คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : - [ The Second Plan ] : chapter 9 -
ถ้างงๆมึนๆ ก็แสดงว่าข้ามตอนที่ 8 มาแน่ๆเลย
55555555555555555555
The SecondPlan
-chapter 9-
ในความเป็นจริงแล้ว....วันนี้ก็เป็นเพียงวันหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับวันทั่วๆไป
เป็นอีกวันที่ผมยังคงต้องตื่นขึ้นมาทำงาน แม้ดวงตาจะช้ำจนลืมแทบจะไม่ขึ้น แถมแผลที่หัวเข่าจะเล่นเอาเจ็บแปลบทุกครั้งที่ย่างไปแต่ละก้าว
มันยังคงเป็นเหมือนวันเดิมๆ ที่ตำรวจอย่างผมต้องเข้ามารายงานตัวในสน. ทั้งที่หัวใจในอกเหมือนถูกฉีกขาด จะว่าอกหักก็คงไม่ใช่ อาการมันใกล้เคียงกับอกแหกมากกว่า ประมาณว่าเจ็บกว่าสามเท่า
วันนี้ก็เหมือนกับวันนั้น วันนั้นก็เหมือนกับวันนู่น และวันนู่นก็ไม่ต่างจากวันโน้น
ถ้าตัดความรู้สึกในหัวใจของผมออกไป วันนี้ก็เป็นเพียงวันธรรมดา ซึ่งเหมือนๆกับวันเก่าๆที่แล้วมา
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องส่วนตัว ทุกวันผมยังคงต้องตื่นขึ้นมาคว้าเสื้อวอร์มสีกรมท่าที่ปักตราตำรวจไว้ที่อกขึ้นมาสวม
คุณรู้มั้ยว่าผมเป็นใคร...
ผม...บยอนแบคฮยอน ‘ผู้พิทักษ์สันติราชของประชาชน’ ยังไงล่ะครับ
อ๋าาา....เปิดตัวตอนนี้ผมดูดีจัง
ผมชะโงกหน้าเข้าไปในห้องศูนย์รวมจอจากกล้อง CCTV ของบริษัทเอซีเฮ้าส์ เห็นปาร์คชานยอลลูกมือของผมในวันนี้กำลังทำการดูดข้อมูลอยู่อย่างใจเย็น ผมจึงส่งเสียงดุๆไปเร่งเร้า
“เสร็จรึยังล่ะ! เร็วๆหน่อยสิ!”
หมวดปาร์คเหลือบมองผมด้วยหางตา ก่อนจะทำหน้าที่ของเขาต่อไปอย่างใจเย็น
ตอนนี้พวกเรากำลังปฏิบัติหน้าที่ตำรวจสายสืบมือฉมังอยู่ครับ ถึงสิ่งที่พวกเรากำลังทำจะไม่ต่างจากหัวขโมยซักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ผมอยากได้เทปกล้องวงจรปิดของที่นี่โดยไม่ให้ผู้ต้องสงสัยหรือคุณลู่อี้เผิงรู้ตัว
ปาร์คชานยอลควงแผ่นดีวีดีในมือเล่นด้วยท่าทางสบายๆ เขาคงไม่รู้หรือบางทีอาจจะรู้แต่อยากแกล้งให้ผมซึ่งทำหน้าที่เป็นคนดูต้นทางให้ร้อนใจเล่นๆ หมวดปาร์คผิวปาก บิดขี้เกียจอยู่สองสามที ลีลาท่ามากอยู่นาน กว่าจะลุกออกมาจากเก้าอี้ของรปภ.ที่ออกไปเข้าห้องน้ำซักสิบห้านาทีที่แล้วได้
“ของมันง่ายยังกับปอกกล้วย” เขาพูดยิ้มๆ ยิ้มแบบผยองตามแบบฉบับของเขานั่นแหละ ผมทำท่าจะฉกแผ่นดีวีดีในมือหนามาถือไว้เอง แต่ชานยอลก็ชักมือกลับและฉวยเอาแผ่นเงาวิบวับนั่นไปเก็บไว้ในกระเป๋าลับในเสื้อวอร์มของเขาอย่างรวดเร็ว
“ไปดูที่ห้องผมก็แล้วกัน โอเคมั้ย?”
