ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    'Neck' n 'Neck' { chanbaek }

    ลำดับตอนที่ #7 : - c h a p t e r : 6 -

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ค. 57















     

    บางทีความรักอาจจะเป็นโดนัทซักชิ้น กินกับโกโก้ร้อนซักแก้ว

     

     

    ให้ตาย... ผมหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว

     

     

     

    และอีกสิ่งที่กวนใจจนทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็คือสภาพอากาศของทะเลทรายยามค่ำคืน มันเป็นขั้วตรงข้ามกับเมื่อกลางวันโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่าความร้อนนรกเรียกพี่นั่นได้กลายเป็นไอเย็นเยือกจนหมดสิ้นทุกหยดหยาด

     

     

     

    ผมกับชานยอลถูกพามาขังไว้ในเกอร์หรือกระโจมกลางแผ่นดินทราย มันไม่ใช่กระโจมหน้าตาธรรมดาๆแบบที่คุ้นเคยกันเมื่อพันปีก่อน แต่เป็นกระโจมที่ทำจากไฟเบอร์สีขาวโพลนไปทั้งหลัง รูปทรงเปลี่ยนไปแต่ยังมีบ้างที่คงเค้าเดิม

     

     

     

    ชานยอลอยู่ห่างจากผมไปประมาณสองเมตรได้ เขายังคงไม่ได้สติและขดตัวแน่นเหมือนลูกนกที่กำลังหนาวสั่น

     

     

     

    เสียงฟันกระทบกันของเขาดังกึกๆท่ามกลางความเงียบ

     

     

     

    เขาดูอ่อนแอจนน่าตกใจ...

     

     

     

     

    ภายในกระโจมที่ปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นนอกเหนือไปจากผมและเขา ผมบยอนแบคฮยอนวัยยี่สิบหมาดๆกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะกระทำหลังจากนี้

     

     

    หาทางหนีทีไล่อย่างนั้นหรือ?

     

     

    น่าสนใจไม่หยอก ยิ่งชานยอลบาดเจ็บสะบักสะบอมขนาดนี้ การหลบหนียิ่งทำได้ง่ายดาย

     

     

     

    แต่ผมจะทิ้งเขาไว้กับพวกคนไม่น่าไว้วางใจน่ะหรอ... ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี

     

     

     

     

    ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดผมก็ได้แต่นอนมองหน้าเขา

     

     

    ชานยอลมีเบ้าตาที่ลึก ดวงตากลมโตและหางตาตวัดเฉียงไปตามแนวคิ้วสีเข้ม  ขนตาของเขาเป็นแพยาว แต่มันก็แทบจะจมหายไปกับชั้นหนังตาเมื่อยามที่เขาลืมตาขึ้นดูโลก  ชานยอลมีดวงตาที่งดงามราวกับดวงตาของพวกชาวตะวันตก มีมิติ มีลูกเล่นและชวนพิศวงกับสีเลนส์ที่เป็นสีเฮเซลสว่าง

     

     

    อำนาจของเขาออกมาจากดวงตา

     

     

    ฉะนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นเพียงแค่เด็กน้อยขี้หนาว เพราะเขาหลับตาสองข้างเสียสนิท

     

     

     

    ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้ชานยอลมากกว่าเดิม เอาแต่มองเครื่องหน้าที่เพอร์เฟ็คของเขาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเจ้าของอวัยวะรู้สึกตัว

     

     

    “มองทำไม” เขาถามเหมือนชวนหาเรื่อง

     

     

    ผมเผลอยิ้ม จริงๆก็เป็นยิ้มที่ติดจะน่าหมั่นไส้

     

     

    “ก็ผมไม่มีที่วางสายตาอะ ขอวางไว้บนหน้าคุณหน่อยไม่ได้รึไง”

     

     

    ชานยอลเขี่ยจมูกผมทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น ปลายนิ้วของเขาเย็นจัด เย็นจนผมไม่อยากจะล้อเล่นอะไรอีกต่อไป

     

     

     

    “คุณไหวมั้ย” ผมถามอย่างเป็นกังวล เขาเป็นคนเข้มแข็ง เป็นหัวหน้าทีม ฉะนั้นการคงอยู่ของเขาย่อมมีผลกับคนในทีม และผมก็เป็นหนึ่งในลูกทีมของเขา

