คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : อัญมณีสาบสูญ
งานแฟชั่นโชว์เครื่องประดับอัญมณี และจัดแสดงอัญมณีชิ้นเอกในตู้โชว์ระดับนานาชาติ ถูกจัดขึ้นที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก สร้างความตื่นเต้น ฮือฮา สนอกสนใจอย่างยิ่ง ทั้งในวงการธุรกิจเมืองไทย และต่างประเทศ ข่าวนี้จองหน้าหนึ่งมาหลายอาทิตย์ติดต่อกันแล้ว ตามกระแสของบริษัทที่กำลัง “บูม”อย่างเต็มที่ ซึ่งตลอดยี่สิบปีหลังมานี้ สถิติที่ชัดเจนระบุว่า ธุรกิจอัญมณี คือ การค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย
จากสองบริษัทคู่อริ ซึ่งได้รับฉายาว่า “สองยอดมณีแห่งสยาม” คือสองบริษัทที่ยิ่งใหญ่โด่งดัง ทรงอำนาจ และร่ำรวยอภิมหาศาล เคียงคู่กันไป “วัน สกาย ไดมอนด์” ของ นาย
งานแสดงโชว์ครั้งนี้ ได้รวบรวมอัญมณีจากหลายประเทศไว้ด้วยกัน ทั้งที่ถูกใส่โดยนางแบบนำมาแสดง และประดับไว้ในตู้กระจกนิรภัย เป็นโซนๆ คล้ายงานนิทรรศการ แขกระดับวีไอพี ส่วนใหญ่เป็นบุคคลชั้นสูงในวงการ ที่มีบัตรเชิญเท่านั้น จึงมีสิทธิ์เที่ยวชมได้ นักข่าวจากทุกสำนักมาพร้อม ผู้บัญชาการกรมสอบสวนคดีพิเศษ อย่าง ผบ. สันต์ภพ และร้อยตำรวจเอก รชต แห่งกองปราบ ยังต้องได้รับหน้าที่มาคุมการรักษาความปลอดภัยด้วยตัวเอง
ชั้นล่างสุด จัดแสดงโชว์อัญมณีระดับธรรมดา ให้แขกได้ชื่นชมยลโฉมกันอย่างใกล้ชิด ชั้นสอง คือสถานที่เดินแบบของเหล่าซุปเปอร์โมเดล ที่จะออกมาพรีเซ็นต์เครื่องประดับอัญมณีระดับสูง ซึ่งตอนนี้เริ่มมาได้ครึ่งทางแล้ว ส่วนชั้นบนสุดของอาคาร คือ สุดยอดของงาน...อัญมณีชิ้นเอก! ที่จะสร้างความตื่นตะลึง และประทับใจให้แก่แขกคนพิเศษ ที่จะได้เข้าชมเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ดาวเด่นที่จะปรากฏโฉมในตอนสุดท้าย
มณีทิพย์ เดชาวัต นางแบบสาวเบอร์หนึ่งแห่งเมืองไทย และบุตรสาวคนโตของนาย
ณ ชั้นสามของอาคาร ถูกกันเป็นที่หวงห้ามพิเศษ ไม่อนุญาตบุคคลใดขึ้นไป คนของกรมสอบสวนคดีพิเศษสิบคน ยืนประจำการดูแลความเรียบร้อยอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทั้งชั้นล่าง และชั้นสอง ต่างมีตำรวจรักษาความปลอดภัยเข้มงวด หากแต่ชั้นบนสุด ผบ. สันต์ภพ ให้เป็นหน้าที่คนของเขาตรวจตราดูแล โดยอยู่ในความรับผิดชอบของเขาเอง ขณะที่มณีทิพย์เดินแบบจบ ลับไปด้านหลังเวทีแล้ว ก็บังเกิดวัตถุกลมเกลี้ยงสีใสปนเทาหม่นขนาดเท่าผลส้มลูกหนึ่ง กลิ้งมาตามลายทางพื้นหินอ่อนของอาคาร ผ่านหน้าผู้รักษาความปลอดภัยทั้งสิบคนไปกระทบกับเสาหินอ่อนริมสุดแล้วหยุดนิ่ง สายตาบุรุษหนุ่มทั้งสิบคู่ ต่างจ้องมองมันอย่างพิศวง แล้วสบตากันงงๆ
สโมกีย์ ควอทซ์ อัญมณีแห่งความลุ่มหลง
เมื่อใครคนหนึ่งหยิบมันขึ้นมาดู อีกเก้าคนที่เหลือก็เลยพลอยตาม เพียงไม่กี่วินาที บุรุษทั้งสิบรุมล้อมเป็นวงกลมจ้องมองวัตถุชิ้นนั้น ร่างที่เคลื่อนไหวอยู่เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ คล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง โลกหยุดหมุนชั่วขณะ เมื่อนั้น เสียงรองเท้าส้นสูงก็แว่วมาทางขึ้นบันได และปรากฏ...