“ไม่!” ผมตอบทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด นี่มันยังเช้าอยู่เลย และผมไม่อยากทำให้วันทั้งวันต้องหม่นหมองโดยการเข้าไปหายใจในรังของศัตรูหมายเลขหนึ่ง
ชานยอลเดาะลิ้นเล่น เขาดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้มเหมือนพวกนักเลงในหนังยุค 90 ที่ผมเคยชอบดู
“รีบไปกันเถอะ ผมหิวแล้ว” หมวดปาร์คพูดอย่างเอาแต่ใจ ก่อนที่เขาจะลากผมให้ออกจากบริษัทด้วยบันไดหนีไฟ เรากระโดดลงไปทางหน้าต่างตอนลงมาถึงชั้นสอง เพราะไม่อยากผ่านด่านตรวจบัตรพนักงานหน้าบริษัท
“คุณชอบกินต๊อกมั้ย?” ชานยอลหันมาถาม มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เขายกแขนขึ้นมาพาดไหล่ผมอย่างแนบเนียน
ผมส่ายหน้า
“เป็นคนเกาหลีภาษาอะไรไม่กินต๊อก”
ผมจิ๊ปาก ก่อนจะดันแขนเขาออก “ทีนายยังไม่กินกิมจิเลย”
ร่างสูงหัวเราะหึหึ ก่อนจะลากผมเข้าไปในร้านเบอร์เกอร์คิงที่อยู่ห่างจากบริษัทเอซีเฮ้าส์ไปแค่สี่บล็อค
เราเลือกนั่งโต๊ะสำหรับสองคนที่อยู่ในสุดของร้าน ชานยอลดูจะสูงและตัวใหญ่เกินไป เขาดูเหมือนยักษ์เมื่อนั่งจ๋อมลงบนเก้าอี้และโต๊ะที่เล็กนิดเดียว
“คุณหัวเราะอะไร”
“เปล่า” ผมปฏิเสธก่อนจะกัดเบอร์เกอร์คำแรก มันเป็นอะไรซักอย่างที่อธิบายไม่ถูก มันเหมือนกับว่าเราพยายามจะมีความสุขให้เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา
แต่พอรสชาติเผ็ดนิดๆของซอสพริกละเมียดละไมไปกับปลายลิ้น ผมก็ถูกดึงให้จมลงกับความทุกข์อีกครั้ง
เหมือนนักเรียนที่ไปโรงเรียนด้วยอารมณ์แจ่มใส แต่ทุกอย่างก็พลิกจากหน้ามือเป็นฝ่าเท้า หลังจากเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมทำการบ้าน ตอนครูประจำวิชาเรียกตรวจงาน
ผมนิ่งชะงักไป วางเบอร์เกอร์เนื้อเบิ้ลชีสลงกับกระดาษห่อ ก่อนจะจิบน้ำอัดลมที่ชานยอลสั่งเอาไว้
“คุณอิ่มแล้วหรอ?”
ผมขี้เกียจจะตอบอะไร
“ก็ดีแล้ว ผมว่าคุณน่าจะลดอีกซัก 2-3 กิโล”
และผมก็ไม่ได้ทะเลาะต่อเติม...
ผมเท้าคางไปกับโต๊ะตัวเล็ก ที่เล็กเสียจนเข่าของเราชนกันใต้โต๊ะ ชานยอลยังคงกินขนมปังประกบอกไก่ซอสบาร์บีคิวของเขาต่อไป กลิ่นบาร์บีคิวกับพริกไทยดำโชยมาตามทิศทางการเป่าของแอร์คอนดิชั่นเนอร์
ผมมองออกไปยังวิวนอกร้าน ทั้งที่ยังนั่งเท้าคางด้วยมือข้างขวา
ผู้กำกับลีเคยบอกผมว่า สถิติที่คนมาแจ้งของหายปีที่แล้วมีประมาณพันกว่าครั้ง แต่สถิติที่คนนำของหายมาส่งคืนให้สถานีตำรวจมีถึงสามพันกว่าคดี
เขาบอกว่าคนดีมีมากกว่าคนเลว
ในโลกที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังใบนี้ หากไม่มองมันในแง่ร้ายจนเกินไป ก็จะเห็นความดีงามเสมอ
บนถนนคนเดินมีผู้คนพลุกพล่าน สวนกันไป สวนกันมา ชนกันบ้างตามวิถีเดิมของคนเกาหลีที่รีบร้อนจนเป็นนิสัย
ชานยอลจัดการกับมื้อเช้าของเขาเรียบร้อยแล้ว และไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็อยู่ในท่าเดียวกับผม จะต่างก็เพียงแต่ข้างของฝ่ามือที่เขาใช้เท้าคางเท่านั้น
ผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังมองผมอยู่ กระนั้นผมก็ติดอยู่ในห้วงความคิดถึงจนไม่อยากจะเจียดเวลาไปต่อล้อต่อเถียงกับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน
“คุณจะใส่แว่นกันแดดอย่างนี้ไปทั้งวันเลยหรอ”
พอโดนทักอย่างนั้น ผมก็ใช้มือซ้ายดึงแว่นออกจากใบหน้าไปคล้องไว้ที่คอเสื้อ นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว รอยช้ำคงทุเลาลง
“ตาของคุณเป็นสีดำ” เขาบอก
ผมเหล่มองเขา ก่อนจะกลอกลูกตากลับไปมองยังวิวเดิมๆ “รู้แล้วล่ะน่า”
ชานยอลยกนิ้วขึ้นมาจิ้มปลายจมูกของผมเบาๆ ก่อนที่เขาจะลามปามไต่สองนิ้วไปทั่วใบหน้าของผม ผมที่ชักจะทนการเล่นแบบไม่ดูอารมณ์ของผู้อื่นของเขาไม่ไหว ก็เลยกำมือใหญ่นั่นเอาไว้แน่น หมวดปาร์คหัวเราะในลำคอ ก่อนที่เขาจะค่อยๆดึงนิ้วออกมาทีล่ะนิ้ว แต่ผมก็ยังตามไปกอบกำมาไม่ลดละ
จึงกลายเป็นว่านิ้วทั้งสิบ ของเขาห้า ของผมห้า เกี่ยวพันกันอิรุงตุงนัง ปลายนิ้วที่เหนี่ยวกันและพลิกไปมานำความอบอุ่นมาให้ผมอย่างไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว
สุดท้ายผมก็รุกฆาตเขาโดยการสอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้ากับทุกนิ้วบนมือขวาของหมวดปาร์ค เขาหยุดการต่อสู้ และปล่อยให้มือของพวกเราเชื่อมต่อกันเหมือนอวัยวะชิ้นใหม่
“ทำไมคุณถึงมาเป็นตำรวจ”
ผมทำท่าคิด แต่จริงๆก็มีคำตอบอยู่แล้วนั่นแหละ “ก็หลายอย่างนะ มันเป็นจังหวะชีวิตของฉันด้วยนั่นแหละ พอทุกอย่างมันประจวบกันเข้ามากๆ มันก็ออกมาเป็นแบบนี้”
“...”