     

     

    ชานยอลพยักหน้าเบาๆ แต่ริมฝีปากของเขาแห้งผาก ผิวหน้าของเขาซีด ทุกสิ่งทุกอย่างบอกโดยนัยยะแฝงว่าเขา ไม่ไหว

     

     

    ผมเขยิบตัวอย่างยากลำบาก อากาศเย็นบาดผิว แต่สุดท้ายผมก็ดึงปาร์คชานยอลมากอดได้สำเร็จ แม้จะฟอร์มจัด แต่ผมก็ดูออกว่าเขาโหยหาความอบอุ่นมากแค่ไหน

     

     

    ร่างสูงซี้ดปากเบาๆเพราะความเจ็บปวด ใบหน้าซบลงกับซอกคอของผมพร้อมข่มตาแน่น

     

     

     

    “หายใจเข้าลึกๆนะคุณ” ผมบอกขณะสอดมือเข้าไปในเสื้อด้านหลังของเขา ก่อนจะลูบไล้ฝ่ามือไปบนผิวเปลือนเปล่าเพื่อบรรเทาอุณหภูมิที่ตกต่ำราวกับน้ำแข็งขั้วโลก ชานยอลสะดุ้งนิดหน่อย แต่ซักพักเขาก็แอ่นแผ่นอกขึ้นจนร่างของเราแนบสนิทกันกว่าเดิม

     

     

    “แผลของคุณต้องอักเสบแน่ๆเลย” ผมหมายถึงแผลจากลูกปืนที่หน้าขาของเขาและหัวไหล่

     

     

    ชานยอลไม่ตอบรับ เขากระหายอุ่นไอจนเริ่มเป็นฝ่ายขโมยมันจากผมเมื่อผมชักช้าเกินไป แขนแข็งแรงวาดกอดผมแน่น ใบหน้าซุกเข้าหาจนแทบมุดเข้ามาในกายของผม ผมกระชับกอดมากกว่าเดิม ลูบเส้นผมลื่นมือและปลอบประโลมว่าเขาจะต้องไม่เป็นอะไร

     

     

    “ฉันไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก” ชานยอลยังคงปากเก่ง คำพูดนั่นยิ่งทะนงจนน่าหมั่นไส้

     

     

    “อ๋อเหรออ”

     

     

    “ใช่ ไม่ว่าอะไรก็ทำอันตรายฉันไม่ได้”

     

     

    “จ้า ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย”

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    ผมปิดปากสนิทเมื่อเขาเรียกชื่อผมออกมา แม้เขาจะดูอ่อนแรง แต่ผมไม่เคยลืมว่าเขาร้ายกาจแค่ไหน

     

     

    “บยอนแบคฮยอน”

     

     

    “ผมก็อยู่ตรงนี้” จะเรียกทำไมนัก

     

     

    “อย่าหนีฉันไปไหน”

     

     

     

    ผมแค่นหัวเราะ ....โอเค ผมยอมรับว่าความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวเมื่อหลายนาทีที่แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ไม่เกิดขึ้นจริง(อย่างน้อยผมก็ทำไมลงในตอนที่สภาพเขาย่ำแย่แบบนี้)

     

     

    “คุณพูดเหมือนผมสำคัญกับคุณมากอย่างนั้นแหละ” ผมแกล้งประชด

     

     

    “มาก”

     

     

     

    หัวใจของผมสั่นไหว เหมือนมีใครซักคนเอาขนนกมาเขี่ยมันเลย หวิวๆและจั๊กจี้อย่างน่าประหลาด

     

     

    ชานยอลกอดก่ายผมไว้ทั้งตัว มือสากเอื้อมมาลูบติ่งหูของผมเบาๆ

     

     

     

    “มันคือเครื่องติดตาม” เขาหมายถึงจิวสีเงินประดับเพชรเม็ดเล็กที่เขาเป็นคนฝังมันเองกับมือบนปลายหูของผม

     

     

    “มาบอกผมแบบนี้ ไม่กลัวผมถอดมันทิ้งหรือไง”

     

     

    “หึ...” เขาหัวเราะในลำคอ ดวงตาทรงอำนาจมองผมด้วยวี่แววที่เปลี่ยนไป ...อธิบายไม่ถูก จะว่าอ่อนโยน ผมก็ไม่อยากจะหลงตัวเองขนาดนั้น

     

     

    “ใครก็ถอดมันไม่ได้ นอกจากฉัน”

     

     

    “...”

