ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sweet Serial Killer.

    ลำดับตอนที่ #4 : Impressive

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.4K
      149
      16 ธ.ค. 61

    รูปภาพที่เกี่ยวข้อง





    ความรู้สึกประทับใจใครต่อคนหนึ่งเกิดจากอะไร?


    บางคนประทับใจที่ใบหน้า บางคนประทับใจที่เสียงพูด บางคนประทับใจที่แววตา บางคนประทับใจที่ความคิด


    โดโลเรสไม่เคยมีความรู้สึกในทำนองนั้นมาก่อน เธอไม่เคยประทับใจกับอะไรสักอย่างบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ ในสายตาของเด็กสาวแล้วทุกอย่างมันช่างน่าเบื่อและเส็งเคร็งสิ้นดี แค่ทนหายใจมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็นับได้ว่าเป็นความพยายามที่หนักหนามากแล้ว


    แต่สุดท้ายแล้วความคิดของเธอก็ต้องเปลี่ยนไปจนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่แสนธรรมดา ภายในห้องแคบ ๆ ของสถานบำบัดจิตที่เธอแสนเกลียดชังนี่เอง


    ปัญหาหลักที่เกิดกับทุกคนในห้องนี้คือความคิดของตัวเอง ความคิดในด้านลบทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ เมื่อสภาพจิตใจย่ำแย่ร่างกายของเราก็ย่ำแย่ไปด้วย ทุกอย่างอยู่ที่ความคิดของคุณ และทางเดียวที่จะรักษาได้คือคุณต้องแก้ไขมันด้วยตัวคุณเอง


    เสียงฮีตเตอร์เครื่องเก่าส่งเสียงหึ่ง ๆ น่ารำคาญอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิของคนส่วนใหญ่ในห้องนี้ที่กำลังให้ความสนใจกับคุณหมอไอเบิร์ตที่พูดพล่ามถึงเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพจิตได้ ยกเว้นก็แต่เด็กสาวหลังห้องที่นั่งกอดอกด้วยท่าทางที่ดูเบื่อหน่าย สีหน้าของเธอเหมือนว่าพร้อมจะวูบหลับได้อยู่ตลอดเวลา


    น่าเบื่อ น่าเบื่อจริง ๆ


    นั่นเป็นสิ่งที่โดโลเรสคิดนับตั้งแต่ที่ก้าวขาเข้ามาในห้องนี้ตามนัดของคุณหมอไอเบิร์ต ถ้าไม่ติดว่าผู้เป็นหมอสั่งห้ามไม่ให้เอาโทรศัพท์มือถือเข้าห้องมาด้วย ป่านนี้เธอคงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมส์แก้เบื่อซะให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้ว


    เหลือบตามองเก้าอี้ว่างที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อนึกไปถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้ใส่แว่นตากรอบหนาตลอดเวลา ในใจก็สงสัยอยู่เล็ก ๆ ว่าอีกฝ่ายหายไปไหน ทำไมวันนี้ถึงได้ไม่มาเข้าคลาสบำบัดจิต


    บ้าชะมัด แล้วทำไมเธอถึงต้องสนใจด้วยล่ะว่าเขาจะมาหรือไม่มา?


    โดโลเรสสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดอันน่าประหลาดออกไปให้ไวที่สุด ก่อนจะหันไปตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่หมอไอเบิร์ตพูดอยู่แทน ถึงแม้ว่าการฟังหมอไอเบิร์ตพล่ามมันจะน่าเบื่อแค่ไหนก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้เธอฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้


    โดโลเรสยอมรับว่าเธอเริ่มมองบิลเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ที่ได้ทำงานร่วมกันในคาบวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่เธอก็รู้สึกสบายใจกับเขามากกว่าอยู่กับคนปกติทั่วไปในโรงเรียน ซึ่งเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อาจเพราะว่าอีกฝ่ายมีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับเธออยู่


    อย่างน้อย ๆ การเจอกันในคลาสบำบัดจิตก็ยืนยันได้ว่าเธอไม่ใช่คนเดียวในโรงเรียนที่มีปัญหาทางจิตอ่ะนะ


    ปัง!


