[SF] Secret Valentine [83lines - TeukCin] - [SF] Secret Valentine [83lines - TeukCin] นิยาย [SF] Secret Valentine [83lines - TeukCin] : Dek-D.com - Writer

    [SF] Secret Valentine [83lines - TeukCin]

    โดย findme_30

    อย่าบอกให้ใครรู้...

    ผู้เข้าชมรวม

    2,496

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    2.49K

    ความคิดเห็น


    22

    คนติดตาม


    12
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 ก.พ. 55 / 17:42 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    :: Secret Valentine ::

      
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      Title :: Secret  Valentine

      Author :: 30ww

      Pairing :: 83line …TeukCin

      Rating :: G (Based on true story)

      Note :: เกิดจากเพลง “อย่าบอกให้ใครรู้” และคนใกล้ตัว ส่วนมุขก็มีแปลงมาจากหนังเอทีเอ็มนิดหน่อยจ้า (ไม่ได้คิดห่าอะไรเองเลย 555555 5 55 - - )




       

       

       

       

                      อย่าบอกให้ใครรู้ว่าเรารู้สึกต่อกันเช่นไร

      แค่เรามองตากัน ก็สั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ

       

                     

                      13 , Feb

       

                      ::Message::

                      From  DTAC

                      “พรุ่งนี้รอบไหนดี”

       

                      แรงสั่นจากโทรศัพท์เครื่องบางส่งเสียงครืดจนร่างเล็กที่นั่งท่องสคริปต์อยู่สะดุ้งน้อยๆก่อนจะล้วงไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเปิดดูข้อความที่ถูกส่งเข้ามาใหม่ ...ริมฝีปากเล็กกดยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเม้มปากแล้วปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉยตามเดิม ตาคู่สวยหรี่ลงมองบนหน้าจอไอโฟนเครื่องบางแล้วกดพิมพ์ตัวอักษรตอบกลับอย่างคล่องมือ

       

                      ::Message::

                      From  TrueMove

                      “เรียนอุ๊เลิกสองทุ่ม”

       

                      โทรศัพท์ที่วางไว้บนตักสั่นขึ้นเรียกให้ร่างโปร่งที่ตาปรือใกล้หลับสะดุ้งตัวแล้วก้มหน้าลงกดโทรศัพท์อีกครั้ง อาจารย์ร่างอวบวัยกลางคนที่กรอกเสียงบ่นใสไมค์อยู่บนเวทีหน้าหอประชุมไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากปาร์คจองซูเลยแม้แต่นิดเด็กชายเจ้าของใบหน้าหล่อคมก้มลงแอบเล่นโทรศัพท์บนตักโดยที่ใช้พนักเก้าอี้แถวหน้าเป็นที่บังอย่างที่เพื่อนที่นั่งข้างทั้งซ้ายและขวาก็แอบทำ กดเปิดเชครอบหนังของวันที่สิบสี่กุมภาก่อนจะตอบข้อความกลับไปอย่างรวดเร็ว

       

                      ::Message::

                      From  DTAC

                      “งั้น ATM สองทุ่ม”

       

                      ฮีชอลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนยกนาฬิกาขึ้นมาดู แล้วกดตอบข้อความไปอีกครั้ง

       

                      ::Message::

                      From  TrueMove

                      “โอเค J

       

                      “

                      “ทำไรของมึงจองซู”

                      “เฮ้ย! ไอ้สัดตกใจหมด!” ร่างโปร่งที่กำลังอมยิ้มเล็กๆกับข้อความบนหน้าจอสะดุ้งทันทีเมื่อเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆชะโงกหน้าเข้ามาสอดหน้าสลอน

                      “มึงคุยกับทรูมูฟเหรอ” คิมจงอุนเบิกตาขึ้นก่อนจะขยับแว่นด้วยความประหลาดใจ ใบหน้ากลมตี๋ของเด็กชายยื่นเข้ามาใกล้จนปาร์คจองซูต้องผลักหัวมันออกห่างก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆด้วยความระอา

                      “เออพรุ่งนี้กูไปค้างคอนโดมึงไม่ได้แล้วนะ”

                      “อ้าวเชี่ย ทำไมอ่ะ กว่าพี่กูจะกลับตั้งอาทิตย์หน้า กูนอนคนเดียวไม่ได้ ,,,กลัวผีอ่ะมึงก็รู้!!

                      “ไม่ว่างโว้ย ไว้มะรืนเดี๋ยวไปก็ได้ มึงอย่าพูดมากได้ป่ะ” คนที่แกล้งเปลี่ยนเรื่องคุยทำเสียงเนือยใส่จงอุนจนเจ้าของใบหน้ากลมๆนั่นหงอยลงเล็กน้อย ก่อนเจ้าของตาคู่เรียวจะเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วแล้วหรี่มองเพื่อนชายอย่างพินิจพิเคราะห์

                      “วันที่สิบสี่กุมภาพันธ์คือวันที่ต้องส่งงานฟอร์2เลขยาก ประวัติวรรณและอังกฤษมึงเข้าใจที่กูพูดใช่มั๊ย” มือเล็กที่มีนิ้วสั้นๆเอื้อมมาจับไหล่ของปาร์คจองซูทั้งสองข้างแล้วเขย่าแรงๆจนอีกคนถอนหายใจแล้วทำหน้าเบื่อโลก

