ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] The Second Plan {chanbaek} ★

    ลำดับตอนที่ #31 : - [ The Second Plan ] : chapter 25 -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.58K
      32
      20 ม.ค. 57

    ตอนที่แล้วมีการเพิ่มเนื้อหาสามครั้งนะจ๊ะ
    อ่านกันครบรึเปล่า เช็คด้วยนะ เดี๋ยวงง


     

    The Second Plan
     



     

    -chapter 25-




    ในช่วงชีวิตของคนเรา ย่อมมีจุดเปลี่ยนด้วยกันทั้งนั้น

     

    และวันนี้...ก็เป็นวันเเห่งการพังพินาศของผม


    มันจบแล้ว

     

     



     

    . . . . . . . . . . .

     

     











    “สำหรับสถานการณ์ความรุนแรงในเขตกวางจู วันนี้ก็เกิดเหตุลอบวางระเบิดเป็นครั้งที่สองแล้วค่ะ หลังจากที่เมื่อสามวันที่แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดหน่วยปฏิบัติการพิเศษเมืองกวางจู เพิ่งได้ปฏิบัติภารกิจเก็บกู้วัตถุระเบิดชนิดแสวงเครื่องที่สถานีรถไฟกวางจู โชคดีที่ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่ในวันนี้ เวลาสิบสี่นาฬิกา มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่หน้าร้านขายของชำ ตรงข้ามกับที่ทำการไปรษณีย์ มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยจากสะเก็ดระเบิดสองนาย  สถานการณ์มีที่ท่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา และระมัดระวังตัวจากภัยผู้ก่อการร้ายด้วยค่ะ”

     

     

    แล้วข่าวนั้นก็กระเด้งกระดอนอยู่ในหัวของผม เหมือนการอัดบอลกระทบข้างฝา  ผมจมอยู่ในภวังค์ และความคิดก็วนเวียนจมปลักอยู่แต่กับข่าวการวางระเบิด แม้ว่าข่าวในทีวีจะเปลี่ยนเป็นข่าวการเลียอวัยวะเพศของหมีแพนด้าแล้วก็ตาม

     

     

     

    และผมก็คงจะเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น ...ถ้าเฉินไม่ตะโกนส่งเสียงดั่งลั่นผ่านมาทางวอสื่อสาร

     

     

     

    ลงพื้นที่ได้แล้วผู้กอง!’

     

     

    ผมสะดุ้ง  รีบลุกพรวดพราดออกจากโต๊ะทำงาน ก่อนจะวิ่งออกจากสถานี

     

     

     

    พวกเราทำงานกันหนักขึ้นในช่วงสามสี่วันมานี้  มีการออกตรวจตามจุดตามๆ และประจำที่ป้อมตำรวจอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันและแก้ไขสถานการณ์การเคลื่อนไหวของลัทธิมีดไร้แสง

     

     

    ผมบิดขี้เกียจระหว่างที่เดินเตาะแตะไปตามทางเท้า  วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น และมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงปาร์คชานยอล

     

     

     

    นี่ก็ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว หลังจากที่ชานยอลกลับไปในครั้งนั้น

    วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เขากลับมาหาผมไม่ได้เพราะติดเวร และไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับใครได้  ผมเข้าใจเขา...เขาที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

     

     

    เขาต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับหลายๆเรื่อง

    ที่หนักสุดเห็นจะเป็นการพยายามเปิดโปงการใช้อำนาจไปในทางที่ผิดของพวกนายตำรวจระดับบิ๊กอย่างเช่นสารวัตรโจ (แล้วก็ผู้การคังที่เป็นแบ็คคนสำคัญ ..ตามที่ชานยอลเล่าน่ะนะ)

     

     

     

    ส่วนเรื่องราวของสองอาทิตย์ที่ผ่านมาของผมน่ะหรอ???