ร่างอ้อนแอ้นอรชรในชุดเดรสสั้นเกาะอกสีชมพูเดินตรงเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม สองมือไพล่หลัง เยื้องกรายอย่างใจเย็นราวกับกำลังเดินเล่น มาหยุดที่หน้าประตูห้องพิเศษ เป็นห้องเดียวในชั้นนั้น ห้องที่ซ่อนของสำคัญไว้เพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย มุมปากปรากฏรอยยิ้มหมิ่นๆ วัตถุสีเหลืองอมส้มทรงหยดน้ำ ขนาดเท่าขวดน้ำหอมถูกชูขึ้นในมือหนึ่ง ระดับเดียวกับแผงควบคุมการเปิดปิดอัตโนมัติ ขณะที่อีกมือเคลื่อนไหวในท่าเลื่อนกระจก ประตูทองคำที่หนักเกือบร้อยกิโล ค่อยๆ เลื่อนออกอย่างช้าๆ ดุจเวทมนตร์
หล่อนเดินเข้าไป โดยที่เจ้าหน้าที่ของกรมสอบสอนคดีพิเศษทั้งสิบคน ที่อยู่ห่างไม่ถึงสิบก้าว ยังยืนจ้องมองวัตถุ ตัวแข็งทื่อดุจหินอยู่เช่นนั้น
“หยุดนะ!”
นางแบบสาวชื่อดัง มณีทิพย์ ตวาดลั่น หล่อนมาถึง และเห็นประตูห้องเปิดค้างไว้ หญิงสาวคนหนึ่งก้าวออกมาพอดี พร้อมวัตถุสีเหลืองทองลายไม้ในกำมือ หล่อนปิดบังโฉมหน้าไว้ ด้วยผ้ากำมะหยี่สีม่วง
“ว้าว! เจอคู่แข่งซะแล้ว อยากได้หรือ ฉันมาก่อนนะ”
เสียงหยอกเย้าใสปานระฆังแก้ว บ่งบอกให้รู้ว่าผู้ปิดหน้าเป็นดรุณีวัยยี่สิบต้นๆ มณีทิพย์ตวาดกร้าว
“ส่งมา”
แล้วนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ก็กลายร่างเป็นนักบู๊สาวฝีมือฉกาจ หล่อนยื่นมือออก หวังคร่ากุมไหล่บางด้วยพลังหมัด และยกขาสูง ในชุดราตรีที่ผ่าเว้าแหวกเกือบถึงน่อง โจมตีท้องน้อยอันเป็นจุดสยบสตรี การลงมือรวดเร็ว และแม่นยำอย่างยิ่ง หากแต่หล่อนกลับวืด ปะทะอากาศทั้งด้านบนด้านล่าง หญิงสาวตรงหน้าไวกว่าหล่อน หรือระวังตัวก่อนแล้ว พลิกตัวคราเดียว ก็วกมาถึงด้านหลัง ศอกอัดบริเวณศีรษะจนหล่อนเซเข้าไปในห้อง
“โหดจัง ไม่ส่งแล้วจะทำไมล่ะ”
เสียงยั่วเย้าท้าทายมาอีก มณีทิพย์โฉบมาขวางหน้าไว้ คราวนี้จู่โจมด้วยมีดสั้นอย่างคล่องแคล่ว จี้ใส่จุดตายฝ่ายตรงข้ามอย่างเหี้ยมโหด และไม่ปราณีใดๆ หากแต่คู่ต่อสู้ไวยิ่งกว่าภูตผี หลบและปัดป้องได้หมด แถมตอบโต้ในแบบฉบับที่หล่อนคาดไม่ถึงหลายครั้ง เพิ่งจะสำนึกเดี๋ยวนี้เอง ว่าฝีมือหล่อนสู้ไม่ได้ หากฝ่ายตรงข้ามหมายชีวิต หล่อนคงตายไปนานแล้ว!
“อยากเล่นด้วยจัง แต่ฉันรีบ ไว้โอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่นะ ตอนนี้ ลืมซะเถอะ”
วัตถุทรงสามเหลี่ยมสีชมพูปนดำ ถูกควักจากอกเสื้อยื่นใส่หน้านางแบบสาวในระยะประชิด หล่อนจ้องตาค้าง ความรู้สึกแรกคือมึนงง เหมือนรอบๆ ตัวกำลังหมุน เร็วขึ้น...เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนต้องหลับตา...
หญิงสาวเปิดผ้าคลุมหน้าออก แล้วเดินสง่างามผ่านบุรุษรักษาความปลอดภัยทั้งสิบคน เอื้อมมือหยิบวัตถุกลมๆ จากในมือเขากลับมา ยิ้มหมิ่นๆ ให้กับอาการตัวแข็งทื่อ เพราะยังมิหลุดจากมนต์สะกดง่ายๆ ก่อนหายตัวไปอย่างลึกลับ!
ณ หมู่บ้านผาแดง ชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งห่างไกลจากความเจริญ ยามดึกสงัด ในบ้านไม้หลังเล็กชั้นเดียว ห้องที่อยู่มุมซ้ายสุด
ชายหนุ่มหน้าตาคมสัน วัยยี่สิบต้นๆ นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นเสื่อ หลับตาเข้าฌานนานกว่าสิบนาทีแล้ว หน้าผากปรากฏเหงื่อซึม ใบหน้าสั่นเล็กน้อย มีอาการกระสับกระส่าย ด้านหน้าของเขา ที่วางอยู่กล่องไม้ คือหินกลมเกลี้ยงขนาดเท่าลูกส้มโอ สีออกน้ำตาล มีลายเป็นชั้นๆ เหมือนลายของเนื้อไม้ ลักณะสวยงามแปลกตาอย่างยิ่ง
อาเกต อัญมณีแห่งภาพนิมิตร
ชายหนุ่มทนไม่ไหว กับภาวะปั่นป่วนจิตที่สั่นไหวรุนแรง เพราะคลื่นพลังจากของวิเศษที่อยู่เบื้องหน้า ถ่ายทอดกระแสภาพเหมือนจริง แจ่มชัดจนน่าตกใจ จำต้องถอนสมาธิออก ลืมตาขึ้นมา หินสีน้ำตาลนั้น ปรากฏแสงสีเหลืองลูกใหญ่ลุกท่วม จนเขาผงะ หลุดคำออกมาอย่างตกใจว่า “ไฟ!”