                      “เอออออออ”

                      “วาเลนไทน์เชี่ยอะไรกูไม่สน ผู้หญิงที่ไหนกูไม่เคยสนแม้แต่นิดถ้าเกรดกูตก เจ้าคุณพ่อต้องเครียดจนเข้าโรงพยาบาลอีกแน่ๆ” ปาร์คจองซูกลอกตามองเพื่อนร่วมห้องที่หยิบสมุดรายงานขึ้นมากัดพร้อมกับหลับตาหายใจเข้าออกราวกับสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ด้วยสายตาสมเพชปนหวาดกลัว ...เด็กสอบผ่านเลขยากเป็นอย่างนี้กันทุกคนรึเปล่า

                      แล้วเจ้าคุณพ่อมึ.งเกี่ยวอะไรกับที่กูไม่ได้ไปนอนเป็นเพื่อน เกี่ยวอะไรกับที่มึงกลัวผี … = =

                      “จงอุนมึงใจเย็น” จองซูค่อยๆเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนเบาๆอย่างกล้าๆกลัว ซักพักเจ้าของดวงตาตี่ๆก็ลืมตาโพลงขึ้นเมื่ออาจารย์ที่บ่นใส่ไมค์เอ่ยเชิญนักเรียนที่ลงสมัครประธานนักเรียนขึ้นมาพูดนโยบายบนเวที

                      “มุนกึนย๊องงงงงงงงงงงงงงงง” คิมจงอุนเด้งตัวขึ้นก่อนจะหันหลังให้เห็นสติ๊กเกอร์สีเขียวแผ่นใหญ่ที่แปะพาดกลางหลัง เขียนว่า “มุนกึนยอง เบอร์ 1” ตัวเท่าควาย พร้อมกับตะโกนเชียร์สุดเสียงไม่เหลือคราบเด็กเนิร์ดที่ปฏิญาณตนจะตั้งใจเรียนเพื่อเจ้าคุณพ่อเมื่อกี๊เลยแม้แต่นิดร่างโปร่งส่ายหน้าเบาๆให้กับเพื่อนสนิทประสาทกลับของตัวเองด้วยสีหน้าปลงตก

                      ก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่แอบชอบคนนู้นบ้าง จีบคนนี้บ้าง คบกันบ้าง เลิกกันบ้าง ยิ่งเดือนแห่งความรักแบบนี้ หลายๆคู่ก็เริ่มแสดงออกมากขึ้น นั่งกินข้าวด้วยกัน หรือเดินกลับบ้านด้วยกันให้คนโสดอีกแทบค่อนโรงเรียนอิจฉาเล่นแสดงออกเพื่อเพิ่มความหวานให้ความรัก แสดงออกเพราะหวง อยากให้คนอื่นรู้ว่านี่คือคนของเราหรือแสดงออกเพียงเพราะให้ตัวเองดูไม่โดดเดี่ยวในวันๆเดียวเพียงเท่านั้น

                  แต่สิ่งพวกนั้น สำหรับปาร์คจองซูแล้ว มันไม่จำเป็น

                      “คิมฮีชอล วิทย์-คอม กิ๊ฟต์เลข เบอร์ 2ครับ” ประโยคแนะนำตัวสั้นๆได้ใจความถูกเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มที่จองซูคุ้นหู ใบหน้าหล่อที่ติดหวานที่สวมทับด้วยกรอบแว่นบางยิ่งทำให้คิมฮีชอลดูดีมากยิ่งขึ้น

                      ทั้งหน้าตาดี เรียนระดับเทพ เป็นที่รู้จัก และยังนิสัยดีอีกด้วย

                      ไม่น่าเชื่อว่าเด็กชายที่เงียบขรึมและจริงจังคนนั้นคือคนเดียวกับฮีชอลที่ปาร์คจองซูรู้จัก

                      “อีกวางซู สายการเรียนวิทยาศาสตร์-คอมพิวเตอร์ โครงการพัฒนาศักยภาพนักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ เบอร์ 3 ครับ” เด็กชายตัวโย่งอีกคนแนะนำตัวด้วยเสียงตะกุกตะกักด้วยความประหม่า จบด้วยท่าขยับแว่นสุดเท่ห์ที่ทั้งหอประชุมต่างพร้อมใจกันทำหน้าหมีใส่

                      “จองซู มึงต้องเลือกกึนยองนะโว้ย กูอยากมีแฟนเป็นประธานนักเรียน”

                      “เออๆ” เสียงทุ้มเอ่ยรับไปอย่างนั้น ทั้งที่สายตาไม่ได้ละไปจากร่างเล็กบนเวทีเลยแม้แต่นิด ผู้สมัครแต่ละคนเริ่มบรรยายนโยบายของแต่ละคน เสียงกู่ร้องและเสียงปรบมือดังขึ้นทุกครั้งที่คิมฮีชอลพูดประโยคคมๆออกมา น้ำเสียงของเค้าสะกดทุกคนในหอประชุมกว้างๆแห่งนี้