    เสียงกระแทกของประตูที่ถูกเปิดขึ้นดึงดูดให้โดโลเรสต้องหันไปมองอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะพบว่าคนไร้มารยาทที่เปิดประตูเสียงดังเมื่อกี้คือคนที่เธอพึ่งจะนึกถึงไปหมาด ๆ นี่เอง


    วันนี้บิลยังคงใส่ชุดสีดำเหมือนกับทุกวัน(จนทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าในตู้เสื้อผ้าเขามีเพียงแค่ชุดสีดำหรืออย่างไรกัน) และทันทีที่เข้ามาในห้องเขาก็เดินดุ่ม ๆ ตรงไปยังนั่งที่ของตัวเองทันทีโดยไม่สนใจสายตาของคนอื่น ๆ ในห้องที่มองเขาอยู่เลยสักนิด


    "คุณบิล ฮันเตอร์" ผู้เป็นหมอขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะหรี่ตามองเด็กหนุ่มที่พึ่งเข้ามาใหม่ "คุณมาเข้าคลาสสายเป็นครั้งที่สองแล้วนะ"


    "ขอโทษครับ" คนตัวสูงตอบเสียงเรียบจนดูเหมือนไร้อารมณ์


    "อืม..ผมจำได้ว่าอาทิตย์ที่แล้วคุณไม่ได้พูดอะไรเลยนี่น่า" ชั่วครู่หนึ่งหมอไอเบิร์ตก็หันมามองเธอก่อนจะยิ้มออกมา โดโลเรสรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ "เพื่อความเท่าเทียมกัน งั้นครั้งนี้ผมจะเปิดโอกาสให้คุณบิลได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวของตัวเองให้ทุกคนในห้องฟังล่ะกัน"


    ก็ได้ บิลพยักหน้าอย่างว่าง่าย เขายืนอย่างสงบนิ่งก่อนจะกวาดตามองไปทั่วห้องอย่างไม่มีท่าทีหวั่นเกรงแต่อย่างใด


    ผมชื่อบิล อายุสิบเจ็ดปี ผมมีชีวิตที่ห่วยแตก พ่อแม่ผมหย่ากัน ผมจึงต้องอาศัยอยู่กับแม่ขี้เมาอารมณ์ร้อนเพียงแค่สองคน พวกคุณคงจินตนาการออกนะว่ามันนรกมากแค่ไหน นอกจากชีวิตครอบครัวที่ห่วยแตกแล้ว ที่โรงเรียนก็ห่วยแตกไม่แพ้กัน มีแต่พวกหน้าโง่เต็มไปหมด ทั้งพวกคนหน้าตาดีที่นิสัยเสีย ทั้งพวกเด็กเรียนที่แก่งแย่งชิงดีชิเด่นเพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ เพื่อที่จะเรียนจบมาทำงานอุดอู้อยู่ในออฟฟิศเล็ก ๆ ไปจนตาย สรุปก็คือในโลกใบนี้คนที่จะอยู่รอดได้ก็มีแค่พวกคนฉลาดกับคนหน้าตาดีเท่านั้นแหละ ถ้าไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้แค่เศษสวะเท่านั้น ซึ่งเศษสวะเหล่านั่นก็คือพวกเราทุกคนในห้องนี้นี่แหละ ขอบคุณครับ


    ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันเมื่อสิ้นคำพูดของเด็กหนุ่ม เขายิ้มก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบาย ๆ โดยไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยความอึ้งทึ่งและตกใจของคนรอบข้าง ไม่สนแม้ว่าคำพูดของเขาจะทำให้คุณหมอไอเบิร์ตโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมากแค่ไหน แน่นอนว่าทุกความสนใจของทุกคนในห้องตอนนี้ล้วนตกไปอยู่ที่บิลเพียงคนเดียว แม้แต่โดโลเรสเองก็เช่นกันที่ไม่อาจละสายตาไปจากเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับต้องมนต์สะกด


    คำพูดของบิลได้สร้างความรู้สึกบางอย่างอันล้ำลึกกับเด็กสาวเป็นอย่างมาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดช่างตรงกับใจเธอเหลือเกิน แต่เธอกลับไม่เคยกล้าพูดออกมาต่อหน้าคนอื่นเลยสักครั้งเดียว ฉะนั้นแล้วในสายตาของโดโลเรสจึงคิดว่าการกระทำของเขาช่างกล้าหาญยิ่งนัก ราวกับโจนออฟอาร์ค[1]ที่ลุกขึ้นอาสาเป็นแม่ทัพปราบอังกฤษ เป็นความกล้าหาญแบบที่เธอไม่มีวันจะมี นั่นทำให้โดโลเรสทั้งชื่นชมและก็อิจฉาเขาในเวลาเดียวกัน


    คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกเส็งเคร็งใบนี้ ราวกับได้ค้นพบใครสักคนที่เหมือนกับเธอดั่งเช่นฝาแฝดทางจิตวิญาณ ก่อเกิดเป็นความอบอุ่นขึ้นมาท่ามกลางความหนาวเหน็บในความโดดเดี่ยวที่เผชิญมายาวนาน


    นี่สินะคือความรู้สึกประทับใจต่อใครคนหนึ่ง?


    เพราะความปั่นป่วนที่บิลสร้างทำให้หมอไอเบิร์ตหัวเสียจนต้องยกเลิกคลาสบำบัดจิตไวกว่าปกติ ในขณะที่ต่างคนต่างแยกย้ายเพื่อที่จะกลับบ้านของตัวเอง โดโลเรสจึงรวบรวมความกล้าในใจแล้วรีบเดินเข้าไปหาคนตัวสูงกว่า นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอมีความคิดอยากคุยกับใครสักคนหนึ่งขึ้นมา ซึ่งถือเป็นเรื่องประหลาดอยู่ไม่น้อยสำหรับคนไม่ชอบเข้าสังคมและพูดคุยกับคนอื่นอย่างเธอ ถึงแม้จะรู้สึกประหม่าอยู่บ้างแต่เธอก็รีบเอ่ยปากทักทายออกไป


    “หวัดดี”


    เห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นแต่ไม่ได้พูดอะไร โดโลเรสก็เลยยิ้มแห้ง ๆ ให้เขา ความประหม่าที่มีเหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกจนมือสั่นไปหมดแล้ว เพราะเธอไม่เคยเริ่มคุยกับคนอื่นมาก่อนเลยไม่รู้ว่าควรจะต้องทำตัวยังไงดี แต่เด็กสาวก็ตัดสินใจพูดออกไปตามที่ตัวเองคิดเอาไว้


    “ฉันแค่จะบอกว่า..ฉันชอบสิ่งที่นายพูดวันนี้นะ”


    ไม่มีสัญญาณตอบรับจากคนข้างหน้า เขาเอาแต่มองเธอด้วยสีหน้านิ่ง ๆ  โดโลเรสจึงรีบพยักหน้าอย่างจริงจังเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตนพูดไปนั้นเป็นเรื่องจริง


    ฉันพูดจริงนะ นายพูดได้ตรงใจฉันมากเลย ฉันประทับใจมาก


    ประหลาด” คนตัวสูงพึมพำเสียงเบาแต่ก็ดังพอที่โดโลเรสจะได้ยิน “ไม่เคยมีใครชอบที่ฉันพูดสักคน”


    งั้นเหรอ? แต่ฉันว่าที่นายพูดมันดีมากเลยนะ หมอไอเบิร์ตถึงกับหน้าเหวอไปเลย”


    พอพูดถึงหมอไอเบิร์ต คนทั้งสองก็หันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย เพียงแค่สบตากันก็เข้าใจถึงความคิดของอีกฝ่าย ตอนนั้นเองทั้งคู่ก็หลุดหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมกันทันที 


    อย่างน้อยตอนนี้โดโลเรสก็ได้รู้ว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่เธอและเขาคิดเหมือนกันก็คือ เราก็ต่างไม่ชอบหมอไอเบิร์ตด้วยกันทั้งคู่


    เอาเถอะ ฉันชื่อบิล”


    หลังจากที่พากันหัวเราะจนพอใจแล้ว ท่าทีของคนตัวสูงก็ดูจะเป็นมิตรมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เขายื่นมือมาตรงหน้าเธอ โดโลเรสจึงเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่าย ในใจก็รู้สึกดีใจอยู่เล็ก ๆ ที่อย่างน้อยการเข้ามาคุยครั้งนี้ไม่สูญเปล่าอย่างที่คิด


    บางทีการที่ถูกบังคับเข้าคลาสบำบัดจิตของหมอไอเบิร์ตก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแย่นะ



    .............................