     

     

    อืมม....เลวร้ายมากเลยทีเดียวล่ะ

     

     

     

     

    ผมคิดว่าในชีวิตคนเรา ต่างก็ต้องมีช่วงเวลาแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น

     

     

    ช่วงเวลาแบบที่ ...แบบที่พลิกชีวิต ...เปลี่ยนเราไปตลอดกาล ภายในระยะเวลาที่ห่างกันเพียงการเดินของเข็มนาฬิกาเพียงหนึ่งครั้ง

     

     

    แบบว่า... ติ๊ก ...พอเข็มวินาทีเดินเพิ่มขึ้นหนึ่งก้าว

     

     

    หน้าก็เปลี่ยนเป็นหลัง

    ซ้ายก็เปลี่ยนเป็นขวา

    อะไรที่เคยมีก็เปลี่ยนเป็นไม่มี

    อะไรที่เคยเกิด กลับตาย

     

     

    ทุกกฏกติกา ทุกความเชื่อ ทุกศาสนา ทุกข้อบังคับ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต... มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

     

     

    เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เปรียบได้กับสึนามิ ...ซัดเข้ามาตูมเดียว และในชั่วพริบตานั้น ทุกอย่างที่เคยมี ก็ถล่มราบเป็นหน้ากลอง

     

     

     

     

    ผมก็เป็นเช่นนั้น โลกตอนนี้ของผมเป็นโลกใบใหม่  ไม่มีกฏเหล็กกฏเดิมที่เคยวางเอาไว้  โลกใหม่มีแต่เข็มฉีดยาที่ถูกแทงเข้าไป หลังจากที่ครบสี่ชั่วโมงนับจากเข็มก่อนหน้า

     

     

    ในช่วงแรกที่เสพ ผมทำเพราะลึกๆมันก็มีความสุขดี  แต่หลังจากนั้น ผมจำต้องเสพมันเพราะไม่อยากถอนยา

     

     

    ผมอาจจะเปรียบเทียบแรงไปหน่อยนะ แต่มันเหมือนโสเภณีในซ่อง ที่ถูกพ่อแม่ลากมาขาย

     

     

    ทุกครั้งที่พยายามหนี คนคุมก็จะลากเธอมาซ้อม เอาให้ปางตาย

     

     

    หนีอีก ก็ซ้อมอีก ซ้อมต่อไปเรื่อยๆ ทั้งศอก ทั้งหมัด ทั้งตบตีสารพัด ..สุดท้ายการยอมรับชะตากรรม คงเป็นหนทางหนึ่งเดียวสำหรับเธอ

     

     

     

     

    ตอนนี้ผมก็เป็นเช่นโสเภณีคนนั้น  ทุกครั้งที่ผมพยายามจะหนีโดยการลดละเลิก  มันก็จะตามมาซ้อมผม ด้วยฤทธิ์แสนสาหัสของราชายาเสพติด

     

     

    มันฮุคหมัดซ้าย น็อคเข้าให้ด้วยหมัดขวา

     

     

    ครั้งล่าสุดที่ผมพยายามหนี  มันแค่ยี่สิบชั่วโมงเองด้วยซ้ำ  แต่มันก็เล่นงานอย่างรุนแรง  ผมหมอบกับพื้น ครางโอดครวญ  เห็นทุกอย่าง  เห็นพ่อ เห็นผู้กำกับลี เห็นชานยอล  เห็นคู่อริสมัยประถม  เห็นคุณย่าที่ตายไปแล้ว  เห็นเซฮุน เห็น..เห็น...แล้วก็เห็น

     

     

    ทุกคนพร้อมใจกันออเครสต้าใส่ผม กระหน่ำด้วยการตะโกนด่าทอ  พวกเขาฉีกผมออกเป็นชิ้นๆ  ตัวของผมสั่นระริก  นัยน์ตาแดงก่ำ  ริมฝีปากแห้งผาก  เส้นเลือดเต้นตุบๆไปทั้งสรรพางค์  เหงื่อแตกซก  แล้วก็อาเจียน ...  ผมคิดว่าผมเป็นหนักกว่าคนทั่วไป อาจเพราะมีความเปราะบางมากกว่า ภูมิคุ้มกันตรงนี้เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคล ซึ่งผมโชคร้ายที่มีมันน้อยกว่าใครเพื่อน

     

     

    ผมเห็นภาพหลอน ..มันเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำๆเดิมๆ

     

     

    จนสุดท้ายผมก็ทุ่มสมบัติหมดทั้งเซฟ  เพื่อแลกกับเฮโรอีนเข็มถัดไป

     

     

     

    ถ้าถามถึงแผนสองของผม? ...อือ ผมจะคืนบ้านพัก และกลับไปอยู่ในหอตำรวจอีกครั้ง ที่นั่นน่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก  แต่ข้อเสียก็คือ ที่นั่นเป็นแหล่งรวมเหล่าตำรวจ คงจะเสี่ยงไม่น้อย หากมีใครคนใดคนหนึ่ง เห็นตอนผมเมายา หรือเห็นรอยเข็มบนข้อพับ

