้และกำลังจะยอมแพ้นั้น ภาพการตายของหญิงสาวคนนั้นก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ภาพนั้นสร้างกลุ่มก้อนสีดำแห่งความโกรธและเกลียดชังในใจข้า มันได้เติมเชื้อไฟในใจข้าที่กำลังจะมอดดับลงให้แรงขึ้นอีกครั้ง มันทำให้ข้าค้นหาทุกวิถีทางในการจัดการมันโดยต้องผ่านเงื่อนไขสำคัญที่สุดคือ ‘ห้ามฆ่า’
การค้นหาวิธีจัดการมันอย่างสาสมโดยไม่ให้ถึงตายนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก ข้าเปิดตำราทุกเล่มที่รู้จัก ศึกษากฎหมายทุกข้อที่เกี่ยวข้อง อาศัยความแค้นคอยกระตุ้นตนเองยามถอดใจ และในขณะเดียวกัน หัวใจของข้าก็ค่อยๆถูกย้อมไปด้วยกลุ่มก้อนของความเกลียดชังโดยที่ข้าไม่รู้ตัว
สุดท้ายตัวข้าเองก็ไม่สามารถแบกรับความรู้สึกนั้นไว้ได้ ข้าล้มป่วยและฝันร้ายซ้ำไปซ้ำมาถึงหญิงสาวคนนั้น ในฝันนั้นข้าทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเธอแต่ก็ไม่สามารถทำได้ แม้แต่การอ้อนวอนใดๆก็ไม่สามารถช่วยเธอได้ สิ่งที่ข้าข้าทำได้มีเพียงมองเธอที่วิ่งมาหาข้าด้วยความหวังหวังว่าข้าจะช่วยเธอได้ และสุดท้ายก็จบลงที่ร่างไร้ชีวิตในอ้อมกอดของข้า เสียงหัวเราะของมันกระตุ้นความคลั่งแค้นและอ่อนแอของข้า แล้วตัวข้าก็จมลงไปสู่ความสิ้นหวังไร้ก้นบึ้งอีกครั้ง
ข้าดิ้นรนอย่างเจ็บปวดภายในบึงสีดำที่คอยกัดกินร่างกายของข้า แต่ในครั้งนี้มีบางสิ่งแปลกไป ข้าได้ยินเสียงกระทบกันเบาๆของโลหะ เสียงนั้นดึงความสนใจของข้าไปจากความเจ็บปวด เสียงนี้อาจมีมานานแล้วแต่ข้าไม่ได้สังเกตถึงมัน หลังจากควานหาไปมาสักพักข้าก็พบมัน และในพริบตาที่ข้าสัมผัสมันได้ รูปร่างของมันก็ปรากฏชัดเจนต่อสายตาข้า
ตอนนี้ในมือของข้ามีเคียวลักษณะแปลกตาที่ถูกร้อยด้วยโซ่อยู่ ตรงส่วนปลายมีดของมันมีคราบเลือดติดอยู่ทำให้ข้าจำได้ว่านี่คืออาวุธที่ข้าสั่งทำขึ้นมาเพื่อใช้ในการตามจับกุมมัน แต่อาวุธจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อข้าไม่สามารถทำการสังหารมันได้
ในที่สุดข้าก็นึกออก ภาพการต่อสู้ครั้งสุดท้ายถูกฉายขึ้นมาอีกครั้งในห้วงของความคิด และนั่นทำให้ข้านึกถึงลักษณะพิเศษของอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมาได้ คุณสมบัติที่ข้าลืมมันไปเสียสนิท
‘มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้ในการฆ่า สิ่งที่มันทำได้คือกรีดแทงและจับกุมเป้าหมาย’
กรีดแทง... ทรมาน... ใช่แล้ว! การทรมานเพื่อสอบปากคำถือว่าอยู่ในขอบเขตที่ข้าสามารถทำได้ ขอเพียงแค่มันยังไม่ตายก็ไม่มีใครเอาผิดกับข้าได้ ทันใดนั้นภาพอดีตก็ย้อนมาอีกครั้ง หญิงสาวที่วิ่งเข้ามาอย่างมีความหวัง และสิ้นชีวิตภายในวงแขนของข้า
แต่ครั้งนี้ข้าไม่สิ้นหวังหรือร้องขอความช่วยเหลือใดๆอีกต่อไปแล้ว ข้าวางร่างไร้ชีวิตนั่นลงกับพื้นและหยิบอาวุธขึ้นมา เสียงโซ่กระทบกันเบาๆคล้ายส่งสัญญาณว่าพร้อมสำหรับการทำตามหน้าที่แล้ว ข้าควงมันเล่นนิดหน่อยก่อนจะเหวี่ยงมันออกไป ทันทีที่ปลายเคียวถูกเป้าหมาย ภาพของโลกแห่งความฝันก็ได้แตกสลายลง
ข้าลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงในห้องของข้าเอง หลังจากทบทวนความฝันอีกครั้งข้าก็หันไปมองอาวุธที่แขวนไว้ข้างฝามาตลอด ข้ายิ้มออกมาอย่างยินดีก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ยังก่อน ข้ายังต้องทำอะไรอีกนิดหน่อยก่อนที่จะลงมือ ถึงเวลาที่จะต้องเปิดตำราอีกครั้งแล้วสินะ ข้าหัวเราะในลำคอเบาๆให้กับตนเอง
