คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Missing
เช้าวันพุธนี้ภายในโรงเรียนค่อนข้างดูเงียบเหงา ไม่มีเสียงพูดคุยจอแจเหมือนเช่นทุกครั้ง ต่างคนก็ต่างเดินก้มหน้าก้มตาเข้าเรียนยังคลาสของตัวเอง รวมไปถึงโดโลเรสที่พึ่งมาถึงโรงเรียนไปหมาด ๆ เช่นกัน ถ้าให้นับดูตอนนี้เธอก็ใช้ชีวิตเป็นนักเรียนมัธยมปลายมาได้หนึ่งอาทิตย์กว่า ๆ แล้ว นั่นทำให้เธอเริ่มจะชินกับอะไรหลาย ๆ อย่างของที่นี่พอสมควร จนสามารถสังเกตได้อย่างง่ายดายว่าหลายวันมานี้ทุกคนในโรงเรียนนั้นดูแปลกไปกว่าทุกที
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรยากาศในโรงเรียนช่วงนี้จะค่อนข้างอึมครึมอยู่ไม่น้อย เพราะพึ่งมีข่าวลือหนาหูในหมู่นักเรียนว่ามีเด็กนักเรียนในโรงเรียนหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อเร็ว ๆ นี้
โดโลเรสรู้มาว่าก่อนหน้านี้ก็เคยมีเด็กนักเรียนหายตัวมาก่อนเช่นกัน แต่ตำรวจก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้สักที ฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้จึงมีแค่การคอยตรวจตรารอบ ๆ โรงเรียน และออกกฎเคอร์ฟิวให้นักเรียนต้องกลับบ้านทันทีหลังจากเลิกเรียน
มันอาจจะดูประหลาดนิดหน่อยที่เธอดันชอบบรรยากาศแบบนี้มากกว่าช่วงปกติเยอะ อย่างน้อยก็ไม่มีคนเดินเพ่นพ่านไปมาหรือมีเสียงพูดคุยจุกจิกน่าเวียนหัว ถือเป็นความสงบสุขที่ไม่ได้หาเจอได้ง่าย ๆ ในรั้วโรงเรียน และความสงบแบบนี้ก็ทำให้เด็กสาวรู้สึกสบายใจกับการมาเรียนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกด้วย
คาบเช้าวันนี้เป็นวิชาวิทยาศาสตร์ ด้วยความที่เมื่อคืนนอนดึกจึงทำให้วันนี้เธอมาเรียนช้าไปนิดหน่อย พอก้าวขาเข้ามาห้องเรียนเด็กสาวก็พบว่าทุกคนเริ่มเรียนกันไปได้สักพักแล้ว
“นักเรียนวันนี้มาครบกันแล้วหรือยัง?
วันนี้เราจะมีการทดลองกันนะ” เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้น
ก่อนที่ชายแก่ร่างผอมในชุดเสื้อเชิ้ตสีหม่นจะเดินออกมาจากกลุ่มนักเรียน
เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวผมน้ำตาลที่ยืนอยู่หน้าประตู ตากลมโตหรี่ตาลงเล็กน้อย “เธอนั่นนะ
เด็กใหม่ใช่ไหม”
โดโลเรสรีบพยักหน้า ทุกสายตาจึงหันมามองเธออย่างพร้อมเพรียง นั่นทำให้เด็กสาวต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างอึดอัดใจเพราะเธอไม่ชอบเป็นจุดสนใจเท่าไรนัก
“เธอมาช้านะ วันนี้เรามีการจับคู่ทดลองผสมสารเคมีกันและทุกคนก็จับคู่ของตัวเองกันไปหมดเรียบร้อยแล้วด้วย
งั้นเดี๋ยวฉันหาคู่ให้เธอเองก็แล้วกัน” ผู้ชายแก่ ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นอาจารย์วิชานี้หยิบเอกสารบึกหนึ่งขึ้นมาพลิกดูไปมาก่อนจะหันมามองเธอ
“บิลยังไม่มีคู่นี่ใช่ไหม งั้นเธอคู่กับบิลไปแล้วกันนะ”
ชื่อที่คุ้นเคยทำให้โดโลเรสชะงักเล็กน้อย
เธอปรายตามองไปทั่วห้องก่อนจะสะดุดที่ร่างผอมสูงซึ่งยืนอยู่เพียงคนเดียวหลังห้องในขณะที่คนอื่น
ๆ ต่างยืนกันเป็นคู่ เขายังคงใส่ชุดสีดำเหมือนกับทุกวัน ใบหน้าขาวซีดเรียบเฉยจนดูเหมือนคนที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร
เช่นเดียวกับดวงตาสีดำสนิทของเขาที่มองมาที่เธอ
วูบหนึ่งเด็กสาวรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวที่อธิบายไม่ถูกจากผู้ชายคนนั้น
“เธอไปประจำที่ได้แล้ว”
เสียงของอาจารย์ดึงสติโดโลเรสให้กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง เด็กสาวจึงรีบก้าวเท้าไปหลังห้องอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากเป็นเป้าสายตาให้คนอื่นนานนัก เมื่อประจำที่แล้วสายตาจึงแอบลอบมองคนข้าง ๆ อย่างสนใจใคร่รู้ เธอไม่แน่ใจเท่าไรนักว่าทำไมเขาถึงได้เป็นคนเดียวในห้องนี้ที่ไม่มีคู่ เป็นเพราะว่าไม่มีใครในห้องนี้ที่อยากจับคู่กับเขาหรือบางทีอาจเป็นเขาเองที่ไม่อยากสุงสิงกับใคร?
แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การที่ได้มาจับคู่กันแบบนี้ก็ทำให้โดโลเรสสรุปได้ทันทีว่าทั้งเขาและเธอต่างก็ไม่มีใครในห้องนี้ที่อยากจะจับคู่ด้วย
“มีอะไร”
โดโลเรสสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็ตวัดสายตามาที่เธอ เพราะไม่ทันตั้งตัวกับคำถามที่มาแบบกะทันหันจึงงุนงงไปชั่วขณะขณะ จนกระทั่งคนตัวสูงกว่าเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันเห็นเธอจ้องฉันตั้งนานแล้ว มีอะไรงั้นเหรอ?”
“เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษล่ะกันนะ”
เด็กสาวทำได้เพียงฉีกยิ้มแก้เก้อให้อีกฝ่ายเมื่อโดนจับได้
ในใจก็แอบสงสัยว่าเขารู้ได้ไงกันว่าเธอมองอยู่
แต่เพราะว่าไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมชั้นตอนนี้ โดโลเรสจึงหันมาตั้งใจกับการเรียนตรงหน้าอีกครั้ง
เพราะวิชาวิทยาศาสตร์จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในวิชาที่โหดหินไม่น้อย ยิ่งมารวมกับอาจารย์ที่หน้าตาโหด ๆ แบบนี้ด้วยแล้ว การเรียนการสอนในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดจนแทบไม่ปล่อยให้นักเรียนได้หยุดพักหายใจเลยสักนิดเดียว โดโลเรสได้แต่ขมวดคิ้วอย่างงุนงง ในหัวสมองเต็มไปด้วยความว่างเปล่าในขณะที่หลุบตามองขวดบิ๊กเกอร์มากมายที่บรรจุของเหลวหลากสีสันตรงหน้า
หลังจากที่ยืนครุ่นคิดอยู่นานว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี
สุดท้ายเธอเลยหันไปมองคนข้าง ๆ ที่จัดได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกันอย่างลังเลเล็กน้อย
ไหน ๆ ก็อยู่กลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว ลองถามหมอนี่ดูดีไหมนะ
เผื่อจะช่วยอะไรได้
“เอ่อ..นายเข้าใจหรือเปล่าว่ามันต้องทำยังไงบ้างอ่ะ”
เจ้าของดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองเธอก่อนจะถอนหายใจออกมา ชั่วขณะหนึ่งโดโลเรสรู้สึกว่าสายตาของเขาเมื่อสักครู่นี้เหมือนจะดูสมเพชเธอยังไงก็ไม่รู้
“เดี๋ยวฉันทำเอง เธอแค่ช่วยหยิบของให้ฉันก็พอ”
แม้จะสัมผัสได้ถึงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก แต่โดโลเรสก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับเขา เธอจึงเลือกที่จะเงียบและยอมทำตามที่เด็กหนุ่มพูดอย่างง่ายดาย ตลอดทั้งคาบสิ่งที่เด็กสาวทำจึงมีเพียงแค่ช่วยหยิบของเล็ก ๆ น้อย ๆ ยามที่เขาเอ่ยปากก็เท่านั้น นอกนั้นล้วนแต่เป็นฝีมือของบิลทั้งสิ้น ซึ่งเธอก็พึ่งจะรู้ตอนนี้เองว่าอีกฝ่ายถือว่าเป็นเด็กที่เก่งมากหลังจากได้เห็นเขาทำการทดลองตรงหน้าอย่างชำนาญ แถมยังคอยออกคำสั่งกับเธอราวกับเป็นอาจารย์ซะเองอีกด้วย