                      ทว่าคนเดียวที่สะกดสายตาของคิมฮีชอล กลับเป็นเพียงแค่เด็กชายผมยุ่งๆที่นั่งอยู่เกือบแถวบนสุดของหอประชุม

       

                  อย่าให้ใครเห็น ว่าฉันแอบส่งสายตาหวานๆให้ไป

      เพราะอยากเก็บไว้ เป็นเรื่องของเราสองคน

                     

       

       

                     

                  กี่ปีมาแล้วก็ไม่รู้ความเป็นเพื่อนที่เริ่มก่อตัวตั้งแต่ประถม และความสัมพันธ์ที่ทวีคูณเพิ่มขึ้น จวบจนมัธยมปลาย

                  ความรู้สึกของคนสองคนที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออก ไม่ต้องบอกคนอื่นว่าระหว่างกันและกันคืออะไร

                  ผูกพันเกินคำว่าเพื่อน และลึกซึ้งเกินคำว่ารัก

                 

       

      รู้ว่าเธอคงไม่พูดหรอก ว่าเราแอบชอบ

      ว่าเราแอบเก็บสิ่งดีๆเอาไว้

      เพราะที่เรารู้กันอยู่ข้างใน

      มันเกินบรรยาย เกินกว่าใครจะรับฟัง

                     

                     

                     

                      เสียงปรบมือดงสนั่นขึ้นเมื่อผู้ลงสมัครทั้งสามพูดนโยบายของตนเองจบ นักเรียนทุกคนทยอยเดินลงมาจากที่นั่งของตน รวมถึงปาร์คจองซูที่ปลีกตัวออกห่างจากจงอุนมาได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะเดินตามคนอื่นๆลงมาที่ประตูชั้นล่างสุด ซึ่งอยู่ติดกับขอบเวทีที่ร่างเล็กของใครคนหนึ่งกำลังเดินลงมา

                      ชั่ววินาทีหนึ่งที่ดวงตาทั้งสองประสานกัน ร่างโปร่งที่โดนเบียดมายืนอยู่ตรงหน้าของฮีชอลก็แกล้งยกมือขึ้นเกาจมูกเพื่อให้อีกคนสังเกตเห็นสติ๊กเกอร์แผ่นเล็กๆที่ติดไว้ที่แขนเสื้อด้านขวา

                      คิมฮีชอล เบอร์ 2

                      “

                      ริมฝีปากเล็กอมยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะแกล้งก้มลงอ่านสคริปต์ในมือเพื่อบังแก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ทว่าสายตาก็ยังคงช้อนขึ้นมองอีกคนที่ยังไม่ได้เดินออกไปไหนมือขวาที่ยกขึ้นเกาจมูกค่อยๆหดนิ้วกลางและนิ้วนางกลับเข้าไว้ด้านใน จนกลายเป็นสัญลักษณ์เลิฟยูแบบเนียนๆเล่นเอาอีกคนเขินจนไปไม่เป็น

                  ทำบ้าอะไรของมึง คนเต็มหอประชุมไม่เห็นเหรอ!

                      เขินดิ เขิน

                  มึงไปไกลๆเลยไป

                      ตาคู่สวยถลึงใส่คนขี้เล่นที่ยังยืนอมยิ้มอยู่อย่างนั้นจนปาร์คจองซูหลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆถอยหลังกลืนหายไปกับฝูงชนอย่างรวดเร็วว็ว

                      ทิ้งไว้เพียงเด็กชายตัวเล็กที่กำปึกสคริปต์ในมือแน่น ก่อนจะยกขึ้นมาบังแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อไว้จนมิด .. รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่ได้ชื่อว่าคนยิ้มยาก ลักยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นที่แก้มใสทั้งสองข้างเพราะใครอีกคนที่เพิ่งเดินทำไม่รู้ไม่ชี้ออกไป

                      “ฮีชอลเป็นอะไรรึเปล่า” รุ่นพี่คนสนิทเดินเข้ามาสะกิดไหล่เล็กเบาๆเมื่อสังเกตเห็นว่าคิมฮีชอลเอาแต่จ้องสคริปต์ในมือจนไม่ทันได้สนใจว่านักเรียนกลุ่มถัดมาได้เข้ามานั่งจับจองจนเต็มหอประชุมอีกครั้งแล้ว

                      “อ่อเปล่าครับ แค่ประหม่านิดหน่อยน่ะครับ” ร่างเล็กเอ่ยตอบกลับไปพร้อมกับก้มหัวให้นิดๆ ก่อนจะปลีกตัวเดินออกมานั่งหลังเวทีเงียบๆร่างกายที่ควรจะเหนื่อยอ่อนจากการทำงานมาทั้งวันกลับมีพลังงานเพิ่มขึ้นมามากมายอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะที่หัวใจ เปลือกตาสวยหลับตาลงช้าๆเพื่อรวบรวมสมาธิเตรียมขึ้นพูดบนเวทีอีกครั้ง พร้อมริมฝีปากบางจะกดยิ้มออกมาน้อยๆเมื่อนึกถึงใบหน้าของใครบางคน เจ้าของเหตุผลของรอยยิ้ม ที่ไม่จำเป็นต้องบอกใคร

                     