“ที่จริงๆแล้วฉันอยากเป็นนักร้อง แต่นายก็รู้ใช่มั้ย ว่าถ้าแผนหนึ่งล้มเหลว คนเราก็ต้องงัดเอาแผนสองออกมาใช้”
ชานยอลยิ้มขำ “เข้าใจเปรียบเทียบนะคุณ การมาเป็นตำรวจนี่แผนสองใช่มั้ย”
ผมพยักหน้า...จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิด ถึงคนรอบข้างจะชอบให้ผมทำอาชีพนี้ แต่ลึกๆแล้วผมก็มีแผนหนึ่งอยู่ในใจ เพียงแต่มันไม่สำเร็จก็เท่านั้นเอง
หมวดปาร์คเอาแต่มองมือของเราที่จับกันแน่น ชีพจรของเขาเต้นตุบๆ
ผมแกล้งทำเป็นจะชักมือกลับ แต่เขารีบกระชับไว้แน่น...
ชานยอลชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกของเราเฉียดกันเบาบาง เขากระพริบตาปริบๆเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับผม” เขาบอก
เป็นทีผมบ้างที่ได้หัวเราะ “งานเข้านายจังเบอเร่อเลยล่ะ”
คิ้วเข้มขมวดมุ่นเหมือนไม่เข้าใจที่ผมสื่อสาร ผมจึงทำให้เขาแน่ใจไปอีกระดับด้วยการถูเข่าเข้ากับเข่าของเขาเบาๆใต้โต๊ะไม้อัด
“นายซวยแล้วปาร์คชานยอล”
“....”
“นายชอบฉันเข้าให้แล้ว”
ผู้หมวดคนใหม่แห่งสน.กวางจูทำตาโต เขาผละมือออกจากฝ่ามือของผม ก่อนจะเสยผมด้วยท่วงท่าชิวๆอย่างที่เขาชอบทำ
แต่ครั้งนี้ไม่ชิวเท่าไหร่ ผมมองออกว่าเขากังวลใจ
“ไม่มีทาง...ไม่มีทางที่ผมจะชอบคุณ!”
ชานยอลโกรธจริงจังหลังจากที่ผมแกล้งบอกว่าเขาชอบผม ผมไม่แน่ใจว่าเขาโกรธหรือเปล่า แต่อาการปั้นปึ่ง ถามคำตอบคำของเขา ก็ทำให้ผมลงมติว่าเขาคงโกรธนั่นแหละ
สมน้ำหน้า...จะได้รู้ซะมั่งว่าการโดนกวนประสาทมันให้ความรู้สึกยังไง
“ทำความสะอาดห้องบ้างนะ มาอยู่ได้ไม่กี่วันรกยังกับอยู่มาซักสามปี” ผมเตือนเจ้าของห้อง ขณะพยายามใช้เท้าเขี่ยกางเกงในสีน้ำเงินที่ขวางทางเดินอยู่ให้พ้นทางไป
ชานยอลวิ่งไปเก็บชั้นในของเขากับข้าวของที่ระเกะระกะเอาไปยัดไว้ในตะกร้าข้างเครื่องซักผ้า เขาพยายามเก๊กทำเป็นมาดนิ่งตอนที่บอกว่า
“ห้องรกเป็นเรื่องธรรมดาของชายโสด”
แต่ริ้วแดงๆบนใบหน้าของเขา ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของผมไปได้
ผมกระโดดลงไปนอนแผ่บนเตียงที่ถูกเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากวันนั้น ก็วันที่ผมทุ่มเสื้อผ้าเลอะเทอะลงบนเตียงเขานั่นแหละ
ชานยอลปากระเป๋าเป้ใส่ท้องของผมดังปั่ก
“ไม่ดูเทปจากกล้องวงจรปิดหรือไง?”
ผมเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง “สี่โมงปลุกด้วยแล้วกัน เดี๋ยวจะตื่นมาดู”
ดวงตาที่บอบช้ำจากการร้องไห้ปิดลงอย่างง่ายดายเหมือนไม่อาจต้านทานแรงโน้มถ่วง ผมกำลังปิดกั้นตัวเองจากอดีต ผมกำลังฝืนอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้ภาพวันเก่าๆของผมกับเซฮุนหวนย้อนเข้ามา
ผมไม่รู้เรื่องลู่หานมาก่อน ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าตาของเขา
จนกระทั่งวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้นซักเท่าไหร่ อาจจะรู้บ้างจากข้อมูลและการได้พบหน้าคร่าตา
ที่ผมต้องยอมรับว่าตัวเองอกหัก มันไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกพ่ายแพ้ต่อความรักมหาศาลที่ลู่หานลงทุนถึงขั้นยอมเป็นแพะรับบาปในคดีที่มีบทลงโทษสาหัสสากรรจ์
แต่เป็นเพราะผมรู้จักเซฮุนมามากกว่าสิบปี แค่มองตาเขาเมื่อคืนผมก็รู้แล้ว
ลูกตาประกอบไปด้วยส่วนของตาขาวและตาดำ ตาดำเป็นส่วนประกอบสำคัญ ข้างในนั้นมีองค์ประกอบยิบย่อยที่ช่วยในการมองเห็น
ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ
ผมเหมือนตายทั้งเป็นทุกครั้งที่นึกถึงตาขาว ตาดำ เปลือกตา และแม้กระทั่งขนตาของโอเซฮุน...
