นิราศภูเขาทอง
นิราศภูเขาทอง
ผู้เข้าชมรวม
1,581
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
นิราศภูเขาทอง
|
๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา |
รับกฐินภิญโญโมทนา |
ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย |
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาส |
เมื่อตรุษสารทพระวสาได้อาศัย |
สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัย |
มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น |
โอ้อาวาสราชบุรณะพระวิหาร |
แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น |
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น |
เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง |
จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้ง |
ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง |
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้าง |
มาอ้างว้างวิญญาณ์ในสาครฯ |
|
|
๏ ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด |
คิดถึงบาทบพิตรอดิศร |
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร |
แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น |
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด |
ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ |
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น |
ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา |
จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งส่วนบุญถวาย |
ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา |
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา |
ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไปฯ |
|
|
๏ ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่ง |
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล |
เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย |
แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง |
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ |
เคยรับราชโองการอ่านฉลอง |
จนกฐินสิ้นแม่น้ำแลลำคลอง |
มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา |
เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ |
ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา |
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา |
วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ฯ |
|
|
๏ ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิ |
ตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล |
ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสกล |
ให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์ฯ |
|
|
๏ ถึงอารามนามวัดประโคนปัก |
ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน |
เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน |
มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา |
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย |
แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา |
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา |
อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง |
ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ |
แพประจำจอดรายเขาขายของ |
มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง |
ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภาฯ |
|
|
๏ ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง |
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา |
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา |
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย |
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ |
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย |
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย |
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป |
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก |
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน |
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป |
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ |
|
|
๏ ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง |
มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน |
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน |
จึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง |
ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง |
เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง |
ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคือง |
ทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน |
ถึงบางโพธิ์โอ้พระศรีมหาโพธิ์ |
ร่มริโรธรุกขมูลให้พูนผล |
ขอเดชะอานุภาพพระทศพล |
ให้ผ่องพ้นภัยพาลสำราญกายฯ |
|
|
๏ ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่ง |
มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย |
ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย |
พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง |
จะเหลียวกลับลับเขตประเทศสถาน |
ทรมานหม่นไหม้ฤทัยหมอง |
ถึงเขมาอารามอร่ามทอง |
พึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืนฯ |
|
|
๏ โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกศ |
มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น |
ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน |
ทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา |
โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลอง |
เพราะตัวต้องตกประดาษวาสนา |
เป็นบุญน้อยพลอยนึกโมทนา |
พอนาวาติดชลเข้าวนเวียน |
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก |
กลับกระฉอกฉาดฉันฉวัดเฉวียน |
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน |
ดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเป็นหว่างวน |
ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วง |
ครรไลล่วงเลยทางมากลางหน |
โอ้เรือพ้นวนมาในสาชล |
ใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลาฯ |
|
|
๏ ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง |
สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา |
โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคง |
เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ |
เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง |
ทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ |
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือ |
เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย |
ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ |
มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย |
ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย |
พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืนฯ |
|
|
๏ มาถึงบางธรณีทวีโศก |
ยามวิโยคยากใจให้สะอื้น |
โอ้สุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น |
ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร |
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ |
ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย |
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ |
เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกาฯ |
|
|
๏ ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า |
ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา |
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา |
ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย |
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง |
เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย |
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ |
ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิดฯ |
|
|
๏ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ |
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต |
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร |
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ |
|
|
๏ ถึงบ้านใหม่ใจจิตก็คิดอ่าน |
จะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปรารถนา |
ขอให้สมคะเนเถิดเทวา |
จะได้ผาสุกสวัสดิ์จำกัดภัย |
ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด |
บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้ |
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน |
อุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา |
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก |
สู้เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา |
เป็นล่วงพ้นรนราคราคา |
ถึงนางฟ้าจะมาให้ไม่ไยดีฯ |
|
|
๏ ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า |
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี |
ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว |
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง |
แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว |
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว |
ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ |
สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ |
ต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย |
แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใด |
ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี |
สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้าง |
อย่ารู้ร้างบงกชบทศรี |
เหลืออาลัยใจตรมระทมทวี |
ทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมาฯ |
๏ ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง |
ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา |
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา |
นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ |
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม |
ดังขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว |
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย |
ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง |
เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว |
ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง |
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง |
เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไรฯ |
|
|
๏ โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาด |
ตัดสวาทตัดรักมิยักไหว |
ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ |
ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น |
ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง |
ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ |
เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้น |
เที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอาฯ |
|
|
๏ พระสุริยงลงลับพยับฝน |
ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา |
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา |
ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว |
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง |
ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว |
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว |
ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย |
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด |
เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย |
ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคย |
ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก |
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน |
เรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก |
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก |
น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด |
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง |
พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด |
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด |
ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอนฯ |
|
|
๏ แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง |
ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน |
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร |
กาเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม |
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย |
พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม |
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ |
ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส |
สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม |
อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ |
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด |
ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย |
จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก |
ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย |
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย |
ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร |
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก |
ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร |
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร |
ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา |
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า |
เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา |
กระจับจอกดอกบัวบานผกา |
ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย |
โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็น |
จะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย |
ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพาย |
เที่ยวถอนสายบัวผันสันตวา |
ถึงตัวเราเล่าถ้ายังมีโยมหญิง |
ไหนจะนิ่งดูดายอายบุปผา |
คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมา |
อุตส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน |
นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บ |
ขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน |
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน |
ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจฯ |
|
|
๏ มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง |
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล |
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย |
ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน |
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก |
อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล |
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร |
จะต้องม้วนหน้ากลับอัปประมาณฯ |
|
|
๏ มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม |
ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน |
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ |
ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง |
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ |
ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง |
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง |
เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู |
อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก |
ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู |
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู |
จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอนฯ |
|
|
๏ ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัด |
จนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน |
ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร |
อ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ |
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง |
มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ |
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อ |
เหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ |
แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง |
ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ |
ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระ |
ชัยชนะมารได้ดังใจปองฯ |
|
|
๏ ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ |
เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง |
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง |
ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย |
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่น |
เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส |
ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันได |
คงคงลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน |
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด |
ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น |
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน |
เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม |
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น |
ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม |
ประทักษิณจินตนาพยายาม |
ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์ |
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย |
ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน |
เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์ |
แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก |
ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก |
เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก |
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก |
เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น |
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ |
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น |
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น |
คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้นฯ |
|
|
๏ ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ |
บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์ |
ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์ |
เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย |
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์ |
ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย |
ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย |
แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์ |
ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ |
ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง |
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง |
ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน |
อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่ว |
อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน |
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ |
ตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวรฯ |
|
|
๏ พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ |
พบพระธาตุสถิตในเกสร |
สมถวิลยินดีชุลีกร |
ประคองซ้อนเชิญองค์ลงนาวา |
กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้ว |
ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา |
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา |
ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ |
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ |
ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล |
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล |
เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน |
สุดจะอยู่ดูอื่นไม่ฝืนโศก |
กำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน |
พอตรู่ตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ |
ให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานีฯ |
|
|
๏ ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวง |
ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์ |
นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้ |
ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา |
ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูป |
ทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา |
เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธา |
ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ |
ใช่จะมีที่รักสมัครมาด |
แรมนิราศร้างมิตรพิสมัย |
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร |
ตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา |
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงแพนงผัด |
สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา |
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา |
ต้องโรยน่าเสียสักหน่อยอร่อยใจฯ |
|
|
๏ จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น |
อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน |
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ |
จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอยฯ |
ผลงานอื่นๆ ของ 77777777 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ 77777777
ความคิดเห็น