     

     

    “ต้องเป็นลายนิ้วมือของฉัน ต้องเป็นฉันคนเดียว”

     

     

     

    ผมไม่ได้โกรธกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่โกรธที่ถูกเอารัดเอาเปรียบขึ้นอีกระดับ อาจเพราะเขาป่วยอยู่ ...ใช่...ผมไม่อยากรังแกคนอ่อนแอหรอก

     

     

     

    “ปาร์คชานยอล”

     

     

    “...”

     

     

    “คุณ...”

     

     

     

    ร่างสูงจุมพิตที่หน้าผากผมเบาๆ ในขณะที่ผมได้แต่เรียกชื่อเขาและหลับตาน้อมรับสัมผัสนั้น  ริมฝีปากของเขาเย็นเยือก แต่ก็มีบางอย่างที่มอบความรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ

     

     

    บางอย่างที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางความเป็นไปได้ที่แทบจะติดลบ

     

     

    แม้จะไม่มีวี่แวว ...แต่มันได้กำเนิดขึ้นแล้ว

     

     

     

     



     

     

     

     

     

    กึก!

     

     

    เราหันไปทางประตูพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงประหลาด ทุกอย่างมืดสลัวจนไม่สามารถมองเห็นได้ว่าสิ่งที่มาใหม่นั้นเป็นภัยหรือเป็นมิตร

     

     

    ผมดันตัวขึ้นนั่งและใช้ร่างกายเป็นเกาะกำบังให้คนป่วย  พร้อมๆกับพยายามเพ่งไปในความมืด

     

     

     

    ชานยอลออกแรงดันร่างของผมให้พ้นทาง คงเพราะอยากเป็นคนลงมือเองหากผู้มาใหม่เป็นอันตราย แต่ผมฝืนเอาไว้ เพราะยังไงซะเขาก็ไม่พร้อมต่อสู้

     

     

     

     

    ผิดคาด... แขกยามวิกาลของเราเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ

     

    ที่สำคัญ เธอเป็นเด็กผู้หญิง

     

     

     

     

    ผมชะงักค้างไปชั่ววูบ ฝืนตัวสุดกำลังเพราะกลัวว่าชานยอลจะเห็นเธอ ...ภาพวันที่เขาเล็งปืนเลเซอร์ยิงไปที่ลำคอผู้หญิงเคราะห์ร้ายคนนั้นทำให้ผมขนลุก

     

     

    ผมไม่อยากเห็นภาพที่หดหู่นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง

     

     

     

     

    ทว่าจนแล้วจนรอด แม่หนูตัวกระจ้อยก็เดินยิ้มมาจนถึงตัวพวกเรา  แน่นอนว่าชานยอลต้องได้เห็นเธอแล้ว

     

     

    ผมลอบมองดวงตาของเขา รู้สึกโล่งอกที่มันไม่ฉายแววเพชรฆาตในตอนนี้

     

     

    “ฮะ..เอ่อ..ฮูอาร์ยู๊ว?” ผมขุดภาษาอังกฤษงูๆปลาๆของตัวเองออกมาใช้  แม่หนูหัวเราะเสียงใส

     

     

    “หนูฟังไม่ออกอะ”

     

     

    “เธอพูดเกาหลีได้หรอ?” ผมถามอยากแปลกใจเมื่อได้ยินภาษาบ้านเกิด ซึ่งเธอก็แปลกใจไม่น้อยที่รู้ว่าผมพูดภาษาเดียวกับเธอ

     

     

    “หนูเอานี่มาให้” ว่าพลางยื่นขวดยาหลายขนานมาทางผม ทั้งยังมีผ้าห่มหนาๆอีกผืนนึงด้วย

     

     

    ผมเทยาจากทุกขวด ขวดละสอง-สามเม็ดให้ชานยอลกิน โดยไม่แม้แต่จะอ่านฉลาก เพราะอ่านไปก็ไม่รู้เรื่องหรอกภาษาอังกฤษล้วนๆ