    แสงแดดเริ่มคล้อยอ่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ยังเจิดจ้าอยู่ นักเรียนเริ่มทยอยกันออกจากโรงเรียนเมื่อสิ้นสุดการเรียนในวันนี้ กฎเคอร์ฟิวที่ยังคงถูกบังคับใช้โดยตำรวจทำให้ไม่มีเด็กคนไหนคิดจะโอเอ้อยู่ต่อหลังเลิกเรียน บรรยากาศยังคงตึงเครียดไม่ต่างจากเดิมมากนักเพราะคดีคนหายยังไม่คลี่คลาย ความวิตกกังวลจึงเพิ่มขึ้นไปอีกระดับจนถึงกับที่ว่าตำรวจต้องมาเฝ้าหน้ารั้วโรงเรียนด้วยตัวเอง


    โดโลเรสก้มหน้าลงเดินเบียดเสียดกับคนที่พึ่งออกจากห้องเรียนหลังหมดคาบเรียน แล้วตรงไปยังล็อกเกอร์ส่วนตัว สองมือยัดหนังสือใส่เข้าอย่างลวก ๆ ก่อนจะปิดล็อกเกอร์ของตัวเอง ฉับพลันนั้นเองหูก็ได้ยินเสียงสนทนาจากล็อกเกอร์ข้าง ๆ


    "นี่แก รู้เรื่องเด็กผู้หญิงที่หายตัวไปหรือเปล่า"


    "แน่นอน โด่งดังขนาดนั้นใครบ้างจะไม่รู้จัก"


    แกคิดว่าเรื่องนี้มันแปลก ๆ ม่ะ?"


    "แปลกยังไง?"


    "บางทีอาจจะเป็นฝีมือของใครสักคน อาจจะเป็นพวกฆาตกรโรคจิตก็ได้"


    อย่าโม้ไปหน่อยเลยน่า เมืองเล็ก ๆ แบบนี้จะมีฆาตกรได้ยังไง


    เชื่อฉันเถอะน่า ฉันรู้อะไรดี ๆ มานะ อยากฟังหรือเปล่า?”


    จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะรีบเก็บของแล้วรีบ ๆ ไป แต่พอได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด โดโลเรสก็ตัดสินใจยืนอยู่ตรงนั้นต่อ เพราะเธอเองก็ทั้งสนใจและก็แอบสงสัยในเวลาเดียวกันว่าคนพวกนี้ไปรู้เรื่องแบบนี้มาจากไหน


    แกรู้ใช่หรือเปล่าว่าแฟนฉันเป็นลูกชายนายอำเภอ เขาเล่าให้ฉันฟังว่าพบศพคนที่หายไปคนแรกแล้วแถว ๆ ถังขยะข้างซูเปอร์มาเก็ต ศพถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ใส่ในถุงขยะแล้วถูกทิ้งอยู่แถวนั้นแหละ แต่ทางตำรวจปิดข่าวเพราะไม่อยากให้ตื่นตูมกัน เขาลือกันว่ามีฆาตกรกำลังอาละวาดล่ะ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกตำรวจต้องมาเฝ้าหน้าประตูโรงเรียนเราอย่างนี้ไง


    พระเจ้าช่วย! จริงเหรอเนี่ย


    จริงแท้แน่นอน รู้แล้วก็เหยียบไว้ให้มิดเลยนะ อย่าเอาไปพูดให้ใครฟังเด็ดขาด


    โดโลเรสแอบส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้น เธอคิดว่าเรื่องที่คนพวกนั้นพูดเป็นแค่ข่าวลือไร้สาระที่เจตนาจะทำให้เด็ก ๆ กลัวเท่านั้นแหละ เธอไม่คิดว่านี่จะเป็นฝีมือฆาตกรอะไรอย่างที่พูดกันหรอก บางทีคนที่หายตัวไปอาจจะแค่แอบหนีออกจากบ้านไปเที่ยวเตร่ที่ไหนสักแห่งก็ได้ พวกวัยรุ่นก็มักจะเป็นแบบนี้กันอยู่เสมอนั่นแหละ


    เด็กสาวเลือกที่จะเดินออกมาจากอาคารเรียนเงียบ ๆ ได้เสียงโหวกเหวกจากนักกีฬาที่ต้องอยู่ซ้อมตอนเย็นที่สนามหญ้าอีกฝั่งดังแววมาเป็นระยะ ในตอนนั้นเองสายตาของเธอก็มองเห็นผู้ชายที่กำลังเดินคนเดียวอยู่เงียบ ๆ ไม่ไกลเท่าไรนัก เพียงแค่เห็นแผ่นหลังกับเสื้อสีดำสนิทนั่นเธอก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือบิลนั่นเอง


    เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนที่สถานบำบัดจิตย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ใจหนึ่งก็อยากจะเอ่ยปากทักทายอีกฝ่าย แต่ก็รู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายเลยได้แต่เงียบแล้วเดินตามคนตรงหน้าไปเงียบ ๆ เท่านั้น


    “เฮ้ยแกอ่ะ!”


    ในตอนนั้นเองโดโลเรสก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นผู้ชายตัวใหญ่สี่คนเดินเข้ามาล้อมบิลไว้ สัญชาตญาณบางอย่างบอกกับเธอว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ คิดได้ดังนั้นจึงเข้าไปหลบใต้ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ เพราะไม่อยากให้คนพวกนั้นเห็นเธอ โดโลเรสไม่ได้ยินว่าทั้งสองฝ่ายกำลังคุยอะไรกัน แต่ดูจากลักษณะแล้วไม่ต้องเดาก็รู้ว่าบิลกำลังโดนแกล้งอยู่แน่ ๆ


    ผลั่ก!


    ผู้ชายตัวใหญ่พุ่งหมัดเข้าใส่หน้าบิลทันที หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็ดูจะวุ่นวายไปหมด ต่างคนต่างก็ตะลุมบอนใส่กัน หนึ่งในพวกนั้นเตะเข้าไปที่สีข้างของบิลจนเด็กหนุ่มทรุดลงกับพื้น ก่อนที่คนพวกนั้นก็ต่างรุมเตะใส่เขาแบบไม่ยั้ง


    พอได้เห็นคนมาต่อยตีกันสด ๆ ตรงหน้าโดโลเรสก็อดตกใจไม่ได้ หากว่าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นและรีบเดินหนีไปแล้ว แต่ตอนนี้จู่ ๆ โดโลเรสกลับรู้สึกหนักใจขึ้นมา แม้จะอยากทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วเดินหลบออกไปซะจะได้ไม่ต้องมีเรื่องมีราวอะไรอีก แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าควรต้องทำอะไรสักอย่าง


    อาจเพราะก่อนหน้านี้เด็กสาวก็เคยเดินหนีเขามาแล้วตอนที่อีกฝ่ายโดนกลั่นแกล้ง และเธอยังคงจำได้ดีถึงแววตาของเขาที่มองมาเธอ แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่ได้กล่าวโทษอะไร และมันก็ไม่ใช่ความผิดเธอที่จะเดินหนีไป แต่สายตาของเขากลับทำให้เธอรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้


    และอีกอย่าง สภาพของอีกฝ่ายที่กำลังโดนทำร้ายอย่างทารุณในตอนนี้ มันกำลังทำให้เธอนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นตัวเองเมื่อก่อนขึ้นมา


    เพี้ยะ!


    ฮ่าๆ โว้ว เจ๋งไปเลยเคธี


    เอาอีก ๆ เล่นงานมันให้หนัก ๆ ”


    เสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่อเด็กสาวในชุดเชียร์ลีดเดอร์ตบใบหน้าของเธออย่างแรง ร่างบางหน้าคว่ำไปบนพื้นด้วยอาการชาหนึบเล่นเอาถึงกับมึนตึบไปชั่วขณะ จนกระทั่งอีกฝ่ายจิกหัวเธอขึ้นมาอีกรอบ


    คิดว่าฉันจะปล่อยแกไปง่าย ๆ เหรอนังโง่ ฝันไปเถอะ”


    ร่างบอบบางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ฝ่ามือเอื้อมขึ้นแตะแก้มของตัวเองเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงความทรงจำโหดร้ายครั้งเก่าของตัวเอง ความเจ็บปวดที่เคยโดนรังแกอย่างไม่มีทางสู้ยังคงฝังรากลึกราวกับพึ่งเกิดขึ้นมาเมื่อวานทั้งที่ความจริงผ่านไปได้เป็นปีแล้ว


    และตอนนี้เธอก็ตัดสินใจได้แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป


    อาจารย์ค่ะ! มีคนต่อยกันตรงนั้นค่ะ!!!”


