คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Make Friends
หลังจากที่ได้เข้าไปช่วยบิลจากการถูกแกล้งในครั้งนั้น โดโลเรสก็ไม่เคยได้เห็นหน้าเขาอีกเลยยกเว้นแค่วันอาทิตย์ที่สถานบำบัดจิตเท่านั้น
บิลทำตัวเฉยชาเหมือนเดิม และเธอเองก็ไม่กล้าจะทักเขาเพราะไม่รู้ว่าเขายังโกรธเธออยู่หรือเปล่าที่ดันเสนอหน้าเข้าไปช่วยตอนนั้น
ไม่รู้ทำไมโดโลเรสถึงได้รู้สึกผิดทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแท้ ๆ แต่ยังไงก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดีเพราะอีกฝ่ายดูจะไม่ชอบขี้หน้าเธอไปเสียแล้ว
อากาศยามเช้าหนาวจัดจนรู้สึกแสบผิวแม้ว่าจะใส่เสื้อกันหนาวตัวหนาแล้วก็ตาม เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพ่นไอสีขาวออกมาในระหว่างที่เดินเข้าไปในโรงเรียน แม้อาการแพนิคที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้จะถือว่าดีขึ้นเพราะเริ่มชินกับการอยู่ท่ามกลางคนเยอะ ๆ บ้างแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างคนปกติโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร สำหรับคนที่มีอาการทางจิตแบบเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องยากลำบากไปเสียหมดนั่นแหละ
เมื่อก้าวขาเข้าไปในอาคารเรียน เด็กสาวร่างสูงก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่แปะเรียงรายเต็มฝาผนัง มันเป็นโปสเตอร์ประกาศตามหาคนหายซึ่งมีใบหน้าของคนที่หายตัวไปหลายคนปรากฏเด่นหรา แต่ที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือรูปของใครคนหนึ่งที่ถูกแปะอยู่ตรงกลางของบอร์ด
หล่อนเป็นผู้หญิงผมบลอนด์ที่จัดว่าหน้าตาสะสวยทีเดียว จมูกโด่ง
ดวงตากลมโตสีฟ้าสวย ขนตาหนา ปากเป็นรูปกระจับสีชมพูระเรื่อแบบคนสุขภาพดี
แต่สิ่งที่ทำให้โดโลเรสแปลกใจนั้นไม่ใช่ความสวยของหล่อน แต่เพราะใบหน้าของหญิงคนนี้ช่างคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
โชคร้ายที่โดโลเรสเป็นพวกไม่เข้าสังคม เธอจึงไม่เคยสนใจที่จะจดจำใคร ฉะนั้นแล้วเลยนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอผู้หญิงในรูปไปตอนไหน
ผลั่ก!
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก รู้ตัวอีกทีโดโลเรสก็ล้มก้นจ้ำเบ้าบนพื้นกระเบื้องสีขาวเสียแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตัวต้นเหตุที่พุ่งชนเธอจนล้มเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง หล่อนมีผมสีน้ำตาลอ่อนและผิวสีน้ำผึ้ง หน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา แต่สีหน้าและแววตาถมึงทึงที่มองเธออยู่ทำให้ความน่ารักบนใบหน้าลดไปหลายเปอร์เซ็นเลยทีเดียว
“เดินภาษาอะไรถึงไม่ดูทางเลยห๊ะ!”
โดโลเรสขมวดคิ้วด้วยความงุนงงในขณะที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างทุลักทุเลา เพราะความจริงแล้วเธอไม่ได้เดินเลยด้วยซ้ำเนื่องจากกำลังหยุดดูโปสเตอร์คนหายอยู่ ฉะนั้นแล้วคนที่เดินไม่ดูที่ดูทางไม่ใช่เธอแน่นอน
“แต่ฉันยืนอยู่เฉย ๆ นะ เธอต่างหากที่วิ่งมาชนฉันเอง”
“นี่แก!”
เป็นอีกครั้งที่โดโลเรสต้องล้มลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งคราวนี้เกิดจากฝีมือของผู้หญิงคนนั้นพุ่งเข้ามาผลักอย่างโมโห ความเจ็บปวดที่สะโพกตอกย้ำซ้ำเข้าไปอีกเมื่อถูกกระแทกอย่างแรงบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ เล่นเอาเจ็บจนแทบจะน้ำตาเล็ด
“อย่าคิดมาเถียงฉันอีกนังบ้า!”