     

     

    “ทำไมเขาดูอาการแย่จัง” ผมถาม ชานยอลไม่ควรมาอยู่ในสภาพปางตายขนาดนี้ได้เพราะอีแค่กระสุนปืนเพียงสองนัด

     

     

    “มันเป็นกระสุนเคลือบยาพิษ” แม่หนูคลายข้อสงสัย เธออายุไม่น่าเกินสิบขวบ สวมชุดกระโปรงสีขาว หน้าตาน่ารักและมีลักยิ้มข้างแก้มเหมือนกับปาร์คชานยอล

     

     

     

    เธอช่วยผมปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บ ชานยอลหลับตาแน่น คงเพราะไม่อยากจะยอมรับว่าตัวเองได้รับการช่วยเหลือจากเพศแม่ที่ตัวเองนึกรังเกียจทุกลมหายใจ ผมอมยิ้มขำกับท่าทีของเขา

     

     

     

    พอเราทำแผลให้ชานยอลเสร็จ แม่หนูคนสวยก็จุดไฟอย่างคล่องแคล่ว แล้วเราสองคนก็นั่งคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

     

     

    “ฉันบยอนแบคฮยอน เอ่อ แบคฮยอน”

     

     

    เธอหัวเราะคิกคัก น้ำเสียงน่าฟังเหมือนคนร้องเพลงตลอดเวลา “หนูชื่อไมอาร์”

     

     

    “ชื่อยังกะฝรั่ง”

     

     

    “พ่อเป็นคนอเมริกันน่ะ ส่วนแม่เป็นคนเกาหลี”

     

     

    ผมพยักหน้ารับรู้ “แล้วมาอยู่นี่ได้ไง”

     

     

    “อพยพมา ที่เกาหลีอันตรายเกินไป” ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง รู้ดีเลยล่ะว่ามันโหดร้ายแค่ไหน ส่วนตัวการก็นอนพะงาบอยู่บนเตียง สาบานเลยว่าปาร์คชานยอลได้ยินทุกถ้อยคำที่ผมกับไมอาร์คุยกัน

     

     

    “แล้วรู้ได้ไงว่าที่นี่ปลอดภัย”

     

     

    “ผู้หญิงทุกคนจะได้รับคำเชิญลับๆให้มาที่นี่ หนูได้การ์ดเชิญตั้งแต่สองปีก่อน”

     

     

    “ที่นี่น่ะหรอปลอดภัย?”

     

     

    “ใช่ แต่จะมีที่ปลอดภัยกว่าอยู่ที่จีน ที่นี่เป็นแค่แห่งพักกลางทางเฉยๆ พอหมดฤดูมรสุมเราถึงจะออกเดินทางไปที่จีน ที่นั่นเป็นครอบครัว เราจะอยู่กันอย่างปลอดภัย”

     

     

    ผมมองดวงตาเคลิ้มฝันของไมอาร์แล้วกระซิบเธอเบาๆ “หยุดเถอะ เก็บไว้คุยกันวันหลังนะ”

     

     

     

    ชานยอลไม่ควรได้ยินมัน เขาไม่ควรรับรู้อะไรทั้งนั้น ที่จะนำไปสู่การทำลายฝันหวานของเด็กน้อย เขามันฆาตกรเลือดเย็น

     

     

     

    ไมอาร์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เธอเป็นเหมือนน้ำฝนที่ตกกลางทะเลทรายแห้งแล้ง

     

     

     

    ผู้หญิงกับผู้ชายถูกสร้างมาต่างกัน พวกเธอละเอียดอ่อน น่ารัก มีความอ่อนโยนที่ทำให้ผมแทบอยากร้องไห้

     

     

     

    ผมคิดถึงแม่ คิดถึงช่วงเวลาที่แบกเรื่องราวหนักอึ้งในแต่ละวันไปร้องไห้กับตักที่อบอุ่น

     

     

    มีแต่แม่เท่านั้นที่ผมอยากร้องไห้ให้เห็น ...ผมได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าผู้หญิงจะเห็นคุณค่าของน้ำตามากกว่าผู้ชาย ผู้หญิงจะรับฟังและอ่อนโยน

