ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    'Neck' n 'Neck' { chanbaek }

    ลำดับตอนที่ #8 : - c h a p t e r : 7 -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.28K
      7
      11 ก.ค. 57












     

    ไมอาร์ซึมเข้าสู่หัวใจของชานยอลทีละน้อย

     

     

     

    พวกเขามีหลายอย่างที่คล้ายกัน อย่างเช่น สีผม สีตา หรือแม้กระทั่งลักยิ้มงดงามข้างผิวแก้ม  เวลาที่ไมอาร์ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายเข้าไปซื้อของในเมือง เธอให้ความรู้สึกเหมือนชานยอลในวัยเด็ก อ่อนโยน แต่ดิ้นรนเอาตัวรอด เหมือนชานยอลที่กล้าแข็ง แต่บางครั้งก็อ่อนหวาน

     

     

     

    ผมเรียกเขาว่าฝาแฝดในใจ ชานยอลเป็นแฝดคนโต ส่วนไมอาร์ก็เป็นแฝดคนน้อง

     

     

     

     

     

    สองวันก่อนยัยหนูไมอาร์เล่นซน ปีนขึ้นต้นไม้สูงแต่ลงมาไม่ได้

     

     

     

    ผมเจอเธอตอนออกไปเดินเล่นกับชานยอล ไม่รู้ว่าโชคชะตาหรือความบังเอิญอะไร หน้าที่อุ้มไมอาร์ลงมาจึงตกเป็นของผู้ชายสูงใหญ่อย่างปาร์คชานยอลไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง

     

     

     

    เดิมทีคู่นี้ยี๋กันพอดู ชานยอลเกลียดทั้งเด็ก เกลียดทั้งผู้หญิง ซึ่งแน่นอนว่าไมอาร์มีคุณสมบัติครบทั้งสองประการ  ส่วนไมอาร์ก็เกลียดความกระด้างของชานยอล เธอคงจำรสมือที่ตีเธอดังเพี๊ยะได้แม่น

     

     

     

    ผมลอบมองช่วงเวลาระทึกขวัญอย่างหวั่นใจ ไมอาร์สบตากับชานยอลด้วยระยะห่างเกือบสองเมตร  พวกเขาจะสังเกตไหมนะว่าสีตาของพวกเขาเป็นสีเดียวกัน เฮเซลและสว่างไสว

     

     

     

    ไมอาร์เบือนหน้ามาทางผม เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆเพื่อขอเปลี่ยนคนช่วยเหลือ  ผมไม่ได้ดูถูกตัวเองหรอกนะ แต่ถ้าขืนผมเป็นคนรองรับเธอ มีหวังอนาคตแม่หนูได้จบสิ้นกันตรงนี้

     

     

     

    “เร็วเข้า” ชานยอลทำเสียงเข้ม เขาคงติดจะรำคาญกับท่าทีหวาดกลัวของเพศแม่ที่เขาไม่ชอบ

     

     

    “เร็ว” เขาเร่งเร้า ผมเห็นไมอาร์จิกเปลือกไม้แน่น

     

     

     

    “เดี๋ยวนี้!” นั่นคือคำสั่งสุดท้ายของแฝดคนพี่ ไมอาร์หลับตาปี๋ ก่อนจะกระโดดลงสู่อ้อมแขนที่กางองศาไว้เหมาะเจาะกับลำตัวเล็กจ้อยของเธอ

     

     

     

    วินาทีโลกแตกเกิดขึ้นตรงนั้น ชานยอลมือสั่นเหมือนคนกลัวแมงมุมแต่ถูกบังคับให้ขยำมันไว้ เขาใช้สองมือจับเอวของไมอาร์แล้วยื่นให้ห่างตัวมากที่สุด ในขณะที่ไมอาร์จิกเล็บแหลมเข้าเนื้อชานยอลแน่นเพราะกลัวตก

     

     

     

    ผมหลุดหัวเราะ แล้วหลังจากนั้นอะไรๆก็ดีขึ้นมาตามลำดับ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    พวกทหารซ่อมยานให้เราเสร็จแล้ว ชานยอลบอกว่าถ้าเจอเซฮุนเมื่อไหร่ ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะกลับกันเสียที

     

     

     

    “คุณจะคิดถึงหนูมั้ย?” ไมอาร์ถามขึ้นมาในระหว่างที่เรากำลังเอาเท้าจุ่มลำธารสายเล็กที่ชานยอลเคยมอบประสบการณ์ กินน้ำล้างเท้า’ .ให้กับผม

     

     

    “ฉันต้องคิดถึงเธอแน่นอน”