โดโลเรสได้แต่นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจเมื่อเจอการต่อว่าจากคนตรงหน้าอย่างไม่คาดคิด ก่อนจะพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังกลายเป็นจุดสนใจของนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ และซุบซิบหัวเราะกันในกลุ่มเพื่อน โดยไม่มีใครสักคนคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วย
หัวใจเต้นระรัวจนรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิด ลมหายใจเริ่มติดขัดจากอาการแน่นหน้าอก เช่นเดียวกับอาการเวียนหัวที่จู่โจมกะทันหันจนต้องกำหมัดแน่น มันเป็นอาการแพนิคที่มักจะเกิดเสมอเวลาที่กลัวและเครียดจัด เช่นในตอนนี้ที่เธอกำลังถูกจ้องมองจากคนอื่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพช สายตาพวกนั้นคล้ายกับมีดที่มองไม่เห็นกำลังกรีดแทงไปทั่วร่างกาย มันทำให้เธอเจ็บปวด อับอาย และรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกัน และยังทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวแย่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อก่อน
คนพวกนั้นที่เคยกลั่นแกล้งเธอก็มองเธอด้วยสายตาแบบนี้เช่นกัน
"เฮ้ย! อาจารย์มา"
ฉับพลันผู้คนรอบข้างต่างแตกฮือไปคนละทางแทบจะทันทีเมื่อเสียงตะโกนของใครบางคนดังขึ้นมา และเสียงนั่นก็ทำให้โดโลเรสกลับมาได้สติอีกครั้ง เธอมองไปรอบ ๆ อย่างงุนงงเมื่อพบว่าทุกคนที่เคยยืนอยู่ตรงนี้ต่างหายไปกันหมดเสียแล้ว แต่ตอนนั้นเองสายตาของเธอก็ประสานเข้ากับใครคนหนึ่งที่ที่ยืนพิงล็อกเกอร์อยู่ไม่ไกล
เด็กสาวแปลกใจมากที่ได้เห็นบิลอีกครั้งหนึ่ง ภายในหัวเริ่มประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อีกรอบก่อนจะคาดเดาอะไรขึ้นมาได้
อย่าบอกนะว่าเสียงตะโกนเมื่อกี้คือเสียงของเขานะ
“จะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?”
เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลพูดขึ้น โดโลเรสจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังคงนั่งอยู่บนพื้น แต่เมื่อพยายามจะลุกขึ้นก็ต้องส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ เนื่องจากอาการเจ็บแปลบตรงสะโพก เด็กสาวจึงคาดเดาได้เลยว่าอีกสักพักสะโพกเธอต้องเป็นรอยช้ำแน่นอน
“ให้ตายสิ”
ไม่รู้เมื่อไรที่บิลมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ โดโลเรสรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาพยุงเธอขึ้นมาจากพื้นเย็น
ๆ นั่น เด็กสาวรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ และแน่นอนว่าเธอไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือนั้น
ยอมให้เขาพยุงเธอออกไปแต่โดยดี
ตลอดทางไม่มีการพูดคุยกันเลย มีเพียงเสียงรองเท้าของทั้งคู่ที่น่าจะดังที่สุดแล้วในตอนนี้ และเพราะความใกล้ชิดทำให้สายตาของโดโลเรสเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเขาโดยไม่ตั้งใจ เธอมองเห็นนัยน์ตาสีดำสนิทที่มักจะแสดงออกอย่างเฉยชา สันจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่บางจนดูเหมือนปากของผู้หญิงมากกว่า รวมไปถึงเส้นเลือดสีน้ำเงินที่อยู่ภายใต้ผิวหนังอันขาวซีดนั่น
ไม่รู้ทำไมเธอกลับคิดว่าทุกอย่างที่อยู่บนใบหน้าเขาช่างดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ทั้งที่เมื่อก่อนเธอไม่เคยจะสังเกตมันเลยด้วยซ้ำ
“มีอะไร”
“หืม?”
“เธอจ้องฉันแบบนี้มีอะไรงั้นเหรอ?”