     

     

    บางทีมันอาจจะดี...ถ้าเกิดผมได้ระบายความทุกข์กับแม่หนูไมอาร์

     

     

    แต่มันคงจะไม่ใช่ในเวลานี้ เพราะชานยอลยังอยู่ด้วย

     

     

     

    “เธอช่วยไปพูดกับคนที่จับเรามาได้มั้ยว่าเราไม่ได้เป็นบุคคลอันตราย”

     

     

    “แล้วคุณสองคนมาที่นี่ได้ยังไง”

     

     

    “เรา เอ่อ เรากำลังจะบินไปทำการค้าที่เอเชียตะวันตก แต่ยานของพวกเราถูกยิงตกลงมาที่นี่”

     

     

    “จริงหรอคะ?”

     

     

    “ใช่ เราไม่ได้มาเพื่อทำร้ายใคร ไว้ใจเรานะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเธอ” ผมยิ้มให้ไมอาร์ แล้วเธอก็ยิ้มตอบ เราเกี่ยวก้อยกันเบาๆท่ามกลางเปลวไฟที่สว่างไสวและแสนความอบอุ่น

     

     

    ค่ำคืนนี้จึงเป็นคืนที่ไม่แย่นัก

     

     

     

     

     

     

     

     

     







     

     

     

    เช้าวันต่อมาก็สดใสกว่าที่คาด

     

     

    ชานยอลยังไม่หายดีและไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากกระโจม จึงมีแค่ผมที่ได้ออกไปพูดคุยกับพวกผู้ใหญ่ของที่นี่พร้อมตระเวนสำรวจค่ายที่พวกเขาเรียกกันว่า ‘Hopeful shelter’ หรือค่ายแห่งความหวัง

     

     

     

    ที่นี่เป็นกระโจมติดกันประมาณสิบหลังคา มีผู้หญิงที่อพยพมาจากที่ต่างๆอยู่ราวสิบคนได้ และก็มีทหารผู้ชายคุ้มครองประมาณยี่สิบกว่าคน

     

     

     

    ดีแล้วที่ผมได้ออกมาเจรจาคนเดียว ความป๋ำๆเป๋อๆของผมทำให้พวกเขาไม่คิดเอะใจอะไร แล้วผมก็คงมีบางอย่างที่เป็นสัญญาณบอกว่าผมไม่มีวันทำอันตรายเหล่าเด็กสาวของพวกเขาอย่างแน่นอน

     

     

     

    นอกจากจะได้รับการอนุญาตให้พักที่นี่ได้จนกว่าชานยอลจะหายดี พวกเขายังออกปากจะค้นหาและซ่อมยานให้เราด้วย เพื่อเป็นการขอโทษที่ทำให้เราเสียขวัญและบาดเจ็บ อ่อ ชาวค่ายยังบอกอีกด้วยว่าจะช่วยหาเซฮุนกับจงอินให้พบ

     

     

     

    แต่สองคนนั่นน่ะผมไม่ห่วงเท่าไหร่หรอก โหวงเฮ้งก็บอกอยู่แล้วว่าตายยากตายเย็น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เราพบจงอินในตอนเย็น ...หมอนั่นสภาพดูไม่ได้พอๆกับปาร์คชานยอล

     

     

    เขาจับไข้เพราะอุณหภูมิแปรปรวนของทะเลทราย ทั้งยังได้รับบาดเจ็บเพราะโดนตอไม้เสียบเข้าให้ที่สีข้างตอนโดดร่มลงมา

     

     

     

    จึงกลายเป็นว่าผมต้องลำบากดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีกคน  แต่โชคยังดีที่ไมอาร์คอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง  เราทั้งคู่สนิทกันอย่างรวดเร็ว

     

     

     

    ผมชอบออกไปเดินเล่นกับเธอในตอนเช้าๆที่แดดยังไม่ลงจัด ไมอาร์จะปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายเข้าไปซื้อของในเมือง

     

     

     

    ระหว่างทางเราจะผ่านทุ่งหญ้ากับฝูงแกะและม้าป่า ทุกอย่างดูดี ผมชอบดอกหญ้ากับรอยเท้าของพวกลามะที่ประทับลงบนแผ่นดิน

     

     

     

    ผมชอบที่นี่ และได้แต่หวังว่ามันจะเปลี่ยนแปลงความคิดของหัวหน้าทีมของผมได้บ้าง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “คุณโอเคขึ้นมั้ย?”