ดวงตาของเขาไม่สะท้อนแม้กระทั่งเงาหัวของผม
มันจบแล้ว
ผมได้ยินเสียงเปิดประตูและงับประตูเบาๆ หมวดปาร์คคงออกไปไหนซักที บางทีอาจจะไปช่วยจงอินกับซิ่วหมินคุมตัวลู่หานที่ผมทำเรื่องเบิกตัวให้มาพบผู้ต้องสงสัยเบอร์สองอย่างเซฮุนแล้วล่ะมั้ง
ผมยอมรับความสัมพันธ์ที่ถูกตัดขาดรวดเร็วยิ่งกว่าไฟฟ้าลัดวงจรลงได้ แต่ผมยังใจไม่แข็งพอจะเข้าไปเป็นสักขีพยานการพบหน้ากันของพวกเขาทั้งสองคน
คิดคุ้ยเรื่องที่มีแต่จะทำให้เจ็บปวดอยู่ซักพัก ผมก็เหนื่อยเกินกว่าจะดันทุรังคิดอะไรต่อไป
กลิ่นอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆของหมวดปาร์คที่ติดอยู่กับหมอนใบโตทำให้ผมหลับง่ายขึ้น มันเป็นกลิ่นเดียวกับคุณพ่อของผมเปี๊ยบเลย
กลิ่นที่เข้มแข็ง ทะนงตน และอบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์ที่ทิ้งตัวลงมาผ่านผืนผ้าม่านในยามเช้า
50%
สำหรับใครคนอื่น วันนี้อาจจะเป็นเพียงวันๆหนึ่งที่เริ่มต้นและจบลงเหมือนกับวันอื่นๆที่ผ่านมา
เป็นวันใหม่ที่เหมือนกับวันเก่า
เป็นอีกวัน ที่เหมือนกับหมื่นแสนวันที่แล้ว
แต่ไม่ใช่เช่นนั้นสำหรับเขา...ไม่ใช่เช่นนั้นสำหรับโอเซฮุน
ดวงตาของเขาพร่ามัว มันเหมือนม่านหมอกที่ลงจัดในยามเช้า และเมฆดำก็ตั้งเค้า คล้ายเป็นสัญญาณเตือนว่าฝนจะพรำลงมาในตอนสายๆ
การปรากฏตัวของลู่หานเปรียบเสมือนช่วงเวลายามสาย ที่ทำให้ฝนในดวงตาของโอเซฮุนหลั่งรินลงมาอีกครั้ง
อาจจะหนึ่งวินาที หนึ่งนาที หรือหนึ่งชั่วโมง
ไม่มีใครแน่ใจเรื่องเวลา
ตรงหน้าของลู่หานคือเซฮุน และตรงหน้าของเซฮุนก็คือลู่หาน
ในใจของลู่หานหนักอึ้ง แต่เขาไม่มีเวลาสำหรับการบอกลาแล้ว ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยให้พวกเขาพูดคุยกันตามลำพัง ลู่หานก็จู่โจมทันที เขาตัดเอาความอ้อยอิ่งอันแสนน่ารำคาญ รวมทั้งความอาลัยอารณ์ ความเศร้าโศกเสียใจที่ไม่มีประโชยน์ใดใดในเวลานี้ออกไปเหมือนขยะไม่มีค่า ก่อนจะพูดออกมาเร็วๆอย่างที่เขาชอบพูดเวลาที่ได้อยู่กับเซฮุน
“ฟังนะ ทุกอย่างจะโอเค นี่คือทางที่ดีที่สุดแล้ว ได้โปรดอย่าเสียใจกับเส้นทางที่พวกเราได้เลือกแล้ว... นายต้องไว้ใจพี่ จำไว้ว่านายไม่รู้ไม่เห็น ไม่ว่าพวกตำรวจจะถามอะไร นายต้องไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น นายก็แค่ออกไปทำงานพิเศษ นายออกไปก่อนที่พี่จะแทงแม่ นายเสียใจ ที่นายเสียใจอยู่ในตอนนี้ ก็เพราะแม่ตาย...และพี่เป็นคนฆ่าแม่”
“...”
“นั่นคือเหตุผลที่นายร้องไห้...ได้โปรดรอพี่ด้วยความหวัง ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ใช้แทนส่วนของพี่ด้วยนะเซฮุน”
“...”