“พี่เพชร แย่แล้ว พี่เพชร... ออกมาเร็วเข้า”
ทันใดนั้นเอง เด็กชายวัยสิบขวบก็วิ่งมาร้องลั่นที่หน้าบ้าน พร้อมเคาะประตูอย่างรุนแรง เพชรกล้า เรืองธรรม รีบออกมาดูอย่างสังหรณ์ร้าย
“เกิดอะไรขึ้น ลูกหิน”
“ไฟไหม้ที่บ้านป้าผิน เพลิงลุกท่วมใหญ่แล้ว พี่รีบไปช่วยเร็วเถอะ”
นึกแล้วเชียว! เพชรกล้าครางในใจ ก่อนจะรีบรับคำเด็กน้อย
เกือบท้ายสุดหมู่บ้าน สถานการณ์วุ่นวายโกลาหลกันยกใหญ่ บ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่งถูกเพลิงอัคคีแผดเผาจนพังไปครึ่งหลังแล้ว ชาวบ้านช่วยกันขนน้ำมาดับไฟ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ที่นี่ไม่มีสถานีดับเพลิง เมื่อเกิดอัคคีภัยจึงต้องยอมรับสภาพ เพชรกล้าวิ่งเข้ามาหาสตรีวัยกลางคนที่ยืนร่ำร้อง ทุรนทุรายอยู่หน้าบ้านหลังนั้น
“ป้าผิน ป้าผิน ตั้งสติก่อน เกิดอะไรขึ้นครับ”
ป้าผินหันมาหา เหมือนเจอแอ่งน้ำกลางทะเลทราย จับมือเพชรกล้าไว้แน่น ละล่ำละลักปนร้องไห้
“ช่วยด้วย พ่อเพชร ช่วยทองคำด้วย มันติดอยู่ในห้องบนชั้นสองนั่น จะทำยังไงดี โฮ...”
ชายหนุ่มอุทานอย่างตกใจ มองบ้านไม้ที่เริ่มจะพังทรุดลงมาเป็นส่วนๆ แล้วถึงกับอึ้ง
“ขอร้องล่ะ ช่วยป้าที ช่วยลูกป้าด้วย ทองคำต้องตายแน่ๆ ป้าทนไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วยเถอะ”
ร่างผู้เป็นมารดาทรุดลงไปกองกับพื้น คล้ายจะสลบด้วยความปวดร้าวทรมานใจแทบขาด
“ป้าผิน ทำใจดีๆ ไว้ ผมจะไปช่วยทองคำ ผมจะพาเธอออกมาเอง วางใจครับ ปิญชาน์ (อีกชื่อหนึ่งของหล่อน) ต้องปลอดภัย”
เพชรกล้ารับคำหนักแน่น ตั้งท่าจะวิ่งเข้าไปในกองเพลิง แต่นึกขึ้นได้ วิ่งไปที่โอ่ง หยิบถังน้ำมาราดตัวเองจนเปียกชุ่ม แล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน อย่างไม่ฟังเสียงร้องห้าม ทัดทานของใครหลายคน
“ปิญชาน์ ปิญชาน์... อยู่ที่ไหน”
ชั้นล่างของบ้าน คือนรกเพลิงดีๆ นี่เอง เขารู้สึกร้อน หากแต่ไม่มากอย่างที่คาด ยกมือปิดปากและจมูกให้รอดพ้นจากควัน มองหาบันไดทางขึ้น ท่อนเสาต้นหนึ่งหักล้มมาทางเขา จากวิถีแล้วต้องทับถูกตัวแน่ๆ และเขาไม่มีทางหลบพ้นเลย เพราะมันเกิดขึ้นฉับพลัน แต่แล้ว... พอเกือบถึงตัว มันกลับเบี่ยงทิศอย่างปาฏิหาริย์ ราวกับถูกผีผลักไปตกลงข้างหลัง เฉียดร่างเขาไปอย่างหวุดหวิด!
เพชรกล้าไม่สะท้านหวั่นไหว กับจังหวะน่าหวาดเสียวเมื่อครู่ กระโดดขึ้นบันไดไปชั้นสอง เดินฝ่ากองเพลิงอย่างระมัดระวัง หลบเลี่ยงท่อนไม้ติดไฟ สิ่งที่มีอยู่นั้นช่วยได้ แต่เขาไม่อยากติดนิสัยประมาท ลองของ หรือท้าทายต่อเทพอัคคีมากนัก อยากจะพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด เมื่อผลักประตูห้องด้านในสุดออก ร่างหญิงสาววัยยี่สิบปี มีนามว่า ปิญชาน์ (แปลว่า ทองคำ) นอนสลบแน่นิ่งอยู่บนพื้น เขาอุ้มร่างหล่อนขึ้นมา เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น กลับออกทางเก่า เพื่อให้หลุดพ้นจากขุมนรกโลกันตร์นี้เสียที
“แย่แล้ว บ้านจะพังแล้ว พี่เพชร!”