     

     

     

    ผมกระพริบตาถี่ๆ ขณะเดินลาดตระเวนไปยังจุดต่างๆตามแผนการของผู้กำกับคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาทำงานกับเราได้ไม่กี่วัน  เขาชื่อฮยอนบิน สกุลคิม เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง กฏเป็นกฏ ..ตายเป็นตาย

     

     

    ถ้าเป็นแต่ก่อน ผมคงมีปัญหากับเขา เพราะผมไม่ชอบคนพูดเสียงดัง(ยกเว้นตัวผมเอง) ไม่ชอบคนวางอำนาจ(ยกเว้นผมเอง) ไม่ชอบคนเอาแต่ใจ(ก็ยกเว้นตัวเองไว้อีกนั่นแหละ)

     

     

     

    แต่หลังจากที่โลกของผมเปลี่ยนไปเพราะยาเสพติด ผมก็หงอให้เขาในทุกๆเรื่อง  อาจจะเพราะมีชนักติดหลัง ผมจึงไม่กล้าสู้หน้าใคร ผมเชื่อฟังคำสั่งของเขา  เหม่อลอย  พูดจาเพี้ยนๆ  สะบัดร้อนสะบัดหนาว  อ่อนเพลียทั้งวัน ไม่ค่อยตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ...นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นภายในเวลาสองสัปดาห์มานี้

     

     

     

    ผมลงชื่อตามจุดต่างๆที่ออกตรวจ  อันที่จริงผมรู้เรื่องแผนการของมีดไร้แสงอยู่บ้าง แต่พวกเขาไม่เปิดเผยทั้งหมด  ผมไม่รู้ว่าพวกเขามีเป้าหมายอะไรในครั้งต่อไป  แต่ที่แน่ๆ ทุนในการทำระเบิดและซื้อสารเสพติดล็อตใหม่แจกจ่ายให้กับคนในลัทธิ ส่วนมากเป็นเงินของผม

     

     

     

    ผมเดินใจลอยไปเรื่อยๆ  ระหว่างที่อยู่บนสะพานลอย ข้อความไลน์จากชานยอลก็เด้งขึ้นมา

     

     

    ชานยอลครม. : เย็นนี้จะได้ไปดูไลฟ์บิ๊กแบร์ด้วย อิจฉาไหม

     

     

    นิ้วที่ไร้เรี่ยวแรงและซีดเหลืองของผมพิมพ์ตอบไป

     

     

    Byun_ranger : ก็นิดหน่อย

     

    ชานยอลครม. : เปิดกล้องคุยกันมั้ย

     

    Byun_ranger : ตอนนี้อยู่ข้างนอก

     

    ชานยอลครม. : ขอเห็นหน้าหนึ่งวิ

     

     

    ผมยิ้มออกมาบางๆหลังจากอ่านข้อความนั้น  ก่อนจะตัดสินใจปิดไลน์และคุยกับเขาด้วยโปรแกรมที่สามารถเห็นหน้ากันได้

     

     

     

    “ผอมลงเยอะนะ” เขาทัก  อันที่จริงเขาก็ทักอย่างนี้ได้ซักพักนึงแล้ว  แต่ผมก็มักเฉไฉไปว่าทำงานหนัก

     

     

    “ก็นายชอบผอมๆไม่ใช่หรอ”

     

     

    ชานยอลขมวดคิ้ว เขาดูโทรมก็จริง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าครั้งล่าสุดที่เราเจอกัน  “ผมไม่ได้ชอบผอมๆ ผมชอบคุณ”

     

     

    ผมฝืนกล้ามเนื้อริมฝีปากที่ง่อยเปลี้ยแบบสุดๆ ฉีกยิ้มให้เขา  “งั้นเสาร์ที่จะถึงพาไปกินไอติมหน่อยนะ”

     

     

    ชานยอลยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมา  เขาเริ่มลูบหน้าจอด้วยปลายนิ้ว ลูบหัว ลูบแก้มของผม

     

     

    “เสาร์หน้ามีเวร แต่คราวนี้จะขอแลกให้ได้” เขาพูดอย่างมาดมั่น

     

     