“เดินทางไปในทุกที่ที่นายอยากไป กินอาหาร และนอนหลับด้วยความสุข และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จะกี่สิบปี กี่ร้อยปี แต่ถ้านายยังใส่แหวนของเรา พี่ก็จะตามหานายจนเจอ”
“พี่เลิกพูดเร็วๆแบบนั้นซักทีได้มั้ย!?” เด็กหนุ่มขึ้นเสียงแทรกก่อนที่ลู่หานจะพูดจบ ผู้ร้ายชาวจีนเงียบไป แล้วทุกอย่างก็พาลเงียบไปหมด
ลู่หานคิดว่าพวกเขาช่างใช้เวลาไม่คุ้มเอาเสียเลย เขาจึงเริ่มพูดอีกครั้ง
“หลังเข้าเรือนจำ ศาลคงสั่งห้ามเยี่ยมซักพัก พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องไปอยู่แดนไหน อาจจะไกลหน่อย ...แต่ก็คงไม่ถึงกับถูกส่งไปเขตอื่น อ่า...แต่พี่ก็ไม่อยากให้นายไปเห็นสภาพในคุกซักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าพี่จะติดต่อไปเองหลังจากพ้นโทษก็แล้วกัน”
“ทำไมพี่ชอบพูดเร็วอยู่เรื่อย”
“ถ้านายลำบากใจที่จะอยู่กับพ่อ นายก็ไปอยู่กับญาติคนอื่นก็ได้”
ปัง!
“มันมีอะไรมากมายนักหรอ ไอ้สิ่งที่พี่อยากพูดน่ะ!” เซฮุนคำรามเสียงหงุดหงิด พร้อมกับหมัดสั่นๆที่ทุบลงบนโต๊ะ เขาทำเหมือนโกรธเคือง แต่เขาก็แค่แสร้งทำไปอย่างนั้น ไม่มีอะไรน่าหงุดหงิดใจไปมากกว่าความอ่อนแอของเขาหรอก
“เซฮุนน่า...”
“ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน พี่ก็เอาแต่เงียบ! เงียบ! เงียบ! เงียบ! แล้วก็เงียบ! พี่เป็นบ้าหรือไงถึงได้ชอบรวบรวมคำพูดของทั้งสัปดาห์มาระเบิดใส่ผมในวันเดียว บอกให้ผมเลี้ยงแมวบ้างล่ะ ซักผ้าบ้างล่ะ เช็ดสีน้ำมันบนโต๊ะบ้างล่ะ ทำไมพี่ไม่พูดมันตอนที่เห็นเลยล่ะ ทำไมพี่ไม่พูดตอนที่รู้สึก ทำไมต้องมาพูดหลังจากที่เรื่องมันผ่านไปนานหลายวันแล้วด้วย!!”
“...”
“พี่รู้มั้ยว่าผมรอให้พี่พูดมันออกมา รอว่าซักวันนึงพี่จะบอกมันกับผม แต่ว่า...”
“ตั้งใจเรียนนะ เรียนศิลปะอย่างที่นายชอบ”
“แต่ว่าพี่ก็ยังไม่ยอมพูดซักที...จนเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันก็ได้ และถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ พี่จะไม่เสียใจหรอที่พี่ไม่ได้พูดออกมา”
ลู่หานยิ้มเบาบาง “พี่พูดมันไปแล้ว”
“ตอนไหน?”
“วันแรกที่เราเจอกันไง”
วันนั้นเป็นวันที่ฝนตก ลู่หานเสยผมสีแดงเพลิงที่เปียกปอนไปข้างหลังอย่างหงุดหงิดใจ เขาใส่รองเท้าผ้าใบเปรอะๆเข้าไปย่ำในบ้านหลังใหม่ของแม่เลี้ยง
รอยเท้าของเขาสร้างสีดำบนพื้นกระเบื้องสีขาวเหมือนประติมากรรมอะไรซักอย่าง ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่สวยงามเอาซะเลย เขาจุดบุหรี่ขณะนั่งลงบนโซฟาห้องรับแขก ยกเอาเท้าที่ยังสวมคอนเวิร์สสีเดียวกับเส้นผมขึ้นมาวางบนโต๊ะหน้าโซฟา แล้วใช้ศอกกระทุ้งรีโมตทีวีให้มันเปิดขึ้น ก่อนจะเปิดช่องกีฬาเพื่อชมบันทึกการแข่งขันฟุตบอลที่เขาชื่นชอบ
เขาเป็นคนหนุ่มอายุ 27 ปีที่ถนัดการใช้กำลังและสร้างปัญหาให้คนรอบข้างมากกว่าสิ่งอื่นใด พ่อแม่ของเขาตายตั้งแต่ยังเด็ก ลู่อี้เผิงที่เป็นญาติห่างๆก็เลยเอาเขาไปเลี้ยง ก็สบายพอสมควร ไม่อดๆยากๆ เพราะเงินประกันที่พ่อแม่ทิ้งไว้มันเยอะมาก แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามากเท่าไหร่ เพราะลู่อี้เผิงเป็นคนจัดการทุกอย่างมาโดยตลอด มาพักหลังๆเขาก็เริ่มรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวทางการเงินที่ส่อพิรุธ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร ยิ่งได้มีชีวิต ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงเปลือกนอกจอมปลอมของคำว่า ‘เงินตรา’
ลู่หานมองควันสีเทาอ่อนที่คละคลุ้งตีลังกาม้วนตัวอยู่ในอากาศด้วยสายตาว่างเปล่า ทำไมคนเราชอบพูดว่าสิ่งมีค่ากันนะ? ค่าของชีวิตคืออะไร? คนเราเกิดมาทำไม?