โดโลเรสชะงักเล็กน้อยเมื่อเจ้าของดวงตาสีดำหันสบตากับเธอ
และนั่นก็ทำให้เธอต้องรีบหลบตาเขาแทบจะทันทีราวกับว่าการจ้องตาเขาจะทำให้ร่างกายเธอกลายเป็นหิน
“ไม่มีอะไร”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เขายังคงพาเธอเดินไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เธอได้แต่คอยลอบมองอีกฝ่ายเป็นระยะ แม้ว่าอยากจะพูดอะไรบ้างอยู่เหมือนกัน แต่สถานการณ์ตอนนี้ควรเงียบน่าจะดีที่สุด
บิลไม่ได้พาเธอไปห้องพยาบาลอย่างที่คิด แต่กลับตรงไปทางด้านหลังของโรงเรียนแทน ยังไม่ทันที่โดโลเรสจะได้เอ่ยปากถาม อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนราวกับรู้ว่าเธอกำลังสงสัยอยู่
“ฉันรู้ว่าเธอคงไม่มีอารมณ์จะเรียนหรอกใช่ไหม?”
โดโลเรสพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้เพราะเขาพูดถูกว่าเธอไม่มีอารมณ์จะเรียนต่อหลังจากเกิดเหตุการณ์บ้า ๆ เมื่อสักครู่ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่ได้ปฏิเสธ อีกฝ่ายจึงพาเธอเดินไปอีกครั้ง ที่ด้านหลังโรงเรียนนั้นมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด แต่เมื่อเดินเข้าไปอีกหน่อยก็จะพบเรือนไม้เก่า ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในร่มไม้เหล่านั้น
โดโลเรสเองก็พึ่งรู้ว่ามีสถานที่แบบนี้ในอยู่โรงเรียนด้วย
บิลบอกว่าที่นี่เคยเป็นเรือนเพาะชำของชมรมปลูกต้นไม้มาก่อน
แต่เมื่อชมรมถูกยุบที่นี่ก็เลยถูกปล่อยทิ้งไปด้วย
“ฉันมักจะมาที่นี่เวลาที่ฉันไม่สบายใจ”
บิลพูดขึ้น โดโลเรสจึงหันไปมองหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง เห็นสีหน้าของเขาดูผ่อนคลายและสดใสกว่าตอนที่อยู่ในโรงเรียนมาก
แน่นอนว่าเธอไม่เคยเห็นเขาในมุมแบบนี้มาก่อนเลย
“ตอนเธอเข้ามาทักฉันตอนนั้น ฉันแปลกใจมากเลยนะรู้ไหม”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ไม่มีใครทักฉันมาก่อน ฉันก็เลยงงว่าทำไมจู่ ๆ เธอถึงเข้ามาทักฉัน”
“แล้วนายไม่ชอบฉันหรือเปล่า?” โดโลเรสนึกถึงตอนที่เข้าไปช่วยบิลจากการโดนแกล้งแต่เขากลับทำหน้าหงุดหงิดใส่เธอ ซึ่งท่าทางของเด็กหนุ่มตอนนั้นช่างดูแตกต่างจากตอนนี้เสียจริง “ฉันนึกว่านายจะเหม็นขี้หน้าฉันอะไรแบบนี้ซะอีก”
“ปกติฉันก็ไม่ใช่คนเป็นมิตรอยู่แล้ว และจู่ ๆ เธอก็โผล่มาปุ๊บปั๊บแบบนั้น ใครบ้างจะไม่แปลกใจ” บิลยักไหล่ “ฉันขอถามอะไรเธออย่างหนึ่งได้ไหม”
“ว่ามาสิ”
“ทำไมเธอถึงเข้ามาช่วยฉันล่ะ”
เจ้าของดวงตาสีดำหันมามองเธอเหมือนรอคำตอบ โดโลเรสอ้ำอึ้ง เพราะเธอก็ให้เหตุผลชัดเจนไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงยอมเสี่ยงเข้าไปช่วยเขา มันเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบว่าอยากจะช่วยแค่นั้น เด็กสาวกลอกตาอย่างใช้ความคิดก่อนจะเลือกแถไปอย่างเนียน ๆ
“ก็...คนเรามันก็ทำอะไรไม่มีเหตุผลเสมอแหละนะ”
บิลไม่พูดอะไร เขายิ้มมุมปากก่อนจะเอามือมายีหัวเธอแรง ๆ ซึ่งปฏิกิริยาที่ดูเป็นมิตรเกินคาดนั้นทำให้โดโลเรสอดประหลาดใจไม่ได้ แต่ลึก ๆ แล้วก็แอบดีใจอยู่ไม่น้อยที่เขาไม่ได้รังเกียจเธออย่างที่เคยกังวลมาก่อน
และเหตุการณ์นี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเขาและเธอ
ตั้งแต่นั้นเธอและบิลเริ่มสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม เราทั้งคู่ต่างสบายใจที่ได้อยู่ด้วยกัน และมักจะพูดคุยกันอยู่เสมอเวลาเจอหน้ากันที่โรงเรียนและที่ห้องบำบัดจิตวันอาทิตย์ มิตรภาพจึงคืบหน้าอย่างรวดเร็วจนสามารถเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้กันและกันได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่โรงเรียน ชีวิตประจำวันทั่วไป หรือเรื่องของครอบครัวก็ตาม
ความจริงดูเหมือนโดโลเรสจะเป็นฝ่ายพูดคนเดียวอยู่เสียมากกว่าเพราะบิลนั้นไม่ค่อยพูดเท่าไรนัก เขามักจะเอาแต่จ้องหน้าเธอแล้วพยักหน้าอยู่เป็นระยะเสียมากกว่า เวลาอยู่กับเขาเธอจึงดูเหมือนเป็นผู้หญิงพูดมากไปเลยทั้งที่จริงแล้วตัวเธอเองก็ไม่ใช่คนพูดเยอะเท่าไรนัก
ถ้าไม่นับเรื่องการพูดแล้ว
บิลกับเธอก็มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันมาก ทั้งไม่ชอบอยู่ท่ามกลางคนเยอะ
ๆ เหมือนกัน ไม่ชอบหน้าหมอไอเบิร์ตเหมือนกัน เกลียดผักและพิซซ่าหน้าฮาวาเอี้ยนเข้าไส้เหมือนกัน
เป็นแฟนคอมมิคมาเวลเหมือนกัน
และเคยพยายามฆ่าตัวตายเหมือนกัน...
ใช่แล้ว บิลเองก็พยายามฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมีดเหมือนกับเธอ เขายังบอกอีกว่าบางครั้งเวลาที่เครียดมาก
ๆ เขาก็จะกรีดแขนตัวเองเป็นการระบายอารมณ์
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้แขนของเขามีแต่รอยขีดเต็มไปหมด
การกรีดแขนระบายอารมณ์ไม่เหมือนกับการกรีดข้อมือฆ่าตัวตาย เพราะถ้าคุณคิดจะฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือ คุณจะต้องกรีดแขนเป็นแนวตรงและกดใบมีดให้ลึกที่สุดเพื่อให้เลือดไหลออกมามากที่สุด แต่การกรีดแขนระบายอารมณ์ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ตาย เพียงแค่จรดมีดพอให้เลือดออกเล็กน้อยแล้วกรีดเป็นแนวขวาง ซึ่งสำหรับคนที่มีปัญหาทางจิตบางคนแล้ว ความเจ็บปวดเล็กน้อยจากการกรีดแขนช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาก เหมือนความกลัวและความวิตกกังวลถูกระบายออกไปผ่านรอยแผลและเลือด และความเจ็บยังช่วยทำให้มีสติมากขึ้นด้วย
ทำไมถึงรู้นะเหรอ? ก็เพราะว่าเธอเองก็เคยทำมาแล้วเหมือนกันทั้งสองอย่างนั่นแหละ โดโลเรสถึงได้เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเขาและเธอเหมือนกันมากขนาดไหน
วันนี้ก็ยังคงเป็นวันหยุดอีกวันที่โดโลเรสต้องพาตัวเองไปที่สถานบำบัดจิตตามนัดหมาย เมื่อก่อนเธอรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากกับการเจอหน้าหมอไอเบิร์ตทุกวันอาทิตย์ แต่ช่วงหลัง ๆ ความเบื่อหน่ายที่เคยมีก็หายไปเสียแล้วตั้งแต่ที่ได้ทำความรู้จักกับบิล
นี่สินะความรู้สึกของการมีเพื่อน
การได้อยู่กับเขาทำให้โดโลเรสรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งมันนานมากแล้วจริง ๆ ที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ เพราะตั้งแต่ที่เป็นโรคซึมเศร้าเธอก็กันตัวเองออกจากทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งแม่ก็ตาม เธอยินดีที่จะอยู่คนเดียวในห้องเงียบ ๆ มากกว่าจะออกไปเผชิญโลกภายนอกเพราะคิดว่ามันโหดร้ายเกินกว่าเธอจะรับได้ จะบอกว่ามองโลกในแง่ร้ายก็ไม่ผิดนักหรอก