    “ฉันไม่มีเวร ให้ขึ้นไปหามั้ย”

     

     

    “ไม่เอา ขับรถมันเหนื่อย” เขาว่าอย่างนั้น ก่อนจะสรุปอีกครั้ง  “ผมจะแลกเวร และไปหาคุณ”

     

     

    “เราจะไปกินไอติม  ขี่จักรยาน  ไปให้อาหารปลา และก็เช่าหนังเรื่องชอว์แชงค์มาดูกันใช่ไหม?” ผมถาม

     

     

    “ใช่...ทุกอย่างจะเป็นแบบนั้น”

     

     

    ไม่รู้ว่าทำไม ...แต่ปากงี่เง่าของผมก็ถามโพล่งออกไปว่า  “แล้วถ้าแผนหนึ่งไม่สำเร็จล่ะ”

     

     

    ชานยอลส่ายหน้า  “ไม่มี...ไม่มีแผนสอง”

     

     

    เขายิ้มอย่างมั่นใจ เหมือนจะตอกย้ำว่า แผนแรกที่เราวางเอาไว้ จะต้องสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

     

     

     

    มีเรา มีไอติม มีอาหารปลาที่โปรยลงไปในสระที่สวนสาธารณะ มีชอว์แชงค์ที่ฉายบนโทรทัศน์

     

     

    และไม่มีแผนสำรองใดๆ

     





























     











     

    สารวัตรวัยยี่สิบหกปีพิจารณาเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมเสียงถอนหายใจรุนแรง ที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเขาเกลียดสารรูปตัวเองในตอนนี้มากขนาดไหน

     

     

    ร่างกายสูงโปร่งเฉียดร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตร อยู่ในชุดเดรสสีชมพูดรัดรูป สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บใจที่สุดเห็นจะเป็นสองเต้าเต่งตูมจากทิชชู่ราวๆหนึ่งม้วนครึ่งที่เขาจำใจยัดมันลงไป  ไหนจะเครื่องหน้าสารพัดสี ทั้งลิปสติกสีบานเย็น แก้มลงบรัชออนสีฉูดฉาด กระจายเป็นวงกลม  เปลือกตาสีฟ้าระยิบระยับด้วยกลิตเตอร์  เส้นผมสั้นๆก็ถูกคลุมด้วยวิกผมยาวสีบลอนด์

     

     

    ปาร์คชานยอล...เกลียดตัวเอง

     

     

     

    แต่ก่อนเขาทะนงอยู่บนยอดเสา  เป็นบุคคลชั้นแนวหน้าที่แกร่งกล้าและเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี  แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นธงที่ถูกปลดจากยอดเสา  แถมผ้าธงยังขาดวิ่นอย่างน่าสมเพช

     

     

    สารวัตรหนุ่มกำหมัดแน่น  ทว่าซักพักมันก็คลายออก

     

     

    หนึ่ง...เขาทำเพื่อประชาชน

    สอง...มันเป็นหน้าที่และคาบเกี่ยวกับความถูกต้อง

    สาม...บยอนแบคฮยอน

     

     

    เขามีเหตุผลในการทำเรื่องน่าอายอยู่แค่นี้  แค่นี้เท่านั้น

     

     

    วันนี้ไม่ใช่วันของเรา  แต่ไม่มีใครบอกได้หรอกว่า...วันพรุ่งนี้มันจะใช่หรือไม่ใช่

     

     

     

    คิดได้ดั่งนั้นก็ปลงตก อามรณ์ติสท์เข้าสิง ...จริงๆแล้วก็ไม่เห็นต้องแคร์อะไรมาก ช่างหัวแม่งมันสิ

     

     

    ว่าแล้วสารวัตรปาร์คก็เดินออกจากห้องน้ำ

     

     

     

     

     

    ภารกิจของเขาในวันนี้คือจับตามองสถานการณ์ของแคนดี้อย่างใกล้ชิด เมื่อสถานการณ์สองอาทิตย์มานี้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น  และเขามุ่งประเด็นความสนใจไปที่สมาชิกในวง ...เป็นไปได้ที่เธอจะถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนๆ

     

     

    ขายาวๆก้าวเข้าไปในห้องแต่งตัวของทั้งห้าสาว  ที่กำลังจะขึ้นแสดงเพลง run for love ในอีกสามสิบนาทีข้างหน้า  แคนดี้รู้แผนการของเขาอยู่แล้ว ว่าเขาจะปลอมตัวเข้ามาเนียนๆอยู่ในห้อง  และตอนนี้เธอนั่งอยู่บนโซฟาคนเดียว