     

     

    “แล้วคุณละ” อันนี้เด็กน้อยหันไปถามบุคคลที่สามที่มาเดินเล่นยามบ่ายกับเราด้วย

     

     

     

    ชานยอลยืนหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดิม(ที่เราเคย เอ่อ...ก็นั่นล่ะ) เขาทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้มา บึ้งตึง หงิกงอ แถมยังทำกระฟัดกระเฟียดอยู่เป็นระยะ

     

     

    “ไม่!” ชานยอลคำรามตอบ แต่ใครกลัวหรอ สงสัยว่าจะไม่มีแถวนี้

     

     

     

    ผมกับไมอาร์หัวเราะ จากนั้นผมก็ล้มตัวนอนทั้งที่เท้ายังจุ่มน้ำอยู่ ซักพักไมอาร์ก็เอนตัวลงตาม มีทรายและหญ้านุ่มรองรับเราไว้ ที่มองโกเลียเป็นเมืองฟ้าเปิด สีฟ้าก็ฟ้าจริงๆ ฟ้าสดใส ฟ้าแบบว่าโคตรฟ้า

     

     

     

    ผมหลับตาลงท่ามกลางธรรมชาติที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนตราบเท่าช่วงอายุ การได้เข้าเป็นหนึ่งในทีมของชานยอล กระทั่งชีวิตดำเนินมาถึงจุดนี้ ทุกวินาทีทำให้ผมตระหนักได้ถึงความสำคัญของความรัก

     

     

     

    มันเปลี่ยนโลกได้ มันเปลี่ยนเรา เปลี่ยนเขา เปลี่ยนทุกคน

     

     

     

    ไมอาร์กินแม้กระทั่งทรายเพราะหิวจัดกว่าจะลี้ภัยมาถึงค่ายแห่งความหวัง เด็กตัวแค่นี้แต่ต้องกินทรายเพื่อรองท้อง เพื่ออะไร? เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อที่จะเรียนรู้ถึงความรักและครอบครัว

     

     

     

    ทุกคนต่างหวังว่าที่รออยู่เบื้องหน้าจะใช่ความรัก ผมเองก็ต่อสู้กับความโหดร้ายป่าเถื่อนเพื่อวันต่อไป ยอมมีชีวิตอยู่เพื่อหวังว่าซักวันนึงจะได้เจอกับรักที่แท้จริง

     

     

     

    ไม่ใช่จากเซรุ่ม ไม่ใช่จากสารกระตุ้นฮอร์โมนและกดประสาทอย่างที่รัฐบาลพยายามยัดเยียดว่ามันเป็นหนทางที่ถูกที่ควร

     

     

     

    นี่คือจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ...ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ทำหน้ายังกะมีป๊อปปี้เลิฟ”

     

    ผมแซวเมื่อจงอินวิ่งเข้ามาประจำที่ยังโต๊ะอาหาร หมอนี่ไม่ทำตัวเป็นสมุนที่ดีของชานยอลเหมือนแต่ก่อน แต่ละวันเขาจะลิงโลดไปในหมู่สาวๆ ทำตัวป๊อบปูล่าโชว์พาวไปเรื่อย

     

     

    “ยุ่งน่า” ปลาตากแห้งค้อนผมเข้าให้

     

     

    “ไม่คิดถึงคู่หูจูออนเลยรึไง” ผมหมายถึงโอเซฮุนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

     

     

    “เดี๋ยวหมอนั่นก็มา”

     

     

    “???”

     

     

    จงอินเม้มปากแน่น นั่นยิ่งทำให้ผมสงสัย

     

     

    “รู้ได้ไงว่าเซฮุนจะมา”

     

     

    “แปลกตรงไหน หายไปก็ต้องกลับมา ฉันก็พูดถูกแล้วนี่”

     

     

    “นายไม่ได้พูดว่ากลับมา นายพูดว่าเขาจะมา” ผมจ้องตาจงอินเขม็ง เห็นเขาลอบส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ชานยอล นั่นยิ่งส่อพิรุธ

     

     

    “ก็ฉันพูดตกไป คิดจะมีปัญหากับฉันรึไง อย่าเยอะน่า!” สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้กำลังเช่นเคย จงอินกระแทกแก้วน้ำจนของเหลวข้างในกระฉอกออกมา

     

     

    “ก็มันแปลกนี่ แทนที่นายจะพูดว่า เดี๋ยวเราก็ตามหาเซฮุนเจอ หรือ เซฮุนต้องกลับมาแน่ๆ แต่นายกลับพูดว่าเขาจะมา!