                      เพราะอยากเก็บไว้เป็นเรื่องของเราสองคน

       


       

                       

       


       

                      14 , Feb

       

       

                      “เห้ยฮีชอล! มึงมาดูนี่!!!” เสียวห้าวของกลุ่มเด็กนักเรียนชายกางเกงดำดังโหวกเหวกขึ้นกลางโรงอาหารจนคนรอบข้างหันไปให้ความสนใจเป็นตาเดียว

                      “ตะโกนหาพ่องไง๊ กูอยู่หลังมึงแค่นี้” คนถูกเรียกตบกะบาลเพื่อนร่วมกลุ่มก่อนที่มันจะแหกปากตะโกนอีกครั้ง คนหน้าหวานกระดกกระป๋องโค้กในมือจนหมด แล้วชะโงกหัวแทรกเข้าไปดูว่าสิ่งที่มันเรียกให้ดูคืออะไร

                      “พี่ฮีชอลสุดฮอตครับ ขนาดโปสเตอร์หาเสียงมึงยังมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจแปะเต็มเลยสาดดดด” เพื่อนตัวโย่งลูบคล่ำกระดาษเอสี่ถ่ายเอกสารขาวดำธรรมดาที่บัดนี้เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีชมพูแวววาวแปะอยู่รอบรูปถ่ายครึ่งตัวของฮีชอล ผู้ลงสมัครประธานนักเรียนกดยิ้มมุมปากนิดๆด้วยความภูมิใจ ก่อนจะยักไหล่แล้วเดินขึ้นห้องไปท่ามกลางสายตานักเรียนชายที่มองตามแผ่นหลังบางที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์รูปหัวใจหลายอีกสิบดวงด้วยความอิจฉา

       

                     

       

                      ออดดดด

                      เสียงออดดังยาวหลายวินาที ปลุกให้นักเรียนหลายคนตื่นจากความฝันแสนหวานกลางคาบฟิสิกส์ แต่ไม่รวมเด็กนักเรียนเกรด 4.00 อย่างคิมฮีชอล ร่างบางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งที่คาบเรียนสุดท้ายของวันนี้สิ้นสุดลงเสียที แม้อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องไปนั่งเรียนพิเศษต่อก็ตามชีทหนาหลายปึกถูกเก็บเข้าแฟ้มแล้วยัดเข้ากระเป๋าจาคอปอย่างลวกๆ ก่อนขาเล็กจะพาร่างบางก้าวลงมาถึงชั้นล่างพร้อมกับกลุ่มนักเรียนหลายคน เสียงคุยจอกแจกจอแจที่คุ้นชินไม่ได้ทำให้ฮีชอลรู้สึกรำคาญเท่าถุงกระดาษบรรจุกล่องช็อกโกแลตมากมายพร้อมช่อดอกไม้สีแดงอีกหลายช่อที่ต้องหอบกลับบ้านอย่างทะลักทุเล

                      “ช่วยกูถือบ้างดิ  เดินตัวปลิวเลยนะมึง” ความหนักพาลทำให้คนหน้าหวานเริ่มหงุดหงิดแล้วหันไปกัดเพื่อนสนิทตัวสูงที่หนีบจาคอปบางขนาดเท่าแฟ้มเดินนำหน้าไปลิ่วๆ

                      “เสื อกเกิดมาหล่อก็มีกรรมงี๊แหล่ะมึง ฮ่าๆๆๆ” คิมจองโมหันมาหัวเราะใส่หน้าด้วยท่าทางน่าล่อด้วยตีนก่อนจะวิ่งหนีรองเท้าเพื่อนรักไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งไว้เพียงร่างเล็กที่ปั้นหน้ายักษ์แบกของพะรุงพะรังด้วยความหงุดหงิด ทว่าฝีเท้าก็ต้องชะงักเมื่อตาคู่สวยเหลือบไปเห็นโปสเตอร์หาเสียงของตัวเองบนเสาต้นเดียวกับเมื่อกลางวันมีอะไรบางอย่างแปลกไปจากเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

                      บนกระดาษเอสี่ขาวดำที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีหวานถูกเขียนทับด้วยปากกามาร์กเกอร์สีดำ วาดลูกศรลากยาวจากอกข้างซ้ายของคิมฮีชอลออกมา ตามด้วยประโยคสั้นๆตัวเท่าควายว่า

                      ของกู.

                      ลายมือหวัดๆเหมือนเด็กช่างกลนั่นฮีชอลจำมันได้ดี และวิธีสุดสร้างสรรค์แบบเกรียนๆแต่ไม่แสดงตัวยิ่งทำให้ร่างเล็กแน่ใจว่าเจ้าของตัวอักษรยึกๆยือๆนั่นหาใช่คนไกลตัวไม่

                      “อ๊ะ” คนกำลังเหม่อถูกใครบางคนเดินสวนมาชนไหล่อย่างแรงจนแทบจะเซล้มลง ร่างเล็กในอารมณ์พร้อมเหวี่ยงเต็มที่หันขวับไปมองคนชนด้วยสายตาอาฆาต แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเด็กชายร่างโปร่งหันกลับมาพร้อมกับตาคู่คมที่ฮีชอลคุ้นเคย