     

     

    เหมือนในวงจะแบ่งก๊กๆ ฮานึลกับจียองนั่งเม้าท์กันอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

     

     

    “แก หล่อมั้ยๆ สามีฉันแหละแก” จียองส่งสมาร์ทโฟนในมือให้ฮานึล  เพื่อนสาวรับมาก่อนจะสไลด์หน้าจอพร้อมเบะปาก เมื่อภาพที่เห็นเป็นโมเดลการ์ตูนตัวหนึ่งเท่านั้น

     

     

    “นี่แกอ่านนิยายแจ่มใสซาบซ่านมากไปป่ะ ชีวิตจริงมันมีรึไงไอ้ผู้ชายตาสีสนิมเหล็ก ผมสีน้ำเงินประกายซิลเวอร์เหลือบมุข ไฮไลต์ทองอร่าม ยามต้องแสงจะเปลี่ยนเป็นไวน์องุ่นอะไรพรรคนั้นน่ะ คนนะจ๊ะ ไม่ใช่การ์ตูน และชีวิตจริงก็ไม่มีใครมาแต่งคอสเพลย์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย อยู่บนโลกความจริงบ้างไรบ้าง อย่ามโน”

     

     

    “แรงอ่ะ! มโนนี่ผิดมากป่ะ ทุกวันนี้ก็ไม่รู้จะสวยไปทำไมแล้ว แฟนก็ห้ามมี เดทก็ห้าม ห้ามๆๆๆ โอ๊ย อกจะแตกตาย!

     

     

    ชานยอลเลิกสนใจสองสาว  เขาเปลี่ยนไปสังเกตซอรินกับฮเยจีแทน  ทั้งสองกำลังซ้อมท่าเต้มอยู่หน้ากระจก แวบหนึ่งที่เขาเห็นซอรินซึ่งเป็นหัวหน้าวง มองกระจกที่สะท้อนไปยังแคนดี้ที่กำลังนั่งเป็นกังวลอยู่บนโซฟา

     

     

    ดวงตาของซอรินตวัดเชิดเหมือนตาหงส์ เวลามองจึงดูเหมือนจิกตลอดเวลา ...ชานยอลรู้ว่าการมองคนจากภายนอกไม่ดีนัก

     

     

    แต่ตอนนี้เขาก็ใส่รายชื่อเธอเป็นอันดับหนึ่งในลิสต์ผู้ต้องสงสัยเป็นที่เรียบร้อย

     

     

     

    แคนดี้ดูกังวล เหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ  ชานยอลตีเนียนเดินไปนั่งเคียงข้างหญิงสาว ก่อนจะกระซิบถามเสียงแผ่ว

     

     

    “เป็นอะไรรึเปล่า”

     

     

    “ฉันเวียนหัวค่ะ ...มีข้อความนี้ถูกส่งมาเมื่อสิบนาทีที่แล้วด้วย”

     

     

    ชานยอลรับโทรศัพท์มาจากมือสั่นระริกของไอดอลสาววัยสิบเก้าปี  บนหน้าจอปรากฏข้อความขู่สั้นๆ ที่มันก็เหมือนทุกคดีที่เขาเคยทำ

     

     

    ไม่รู้ว่าเหล่านักขู่มันก้อปปี้กันมาหรืออย่างไร ...เปลี่ยนบ้างนะ น่าเบื่อจริงๆ

     

     

    แกตายแน่

     

     

     

     

     

    “ไม่ต้องกลัวหรอกคุณ  ตอนนี้มีตำรวจแฝงตัวอยู่ในสตูดิโอเต็มไปหมด ไม่มีอะไรน่ากังวล” ชายหนุ่มยกมือเสยผมอย่างลืมตัว วิกเกือบหลุด และเขากระดากมือมากกับเส้นผมปลอมๆที่แข็งทื่อเหมือนฟางแห้ง

     

     

    “คุณดูไม่จืดเลย” แคนดี้พยายามจะขำ แต่ก็ขำไม่ออก

     

     

    “ผมสวยกว่าคุณอีก” สารวัตรพูดหน้าตาย ก่อนที่เขาจะนั่งสังเกตภาพรวมต่อไป

     