ระยะเวลาครึ่งปีอาจยาวนานสำหรับผู้รอคอย แต่สำหรับข้าที่กำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนแล้วมันไม่ต่างจากพริบตาเดียว กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้มันลืมเลือนเรื่องราวของข้าไป แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะข้าจะทำให้มันจำได้อีกครั้งเอง
หลังจากเตรียมการทั้งหมดพร้อมแล้ว ข้าก็เรียกมันมาที่ห้องสอบสวนก่อนจะแกล้งทำพลาดเผยกุญแจห้องขังออกมาให้เห็น และก็เป็นไปตามคาด มันเข้ามาจู่โจมข้าทันทีที่เห็นโอกาส แต่ในครั้งนี้ข้าได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ข้าหลบพร้อมดึงเคียวโซ่ที่ซ่อนไว้ออกมา เหวี่ยงไปตามแนวขวางเข้าที่สีข้างของมัน จนได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
ข้ายิ้มอย่างยินดีที่แผนการที่วางไว้ประสบความสำเร็จ ข้ากระชากเคียวโซ่ออกมาจากตัวมันอย่างรุนแรงจนแผลฉีกขาดจนมันต้องลงไปเกลือกกลิ้งอย่างน่าสมเพชอยู่กับพื้น สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน ข้ามีเวลาอย่างเหลือเฟือจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนที่จะทรมานมัน นี่เป็นเพียงก้าวแรกในการล้างแค้นเท่านั้น ข้าจะไม่ทำร้ายเพียงแค่ร่างกายของมัน แต่ข้าจะทำลายมันให้แหลกยับไปจนถึงจิตวิญญาณ ข้าส่งเสียงกระซิบให้มันในก่อนที่จะเรียกหน่วยพยาบาลมารักษาแล้วจับมันยัดเข้าห้องขัง
“ไม่ต้องกลัวไป หลังจากนี้ข้าจะแวะไปเล่นกับเจ้าอีกแน่นอน”
ข้ามองสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตของมันอย่างสนุกสนาน ไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้แหละดี เวลาที่ข้าทำลายจิตใจและความกล้าหาญทั้งหมดของมันจะได้ยิ่งสนุก
หลายวันถัดมาข้าก็ไปทักทายมันอีกครั้งถึงห้องขัง ในคราวนี้ข้าไม่ให้โอกาสมันได้ตั้งตัว โดยในครั้งนี้ข้าได้เจาะรูไว้ที่ขาทั้งสองของมันพร้อมทั้งเฆี่ยนมันจนหมดสภาพด้วยสายโซ่ และในอีกหลายวันถัดมาข้าก็ไปทรมานมันอีกโดยใช้วิธีการใหม่ๆไปตามแต่จะคิดออก
ผ่านไปสามเดือนหลังจากที่ข้าทรมานมันครั้งแรก ในตอนนี้มันไม่ต่างไปจากเศษผ้ายุ่ยๆชิ้นหนึ่งที่เพียงได้ยินเสียงโซ่กระทบกันเบาๆก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง และข้าเองก็เบื่อกับการทรมานมันแล้ว แต่ในระหว่างที่ข้ากำลังเบื่ออยู่นั่นเอง ก็มีนักโทษคนใหม่ถูกส่งตัวเข้ามา เป็นหนึ่งในกลุ่มของมันนั่นเอง การมีอยู่ของมันได้จุดประกายไฟให้แก่ความเกลียดชังของข้าอีกครั้ง ข้าจึงจัดการมันจนเป็นเศษซากในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่ข้าก็ยังไม่พอใจ ข้าจึงเริ่มออกเยี่ยมเยียนเหล่านักโทษที่ชอบก่อปัญหา ทรมานเฆี่ยนตีมันจนแหลกยับ และหัวเราะไปกับเสียงโหยหวนของพวกมัน
ข้าหลงใหลในการทรมานมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดในคุกนี้ก็ยังไม่เหลือใครที่ข้ายังไม่เคยทรมาน ในตอนนี้คุกที่ข้าประจำการอยู่ถูกเรียกว่าคุกที่โหดร้ายที่สุด และข้า ก็ถูกเรียกด้วยความหวาดกลัวว่า The Chain Warden (พัศดีโซ่เหล็ก)
ผลงานอื่นๆ ของ Nekerian ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Nekerian
ความคิดเห็น