“หยิบบิ๊กเกอร์อันนั้นให้ฉันหน่อย”
“อันนี้นะเหรอ”
“ไม่ ๆ ฉันบอกให้หยิบอันนั้น อันสีเขียวนั่นนะ”
เด็กสาวกลอกตาเล็กน้อยก่อนจะหยิบบิ๊กเกอร์สีเขียวยื่นให้กับคนตัวสูงกว่า อีกสิ่งหนึ่งที่เธอพึ่งได้รู้ก็คือหมอนี่เป็นคนพูดเยอะมากกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก ทั้งที่ตอนเจอกันแรก ๆ อีกฝ่ายแทบจะไม่ปริปากเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเวลานี้การพูดจาห้วน ๆ นั่นจะน่าหงุดหงิดไปเสียหน่อยก็เถอะ แต่วันนี้เขาก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนกับครั้งก่อนที่เธอเคยเจอมา ซึ่งนั่นก็ทำให้โดโลเรสแอบแปลกใจอยู่เหมือนกัน
หลังจากการทดลองจบลงแล้ว อาจารย์ประจำวิชาก็เดินตรวจดูงานของทุกกลุ่มทีละโต๊ะ และทันทีที่มาถึงโต๊ะของโดโลเรส อาจารย์คนนั้นก็กล่าวชมผลงานของกลุ่มเธอเสียยกใหญ่ นั่นทำให้เด็กสาวพลอยได้หน้าไปด้วยแม้จะแทบไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม โดโลเรสจึงยอมรับในใจอย่างจริงจังว่าบิลนั้นเก่งจริง ๆ ถือว่าเป็นโชคดีของเธอแล้วที่ได้จับคู่กับเขา
ไม่สิ..ต้องบอกว่าโชคดีจริง ๆ ที่ไม่มีใครในห้องนี้อยากคู่กับเขา ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ได้ถูกจับคู่กับเขาแบบนี้หรอก
กริ๊งงงงงงง!
เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าการเรียนในวิชานี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดโลเรสจึงหันไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง ในใจก็คิดว่าจะควรเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายสักหน่อยที่ช่วยทำให้เธอได้คะแนนเต็ม แต่เมื่อหันไปมองด้านข้างตัวเอง เธอก็พบว่าเขาได้หายตัวไปเสียแล้ว
ด้วยความตกใจโดโลเรสจึงรีบกวาดตามองหาอีกฝ่ายไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นแผ่นหลังคุ้นตาที่พลุนพลันออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งท่าทีที่รีบร้อนนั่นก็ก็ทำให้เด็กสาวนึกแปลกใจไม่น้อย
จะรีบไปไหนของเขากันนะ?
“ไง” โดโลเรสสะดุ้งเล็ก ๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง ก่อนพบว่าเจ้าของเสียงคือเซบาสเตียนนั่นเอง “ทำไมวันนี้ถึงมาสายล่ะ”
“เมื่อคืนนอนดึกนะ”
“โชคดีไปนะที่วันนี้อาจารย์คอลลินอารมณ์ดี ไม่งั้นเธอคงโดนหักคะแนนไปแล้ว” เด็กหนุ่มตัวสูงหัวเราะในลำคอเบา ๆ “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เราไปโรงอาหารกันเถอะ”
“ขอบใจที่ชวนนะ แต่ไม่เป็นไร”
“เอาอีกแล้วนะ ทำไมเธอถึงชอบปฏิเสธฉันจังเลย รังเกียจฉันหรือไง?”