ลู่หานขยี้ก้นบุหรี่ลงกับกระจกโต๊ะ เขาเริ่มเหนื่อยที่จะหายใจ 27 ปีแห่งการมีชีวิตสร้างบาดแผลและรูกลวงโบ๋ในใจเขา
แอดด...
เสียงเปิดประตูเบาๆดังขึ้นท่ามกลางความหมดอาลัยตายอยากของลู่หาน ใครคนหนึ่งก้าวเขามา ก่อนจะตะโกนลั่นบ้าน ด้วยประโยคที่เด็กประถมมักจะพูดกัน
‘ผมกลับมาแล้วครับ!’
ลู่หานไม่ได้สนใจอะไร ก็คงเป็นลูกติดของแม่เลี้ยงใหม่ตามที่ลู่อี้เผิงพูดกรอกหูมาเมื่อเช้านั่นแหละ
ลู่หานได้ยินเสียงถอนหายใจของผู้มาใหม่ ก่อนที่เด็กหนุ่มอายุไม่น่าถึงยี่สิบปีจะลงมือทำความสะอาดคราบดินโคลนที่เลอะไปทั้งบ้าน เพราะรองเท้าผ้าใบของเขา
พอจัดการกับความสกปรกเสร็จเซฮุนเข้าไปซักผ้าขี้ริ้วในห้องน้ำ ลู่หานที่นึกสนุกก็เลยย่ำพื้นห้องที่เซฮุนเพิ่งทำความสะอาดไปหยกๆเล่น
หนุ่มน้อยชาวเกาหลีไม่ว่าอะไร เขาเดินตีหน้าเรียบออกมาจากห้องน้ำ และยกมือถือขึ้นมาโทรแจ้งตำรวจ
วันนั้นลู่หานจึงต้องนอนในห้องขังอยู่นานกว่าสามชั่วโมง กว่าลู่อี้เผิงจะมาเคลียร์ความเข้าใจผิดให้
ลู่หานได้กลับบ้านอีกครั้งตอนสามทุ่ม และเขารอเวลาจนทุกคนหลับหมด และเริ่มปฏิบัติการตอนตีสอง
ทันทีที่เข้าไปในห้องใต้หลังคาของเซฮุนได้ ลู่หานก็จู่โจมทันที ทีแรกเขาแค่อยากจะสั่งสอนไม่ให้น้องชายคนใหม่กล้ามาแหยมกับรุ่นใหญ่ระดับเขา
แต่มันก็จบลงแค่ครึ่งๆกลางๆ เพราะลู่หานเหนื่อยจากการขัดขืนของน้องชายจนผงาดไม่ขึ้น
สถานการณ์มันพลิก คืนนั้นพวกเขารับรู้ได้ถึงความเข้ากัน พวกเขาคือเหยื่อของการสูญเสีย เหมือนเด็กที่ลอยคว้างกลางมหาสมุทร เด็กที่ปราศจากการเข้าใจจากพ่อแม่
ลู่หานเป็นเหมือนไฟที่ร้อนแรง
ส่วนเซฮุนก็เป็นดังสายน้ำที่มีชีวิตชีวา
ลู่หานพูดติดตลกว่า ‘นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกเหมือนเจอฝาแฝด ถึงฉันจะหล่อกว่ามากก็เถอะนะ...เอาเป็นว่า ฉันจะให้นายเป็นครอบครัวก็แล้วกัน’
ภายในห้องขังคล้ายว่าเย็นจับใจ
เซฮุนเห็นว่าทุกอย่างในห้องสอบสวนเคลื่อนที่ได้ มันเคลื่อนไปทางด้านหลังเหมือนถูกสูบด้วยเครื่องดูดฝุ่นขนาดยักษ์ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน เหลือเพียงแต่ลู่หานและดวงตากลมโตที่เหมือนตากวางเท่านั้นที่หยุดนิ่ง
สุดท้ายเขาก็จำต้องยอมแพ้
“โอเค...เป็นแค่น้องชาย”
“...”
“เหมือนเดิม”
ชานยอลวิ่งจากสน.กลับมาที่ห้องพักอย่างรวดเร็ว หลังจากการสืบพยานและการพบปะระหว่างลู่หานและเซฮุนจบลง
กำปั้นใหญ่ๆทุบลงบนบานประตูหลายต่อหลายครั้ง เขาสติแตกจนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีกุญแจห้อง กว่าจะรู้ตัวมือก็ขึ้นจ้ำแดง
ชานยอลพรวดพราดเข้ามาในห้องพักด้วยสีหน้าตื่นๆ เขากวาดตามองหาผู้กองตัวเล็กที่ออกปากว่าจะนอนพักจนถึงสี่โมง แต่ตอนนี้เพิ่งจากบ่ายสามกว่าๆ ทว่าผู้กองบยอนก็ไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว
บนโซฟามีโน้ตบุ้คของเขาเปิดค้างเอาไว้ ชานยอลรัวกดปุ่มเอ็นเทอร์ให้หน้าจอส่างวาบอีกครั้ง...แบคฮยอนดูบันทึกจากกล้องวงจรปิดแล้ว
“ชิบหาย...”