                      ไอ้เจ้าของรอยปากกามาร์กเกอร์เนี่ยแหล่ะ

                      “โทษที” เสียงทุ้มเอ่ย ก่อนจะคาบปากกามาร์กเกอร์สีดำไว้ที่ปากแล้วกดยิ้มบางๆที่ทำให้คนใจอ่อนโกรธไม่ลง คิมฮีชอลพยักหน้านิดๆเหมือนไม่ใส่ใจอะไรกับนักเรียนต่างสาย และไม่มีบทสนทนาอะไรสานต่อที่แสดงให้รู้ว่าคนทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน

       

      ฉันก็เกือบยั้งใจไม่อยู่ กลัวใครจะรู้

      เมื่ออยู่กับเธอเลยต้องทำเฉยไป

       

                      คนตัวเล็กหลุดขำในลำคอออกมาเล็กน้อยเมื่อมองไปรอบๆก็สังเกตเห็นว่าทุกที่ที่มีโปสเตอร์หาเสียงของเค้าแปะอยู่ ถูกวาดทับด้วยปากกามาร์กเกอร์สีดำ และมีข้อความเกรียนๆเหมือนกันแทบทั้งหมด

                      ปัญญาอ่อน แต่ก็ทำให้คนอารมณ์เสียอมยิ้มออกมาได้

                      มือเล็กก้มลงหยิบถุงกระดาษบรรจุกล่องช็อกโกแลตขึ้นถืออีกครั้งเมื่อเห็นว่าคิมจองโมเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว แต่ร่างบางก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปะอยู่ที่อกเสื้อข้างซ้าย

       

                      สติ๊กเกอร์สีแดงรูปหัวใจอันใหญ่ มีรอยมาร์กกอร์สีดำเขียนไว้ตรงกลางว่า

                       ของกู.

       

                      ริมฝีปากเล็กถึงกับเผยอค้างด้วยความอึ้งทึ่งในความวิธีการแปะสติ๊กเกอร์ในแบบของปาร์คจองซู ก่อนจะเกร็งหน้าสุดฤทธิ์เพื่อไม่ให้เผลอยิ้มกว้างมากไปกว่านี้ ไม่ไหวแล้ว นี่มันน่ารักเกินไปแล้ว

                     

                      แล้วก็เกือบจะเผลอจนได้

      ก็ทนไม่ไหว ก็ใจมันสั่นทุกที

       

       

       

       

       



                      “ฮีชอล

                      “หืม?” ร่างเล็กหลุดออกจากภวังค์ขณะนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาในมือ เมื่อได้ยินเสียงใสที่เอ่ยทักขึ้นจากโต๊ะข้างๆ

                      “คือหลังเรียนเสร็จ เราเราไปกินข้าวกันมั๊ย?” เพื่อนสาวร่วมห้องถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับแก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ทว่าอีกคนกลับละสายตาจากหนังสือขึ้นมองเพียงนิดแล้วเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

                      “ขอโทษนะ แต่เราไม่ว่างน่ะ”

                      “อะ อ่า งั้นเหรอ ไม่เป็นไร ไว้วันหลังแล้วกันเนอะ” ใบหน้าสีแดงระเรื่อของเด็กสาวเจื่อนลงเล็กน้อย ทว่าเจ้าตัวก็ยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนจะเดินออกมาโดยที่ฮีชอลไม่ได้เอ่ยลาอะไร

                      ในสายตาคนรอบข้าง คิมฮีชอลคือคนเงียบขรึม เยือกเย็น และจริงจังตลอดเวลา

                      แต่ใครจะรู้ ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าใครอีกคน แท้จริงแล้วตัวตนของฮีชอลเป็นคนยังไง

       

                      ชั่วโมงเรียนพิเศษที่ยาวนานติดต่อกันหลายชั่วโมงสิ้นสุดลง ริมฝีปากบางของคิมฮีชอลพ่นลมหายใจออกมาเบาๆด้วยความเหนื่อยอ่อน พร้อมกับรวบเก็บบรรดาปากกาไฮไลท์หลากสีลงกระเป๋า แล้วเดินออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว ข้อมือเล็กยกขึ้นดูนาฬิกาเป็นพักๆเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ไปสายเกินเวลาโฆษณาก่อนเริ่มหนัง

                      ค่ำคืนสีชมพูที่ย่านใจกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยคู่รักเดินควงแขนสวนกันไปมาชายหญิงที่กุมมือหรือโอบกอดกันด้วยความรัก ยืนเคียงคู่กันอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางไหน ขับให้คนที่เดินอย่างเดียวดาย กลายเป็นตัวประหลาดได้ไม่ยากคิมฮีชอลก็เป็นหนึ่งในนั้นทว่าน่าแปลกที่เจ้าตัวกลับไม่ได้ใส่ใจอะไร ขาเล็กทั้งสองข้างยังคงก้าวเดินผ่านฝูงชนพวกนั้นไปยังหน้าลิฟท์ที่อยู่ไม่ใกล

                      มือเล็กควานหาตั๋วหนังใบเล็กในกระเป๋าตังก่อนจะหยิบออกมาเตรียมเอาไว้ พร้อมกับเหม่อมองตัวเลขดิจิทัลเหนือประตูลิฟท์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