     

     

    “แบคฮยอน” เป็นชานยอลที่เรียกผมไว้ ผมหันไปมอง เห็นเขาทำตาดุเป็นการออกคำสั่งให้หยุดพล่ามได้แล้ว

     

     

    ผมพรูลมหายใจรุนแรงก่อนจะลุกจากโต๊ะอาหาร ...พอกันที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    “...”

     

     

    เป็นคำเดียวกัน แต่ต่างที่น้ำเสียง

     

     

     

    คราวนี้ชานยอลเรียกผมอย่างนุ่มนวล ...ไม่หรอก ไม่ได้นุ่มนวลแบบนั้น มันก็แค่ฟังดูไม่ขู่กรรโชกเหมือนที่โต๊ะอาหาร

     

     

     

    ผมทำหูทวนลม ก่อนฝังหน้าลงกับหมอนใบโต หมอนใบนี้มีแต่กลิ่นเส้นผมของชานยอล เขาทิ้งกลิ่นไว้ในทุกที่ แม้กระทั่งหมอนของผม

     

     

     

    ซักพักเตียงก็ยุบยวบลง ชานยอลสอดแขนเข้ามาและช้อนตัวผมขึ้นนั่งตักอย่างง่ายดาย

     

     

     

    “ร้องไห้?”

     

     

    “บยอนแบคฮยอนไม่ใช่คนแบบนั้น” งานน้ำตาไม่ใช่หน้าที่ผม งอแงก็ไม่ใช่ น้อยใจอันนั้นก็ตัดไปซะเถอะ

     

     

     

    ผมเพียงแค่กังวล การไว้วางใจใครซักคนมันคือสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด โดยเฉพาะไว้ใจพวกเขา  ผมไม่ต้องการให้เขาตุกติก เพราะผมเก็บทุกรายละเอียดในช่วงนี้ ทุกพิรุธของพวกเขาสามารถทำลายความไว้ใจที่บางยิ่งกว่าแก้วลงได้ทุกขณะ

     

     

     

    “ปล่อย” ผมขืนตัวออกจากวงแขนที่แกร่งยิ่งกว่าเกราะเหล็ก

     

     

    ชานยอลมองมาคล้ายดูถูก มองทั้งเนื้อทั้งตัวแถมยังอมยิ้มมุมปาก

     

     

     

    โอเค... เขามันผู้ชายตัวใหญ่ สูงเกือบสองเมตร กล้ามเป็นมัด มีรอยสัก อะไรๆก็ดูแบดไปหมดนั่นแหละ ในขณะที่ผมสูงแค่ไหล่ ตัวกระหร่องก๊อง ผมฟูหยักศกยังกะขนหมา หน้าตาก็กะโปโลเหมือนไปตกเจอมาจากโรงเรียนเด็กประถม  แต่ถึงผมจะไม่ใช่ชายฉกรรจ์เหี้ยมโหดโฉดฉับกระโดดจับปลาแซลม่อนแบบเขา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะมาฟัดกันได้ง่ายๆนะเว้ย!! (ถึงจะทำมาหลายทีแล้วก็เหอะ)

     

     

     

    ชานยอลช้อนคางผมขึ้นมา บีบเบาๆเหมือนจะหยอกล้อ

     

     

    “เมื่อกี้พูดว่าไงนะ”

     

     

    “บอกให้ปล่อย” ผมบอกจุดประสงค์เดิม สบตาเขาแล้วทำหน้าดุเต็มพิกัด ไม่กลัวให้มันรู้ไป

     

     

    “ลองขอร้องดูสิ”

     

     

    “เรื่องอะไร” ผมสะบัดหน้าหนี แต่ชานยอลก็ยังตามไปช้อนคางผมให้เงยขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง เขาหรี่ตามองผมเขม็ง นิ้วโป้งเกลี่ยริมฝีปากผมผะแผ่ว

     

     

    เล็บคมจิกเนื้อบนร่องเรียวปากจนผมต้องเผยอออก ไม่เจ็บปวดแต่ชวนสั่นไหว

     

     

    “ทำไมนายถึงตัวเล็ก”

     

     

    เขาถามคำถามที่ทำให้ผมต้องหน้าแดง ไม่ใช่เพราะเขิน แต่เพราะว่าไม่พอใจต่างหาก

     

     

    “จะไปรู้มั้ยเล่า!” ริมฝีปากของผมเสียดสีนิ้วโป้งของเขายามที่ผมขยับโต้เถียง  ชานยอลลงน้ำหนักคลึงมันเรื่อยๆ สีหน้าเขายังคงเย็นชา ....แต่ผมเห็นว่าเขาลอบกลืนน้ำลายจากการขยับขึ้นลงของลูกกระเดือก