“ฉันไม่ได้รังเกียจนายหรอก
ฉันแค่ชอบอยู่คนเดียวมากกว่า”
เธอตอบเสียงเรียบ ๆ ความจริงแล้วโดโลเรสแค่ไม่อยากจะอยู่ใกล้เขาเท่านั้น สำหรับเธอแล้วเซบาสเตียนเป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์ โดดเด่น เจิดจ้า และพร้อมที่จะแผดเผาคนที่อยู่ใกล้ด้วยความร้อนของเขาเอง
และเธอเองก็ไม่อยากโดนรังสีดวงอาทิตย์แผดเผาเสียด้วย
โชคดีที่ดูเหมือนเซบาสเตียนจะไม่ใช่ผู้ชายที่ขี้เซ้าซี้ เขาแค่พยักหน้าก่อนจะเดินออกไป โดโลเรสจึงสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวอีกครั้ง โรงอาหารในโรงเรียนถือว่าเป็นอีกสถานที่แสนจะวุ่นวายเพราะเป็นศูนย์รวมของทุกคนในโรงเรียน และโดโลเรสก็ไม่ถูกกับความวุ่นวายอย่างแรง แต่ความหิวก็ทำให้เธอไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากจำต้องทนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่แสนเกลียด
โดโลเรสมีปัญหาส่วนตัวเกี่ยวกับน้ำหนัก ไม่ใช่ว่าเธอเป็นพวกกลัวอ้วนหรอก แต่เป็นเพราะการเป็นโรคซึมเศร้ามันส่งผลต่อการกินของเธอ มันทำให้เธอกินอะไรไม่ลงเพราะความหดหู่ที่วนเวียนในหัว น้ำหนักลดไปหลายกิโลกรัมบวกกับการนอนไม่พอทำให้เธอดูเหมือนซากศพเดินได้ที่พร้อมจะลงหลุมแล้วทำพิธีทางศาสนาได้เลยทันที หมอไอเบิร์ตจึงเข้มงวดกับการกินอาหารของเธอมาก เขาบังคับให้เธอกินอาหารให้ตรงเวลาทุกครั้ง แม้จะไม่หิวก็ต้องกินตามเวลา พอโดนบังคับมาก ๆ เข้ามันก็กลายเป็นความคุ้นชินที่ต้องทำไปแล้ว ต้องยอมรับว่าหมอไอเบิร์ตประสบความสำเร็จไม่น้อยกับการรักษาการกินที่ผิดปกติของเธอได้
สมัยที่โดโลเรสยังอยู่ในสถานบำบัดจิตเธอก็เคยเจอกับคนที่มีการกินผิดปกติเหมือนกัน หล่อนมีชื่อว่าสเตซี่ แม่สาวผมแดงหน้าตาสดใสแต่กลับผอมแห้งเหมือนกอลลัมในภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings หล่อนไม่ได้ซึมเศร้าแบบเธอ แต่เป็นโรคอะนอเร็กเซีย[1] หล่อนไม่ยอมกินอาหารเพราะคิดว่าตัวเองอ้วนอยู่ตลอดเวลา เมื่อหมอเอาอาหารมาให้หล่อนก็จะทำเป็นเคี้ยวแล้วคายทิ้งตลอด สุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตด้วยโรคขาดสารอาหาร โดโลเรสเศร้าใจมากเพราะหล่อนเป็นเพื่อนที่ดีที่ชีวิตนี้เธอคงหาไม่ได้อีกแล้ว
โดโลเรสรับจานสปาเก็ตตี้จากแม่ครัวสาวใหญ่ที่มีหน้าตาไม่เป็นมิตร เธอกวาดตามองหาโต๊ะว่างในโรงอาหาร แต่ก็ดูเหมือนทุกโต๊ะจะมีคนนั่งอยู่หมดแล้ว แน่นอนว่าเธอไม่มีทางร่วมโต๊ะกับพวกกลุ่มคนเยอะ ๆ อยู่แล้ว โดโลเรสจึงเลือกจะนั่งโต๊ะเดียวกับเด็กหนุ่มใส่แว่นท่าทางขี้อายคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรที่เธอมาขอนั่งด้วย
แต่ก่อนที่โดโลเรสจะได้กินอาหาร เธอก็รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามานั่งอยู่ด้านหน้าเธอ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเป็นเซบาสเตียนที่นั่งยิ้มแป้นพร้อมกับจานที่มีแฮมเบอร์เกอร์กับแฟรนฟรายของตัวเอง เด็กสาวจึงขมวดคิ้วทันที
“นายตามฉันมาทำไม”
“เปล่าซักหน่อย ฉันก็แค่มากินอาหารเท่านั้นเอง เธอก็กินของเธอไปสิ” พูดเสร็จเขาก็หยิบเบอร์เกอร์ตัวเองขึ้นมากินด้วยท่าทีสบาย ๆ ซึ่งนั่นทำให้โดโลเรสรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
ขอถอนคำพูดเรื่องที่บอกว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายขี้เซ้าซี้ล่ะกัน เพราะการกระทำของหมอนี่ดูจะยิ่งกว่าเซ้าซี้ซะอีก
โดโลเรสทำอะไรไม่ได้เลย
จะไล่เขาออกไปก็ไม่ได้เพราะนี่ก็ไม่ใช่โต๊ะของเธอ แม้ใจจะอยากย้ายที่นั่งแต่ก็ไม่มีโต๊ะไหนจะว่างพอให้เธอเข้าไปแทรกได้และเธอเองก็ไม่อยากจะไปนั่งร่วมกลุ่มกับคนแปลกหน้าด้วย
สุดท้ายก็เลยทำได้แต่จ้วงสปาเก็ตตี้เข้าปากด้วยความโมโหเท่านั้น
ดูเหมือนว่าความหวังที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ ๆ คนเดียวช่างเป็นความหวังที่เลืองลางเหลือเกิน
............................