                      ไม่ทิ้งสิบนาที ขาเล็กก็พาร่างบางของคิมฮีชอลเข้ามาถึงโรงหนังมืดสลัว คนตัวเล็กหอบหายใจออกมาเบาๆด้วยความเหนื่อยที่เดินกึ่งวิ่งมาพร้อมกับของพะรุงพะรังเต็มตัวร่างบางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นุ่มสีแดงเบาๆ เรียกให้อีกคนที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดชะงักเงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่ แล้วคลี่ยิ้มกว้างทักทายทันที

                      “ยังไม่ได้กินข้าวมาอ่ะดิ” ถุงกระดาษบรรจุเบอร์เกอร์แมกโดนัลถูกยื่นให้ฮีชอลพร้อมกับลักยิ้มบุ๋มที่แก้มซ้ายของปาร์คจองซู คนตัวเล็กผงกหัวรับก่อนจะเก็บถุงแมกใส่กระเป๋าเก็บเอาไว้เพราะยังไม่ค่อยหิวซักเท่าไหร่ ทำให้คนข้างๆขมวดคิ้วก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ

                      “ผอมลงตั้งเยอะรู้ตัวมั๊ยเนี่ย หัดกินข้าวให้มันครบทุกมือซะบ้างสิ” คิมฮีชอลได้แต่ยู่ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดูดอึกๆแล้วทิ้งตัวลงพิงกับพนักเก้าอี้นุ่มอย่างเหนื่อยอ่อน

                      “เป็นห่วงน่ะ เข้าใจมั๊ย” เสียงทุ้มกระซิบขึ้นที่ข้างหูเบาๆ ทำให้ใบหน้าหวานร้อนผ่าวขึ้นด้วยความเขิน เจ้าของดวงหน้าสวยภายใต้กรอบแว่นหันมาสบตากับเจ้าของเสียงทุ้มข้างๆ พร้อมกับระบาดยิ้มขึ้นบางๆแล้วซบหน้าลงบนไหล่กว้าง

                      “อือ รู้” ภายใต้แสงสลัวในโรงหนังรอบดึกที่ไม่ค่อยมีคนเยอะมากนัก ที่นั่งเกือบแถวสุดท้ายช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้ทั้งคู่รู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงออกต่อกันแม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม

                      ไม่ต้องแคร์สายตาของใครๆที่มองว่าความรักของพวกเค้าเป็นสิ่งผิด

                      ไม่ต้องคิดว่าคนพวกนั้นจะเอาไปพูดต่ออย่างไร

                     

      “เหนื่อยมั๊ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นข้างหูอีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยนที่นานๆจะได้ยินซักครั้ง ราวกับสายน้ำเย็นสดชื่นที่รดลงบนดอกไม้ที่แห้งเฉาให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

      “เหนื่อย แต่ได้ยินแล้วหายเหนื่อย” ฮีชอลเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบไปพร้อมกับร้อยยิ้มน่ารัก ทำเอาคนถามกลายเป็นฝ่ายแก้มเปลี่ยนสีบ้าง

      “สู้นะ” ปาร์คจองซูชูกำปั้นขึ้นมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหยิกแก้มนิ่มของร่างเล็กเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว

      “อืออ เจ็บนะ” คนตัวเล็กพยายามเบือนหน้าหนีด้วยความเขิน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆใบหน้าคมของปาร์คจองซูขยับเข้ามาใกล้จนแทบแนบชิด

                      “เดี๋ยวนี้หัดใส่น้ำหอมเหรอ” สีหน้าขี้เล่นของคนตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแววจริงจัง พร้อมกับน้ำเสียงเรียบที่เอ่ยขึ้นทำให้ฮีชอลนิ่งงงไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างมึนๆ

                      “หะ?เปล่านี่”

                      “หืม จริงเหรอ” ปาร์คจองซูหรี่ตาอย่างไม่เชื่อ ก่อนจะกดจมูกโด่งหอมลงบนแก้มนิ่มโดยที่อีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว

                      “ใส่ชัดๆ มึงอย่ามาโกหก” เจ้าของดวงตาคู่คมยังคงจ้องมองใบหน้าหวานด้วยสีหน้าจริงจัง

                      “จะบ้ารึไง บอกไม่ก็ไม่สิ”

                      “ไหน ลองอีกครั้งดิ๊” คนแกล้งเนียนกดจมูกหอมลงบนแก้มนิ่มอีกครั้ง  แม้จะได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากโลชั่นที่ปาร์คจองซูคุ้นเคยเพียงอย่างเดียว แต่คนขี้แกล้งก็อดหลอกหอมแก้มอีกคนต่อไม่ได้

                      “ข้างนู้นล่ะ”

                      “อ้ะไม่ได้ใส่จริงๆ” ฮีชอลหันแก้มอีกข้างให้อีกคนหอมอย่างว่าง่าย พร้อมกับย้ำคำพูดอย่างจริงจังว่าไม่ได้ใส่น้ำหอมจริงๆนะ สีหน้าซีเรียสของร่างเล็กทำให้จองซูอดขำออกมาไมได้

                      “อืม ไม่ได้ใส่น้ำหอมจริงด้วย”