    ผมถามชานยอลระหว่างเปลี่ยนผ้าก็อตแปะแผลให้เขา ไมอาร์เดินมาช่วย แต่เขาตีมือเธอดังเพี๊ยะ

     

     

     

    “อย่ามายุ่งกับฉัน!” เสียงคำรามของเขาแข็งกร้าว ผมรีบส่งสายตาให้แม่หนูที่กำลังตกตะลึงออกไปก่อน

     

     

    “เธอมีบุญคุณกับคุณนะ”

     

     

    “หุบปาก!!

     

     

    “หงุดหงิดอะไรนักหนาเล่า” ผมแกล้งตีแผลเขาอย่างหมั่นไส้ ชานยอลดึงผมให้นั่งลงบนตักร้อนระอุของเขา ริมฝีปากอิ่มคล้ายว่าจะจู่โจมลงมา

     

     

    “อย่าไปสนิทสนมกับคนพวกนั้น”

     

     

    “ทำไม?”

     

     

    “...”

     

     

    “ทำไมชานยอล คุณจะฆ่าพวกเขาหรอ” เป็นผมที่เริ่มเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง ความคิดเลวๆนั่นควรหลุดไปจากหัวเขาซักที เขาควรลืมตาดูโลกและตระหนักได้แล้วว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดมันผิด

     

     

    สิ่งที่ถูกคือความรัก ความรักแบบที่ไม่ต้องใช้เซรุ่ม

     

     

     

    “พวกเขาช่วยคุณไว้นะ พวกเขาออกตามหาคนในทีม แล้วตอนนี้ก็กำลังซ่อมยานให้พวกเราด้วย ถ้าคุณฆ่าพวกเขาลงคุณก็ไม่ใช่คนแล้ว!!” ผมดิ้นจากกอบกุมอันแน่นหนา แต่ชานยอลรัดรึงขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาโน้มต่ำลงมา

     

     

    สุดท้ายก็ปล้นลมหายใจของผมไปอย่างแนบเนียน

     

     

     

    “ฉันแค่ไม่อยากให้นายหายไปไหนนานๆ”

     

     

    “...”

     

     

    “อย่าสนิทกับคนพวกนั้น แล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวอีกแบคฮยอน”

     

     

     


     

     

     



     

     

     

     






     

    ด้วยประกาศิตนั้น ผมจึงมีหน้าที่เฝ้าชานยอลทั้งวัน โดยจงอินที่หายไข้แล้วมีหน้าที่ไปซื้อของในเมืองกับไมอาร์แทน

     

     

    จงอินสนิทกับไมอาร์เร็วมาก ดูเหมือนเขาจะเข้ากับพวกผู้หญิงได้มากกว่าผมซะอีก พวกผู้หญิงดูชอบใจโชว์กายกรรมอันบ้าพลังของเขา

     

     

     

    และผมเห็นจงอินยิ้มทุกวัน เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาดูเหมาะแก่การเป็นวัยรุ่นธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ใช่นักฆ่าแบบที่เขาเป็นมาโดยตลอด

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    การหายตัวไปของเซฮุนทำให้ผมเริ่มเป็นกังวล

     

     

    ไม่ใช่ว่าผมเกิดพิศวาสอะไรในตัวเขาขึ้นมาหรอกนะ ...แต่ก็ในฐานะเพื่อนมนุษย์ อย่างน้อยผมก็ยังไม่อยากให้เขาล้มหายตายจากไปทั้งที่ยังไม่ทันได้สั่งเสีย

     

     

     

    “คุณไม่ห่วงเซฮุนบ้างเลยหรอ” ผมถามชานยอลในเย็นวันนั้น อาการของเขาทุเลาจนแทบเรียกได้ว่าหายสนิท แต่ทิฐิก็ทำให้เขาไม่ยอมออกไปเข้าสังคมกับพวกเด็กๆ

     

     

    “ห่วงคืออะไร?”