     

     

     

    “ทำไมนายถึงผิวขาว”

     

     

    มาอีกละคำถามงี่เง่า

     

     

    ผมกลอกตาเซ็งๆก่อนจะตอบออกไป “เซฮุนก็ขาว”

     

     

    “แต่นายนิ่มด้วย”

     

     

    “ก็เพราะผมอ้วน แต่เขาผอมไง!” ให้ตายเถอะ! ทำไมผมต้องมาอยู่ในท่าล่อแหลมเพื่อตอบคำถามบ้าบอนี่ด้วยนะ!

     

     

     

    ชานยอลพยักหน้ารับรู้ เขาเลื่อนมืออีกข้างไปที่ท้ายทอยของผม ขยุ้มและสางเส้นผมสีน้ำตาลเล่น

     

     

    “มันไม่ตรง”

     

     

    “รู้แล้วละน่า” ผมหยิกลอนใหญ่นี่ได้มาจากแม่ มันไม่ได้น่าเกลียดอะไร แค่จัดทรงยากและเวลายาวเกินไปก็ทำให้ใบหน้าผมดูคล้ายเด็กผู้หญิง

     

     

     

    ชานยอลจับขาผมแยกออก แหวกมือเข้ามาเค้นเนื้อสะโพกก่อนจะปลดกางเกงฝ้ายจนหลุดไปอย่างเบามือ

     

     

    “ฮื่อ” ผมทำเสียงขู่และจับชายเสื้อให้เลื่อนลงไปปิดส่วนน่าอายเอาไว้

     

     

    “ไม่รักฉันหรือไง” เขาถามเสียงเรียบ แต่ชานยอลก็น้ำนิ่งไหลลึกอย่างนี้เสมอ ไม่มีอะไรบ่บอกความต้องการของเขา แต่เขามักทำมันโดยไม่มีสัญญาณอะไรมากมาย

     

     

    “ไม่”

     

     

    “นายเคยพูดว่ารักฉัน” ชานยอลเถียงหน้าตาย มือเริ่มปลดกระดุมเสื้อของผม ทีแรกผมก็ดิ้นขัดขืน แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผงาดขึ้นมาดุนเนื้อสะโพก ผมก็ได้แต่นั่งตัวแข็งเพราะไม่อยากไปเร่งปฏิกิริยาของชานยอลอีก

     

     

    “ผมเคยพูดว่าห่วงคุณ ส่วนรักนั่นพูดตอนโดนเซรุ่ม หวังว่าคุณจะไม่นับ!

     

     

    “ห่วงก็คือรักนั่นแหละ” ชานยอลยังคงไม่หยุดคิดเข้าข้างตัวเอง ...ตอนนี้ผมเปลือยทั้งตัว นั่งทับตักเขา ทุกอย่างตกเป็นรอง ไม่เคยเลยที่ผมจะต่อสู้เขาได้

     

     

    “มันคนละอย่างกัน ห่วงก็คือห่วง ไม่ใช่รัก”

     

     

    “แล้วรักเป็นแบบไหน” ชานยอลดันผมนอนราบลงกับเตียงกว้าง  ได้หนุนหมอนใบเดิมที่ประทับตราด้วยกลิ่นเฉพาะตัวของเขา

     

     

     

    น้ำมือของเขาไหลลื่น มือคู่นี้เป็นมือสากที่จับอาวุธ แต่กลับกลายเป็นมือนุ่มนวลในห้วงเวลาแห่งการเล้าโลม

     

     

    คำถามของเขาทำให้ผมหยุดนิ่งไป ...ซักพักผมก็คิดสร้างเงื่อนไข

     

     

    “อยากรู้จริงๆหรอ?”

     

     

    ชานยอลพยักหน้าแทนคำตอบ และพยักถี่แบบไร้จังหวะเมื่อเริ่มฝังจูบไซร้ซอกคอของผม

     

     

    “อ๊ะ...ถะ..ถ้าไม่ตรงกับความรู้สึกคุณ สัญญา อื้ออ ได้ไหมว่าจะหยุด”

     

     

    “อ่าา...แบคฮยอน ฉัน...ฉันสัญญา” ชานยอลขบฟันของเขาลงฝังเขี้ยวบนคอของผม งับเล่นจากนั้นก็ดูดเนื้อจนหนำใจ ตบท้ายด้วยการแลบลิ้นเลียจนชุ่มเหมือนจะบรรเทาอาการแสบร้อน

     

     