     

     

     

    จนกระทั่งสามสิบนาทีหมดลง  บิ๊กแบร์แสตนด์บายก่อนจะก้าวขึ้นไปทำการแสดงสด

     

     

    เสียงอังกอร์ดังกระหึ่มตอกย้ำกระแสความฮิตของพวกเธอ ที่กำลังพุ่งทะยานสุดๆในเวลานี้  ชานยอลมองนิ่งๆ เขาเองก็รู้สึกว่าพวกเธอสวยดี  มีทรวดทรงที่ดี  ร้องเพลงเพราะ

     

     

    อือ...แค่นั้นแหละ

     

     

     

     

     

     

     

    ตึง!

     

     

    ทุกอย่างเหมือนภาพสโลว์ตอนที่แคนดี้ล้มลงกับพื้นเวที  สมาชิกในวงหยุดร้องเพลง  ก็เลยจับได้กันเต็มๆว่าพวกเธอลิปซิ้ง  แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น

     

     

    แฟนคลับกรี๊ดสติแตกด้วยความเป็นห่วงเกินพิกัด  ตำรวจที่แฝงตัวอยู่ในงานเข้าชาร์จที่ข้างเวที พร้อมควบคุมสถานการณ์

     

     

    ร่างของหญิงสาวถูกหามออกมา ก่อนจะถูกอุ้มขึ้นรถตู้  ทางบริษัทไม่มีนโยบายพาส่งโรงพยาบาลในตอนนั้น แต่ชานยอลมี

     

     

    ฉะนั้น เขาช่างหัวบริษัท

     

     

     

     

     

     

    ชานยอลขับรถส่วนตัวจี้ไปกับรถตู้ เพื่อกันพวกเขาออกนอกเส้นทาง  เมื่อถึงโรงพยาบาลเขาก็สั่งให้ลูกน้องตำรวจที่มาด้วยกันเป็นคนดำเนินเรื่องทั้งหมด และเก็บกระบวนการตรวจร่างกายทุกอย่างให้เป็นความลับ

     

     

    แล้วเขาก็สั่งตัวแทนบริษัทห้ามเข้าใกล้ไอดอลสาวทุกกรณี  โดยให้เหตุผลว่าทุกคนในบริษัทมีสิทธิเป็นคนร้าย  แต่เหตุผลจริงๆคือเขารำคาญ  ค่ายเพลงเกาหลีเป็นอะไรที่เยอะแยะ ...น่า-รำ-คาญ!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ตั้งครรภ์??”

     

    “...”

     

    “สองเดือน??”

     

     

    ชานยอลทวนคำพูดของนายแพทย์ที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้อีกครั้ง  ส่วนคนไข้ที่ตอนนี้รู้สึกตัวแล้วได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง

     

     

    สารวัตรหนุ่มในคราบกะเทยผมสีบลอนด์ถึงกับหงุดหงิดจนเผลอดึงวิกทุ่มลงพื้น

     

     

    “พระเจ้า! แล้วทำไมคุณไม่บอกเรื่องนี้กับผม นี่ผมมาแต่งตัวเป็นบ้าๆแบบนี้เพื่ออะไร! ไว้ใจกันบ้างสิ!

     

     

    แคนดี้กุมมือไว้ที่ตัก ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ

     

     

    “คดีมันพลิกไปหมดแล้ว” ชานยอลพยายามใจเย็น เขาเท้าเอวและตบเตียงตรงหน้าของหญิงสาวเบาๆ

     

     

    “ทีนี้คุณต้องพูด....ใครเป็นพ่อเด็ก?”

     

     

     

    แคนดี้ส่ายหน้า เม้มปากแน่น  น้ำตาหยดไหลลงเป็นสาย  เธอไม่พร้อมที่จะบอกใครทั้งนั้นเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆในท้องของเธอ

     

     

     

    อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดครั้งที่ยี่สิบ

    เป็นการบรรลุนิติภาวะที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล

     

     

     

     

     

     

     

    . . . . . . .