“เพชรกล้า ออกมา เพชรกล้า... ออกมาเร็วเข้า”
ด้านนอก ลูกหิน และพวกชาวบ้านพากันร้องตะโกนเตือนเขา เมื่อเห็นไฟโหมรุนแรงขึ้น และเสาบ้านก็โอนเอนทำท่าจะล้มเต็มที หญิงสาวนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในคืนแห่งความวุ่นวายโกลาหล หล่อนจ้องมองเปลวไฟ แล้วถามเสียงเยือกเย็น
“มีคนอยู่ข้างในหรือ”
เด็กชายนาม ลูกหิน เงยหน้าตอบเสียงสั่น
“ช...ใช่แล้ว พ...พี่เพชร เข้าไปช่วยพี่ทองคำ”
“ไม่ต้องรอแล้วล่ะ ไฟท่วมขนาดนี้ คงกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว!”
น้ำเสียงราบเรียบ อาจฟังคล้ายเย็นชาอยู่บ้าง แต่เป็นไปอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ก่อนจะถอนหายใจ ให้กับโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าคืนนี้ ที่สังเวยด้วยชีวิตคน หันหลังกลับ อยากไปให้พ้นความเศร้าสลดที่กำลังจะตามมา เสียงหวีดร้องก็ดังก้องขึ้น!
หล่อนหันขวับ ท่ามกลางเปลวเพลิงลูกใหญ่ ที่ปิดล้อมไว้มิดทุกด้าน มองเข้าไปไม่เห็นช่องว่างพอให้มนุษย์คนไหนเล็ดรอดออกมาได้ อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ผึ้งสักตัว หล่อนก็มั่นใจว่าไม่มีทางแน่ แต่แล้ว ภาพที่สะกดให้หล่อนตกตะลึง ก็ปรากฏแก่สายตา...
เปลวไฟนั้นแยกออกจากกันช้าๆ ราวกับเวทมนตร์! เผยให้เห็นบุรุษหนุ่มในคราบฝุ่นควันเต็มตัว สกปรกมอมแมม อุ้มช้อนหญิงสาวนางหนึ่งไว้ในอ้อมแขนอย่างมั่นคง เดินออกมาช้าๆ อย่างใจเย็น ก่อนที่เสาบ้านที่เอนล้มลงมาค้างครึ่งท่อนแล้ว จะค่อยพังทลายลง และทรุดตัวราบเรียบหมดทั้งหลังในชั่วพริบตา
“นายทำได้ยังไง!”
ขณะเดินขึ้นบันไดบ้าน เพชรกล้าก็ชะงัก เพราะน้ำเสียงเคร่งเครียดปนกระด้างของใครคนหนึ่งทักขึ้นที่เบื้องหลัง
เขาหันมา เจ้าของเสียงนั้นแอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดใต้ต้นไม้ แม้เขาเพ่งพินิจ ก็ยังมองไม่เห็นชัด
“คุณว่าอะไรนะ”
“นายรอดออกมาจากกองเพลิงได้ยังไง”
น้ำเสียงนั้นถามย้ำ หากแต่ร่างหล่อนไม่ขยับ ยืนนิ่งเป็นหิน เขาขมวดคิ้ว หัวใจกระตุกวาบ
“เอ่อ...ขอโทษทีนะ ผมเหนื่อยมากแล้ว คืนนี้วุ่นวายหนักจริงๆ ผมอยากพักผ่อน”
เขาตัดบทง่ายๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดต่อ เสียงนั้นดังมาอีกราวกับจะรั้งไว้
“กองไฟใหญ่ขนาดนั้น บ้านทั้งหลังถูกเผาจนไม่มีที่ว่างเหลือ นายไปหลบซ่อนตัวอยู่มุมไหน จึงรอดพ้นออกมาในสภาพสมบูรณ์ทุกอย่าง!”
เพชรกล้าสะดุ้งในใจ รู้สึกประหลาดในคำถาม จนต้องหันกลับมามองอีกครั้ง เริ่มระวังตัวมากขึ้น
“เปล่า ผมไม่ได้หลบซ่อน ผมแค่ไปช่วยคนออกมาจากกองเพลิงเท่านั้น”
“อย่าว่าแต่ช่วยคนเลย ลำพังแค่นายคนเดียวก็ไม่น่าจะมีชีวิตรอดออกมาได้แล้ว แต่นี่... นายกลับ...รอด...เหมือนปาฏิหาริย์!”
“ก็จริงนะ อาจเป็นปาฏิหาริย์ก็ได้ ผมคงจะดวงแข็ง คนเราถ้าไม่ถึงฆาต ก็ไม่ตายหรอกคุณ แล้วก่อนจะเข้าไปนะ ผมราดน้ำซะเปียกโชกขนาดนั้น มันก็พอช่วย...”
“ไม่! ถึงจะราดน้ำก่อนเข้าไป ไฟโหมรุนแรงขนาดนั้น ไม่มีทางเหลือแค่รอยควันบนตัวนายแน่ ไม่ตายยังพอว่า แต่ถึงขนาดไม่มีรอยไหม้สักนิด มันออกจะเกินไปแล้ว”
น้ำเสียงแข็ง เริ่มออกแนวคาดคั้น ทำเอาเพชรกล้าใจหายวาบ
“เดี๋ยวสิคุณ! คุณมาเห็นผมตอนไหนมิทราบ ผมใช้เวลาแค่นิดเดียวในการเข้าไปช่วยคน ไม่ถึงนาทีเลยนะ ก็ไม่แปลกนี่นา ถ้าผมจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย”
หญิงสาวในเงามืดเงียบ หล่อนกำลังงุนงง ครุ่นคิดอย่างลังเล จริงอยู่ หล่อนเพิ่งมา ไม่รู้เวลา ไม่รู้ว่าเขาเข้าไปนานเท่าไหร่ แต่ยังไงก็มีข้อกังขาอยู่
“ตอนที่นายออกมา เสาทำท่าจะล้มแต่ไม่ล้ม บ้านจวนจะพังแต่ก็ไม่พังลงมาสักที พอนายออกมาเท่านั้นแหละ มันก็ราบเรียบเป็นหน้ากลอง อย่างฉิวเฉียด พอเหมาะพอเจาะที่สุด”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก รู้สึกว่าตัวเองกำลังเจอเรื่องหนักหนายิ่งกว่าไฟไหม้เสียแล้ว!