    เด็กสาวแสร้งตะโกนออกมาด้วยเสียงดังเป็นอย่างมาก ซึ่งทันทีที่คนพวกนั้นได้ยินเสียงตะโกนก็พากันแตกฮือรีบหนีกันทันที


    เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเงียบ ๆ แต่ในใจกลับนึกอยากจะตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักทีกับการทำตัวเป็นฮีโร่ไม่เข้าเรื่อง ทั้งที่เคยปฎิญาณกับตัวเองเอาไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะอยู่ให้เงียบ ๆ ไม่ไปยุ่งเรื่องของคนอื่นถ้าไม่จำเป็น แต่ก็ต้องผิดคำพูดตัวเองจนได้เพียงเพราะรู้สึกผิดขึ้นมาแค่นั้น จะหาว่าแส่หาเรื่องก็คงไม่ผิดนัก


    เมื่อนึกถึงบิลขึ้นมา โดโลเรสจึงรีบเข้าไปหาเจ้าตัวที่พึ่งโดยทำร้ายเมื่อสักครู่ทันที และก็พบว่าสภาพของเขาช่างดูไม่ได้เลยสักนิด ใบหน้ามีแต่แผลและเลือดเต็มไปหมด ตาก็บวมช้ำจนเขียวปั๊ด แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดอะไรเลย เขาลุกขึ้นยืนอย่างง่ายดายก่อนจะปัดเศษฝุ่นตามตัวโดยไม่ต้องให้เธอช่วยเลยสักนิด


    "นายเป็นยังไงบ้าง"


    "มาช่วยฉันทำไม"


    อีกฝ่ายหันมามองเธอพร้อมกับชักสีหน้าใส่ ไม่มีแม้แต่คำขอบคุณสักนิด ซึ่งท่าทีไม่เป็นมิตรของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้โดโลเรสนึกงงขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ที่สถานบำบัดจิตเขาก็เคยคุยดี ๆ กับเธออยู่แท้ ๆ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับดูเหมือนโกรธเธอเสียมากมายทั้งที่เธออุตส่าห์เข้ามาช่วยแท้ ๆ


    "ฉันก็แค่...เอ่อ"


    "นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอ ไม่ต้องมายุ่ง" คนตัวสูงพูดด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ก่อนจะเดินออกไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ทำท่าจะล้มพับกลางอากาศซะงั้น โชคดีที่โดโลเรสคว้าตัวคนตรงหน้าไว้ได้ทันก่อนที่ใบหน้าอีกฝ่ายจะโหม่งลงบนพื้นปูนแถวนี้ซะก่อน


    "ไหวหรือเปล่าเนี่ย"


    "ฉันไหว ก็แค่หน้ามืดเท่านั้นแหละ"


    เขาปัดมือเธอออกก่อนจะเดินจากไปอีกครั้ง โดโลเรสจึงได้แต่มองเด็กหนุ่มร่างสูงที่เดินโซซัดโซเซออกไปด้วยความสงสัยเล็ก ๆ


     พูดตามตรงว่าโดโลเรสไม่เข้าใจการกระทำที่แปรปรวนของชายคนนั้นเท่าไรนัก ตอนแรกเหมือนจะเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้ ต่อมาก็ดูจะว่าเป็นมิตรดี แล้วตอนนี้กลับมาทำฉุนเฉียวใส่เธอเสียอย่างนั้น


    โดโลเรสชักจะไม่มั่นใจเสียแล้วว่าบิลเป็นคนแบบไหนกันแน่?



    ___________________






    [1] โจนออฟอาร์ค เป็นวีรสตรีของฝรั่งเศสและเป็นนักบุญในนิกายโรมันคาทอลิก โจนเป็นลูกหลานชาวนาที่เกิดทางตะวันออกของฝรั่งเศส อ้างว่าได้รับนิมิตจากพระเจ้าผู้ทรงบอกให้ไปช่วยกู้บ้านเมืองคืนจากการครอบครองของฝ่ายอังกฤษในปลายสงครามร้อยปี จนได้กลายเป็นผู้นำทัพฝรังเศสที่ได้รับชัยชนะต่อฝ่ายอังกฤษหลายครั้งโดยที่ตัวเองไม่ได้มีความรู้ด้านสงครามเลย

                
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×