การรู้จักกับบิลไม่ได้ทำให้แง่มุมในการมองโลกของเธอเปลี่ยนไปนัก เธอก็ยังคงเป็นเธอเหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่การอยู่กับเขาทำให้เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกที่โหดร้ายใบนี้เพียงลำพังเท่านั้นเอง
กลิ่นบุหรี่ลอยมาไม่ไกลทำให้ดึงให้โดโลเรสกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง เด็กสาวเผลอขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดก่อนจะโบกมือพัดหน้าไล่กลิ่นเหม็น ๆ ของบุหรี่ออกไป พร้อมแอบสบถคำหยาบในใจในขณะที่สายตาก็มองหาตัวต้นเหตุที่ปล่อยมลพิษทางอากาศในสถานบำบัดจิตแบบไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องสักนิด
โดโลเรสไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ เพราะมันทำให้เธอนึกถึงแม่ของตัวเอง ตั้งแต่จำความได้แม่มักจะชอบสูบบุหรี่อย่างหนักเสมอด้วยใบหน้าที่อมทุกข์ราวกับโลกทั้งใบกำลังจะแตก โดโลเรสจึงได้กลิ่นบุหรี่จากตัวของแม่อยู่บ่อย ๆ มันทั้งเหม็นและฉุนจนเธอรู้สึกแสบจมูก เธอสามารถจินตนาการได้เลยว่าตอนนี้สภาพปอดของแม่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง และมันก็ทำให้เธอรังเกียจบุหรี่ไปเลย
ตอนนั้นเองเด็กสาวก็ได้พบกับตัวต้นเหตุของกลิ่นบุหรี่ที่ยืนพิงกำแพงหน้าห้องน้ำชายอยู่ไม่ไกล ร่างสูงที่คุ้นตากำลังพ่นควันบุหรี่ออกจากปากช้า ๆ
บิล?
“ไง” เด็กหนุ่มเอ่ยปากทักเมื่อเห็นเธอ โดโลเรสเผลอย่นหน้าโดยไม่ตั้งใจเมื่อเห็นควันสีขาวพรั่งพรูออกมาจากปากและจมูก รู้สึกได้ถึงกลิ่นเหม็นฉุนภายในโพรงจมูกที่มาจากจากควันบุหรี่ของเขา
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ? เหม็นหรือไง”
“เปล่าหรอก” โดโลเรสโกหก แต่ดูเหมือนจะโกหกไม่ค่อยเนียนเท่าไรเพราะบิลยิ้มขำ เขาถุยบุหรี่ออกจากปากก่อนจะใช้เท้าขยี้ขี้เถ้าที่ลุกโชนให้ดับลง
“ถ้าไม่อยากให้ฉันสูบก็บอกกันดี ๆ ก็ได้”
“ถ้าฉันพูดแล้วนายจะไม่สูบหรือไง”
“ใช่ ไม่สูบ”
ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายก็ล้วงซองบุหรี่ที่เหลือจากกระเป๋าขึ้นมาก่อนจะโยนลงใส่ถังขยะใกล้ ๆ และนั่นก็ทำให้โดโลเรสได้แต่ยืนอึ้ง มองดูถังขยะสลับกับใบหน้าของเขาอย่างงง
“ทิ้งง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ”
“อืม” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไปนรกกันเถอะ”
‘นรก’ เป็นคีย์เวิร์ดส่วนตัวระหว่างเธอกับเขาที่ไว้ใช้เรียกห้องบำบัดจิตแห่งนี้
เพราะสำหรับเราทั้งคู่แล้วห้องบำบัดจิตนั้นเป็นนรกดี ๆ นี่เอง
และแน่นอนว่ายมทูตในนรกก็คือหมอไอเบิร์ตนั่นแหละ
โดโลเรสเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวในระหว่างที่เขาเดินนำหน้าเธอเข้าไปในห้อง ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาเธอคิดว่าบิลเป็นคนที่ทั้งแปลกและเข้าใจยากในบางเวลา แต่ความแปลกของเขาก็เหมือนจะเป็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย
“บางครั้งเราก็มักจะรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรานั้นช่างหนักหนาเกินกว่าที่จะรับได้
แต่ในสายตาของคนอื่นกับมองว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็ก
เพราะเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญมันคืออะไร คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดถ้าหากคุณคิดว่าชีวิตของคุณมืดมด
แต่คุณต้องอย่าจมลงไปกับความคิดแย่ ๆ เหล่านั้น”
คุณหมอไอเบิร์ตกล่าวอย่างนุ่มนวล เสียงของเขาราวกับบาทหลวงที่กำลังกล่าวให้อภัยต่อบาปแก่ผู้ที่มาสารภาพบาปในโบถส์
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไข้ทั้งหลายถึงชอบเขามากมายนัก
เว้นเสียแต่เด็กวัยรุ่นสองคนที่นั่งทำหน้าเซ็งกะตายอยู่ในห้องตอนนี้
“เธอรู้อะไรไหม การบำบัดเนี่ยมันไม่ช่วยอะไรหรอก” บิลเอ่ยขึ้นเบา ๆ แต่ก็ดังพอที่จะให้โดโลเรสซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยิน
“ทำไมล่ะ”
“เพราะสิ่งที่พวกเราเป็นมันไม่ใช่แค่โรค แต่มันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว” ดวงตาสีดำฉายแววเหนื่อยหน่ายอย่างชัดเจน “มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้หรอก”
“แต่หมอไอเบิร์ตบอกว่าเราเปลี่ยนแปลงได้นี่น่า” โดโลเรสไม่ได้ปกป้องหมอไอเบิร์ต แต่เด็กสาวคิดว่าหมอไอเบิร์ตเป็นหมอที่เก่งคนหนึ่งถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบนิสัยเขาก็ตาม
“เขาก็ต้องพูดอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่งั้นเขาก็จะไม่ได้เงินจากพวกเรานะสิ”
เพราะคำพูดของบิลทำให้โดโลเรสต้องหลุดหัวเราะออกมาจนได้ สุดท้ายทั้งสองก็หัวเราะกันอยู่เบา ๆ สองคน ซึ่งภายในห้องที่คนอื่น ๆ ต่างกำลังเงียบและตั้งใจฟังหมอไอเบิร์ตอยู่อย่างจริงจังนั้น จึงทำให้คนทั้งสองกลายเป็นจุดเด่นไปทันทีอย่างไม่รู้ตัว
“บิลและโดโลเรส” เสียงเรียกทำให้เจ้าของชื่อทั้งคู่ต้องหยุดหัวเราะทันที “พวกเธอมีเรื่องอะไรไม่สบายใจที่อยากจะแชร์ให้พวกเราฟังบ้างหรือเปล่า”
ทุกสายตาในห้องต่างก็หันมาจ้องพวกเราทั้งคู่ในตอนนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเด็กสาวคงสติแตกไปแล้วกับการกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาแบบนี้ แต่ในตอนนี้เธอมีเพื่อนอย่างบิลนั่งอยู่ข้าง ๆ จึงสามารถรับมือกับความกลัวของตัวเองได้ดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
“ไม่ครับ/ไม่ค่ะ” ทั้งคู่หันมาสบตากันอย่างไม่ตั้งใจเมื่อพบว่าต่างก็พูดออกมาพร้อมกัน บางทีโดโลเรสก็อดคิดไม่ได้ว่าบิลนั้นเป็นฝาแฝดทางจิตวิญญาณกับเธอหรือยังไงกันถึงได้คล้ายกันแม้กระทั่งคำพูดก็ตาม
“ดูเหมือนว่าเธอทั้งสองจะสนิทสนมกันดีนะ” จิตแพทย์หนุ่มพยักหน้าช้า ๆ พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่ประดับบนใบหน้า “ฉันรู้สึกดีใจด้วยจริง ๆ ”
แม้จะฟังดูเป็นคำพูดธรรมดาทั่วไป แต่ไม่รู้ทำไมโดโลเรสถึงได้รู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดและรอยยิ้มของหมอไอเบิร์ตอย่างบอกไม่ถูก ราวกับมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ภายใต้ท่าทางที่ใจดีนั่น
.............................