“นั่นแหละครับ เขาเรียกว่า ภาวะเฉียดตาย เหมือนคนใกล้จะสิ้นชีพ แต่ดันไม่สิ้น คนเราทุกคนต่างก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาบ้างทั้งนั้น มีสักครั้งไหม ที่คุณเดินไปเฉี่ยวกับความตายที่ไหนสักแห่ง จับมือกันแล้ว ทำท่าจะพาจูงไป แต่จู่ๆ เขาก็ปล่อยมือคุณ เพราะดวงคุณยังไม่ถึงคราวดับ หรือว่า...คุณไม่เคยเจอเลย”
หญิงสาวนิ่งอึ้ง เถียงไม่ออก ความบังเอิญมีอยู่จริง และมันเป็นเรื่องที่หล่อนเองก็รู้สึกว่าก้ำกึ่งอยู่เหมือนกัน
“เพชร...”
เสียงเรียกจากด้านในบ้าน ก่อนที่หญิงวัยกลางคนในชุดผ้าถุง จะเดินกระเผลกออกมาช้าๆ
“ครับ แม่... แม่ยังไม่นอนหรือ”
เขารีบเข้าไปประคองมารดาอย่างเป็นห่วง
“ได้ยินเสียงลูกหิน แม่ก็ตื่นแล้ว แต่เดินไปดูไม่ไหว เพราะปวดขานี่แหละ ป้าผินเป็นยังไงบ้างลูก”
“ป้าผิน กับปิญชาน์ ปลอดภัยดีครับ แต่บ้านน่ะช่วยไม่ได้แล้ว คงต้องสร้างกันใหม่”
“เฮ้อ น่าสงสารจริงๆ ทำไมจู่ๆ ถึงเกิดเพลิงไหม้ได้นะ อ้าว แล้วลูกคุยอยู่กับใครน่ะ แม่ได้ยินเสียงเมื่อกี้”
เพชรกล้าหันไปทางหญิงสาว แต่ร่างงามใต้ต้นไม้นั้นกลับอันตรธานไปเสียแล้ว!
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ สงสัยว่า...นางไม้น่ะ”
ณ งานจัดแสดงอัญมณี เวลานี้เกิดเรื่องใหญ่ระดับชาติขึ้นเสียแล้ว ทำให้งานต้องถูกปิดลงอย่างกระทันหัน ถือเป็นการประกาศภาวะฉุกเฉินขั้นร้ายแรงของทีมสอบสวนคดีพิเศษ ภายใต้การควบคุมของผู้บัญชาการ สันต์ภพ
แขกเหรื่อ และสื่อมวลชน ต่างถูกเชิญออกจากงานอย่างเงียบเชียบที่สุด ทุกอย่างถูกปิดเป็นความลับ ไม่มีรั่วไหลออกไปภายนอก แน่นอนว่า เรื่องระดับนี้ ปิดได้เพียงชั่วครู่ แต่การลงมือสืบสวนเบื้องต้น เป็นกรณีเร่งด่วนที่ต้องทำก่อนมีการอธิบายแก่สาธารณชน และปรากฏเป็นข่าวดังหน้าหนึ่งของทุกสำนักพิมพ์ในวันพรุ่งนี้
ในห้องเก็บอัญมณีชิ้นเอก ทีมงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ องครักษ์ผู้พิทักษ์อัญมณีทั้งสิบ ผบ. สันต์ภพ ผู้กอง รชต ตำรวจมือปราบ นายดิเรก ประธานองค์การการค้าธุรกิจอัญมณีแห่งประเทศไทย ผู้เป็นเจ้าภาพงานครั้งนี้ ร่วมด้วย นายหิรัณย์ ทำนุรัฐ เจ้าของบริษัทวันสกาย ไดมอนด์ นายวิศาล เดชาวัต เจ้าของบริษัทแฟนซี จิวเวลรี่ มณีทิพย์ บุตรสาว และมิสเตอร์จอห์น เจ้าของสมบัติล้ำค่าที่สูญหาย ต่างก็อยู่กันครบ
“ไทเกอร์อาย!! ไทเกอร์อาย ของผม! พวกคุณทำงานกันยังไง ถึงปล่อยให้โจรขโมยมันไปได้”
เสียงร้องเกรี้ยวกราดปนขาดใจของนักธุรกิจจิวเวลรี่แห่งเกาะอังกฤษ ทำเอาเจ้าภาพถึงกับหน้าซีด
“เอ่อ ใจเย็นๆ ก่อนครับ มิสเตอร์จอห์น เราจะพยายามสุดความสามารถเพื่อนำอัญมณีกลับคืนมา”
“ถ้าทำไม่ได้ พวกคุณต้องชดใช้ให้ผมร้อยเท่า รู้รึเปล่าว่ามูลค่าของมันมหาศาลแค่ไหน”
หิรัณย์แทรกเสียงคำรามของมิสเตอร์จอห์นขึ้นมา ด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น
“เรื่องนี้ จะหาตัวคนร้ายก็ไม่ยาก รอคุณหนูมณีทิพย์ฟื้นขึ้นมา ก็น่าจะรู้ความจริง”
วิศาล กำลังปลุกเรียกบุตรสาวที่นั่งสลบไสลอยู่บนเก้าอี้มาพักใหญ่แล้ว เงยหน้าขึ้นจ้องมองคู่อริ ถามเสียงกร้าว
“คุณพูดแบบนี้ หมายความว่ายังไง”