‘เขา’ ผลักประตูบานไม้เก่า ๆ เข้าไปในห้อง ภายในห้องนั้นค่อนข้างคับแคบและ เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรกับกลิ่นไม่พึงประสงค์อันร้ายกาจเหล่านั้นราวกับว่าเขาชินชากับมันเสียแล้ว
แม้ช่วงนี้จะเป็นฤดูหนาว แต่ภายในห้องใต้ดินก็อบอ้าวมากพอจะทำให้ร่างกายของเขาเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมา และนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไรนัก เขาวางกระเป๋าของตัวเองไว้ข้างประตูก่อนจะคว้าถุงมือยางขึ้นมาสวมใส่ แล้วหยิบมือผ่าตัดที่วางอยู่บนถาดสีเงินแวววาวสะท้อนกับหลอดไฟสีขาวในห้องเป็นประกาย สองขาก้าวไปยังเตียงเก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนจะแย้มรอยยิ้มให้กับคนที่กำลังนอนอยู่บนนั้น
เด็กสาวผมสีบลอนด์ทองหน้าตาสะสวยเบิกตากว้างมองอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เธอพยายามส่งเสียงร้องออกมาแต่เทปกาวสีดำที่ปิดปากแน่นหนาทำให้มีเพียงแค่เสียงอู้อี้เบา ๆ เท่านั้น ทั้งมือและเท้าถูกเชือกไนลอนรัดให้อยู่ติดกับเตียงจนแทบจะไม่สามารถขยับร่างกายได้ ตามเนื้อตัวและใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยแผลมากมายที่แห้งกรังและยังสดใหม่เหมือนพึ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่นานนัก
“เป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้ฉันติดธุระเลยไม่ได้มาหาเธอเลย คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า?”
ไม่มีคำพูดตอบรับจากเด็กสาวที่อยู่บนเตียง มีเพียงเสียงอู้อี้ที่เล็ดลอดออกมาจากเทปกาวอันใหญ่ที่ถูกแปะบนปากเท่านั้น เขายังคงยิ้มกว้าง ก่อนจะใช้มือที่ถูกสวมด้วยถุงมือยางไล่นิ้วไปตามใบหน้าที่มีบาดแผลอย่างแผ่วเบา
“ดูเหมือนว่าแผลจะหายไวกว่าที่คิดนะเนี่ย” เขาพึมพำกับตัวเอง “สงสัยแค่นี้คงจะน้อยไปสินะ?”
เด็กสาวน้ำตาคลอเบ้า เธอได้แต่ส่ายหน้าไปมาในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มจรดมีดผ่าตัดลงบนใบหน้าที่สวยงามของเธอ ความเย็นของโลหะที่กรีดแทงเข้ามาทำให้ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ของเหลวสีแดงสดไหลทะลักเจิ่งนองไปทั่วทั้งเตียง
นั่นเป็นสิ่งที่เขาทำเป็นประจำทุกวัน เขามาที่นี่ มาเพื่อกรีดมีดไปทั่วตัวเธอซ้ำไปซ้ำมา สร้างรอยแผลมากมายนับไม่ถ้วน เขายืนมองดูร่างของเธอที่เต็มไปด้วยเลือดมากมายราวกับจะซึมซับภาพที่เห็นนี้ไว้ในหัวตัวเอง แล้วจึงจากไปอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะกลับมาทำแบบนี้อีกครั้งในวันต่อไป ซ้ำไปซ้ำมา
เขาไม่ฆ่าเธอ..เขาไม่ยอมให้เธอตาย
แต่สิ่งเขามอบให้กับเธอมันทรมานยิ่งกว่าความตายซะอีก
____________________
[1] อะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (Anorexia Nervosa) จัดอยู่ในกลุ่มโรคการกินผิดปกติ (Eating Disorders) เป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่งที่มักคิดว่าร่างกายของตัวเองอ้วนเกินไปจึงปฏิเสธที่จะกินอาหาร
ความคิดเห็น