                     

                      “แต่ยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ แก้มน่ะ” คนขี้เล่นก้มลงหอมแก้มนิ่มฟอดใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะระบายยิ้มให้ร่างเล็กที่เบิกตกกว้างด้วยความตะลึงงันที่เพิ่งระรึกได้ว่าถูกปาร์คจองซูหลอกหอมแก้มเข้าให้ถึงสี่ครั้งติด ใบหน้าหวานแดงซ่านขึ้นทันทีแก้มใสขึ้นสีแดงจัดจนมองเห็นได้ชัดแม้ในแสงไฟสลัวก็ตาม

                      “มึง! …ไอ้ไอ้!!!” ริมฝากเล็กเผยออ้าขึ้นหวังจะด่ากราดคนเจ้าเล่ห์ที่เอาแต่ยิ้มกรุ่มกริ่มให้อย่างกวนประสาท ทว่าฮีชอลในเวลาเขินนั้น ไร้สติเกินกว่าจะคิดคำด่าใดออกมาได้

                      “จุ๊ๆ อย่าเสียงดังสิ” ปาร์คจองซูยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ริ้มฝีปากเล็กของฮีชอล และนั่นยิ่งทำให้คนสวยเขินจัดเข้าไปใหญ่ มือเล็กฟาดเข้าที่ไหล่กว้างไม่ยั้งมือทันที แต่ก็โดนอีกคนรวบมือเอาไว้ แล้วจับให้เรียวนิ้วสวยสอดประสานเข้ากับมืออุ่นอย่างแนบแน่น

                      ” สัมผัสอบอุ่นสอดประสานกันไว้ แผ่ซ่านไปทั่วร่างจนฮีชอลนึกว่าตัวเองจะระเบิดออกมาเสียแล้ว ร่างเล็กที่ทำท่าจะโวยวายสงบลงพร้อมกับก้มหน้างุดด้วยความเขินทันที

      “น่ารักจัง”

       

                      แพ้แล้ว คิมฮีชอลแพ้แล้ว

                      ว่าที่ประธานนักเรียนคนเก่งผู้เก่งกาจ เป็นเลิศแทบจะทุกด้าน ชนะการสอบแข่งขันมาหลายสนาม แต่กลับมาพ่ายแพ้ให้แก่เด็กผู้ชายธรรมดาที่มีดีแค่หน้าตาคนนึง

                      …นอกจากนั้น ก็แค่มีหัวใจของฮีชอลด้วยเท่านั้นเอง

       

                      ปาร์คจองซูก้มลงมองใบหน้าหวานที่ซบลงบนไหล่ของเค้าอย่างรักใคร่ นานแล้วที่ไม่ได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ คำว่า”ช่วงเวลาดีๆ” สำหรับคนทั้งคู่แล้ว มันก็แค่การได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน เท่านั้นก็เพียงพอ

                     

                      เนิ่นนานที่หนังรักโรแมนติกคอมเมดี้ฉายไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้เรียกความสนใจจากปาร์คจองซูได้เท่ากับคนน่ารักข้างๆ จมูกโด่งรั้นพ่นลมหายใจอุ่นรดลาดไหล่ของเค้าอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าฮีชอลได้หลับไปเรียบร้อยแล้ว

                      คงเหนื่อยมากสินะ

                      คิดเพียงเท่านั้น ก่อนจะบรรจงปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าหวานออกอย่างอ่อนโยน  ร้อยยิ้มละมุนปรากฎขึ้นบนใบหน้าของจองซูได้ไม่ยากมือทั้งสองที่สอดประสานกันอยู่กระชับแน่นขึ้นเพื่อตกย้ำความอบอุ่นที่ถ่ายทอดซึ่งกันและกัน

       

      ที่เรารู้กันอยู่ข้างใน

      มันเกินบรรยาย เกินกว่าใครจะรับฟัง

       

       

       

                      “ฮีชอล ฮีชอล” เสียงทุ้มกระซิบเรียก ปลุกให้อีกคนตื่นเมื่อบนจอหนังขนาดใหญ่ฉายเครดิตผู้กำกับขึ้น บ่งบอกว่าหนังได้จบเรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กค่อยๆปรือตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วขยี้ตาทั้งสองข้างเหมือนเด็กๆ

                      “อ้าว จบแล้วเหรอ” เสียงอู้อี้แบบคนเพิ่งตื่นบ่นกับตัวเองเบาๆอย่างเสียดาย ริมฝีปากเล็กยู่เข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทำหน้าหงอยใส่จองซูที่นั่งอยู่ข้างๆ

                      “นานๆจะได้ดูหนังด้วยกัน แต่กูยังหลับอีก ขอโทษน้า โกรธป่าว” คนถูกถามหลุดขำออกมาเบาๆกับท่าทางน่ารักนั่น ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มนิ่มอย่างหมั่นเขี้ยว

                      “จะโกรธทำไมเล่า คิดมาก” ปาร์คจองซูคลี่ยิ้มกว้างให้คนคิดมากพร้อมกับหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

                      “ป่ะ กลับบ้านกัน เดี๋ยวไปส่ง”