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมกลับมาจากการลงพื้นที่ด้วยสภาพซังกะตาย  พอมาถึงโต๊ะทำงานผมก็ฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะทันที

     

     

    เฉินพูดรายงานความคืบหน้าของคนในทีมเกี่ยวกับคดีต่างๆ แต่ผมฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ...ดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายด้วยกันทั้งนั้น

     

     

    ใกล้ครบสี่ชั่วโมงหลังจากเข็มก่อนหน้าแล้ว  ผมอยากกลับบ้านเร็วๆจัง...อยากกลับบ้านเหลือเกิน

     

     

     

    แต่พระเจ้าไม่เมตตาให้เหตุการณ์เป็นไปตามที่ใจปรารถนา

     

     

    วิทยุสื่อสารของตำรวจทุกคนดังขึ้นพร้อมกัน ...หมวดไคแจ้งจากสถานที่เกิดเหตุว่ามีเหตุระเบิดที่โรงเรียนประจำเมืองกวางจู อาคารเรียนรวมของเด็กอนุบาลทั้งสามระดับชั้น

     

     

     

    แวบแรกผมเป็นกังวลสุดหัวใจ  แต่ต่อมาผมก็คลายความกังวลลงบ้าง ...เมื่อระลึกได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว

     

     

    ผมวิ่งตามนายตำรวจคนอื่นๆออกไปจากสถานี  คริสดึงให้ผมซ้อนมอเตอร์ไซต์ BMW ก่อนจะเร่งความเร็วเกือบเต็มขีดจำกัด เพื่อไปยังจุดเกิดเหตุ

     

     

     

    อาคารถูกระเบิดทำลย และกำลังจะมอดไหม้ไปทั้งหลัง

     

     

    เสียงตะโกนสั่งงาน และการประสานงานของทีมนักดับเพลิงดังช้งเช้ง แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก สิ่งที่ผมเป็นคือกระวนกระวาย เพราะขาดยาใกล้ครบกำหนดแล้ว

     

     

    ควันไฟอวลไปทั่วบริเวณ จนเยื่อบุในจมูกของผมแสบไปหมด  ผมเห็นไควิ่งวุ่นไปมา เห็นผู้กำกับคนใหม่ของสน.วอประสานงานอย่างเร่งร้อน  แล้วก็เห็นผู้กองอู๋ที่มาด้วยกันวิ่งไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่เอาแต่ร้องไห้อยู่บนพื้นคอนกรีต แล้วก็มีชาวบ้านอีกหลายคนจับตัวเธอไว้

     

     

     

    ผมคิดว่าตัวเองว่างง่านเกินไป และบางงทีอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง ผมก็เลยเดินไปสมทบกับคริสอู๋  ผมเห็นเขาย่อตัวลงไปถามพูดหญิงคนนั้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

     

     

    “พิดนา...พิดนาล่ะครับ?”

     

     

    ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาถามหาอยู่คืออะไร ...แต่ภาวนา ขอให้ไม่ใช่ชื่อของเด็กซักคน

     

     

    เพราะตอนนี้เด็กๆควรจะกลับบ้านไปหมดแล้ว

     

     

    แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาทั้งน้ำตา  “ลูกสาว ฮืออ ของฉันติดอยู่ข้างใน”

     

     

     

     

    มันเร็วเหลือเกินตอนที่คริสอู๋วิ่งเต็มกำลังขาเข้าไปข้างใน  ผมไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ เพราะสมรถภาพร่างกายตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ผมเชื่องช้าและสั่นไปทั้งตัว

     

     

    ได้แต่ยืนมองเขาที่เพิ่งแปลงร่างเป็นแมลงเม่า บินเข้าไปในกองไฟยักษ์ โดยไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรเลย...

     

     

    แล้วถ้าผู้กองอู๋ไม่กลับออกมาล่ะ?

     

     

    ผมตั้งคำถามกับตัวเอง  หัวใจในอกเริ่มบีบรัดด้วยความกดดันเจือปนไปกับความเจ็บปวด คำตอบสำหรับคำถามข้างต้นนั้นไม่ยากเย็นอะไร  ...หากเขาเป็นอะไรไป...มันก็จะเป็นความผิดของผม

     

     

    ผมกับเงินหลักล้านที่จ่ายเพื่อให้มีดไร้แสงนำไปพัฒนาอาวุธระเบิด

     

     

     

    ท่ามกลางความวุ่นวาย ท่ามกลางควันสีเทา ท่ามกลางเสียงไซเรนของรถตำรวจและรถดับเพลิง ท่ามกลางผู้คนที่วิ่งวุ่นจอแจ  ท่ามกลางเปลวไฟส้มแดงที่กำลังลามเลียไปทั้งตึก