“ก็ไม่จริงหรือ ในห้องที่มีการคุ้มกันภัยระดับสิบ ลูกสาวของคุณกลับสามารถเดินเข้าออกได้อย่างสบาย ด้วยจุดประสงค์ใด แล้วไทเกอร์อายก็หายไป เรื่องนี้ถ้าไม่ถามคุณหนูมณีทิพย์ จะให้ไปถามใครที่ไหน”
หิรัณย์บอกเสียงเรียบ แต่น้ำเสียงมีแววหยัน และรอยยิ้มแสยะอย่างสะใจ
“คุณกำลังกล่าวหาลูกสาวผมอยู่นะ”
“งั้นคุณอธิบายได้ไหมล่ะว่า ลูกสาวคุณซึ่งเป็นนางแบบ ควรจะอยู่บริเวณชั้นล่างของงาน กลับมาปรากฏตัวในห้องนี้ได้อย่างไร คุณวิศาล”
วิศาลหน้าดำคร่ำเครียด แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ฉุกละหุกยังนึกหาคำตอบไม่ทัน
“ลูกสาวคุณเป็นขโมยหรือ”
มิสเตอร์จอห์นที่ฟังภาษาไทยออก หันมาคาดคั้นใส่เพื่อนนักธุรกิจในวงการ
“เหลวไหลน่า ปีเตอร์ ลูกสาวผมถูกทำร้าย ยังสลบไม่ฟื้น คุณก็เห็นอยู่นี่ จะเป็นคนร้ายได้ยังไง คุณอย่าบ้าจี้ ฟังความข้างเดียวสิ"
หิรัณย์หัวเราะหึๆ ราวกำลังรู้สึกสนุกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง
ฝ่าย ผบ. สันต์ภพ และ ผู้กองรชต เดินตรวจสอบร่องรอยภายในห้อง และบานประตูนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยมีฝ่ายพิสูจน์หลักฐานร่วมค้นหาเบาะแสด้วย
“น่าแปลกจริงๆ ไม่พบอะไรผิดปกติเลย ปุ่มคอนโทรลเข้าออก เลเซอร์สัญญานคลื่นและเสียงทำงานปกติ กระจกที่ครอบไทเกอร์อายก็ไม่แตก ไม่มีรอยงัดแงะอะไรสักนิด แล้วคนร้ายใช้วิธีใด”
ผบ. สันต์ภพ เกริ่นเบาๆ ผู้กองรชต หรี่ตาคม จ้องมองกล้องวงจรปิดภายในห้อง และนอกห้อง รวมถึงประตู แล้วเอ่ยเสียงขรึม
“กล้องวงจรปิดดับไปช่วงหนึ่งครับ ประมาณสิบสองนาที และประตูทองคำที่หนักเกือบร้อยกิโลนี้ ก็ถูกเปิดออกโดยไม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิคส์ นี่เรียกว่า ผิดปกติไหมครับ”
สองหนุ่มหันมาสบตากัน ก่อนจะเอ่ยคำใดต่อ เสียงร้องอย่างดีใจของวิศาลก็ดังขึ้น
“มณี มณี ฟื้นแล้วหรือลูก ลูกเป็นไงบ้าง”
นางแบบสาวฟื้นขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือ มองรอบๆ ตัวอย่างมึนงง ขมวดคิ้วนิ่วหน้า รู้สึกสับสน
“พ่อ... เวียนหัวจัง นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เอาล่ะ คุณหนูมณีทิพย์ฟื้นเสียที เธอคงตอบคำถามที่คุณอยากรู้ได้แล้วล่ะ มิสเตอร์จอห์น”
หิรัณย์ช่วยโยงปัญหาให้คู่กรณีหน้าตาเฉย นายจอห์นกำลังเดือดเต็มที่ จึงติดไฟง่ายดาย
“คุณเอาไทเกอร์อายของผมไปใช่ไหม”
“ปีเตอร์ จะพูดจาอะไร ให้เกียรติผมบ้าง”
วิศาลตวาดเสียงเข้ม แต่นายฝรั่งร้องโวยวาย
“อัญมณีร้อยล้านของผมถูกขโมย ผมไม่ยอมใจเย็นแน่ เธอเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้ เธอต้องรู้”
ผบ. สันต์ภพ และ ผู้กอง รชต ต้องเข้ามาระงับศึก
“คุณจอห์น กรุณาสงบสติอารมณ์ก่อน เรื่องนี้เราจะทำการสอบสวนเอง...”
สันต์ภพกล่าวเสียงเรียบ แล้วหันมาซักนางแบบสาว
“คุณมณีทิพย์ อัญมณีไทเกอร์อายที่อยู่ในห้องนี้ ถูกขโมยไป และคุณสลบอยู่ในที่เกิดเหตุ เราจึงอยากทราบว่า มันเกิดอะไรขึ้น”
เสียงของสันต์ภพ อื้ออึงในหัวที่ยังมึนงง และปวดตุบๆ ของนางแบบสาว หล่อนส่ายหน้ายกมือกุมขมับ หลับตาพึมพำ
“พูดเรื่องอะไรน่ะ ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันจำอะไรไม่ได้เลย ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้!”