น้องหมาตัวนั้นยิ่งผลีลาม ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่ด้วย ป่านนี้ไปลุยเดี่ยวจนโดนตั๊นท์หน้าแหกแล้วหรือยังก็ไม่รู้
แต่ไม่ทันที่ผู้หมวดปาร์คจะได้คว้าปืนมาเหน็บเอว ผ้าม่านตรงละเบียงที่ต้องลมจนพลิ้วไหวก็ทำให้เขาหยุดยืนอยู่กับที่
แบคฮยอนยังอยู่ในห้องนี้...
ชานยอลถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะลูบหน้าตัวเองแรงๆ และพบว่าตัวเขาได้สูญเสียบางอย่างไป
เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
ชานยอลแทบจะกัดลิ้นตาย เมื่อนึกย้อนได้ว่าเมื่อสิบนาทีที่แล้ว เขาวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อมาหาตำรวจไม่เอาไหนอย่างบยอนแบคฮยอน
แต่คนตัวสูงก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่า ‘เขาก็แค่กลัวแบคฮยอนจะทำอะไรโง่ๆ จนต้องวุ่นวายกันไปทั้งสถานีกวางจูต่างหาก’
ขายาวก้าวเข้าไปยังระเบียง เห็นผู้บังคับบัญชาตัวเล็กกำลังยืนเท้าแขนไปกับราวระเบียง และเหม่อมองวิวทิวทัศน์ ซึ่งก็มีแค่ถนนหนึ่งสายกับร้านขายข้าวเท่านั้น
ความโล่งใจ กับ...อะไรก็ไม่รู้ ทำให้เขาหยิบมาโบโร่แดงขึ้นมาจุดสูบ ควันของมันทำเอาผู้กองน้องหมาหน้าแหย แต่กระนั้นก็ยังทำซ่า
“เอามาลองสูบมั่งดิ”
ชานยอลคีบมวนบุหรี่หนีมือเรียวซุกซนที่ทำท่าจะฉกมันไปจากปากเขาหน้าด้านๆ
“ไม่เคยก็อย่าลองครับ...เสียของ”
“ชานยอล!”
เจ้าของชื่อยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมาโบโร่แดงที่ว่ากันว่าเข้มดิบเถื่อนกว่าสีอื่นขึ้นมาสูบ จริงๆเขามันลิ้นจระเข้นะ คนทั่วไปมักชอบบุหรี่ที่รสชาตินุ่มเย็น แต่เขาว่าเฝื่อนเข้มแบบนี้มันก็ไม่เลวร้ายอะไร
หมวดปาร์คเคลื่อนตัวรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาเขาก็พลิกมายืนซ้อนหลังผู้กองบยอน พร้อมแขนยาวที่ตวัดกอดเอวบางเอาไว้
แบคฮยอนกำราวระเบียงแน่น ไม่กล้าหันไปมองผู้ใต้บังคับบัญชาเต็มตา เพราะกลัวว่าไฟแดงๆที่เคลียอยู่ข้างแก้มจะจี้โดนตัวเอง
“ปล่อย” เค้นเสียงเน้นๆเพราะหวังจะข่มคนที่สูงกว่า แต่ชานยอลก็ทำเพียงหัวเราะในลำคอเบาๆเท่านั้น
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว” ผู้หมวดปาร์คพูดทั้งๆที่ยังคาบบุหรี่อยู่ เถ้าสีเทาที่มอดแล้ว ร่วงลงเกาะเสื้อเชิ้ตสีดำของแบคฮยอนจนเหมือนเศษฝุ่นเศษรังแค แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้ตัวแต่ประการใด
“เปลี่ยนใจบ้าบออะไรของนาย!” ผู้กองตัวเล็กแหว ...อย่าให้หมดมวนนะ พ่อจะหันไปเล่นงานให้น่วมเลยคอยดู!
“ผมจะให้คุณลอง...”
เสียงทุ้มนั้นกระซิบพร่าอยู่ข้างหู ก่อนที่ชานยอลจะยัดมาโบโร่ที่ยังติดไฟอยู่ใส่มือเล็ก บังคับให้ผู้กองคีบไว้ด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง
“ช้าๆ...” เขาสั่งเสียงแตกพร่า แต่แบคฮยอนเพียงแค่ยกมาจ่อที่ริมฝีปากเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลิ่นลิปมันของชานยอลที่ติดอยู่ที่ปลายมวนชัดเจนขนาดนี้
“อยากติดมั้ย?”
แบคฮยอนเลิกคิ้วอย่างลืมตัว “มันเลือกได้ด้วยหรอ”
“ได้สิ...ผมสอนคุณได้นะ”
ร่างสูงกระซิบเสียงทุ้มที่ข้างใบหูคนตัวเล็กอีกครั้ง ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น เขาคิดว่ามันก็ไม่เห็นจะน่าแปลกอะไรตรงไหน แบคฮยอนตัวหอมและนุ่มกว่าผู้ชายทั่วไป ฉะนั้นไม่แปลกเลยที่เขาจะอยากชิดใกล้อย่างนี้ ...ไม่มีอะไรแปลก
ผู้กองอู๋ยังชอบทำแบบที่เขากำลังทำเลย ....มันไม่ผิด ...เลิกคิดได้แล้วชานยอล
ร่างสูงสะบัดหัวไล่ความคิดวุ่นวายทิ้งไป ก่อนที่เขาจะโอบกระชับเอวของอีกคนแน่นขึ้น
“ถ้าไม่อยากติดคุณก็ดูดมันค้างเอาไว้...พ่นออกมาทางปาก”
“แค่กๆๆ”
“ช้าๆ....”