     

     

    ผมคือมดเล็กๆท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น

     

     

    ผมเป็นมดตัวเล็กที่กำลังใคร่ครวญถึงจุดเปลี่ยน ...ผมเคยคิดว่าครั้งยิ่งใหญ่สำหรับการเปลี่ยนแปลงคือตอนที่พ่อตาย แต่มันใหญ่กว่าเมื่อผมติดยา

     

     

    ทว่าทั้งสองเหตุการณ์ดูเล็กจ้อยลงไปเลย  เพราะวินาทีนี้...ผมค้นพบแล้วว่า จุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

     

     

    มันกำลังจะเริ่มต้นนับจากนี้ต่างหาก

     

     

     

     

     

     

     

    ผู้กองอู๋อุ้มเด็กวิ่งออกมาจากซากปะหลักหักพังที่กำลังมอดไหม้ ทั้งตัวเขาและตัวเด็กดำเปื้อนไปด้วยเขม่าควัน  ผมสังเกตเห็นแผลพุพองบนตัวคริสหลายจุด

     

     

    เขาวางเด็กลงบนเปลพยาบาลที่วางนาบไว้กับพื้น  ผมและแม่เด็ก รวมถึงชาวบ้าน พากันวิ่งกรูไปหาเขา

     

     

    คริสตะคอกใส่ทุกคนที่กำลังจะเข้าไป เขาบอกว่าเด็กต้องการออกซิเจน  ชาวบ้านต้องรุมจับแม่ของเด็กไว้อีกครั้ง เพราะเธอพยายามอย่างมากที่จะเข้าไปกอดลูก

     

     

    ทุกอย่างมันกดดันหนักหน่วงในความรู้สึก

     

     

    จริงอยู่ที่คริสอู๋ปลอดภัย.... แต่เขาได้เปลี่ยนไปแล้ว

     

     

    เขา CPR ให้เด็กหญิงตัวเล็ก ปั๊มจนร่างของเธอกระเด้งขึ้นลง

     

     

    ผมเริ่มหายใจไม่ออก

     

     

    ผู้กองอู๋หยุดการปั๊มหัวใจและเปลี่ยนมาผายปอดเธอแทน

     

     

     

    แต่ว่ามันสายไปแล้ว ....มันเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ  เปลี่ยนทั้งเขา  เปลี่ยนทั้งผม  เปลี่ยนทั้งเด็ก ...เปลี่ยนทั้งแม่ของเด็ก

     

     

     

    ผมเหมือนตายทั้งเป็นตอนที่คริสอู๋ถอนริมฝีปากออกมาจากริมฝีปากเล็กๆ เขาทรุดตัวลง แขนตกลงข้างลำตัวเหมือนคนหมดแรงจะต่อสู้

     

     

     

     
     

    “ไหนบอกจะเป็นเจ้าสาวให้ฟานไงคะ?”

     

     

     

     

    “ไหนบอกจะเป็นตำรวจที่เก่งเหมือนฟานไง”

     

     

     

     

     



     

    ควันไฟทำให้ท้องฟ้าของเย็นนี้เป็นสีเทาเจือขาว และกลิ่นของท้องฟ้าไม่ชวนให้สดใสเหมือนในทุกวัน

     

     

    ผมเงยหน้ามองฟ้า  น้ำตากลิ้งหยดจากหางตาลงสู่ผิวแก้ม  เป็นรอยจารึกว่าวันนี้ผมฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปหนึ่งคน

     

     

     

    ต้องเปลี่ยนแล้ว ต้องหยุดเล่นยาแล้ว  คราวนี้ต้องหนี...ต้องหนีให้ได้

     

     

    แม้จะต้องติดคุกติดตาราง ....ถึงกระนั้น มันก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนซักที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    100%

     

     

     

    cr. @pkpjy  @neifyq





     

    เครียดเนอะ

    เหลืออีกห้าตอนก็จะจบแล้ว

    บอกเลยว่าขอให้สู้

     

     

    ซียังลงวันต่อวัน วันเว้นวัน ไปเรื่อยๆจนจบนั่นแหละเนอะ

    เรื่องนี้อัพช้าไม่ได้ เข้าใจความรู้สึก ไม่อยากให้เครียดตกค้างกันนานๆ

     

    ฮิ๊

     

    Seeme

    #แผนสอง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×