     

     

    ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเขาถาม

     

     

    “คุณสอบตกวิชาภาษาเกาหลีรึไงนะ ถึงได้ชอบถามคำศัพท์อะไรแบบนี้”

     

     

    “ฉันรู้ความหมายของมันแบคฮยอน แต่ฉันรู้ในมุมของฉัน”

     

     

     

    อีกละ คำนี้อีกละ ...รู้ในมุมของฉัน เฮ้อออ เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณครูอนุบาลที่ต้องคอบตอบคำถามง่ายๆกับเด็กสามขวบ

     

     

     

    “ห่วงก็คือ ความรู้สึกที่อยากให้คนๆนึงปลอดภัย” ผมบอกนิยามไปสั้นๆ  ชานยอลฟังโดยไม่ตอบโต้อะไรอีก

     

     

    “ฉันอยากให้เซฮุนปลอดภัย เขายังจำเป็นอยู่มากต่อภารกิจของเรา”

     

     

    ผมรีบโบกมือแย้ง “ไม่ใช่แบบนั้นสิ ห่วงต้องไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ มันคือความรู้สึกที่อยากให้ใครซักคนปลอดภัย เพื่อที่เขาจะได้อยู่กับเรานานๆ”

     

     

    “ทำไมต้องอยู่ด้วยกันนานๆ”

     

     

    “ก็เพราะเราห่วงเขาไง”

     

     

    “ยากชะมัด”

     

     

    “คุณนั้นแหละไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ”

     

     

    ชานยอลขมวดคิ้วยุ่ง อีกซักพักเขาคงอาละหวาดแหงถ้าเกิดโมโหขึ้นมา

     

     

     

    ผมพรูลมหายใจ ก่อนจะยิ้มให้เขาเผื่อว่าอะไรๆจะดีมากกว่าเดิม “อย่างเช่นที่ผมมาดูแลคุณทุกวัน ป้อนข้าวป้อนน้ำ แล้วก็ทำแผลให้กับคุณ”

     

     

    “...”

     

     

    “ผมไม่อยากให้คุณตาย เราควรจะอยู่ด้วยกันนานๆ อยู่ที่นี่ก็ได้ คอยคุ้มครองเด็กๆ”

     

     

    “นายห่วงฉันหรอ?”

     

     

    ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะหลุดเสียงอุทานเมื่อชานยอลผลักผมลงนอนราบกับเตียงและตามมาคร่อมทับเอาไว้

     

     

     

    เขาโน้มใบหน้าลงมาจนหน้าผากของเราแนบติดกัน  ตามองตา ...ผมอยากหยุดเรื่องไว้แค่ตรงนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าผมถลำลึกไปมากแค่ไหนแล้ว ผมรักเขาไปแล้วหรือยัง

     

     

     

    แต่มันคือความรู้สึกดีๆเมื่อเราอยู่ด้วยกัน อยู่ที่นี่ เราควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่

     

     

     

    ผมเผยอริมฝีปากรับจูบร้อนแรงของชานยอล ในขณะที่สองมือถอดกางเกงให้เขาและทำทุกอย่างให้เขาสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

     

     

     

    ผมชอบค่ายแห่งความหวังมากเหลือเกิน

    จงอินเองก็เข้ากับพวกเด็กๆได้ดี

    ชานยอลก็ดูมีชีวิตชีวาและอ่อนโยนกว่าปกติท่ามกลางบรรยากาศแห่งทะเลทราย

     

     

     

    ทุกอย่างกำลังไปได้สวย มันควรเป็นเช่นนี้ตลอดไป

     

     

     

    (จงให้คะแนนความเป็นไปได้ของประโยคข้างต้น)

     

     

     

     

     

     

      

     

     

    100%

     

    TALK

     

    เดินเรื่องกันเร็วจนฉันตามไม่ทันแล้วพี่บัวลอย

    คนที่อ่านมาถึงตอนนี้ได้มารับมงนะ เอาโล่ไปด้วย

    เก่งๆ

    ตอนแรกนี่อีดิทรูปเองนะคะ มาตอนล่านี่อะไร ทัมบ์นะคับตอนนี้

     

     เดี๋ยวคับเดี๋ยวคะ โอ๊ยไปนอนไป

    #fic3014

     

     

     
     








     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×