“...”
“ช้าๆนะครับ...”
ชานยอลคิดว่าผิวแก้มของแบคฮยอนคงเป็นแม่เหล็กขั้วลบ ส่วนริมฝีปากของเขาอาจเป็นแม่เหล็กขั้วบวก
ร่างสูงหลับตาพริ้ม ยามที่กลิ่นแก้มหอมละมุนกำลังดึงดูดเขา
“แต่ถ้าคุณอยากติด..คุณก็...”
“ชานยอล....”
“ก็พ่นมันออกมาทางจมูก...”
แบคฮยอนกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ สัมผัสของชานยอลทำให้เขาตื่นเต้น ...ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจหรือเปล่า แต่ทั้งมือหนาที่เอว ริมฝีปากที่ข้างแก้ม และแม้แต่ตรงนั้นของชานยอลที่แนบสนิทกับเนินสะโพก
มันคงเป็นนิสัยที่พาลให้โดนเอารัดเอาเปรียบอยู่เรื่อยไป... แต่ถ้าเป็นเรื่องทำนองนี้เขาไม่เคยกล้าโวยวายเลย
เพราะว่าตัวเองเป็นผู้ชายด้วยล่ะมั้ง...กลัวว่าถ้าประท้วงออกไปมันจะดูแปลกๆ ชานยอลอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้
แล้วเขาก็...ก็ไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเองเลย
มันดี ...ดีเหมือนกันที่มีใครซักคนกอดเอาไว้แบบนี้ มันโอบอุ้มเขาจากความเสียใจที่เรียบเรียงออกมาเป็นตัวอักษรไม่ได้ ชานยอลกำลังติดปีกให้เขา...อย่างน้อยเขาก็ลอยเหนือความทุกข์อยู่หนึ่งเซนติเมตรในเวลานี้
แบคฮยอนค่อยๆละเลียดรสชาติฝืดเฝื่อนในรูปแบบของควันพิษเข้าไปในโพรงปาก มันคละครุ้งฟุ้งเป็นไออุ่นๆพร้อมกลิ่นร้ายกาจที่ฉุนจับใจ
สุดท้ายเขาก็สำลักออกมา
“แค่กๆๆ ไม่ แค่ก เอาแล้ว พอๆ” ผู้กองไอค่อกแค่กจนหน้าแดง แต่ชานยอลก็เห็นได้เพียงนวลแก้มกับใบหูเท่านั้น ใจเขาอยากพลิกคนตัวเล็กมาชื่นชมทั้งเนื้อทั้งตัว
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยากทำอย่างนั้นไปทำไม
มือหนาแย่งบุหรี่มาถือไว้เอง ดูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะบี้มันทิ้งอย่างไม่ไยดีลงบนพื้นระเบียง
“ไปจับคนร้ายกันเถอะ” แบคฮยอนชวนเสียงเบาหวิว ชานยอลสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นที่ฟ้องอาการมาทางผิวเนื้อสั่นระริกไปทั้งตัวของคนตัวเล็ก
ร่างสูงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่เส้นเหตุผลของเขาจะขาดสะบั้น
เขาขี้เกียจจะหาเหตุผลมารองรับการกระทำอีกแล้ว
มือใหญ่จับให้ผู้กองตัวเล็กพลิกหันหน้ามาทางเขา ชานยอลกลืนน้ำลายฝืดๆลงคอเมื่อเห็นผู้กองน้องหมาในตอนนี้ ...แบคฮยอนหน้าแดงจัด โดยเฉพาะแก้มเต่งตึง แถมคนตัวเล็กยังหลบตาเขาโดยการเลือกจะหลับตาพริ้ม
ซึ่งมันเป็นวิธีที่ผิดถนัด
ชานยอลประชิดริมฝีปากลงไป หนึ่งวินาที...ไม่สิ อาจจะน้อยกว่านั้น
ร่างสูงกระเด้งตัวออก เหมือนโดนกระแสไฟผลัก ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ รุนแรงพอๆกับกลองชุดในผับประจำตอนที่เขาทำงานที่โซล
ดัง ตึก ตัก ตึก ตัก... แถมยังกระหน่ำแรงจนเขาแทบทรุด
“มันมีบางอย่างเกิดขึ้นกับผม”
เป็นครั้งที่สองแล้วที่ชานยอลพูดเช่นนี้กับหัวหน้าทีมของเขา
แต่คราวนี้แบคฮยอนไม่ตอบแบบเดิม
ชานยอลลองกดริมฝีปากลงไปอีกครั้ง คราวนี้เขาแช่ค้างไว้ชั่วพริบตา ก่อนจะผละห่างออกมา
“ฉันก็เป็น”
แบคฮยอนคิดว่าเขาอาจจะแค่เหงา และกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอ ก็เลยต่อประโยคด้วยคำว่า “แต่เดี๋ยวมันก็จะหายไป”
“คุณรู้?”
“ใช่ มันจะเป็นแค่แป๊บเดียว อีกซักพักนายก็จะไม่รู้สึกแบบนี้แล้ว”
“คุณแน่ใจนะ?”
แบคฮยอนพยักหน้าเบาๆ “แน่สิ”
-จบตอนที่ 9-
Talk
แล้วรอพี่ตายน้องก็จะได้มรดก
#แผนสอง
ความคิดเห็น