                      “อือ ^^” ฮีชอลยิ้มรับ พร้อมกับหยัดตัวลุกขึ้น แล้วหยิบถุงกระดาษกับช่อดอกไม้ที่วางไว้ขึ้นมาเตรียมจะเดินออกจากโรงหนัง ทว่าเสียงจากคนช่วยถือที่เดินตามมาข้างหลังดังแซวขึ้นเสียก่อน

                      “เนื้อหอมจริงนะมึงเนี่ย

                      “เพิ่งรู้รึไง” คนตัวเล็กสวนกลับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับยักไหล่อย่างภูมิใจจนปาร์คจองซูอดหมั่นไส้ไม่ได้ …ขายาวก้าวพาร่างโปร่งเดินเข้ามาใกล้ร่างบางที่ยืนรออยู่ ก่อนจะเอียงหน้าเข้ามาใกล้

                      “นี่อะไรติดที่ผมน่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับหรี่ตามองไปที่เส้นผมข้างหูของฮีชอลอย่างเพ่งพินิจจนคนตัวเล็กเบิกตาน้อยๆด้วยความสงสัย

                      “หืม? ไหน?” ปาร์คจองซูยิ้มก่อนเรียวนิ้วแกร่งบรรจงปัดปอยผมที่ข้างหูของฮีชอลขึ้นทัดใบหู แล้วดึงมือกลับมา พร้อมกับดอกกุหลาบสีขาวปรากฏขึ้นในมือราวกับเวทย์มนต์

                      ” คิมฮีชอลเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ มายากลง่ายๆประสบผลสำเร็จ ก่อนร่างโปร่งถอยออกห่างร่างบางตรงหน้าไปหนึ่งก้าว คุกเข่าลงแล้วช้าๆ แล้วยื่นดอกกุหลาบสีสดขึ้นให้คนตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นที่ระบายขึ้นบนใบหน้าหล่อ

       

                      “แด่ ความรักของผม”

       

                      “สุขสันต์วันวาเลนไทน์ ^^

       

                      ตึกตึกตึกตึกตึกตึกตึก

                      เสียงก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของฮีชอลเต้นระเร็วขึ้นจนเจ้าตัวกลัวว่ามันจะหลุดออกมา แก้มใสขึ้นสีแดงจัดด้วยความเขิน พร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากด้วยความประหม่าอาย เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา

                      มีเพียงเจ้าของตาคู่คมที่จ้องอยู่เท่านั้นที่เห็นรอยยิ้มกว้างที่ระบายขึ้นบนใบหน้าสวย

       

                      รอยยิ้มที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางได้เห็น นอกเสียจากปาร์คจองซู

       

                      “ขอบคุณนะ” มือเล็กเอื้อมออกมารับดอกกุหลาบสีขาวไปถือเอาไว้ พร้อมกับก้มลงสูดกลิ่นหอมที่กลีบดอกสีขาวบริสุทธิ์เบาๆ

                      คิมฮีชอลกดยิ้มขึ้นบนริมฝีปากเล็ก ก่อนจะล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา ปาร์คจองซูเบิกตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป ร่างบางก็เดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับวางมือสวยลงบนอกข้างซ้ายของจองซูเบาๆ... ฮีชอลเลื่อนมือลงช้าๆ เผยให้เห็นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีแดงที่มีรอยปากกามาร์กเกอร์เขียนด้วยตัวอักษรลายมือน่ารักเอาไว้ตรงกลางว่า

                      ของกู

       

                      “มึงก็ของกูเหมือนกันนะจองซู” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มขึ้นราวกับผู้บัญชาการ จะน่ารักเกินไปแล้ว

                      “หึรู้น่าขอบคุณนะ”

                      “

                      “

                      “รู้นะว่ามีอะไรจะบอกอีกคำ” คิมฮีชอลเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่จู่ๆก็เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ที่สบตากันอยู่นิ่งๆ

                      “ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

                      “รู้อะไรเล่า”

                      “มึงก็พูดสิ” ปาร์คจองซูเริ่มแกล้งคนตรงหน้าที่เริ่มหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง

                      “มึงก็รู้อยู่แล้วน่า

       

                      “ครับ รู้แล้วก็ได้ครับ ^^

       

       

                      เพราะอยากเก็บไว้ให้รู้กันอยู่สองคน

       

                       

                     

      -Secret  Valentine-

       

       

                      -talk-

                      ฟิควาเลนไทน์แบบเลทๆค่ะ 55555 –A-

                      ฟังเพลงแล้วอยากแต่ง เลยหาอะไรรอบตัวมารวมๆให้เป็นพลอต(เอ่อะ … - - ) ความจริงอยากเขียนเรื่องแนวนักเรียนมานานแล้ว แต่ไม่รู้จะแต่งยังไง คราวนี้ก็เลยลองดู ปรากฎว่าเรื่องใกล้ตัวเขียนยากกว่าเรื่องไกลตัวจริงๆนะ 55555 5 = =

                      ก็สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะ ^^ ขอให้ความรักอยู่กับทุกคนตลอดเวลาและตลอดไปเลย

                      รักแฟนฟิคทุกคนเลยน้า -//////////////////- \|m|

                     

      ปล .Based on true story จริงๆนะ T///w///T

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×