“โดโลเรส ผมขอเวลาคุณกับคุณสักครู่ได้ไหม”
หมอไอเบิร์ตกล่าวขึ้นหลังจากที่การบำบัดจบลงไปแล้ว โดโลเรสที่กำลังจะออกจากห้องจึงพยักหน้ารับก่อนจะหันไปบอกบิลที่ยืนอยู่หน้าห้องเพราะไม่อยากให้เขารอนาน “นายกลับไปก่อนเลยก็ได้นะ”
“อืม” เขาตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเดินออกไป โดโลเรสจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ว่างที่อยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ในใจก็สงสัยอยู่นิดหน่อยเพราะหมอไอเบิร์ตไม่เคยเรียกพบเธอแบบนี้มาก่อน “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เธอกับบิลเป็นเพื่อนกันใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“มันเป็นเรื่องดีที่เธอกับเขาสนิทกัน” พูดถึงตรงนี้เขาก็เงียบไปอึดใจ สีหน้าดูเหมือนกำลังลังเลที่จะพูด “ฉันอยากให้เธอระวังตัวไว้สักหน่อยเวลาที่อยู่กับเขา”
“หมายความว่ายังไง” โดโลเรสรู้ดีว่าน้ำเสียงของเธอกระด้างแค่ไหนในตอนนี้ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเธอกำลังรู้สึกโกรธกับสิ่งที่หมอไอเบิร์ตบอก “ทำไมฉันถึงต้องระวังเวลาอยู่กับเพื่อนตัวเองด้วยไม่ทราบ”
“บิลเป็นคนไข้คนล่าสุดของฉัน ตอนแรกฉันเห็นว่าเขามีอายุไล่เลี่ยกับเธอเลยแนะนำให้สนิทกันไว้ แต่ฉันพึ่งรู้ว่าบิลค่อนข้างจะพิเศษกว่าคนอื่น เขาผ่านเรื่องอะไรมามากกว่าที่คิด เพราะอย่างนี้ฉันจึงอยากให้เธอ...”
“คุณกำลังบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดี และฉันควรจะอยู่ห่าง ๆ
เขาใช่ไหม?”
“ไม่โดโลเรส ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“แต่จากที่ฟังเมื่อกี้ก็ดูเหมือนคุณจะหมายความว่าอย่างนั้นนะ” โดโลเรสพยายามอย่างที่จะไม่เกรี้ยวกราดใส่หมอไอเบิร์ต แม้ว่าตอนนี้เธอจะหงุดหงิดจนหน้ามืดก็ตาม สำหรับเธอแล้วบิลเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่มี และการที่เพื่อนของเธอกำลังถูกคนอื่นกล่าวถึงในทางที่ไม่ดีแบบนี้ย่อมทำให้เธอรู้สึกโมโห ยิ่งคนที่พูดเป็นหมอไอเบิร์ตที่ไม่ชอบขี้หน้าด้วยแล้ว นั่นยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้มากขึ้นไปอีก
“โดโลเรส ฉันอยากให้เธอใจเย็น เธอกำลังโกรธอยู่นะ”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับบาปหลวงผู้ไถ่บาปไม่ได้ทำให้เด็กสาวหายหงุดหงิดแต่อย่างใด เธอจ้องเขาตาขวางก่อนจะส่งเสียงหึในลำคอแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที แต่ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง เธอก็หันกลับไปหาคุณหมออีกครั้งหนึ่ง
“คุณรู้ไหมมันนานมากแล้วนะที่ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก รู้สึกว่าไม่มีใครสักคนที่เข้าใจฉันเลยจนกระทั่งฉันเจอเขา ฉันถึงได้รู้ว่ายังมีใครอีกคนที่เป็นเหมือนฉันและเข้าใจฉันดีกว่าทุก ๆ คน เขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ฉันมี ฉะนั้นแล้วคุณไม่ควรมาสั่งให้ฉันเลิกยุ่งกับเขา เพราะฉันจะไม่ทำเด็ดขาด!”
พูดเสร็จก็หันหลังเดินออกจากห้องอย่างกระแทกกระทั้น ไม่มีแม้แต่คำกล่าวลาตามมารยาทเพราะไม่ต้องการจะอยู่ในห้องนั้นสักวินาทีเดียว เด็กสาวกลัวว่าถ้าขืนยังยืนอยู่ต่ออาจจะเผลอระเบิดอารมณ์ใส่เขาไปมากกว่านี้ และมันต้องไม่ดีแน่ถ้าจะทำอย่างนั้นกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นจิตแพทย์ เพราะเธออาจจะถูกเขาจับส่งไปโรงพยาบาลบ้าก็ได้
____________________
ความคิดเห็น