“โอ้โฮ! ตอนแรกสลบ ต่อด้วยความจำเสื่อม ช่างเป็นปริศนาที่ลึกลับซับซ้อนอะไรเช่นนี้”
วิศาลไม่สนใจเสียงเยาะยั่วของคู่ปรับทางธุรกิจ หันมาฉงนกับอาการบุตรสาว
“มณี ลูกเป็นยังไง ปวดหัวหรือ ใครทำอะไรลูก บอกพ่อซิ มณี...”
“คุณจำไม่ได้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรงั้นหรือ”
ผู้กองหนุ่มถามเสียงเรียบ แววตาคมกริบนั้นจ้องมองหล่อนอย่างหาพิรุธเต็มที่ มณีทิพย์ส่ายหน้าแรงขึ้น ก่อนจะเขย่าแขนพ่อแรงๆ อย่างกระสับกระส่าย
“พ่อ พ่อ มณีอยากกลับบ้าน มณีปวดหัว ทนไม่ไหวแล้ว จำอะไรไม่ได้เลย โอย...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ยังกลับไม่ได้! เธอเป็นผู้ต้องสงสัย ลักขโมยไทเกอร์อายของผม เธอต้องให้คำตอบที่สมเหตุสมผลก่อน”
มิสเตอร์จอห์นตวาดลั่น พร้อมกับชี้หน้า วิศาลฉุนกึก ลุกขึ้นยืนจะโต้ตอบ ผบ. สันต์ภพชิงพูดขึ้นก่อนอย่างใจเย็น
“คุณจอห์น โปรดควบคุมอารมณ์หน่อย ตอนนี้เธอเป็นแค่พยาน ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย เธอไม่มีไทเกอร์อาย และยังถูกทำร้ายอีกด้วย”
“แต่เธอรู้รหัส! ผมยอมรับก็ได้ ก่อนเดินแบบ เธอเข้ามาตีสนิท ออดอ้อนอยากขอชมไทเกอร์อายเป็นคนแรก ผมก็แกล้งใบ้ไป คิดว่าเธอน่าจะรู้แล้ว ต่อมาคีย์การ์ดผมก็หาย เธอต้องเป็นคนขโมยอัญมณีไปเก็บซ่อนไว้แน่ๆ”
มณีทิพย์หน้าซีด กลอกตาหลุกหลิกอย่างหาทางรอด ก่อนจะยกมือกุมศีรษะ แสร้งทำเป็นปวดหัวหนักขึ้น วิศาลต้องประคับประคองบุตรสาวไว้
“การจะเปิดประตูบานนี้ได้ ต้องเปิดจากระบบคอนโทรลที่หน้าห้อง ใช้สามสิ่ง คือ คีย์การ์ด รหัส และเซ็นเซอร์นิ้ว เธอมีแค่สองสิ่ง ยังไงก็เปิดไม่ได้ แต่ทุกท่านโปรดฟังให้ดี ประตูบานนี้ไม่ได้เปิดอัตโนมัติ มันถูกเปิดออกด้วยวิธีอื่น”
ผู้กองรชต เอ่ยเรียบๆ เสียงกังวาน ทุกคนในห้องต่างหันมาจ้องเขาเป็นตาเดียว ดิเรก ประธานของงานนี้โพล่งขึ้น
“เป็นไปไม่ได้ หากเปิดด้วยวิธีอื่น สัญญาณเตือนภัยจะดังทันที ไม่มีทางที่การ์ดข้างนอกจะไม่รู้ตัว”
“วิธีการเป็นยังไงนั้น ตอนนี้ผมยังไม่ทราบ แต่สามารถยืนยันได้เรื่องเดียว คือ คนร้าย... ใช้วิธีที่พิสดารมากๆ!”
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ชุดอารักขาอัญมณีไทเกอร์อายทั้งสิบคน ก็ถูกเรียกมายืนเรียงหน้ากระดาน
“เอาล่ะ ดูเหมือนสติจะกลับคืนมาครบถ้วนหมดทุกคนแล้วนะ เล่าไปซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ผบ.สันต์ภพมองสำรวจอาการลูกน้องที่มีอาการเหม่อลอยเซื่องซึมคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่างในตอนแรกที่ขึ้นมาพบนั้นอย่างโล่งอกที่พวกเขาหายกลับเป็นปกติแล้ว
“เอ่อ คือ...”
“มีอะไรก็พูดมา นี่เป็นปัญหายุ่งยาก และมืดแปดด้านที่สุด เท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ ทุกคนต้องช่วยฉันบ้าง”
เสียงเข้มของหัวหน้า เตือนสติให้พวกเขาเกิดความละอายใจขึ้นมา จนปริปากบอกในที่สุด
“คือ... มีลูกกลมๆ ครับ!”
สันต์ภพ กับ รชต สบตากัน
“ลูกกลมๆ อะไร?”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ มาจากไหนก็ไม่รู้ ขนาดเท่าผลส้ม พวกเราก็เลยหยิบมาดูกัน”
“แล้วยังไงต่อ”
“แล้ว...หลังจากนั้น เราก็...ไม่รู้สึกตัว เอ่อ ไม่รู้ว่า...เกิดอะไรขึ้นอีกเลยครับ”
ผบ. สันต์ภพ หันมาถามลูกน้องคนอื่น ปรากฏว่าพูดเป็นเสียงเดียวกันหมด สันต์ภพขมวดคิ้ว เริ่มปวดหัวตุบๆ
“แล้วลูกกลมๆ ที่ว่าล่ะ ตอนนี้อยู่ไหน”
รชต คนหนุ่มกว่าเขา ท่าทางจะรับเรื่องยุ่งยากซับซ้อนชวนปวดกระบาลได้ดีกว่า ถามมาอย่างสุขุม
“ห...หายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบครับ”
“พวกนายพูดอะไรกัน ฟังไม่รู้เรื่องเลย ในห้องก็มึนมาทีแล้ว ยังมาเจอเรื่องมึนซ้ำสองอีกหรือนี่”
ผบ. สันต์ภพร้องอย่างสุดจะทน ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจหนักอก ทำให้ผู้กองรชตต้องลุกขึ้นมา สืบถามต่อด้วยตัวเอง
“พวกนายบอกว่า จ้องดูลูกกลมๆ แล้วในลูกกลมๆ นั้น มันมีอะไรให้ดูหรือ”
คราวนี้ กลายเป็นรชตขมวดคิ้วยุ่งบ้าง เพราะคำตอบที่ได้รับจากแต่ละคน มันช่างแตกต่างกันไปคนละทิศ ละทางเลย...
คนหนึ่งบอก...เห็นผู้หญิงสาวสวยเต้นระบำเปลื้องผ้าอยู่กลางผืนหญ้าเขียวชอุ่ม
คนหนึ่งบอก...เห็นคฤหาสน์หรูหรา มีระดับ สวยงามราวกับพระราชวัง
คนหนึ่งบอก...เห็นห้วงอวกาศที่นอกโลก ร่างของตนล่องลอยอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล
หนักกว่านั้นบอกว่า...เห็นตัวเองเป็นพระราชาในอาณาจักรประหลาด!!
“มันแปลกๆ นะครับ ผู้กอง เป็นภาพที่ทรงพลังดึงดูด เหมือนจริงมาก คล้ายหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ผมถอนสายตาจากมันไม่ได้ รู้สึกหลงใหล ต้องมนต์ มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนมีคนเรียก แล้ว...ลูกแก้วนั่นก็หายไป พร้อมกับ... เอ่อ ประตูห้องไทเกอร์อายเปิดอยู่”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ชักจะงงไปหมดแล้วนะ”
หัวหน้าบอกอย่างสับสน ไม่เข้าใจสิ่งที่พวกลูกน้องพูดเลยสักนิด แต่ตำรวจหนุ่มรชต ถอนใจเบาๆ พูดอย่างเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววประหลาด
“รู้สึกว่า...เราจะเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติเข้าแล้วล่ะครับ ผบ.!”
ณ คฤหาสน์เดชาวัต
เมื่อวิศาล หลบเลี่ยงสถานการณ์ ช่วยบุตรสาวเอาตัวรอดจากคดีสำคัญมาได้ เขาก็นำตัวธิดาคนโตมาซักถามต่อในห้องรับแขกทันที ด้วยจิตใจที่ร้อนรนกระวนกระวาย
“พ่อถามจริงๆ เถอะ มณี ลูกความจำเสื่อมจริงๆ หรือแกล้งจำไม่ได้กันแน่”
“โอ๊ย! พ่อ มณีก็บอกแล้วไงว่าจำไม่ได้ มณีจะโกหกทำไมเล่า ยังปวดหัว มึนหัวอยู่เลยเนี่ย”
มณีทิพย์โวยวายลั่น แสนจะหงุดหงิดและสับสน เพราะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับตัวหล่อนในค่ำคืนนี้กันแน่
“ลูกจำไม่ได้หรือ ตอนที่เข้าไปในห้องไทเกอร์อายน่ะ”
บิดาซักถามอย่างงุนงง หล่อนทวนความจำ
“เรื่องนั้นมณีจำได้ พอเดินแบบเสร็จแล้ว มณีก็ขึ้นไปชั้นสาม แต่ไม่ได้จะขโมยตามคำสั่งพ่อหรอกนะ มณีเปลี่ยนใจกะทันหัน เพราะการอารักขาเข้มงวดมาก แต่...หลังจากนี้สิ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมณีถึงจำอะไรไม่ได้เลย”
“ต้องมีคนทำร้ายลูก แล้วขโมยไทเกอร์อายไปแน่ๆ”
วิศาลสรุปเรื่องราวอย่างเจ็บใจ ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้อีกแล้ว
“ใครจะมีความสามารถระดับนั้นล่ะพ่อ คุ้มกันแน่นหนา แถมมีกล้องวงจรปิดเกือบสิบตัว”
“ช่างเถอะ มันพลาดไปแล้ว พ่อเองก็หละหลวมไปหน่อย กะวางแผนใส่ร้ายเจ้าหิรัณย์ เกือบถูกมันเล่นงานกลับหัวโต พลอยทำให้ลูกต้องลำบากมารับเคราะห์ไปด้วย งานอันตรายแบบนี้ คราวหน้าต้องวางแผนให้รอบคอบสักหน่อย”
ปากอ้างเช่นนั้น แต่ภายในใจของวิศาล กลับรำพึงไปอีกอย่าง
“เฮ้อ! หรือเราจะไม่มีวาสนาได้ฝึกอัญมณีล้ำค่าจริงๆ
ความคิดเห็น