     

    ผมเอื้อมมือขึ้นมาจิกหมอนแน่นเพื่อระบายความวาบหวาม ร่างกายรุ่มร้อนในทุกจุดที่เขาลากลิ้นผ่าน ...เป็นมือคู่เดิมที่เค้นคั้นเลือดในกาย และก็เป็นลิ้นลิ้นเดิมที่เร่งประกายความต้องการตามธรรมชาติให้โหมกระพือ

     

     

    เขาช่างชำนาญเหลือใจ

     

     

    “ความ อื้ออ รัก คือการอยากเห็นคนที่เรา อ๊า! รัก อยู่ในสายตาตลอดเวลา” ผมพูดขาดห้วง และเขาไม่ได้หยุดลงสำหรับเงื่อนไขข้อนี้

     

     

     

    ชานยอลเงยหน้าขึ้นสบตาผม เป็นความจริงที่ว่าดวงตาดุดันคู่นี้ไม่เคยผละไปไหนไกล

     

     

     

    “อยากดูแล ไม่อยากเห็นน้ำตา อยากทำทุกอย่างเพื่อเห็นรอยยิ้มของเขา”

     

     

    “...”

     

     

    “อยากให้เขาอยู่ในปกครองของเรา ...อยากจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป”

     

     

     

    หัวใจของผมเต้นแรง ไม่แน่ว่าความหมายนั้นอาจนิยามคลาดเคลื่อน เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้ดีไปกว่าใคร เพียงแต่ว่านี่คือความรู้สึก

     

     

    ...ที่ผมได้มอบต่อเขา

     

     

     

    ชานยอลหยุดทุกการกระทำ แขนแข็งแรงนั่นค้ำข้างตัวผม และทิ้งสายตามองมาอย่างสงบ

     

     

     

    จากนั้นเขาจึงตอบคำถามด้วยการโน้มใบหน้าลงจุมพิตที่หน้าผากของผมเบาๆ มือของเราสอดประสาน ไม่นานขาทั้งสองข้างของผมก็เกี่ยวเอวสอบของเขาไว้

     

     

    รวมเป็นหนึ่งด้วยการขับเคลื่อนถี่กระชั้น หน่วงหนัก และร้อนแรง

     

     

     

     

      

     

     

    50%

     








     

    ชานยอลทำให้ผมปวดสะโพกจนแทบเดินไม่ไหว

     

     

     

    รุ่งเช้าไมอาร์ก็เลยมาเล่นที่กระโจมของพวกเราแทนที่จะออกไปหากิจกรรมทำข้างนอกเหมือนอย่างทุกวัน

     

     

     

    “คุณสองคนเป็นคู่รักกันหรอ?” แม่หนูเอียงคอถามตาใสแจ๋ว ความไร้เดียงสาของไมอาร์ทำให้ผมไปไม่เป็น

     

     

    “ลองถามชานยอลดู” ผมโยนภาระไปให้พ่อหนุ่มหน้าตายที่กำลังนั่งแกะสลักไม้อยู่บนเตียง ในขณะที่ผมกับไมอาร์นั่งวาดรูปกันอยู่บนพื้นข้างล่าง

     

     

    “อะไรคือคู่รัก?” ชานยอลถามกลับมาเสียงเรียบ ตาไม่ละจากกิจกรรมแปลกใหม่ที่เขาเพิ่งได้ลองทำดูเมื่อเช้า

     

     

    “คือคนสองคนที่รักกันไง” ไมอาร์ตอบ เธอกลิ้งไปมาบนพรมจนทรายตลบและกระโปรงเลอะเทอะเปราะเปรื้อน แต่เธอก็ยังดูน่ารักอยู่ดี

     

     

     

    ผมลอบมองชานยอล ถึงเขาจะใจร้ายแต่เขาซื่อตรงเสมอ แน่นอนว่าเขาจะตอบในสิ่งที่อยู่ในใจเขาออกไป ผมได้แต่หวังว่ามันจะเป็นคำตอบเดียวกับที่เขาได้ให้ผมไว้เมื่อเย็นวาน

     

     

     

    ที่นี่ ตรงนั้น และผมคนนี้ ...ชานยอลทำมันอย่างนุ่มนวลหลังจากที่ผมได้มอบแบบสอบถามให้เขา และเขาติ๊กถูกในทุกๆข้อ ...บทสรุปคือเขารักผม และคืนนั้นของเราได้ไปต่อ มันสวยงามยิ่งในความทรงจำของผม

     

     

     

    ป๊อก!

     

     

    ท่อนไม้ขนาดเล็กที่เริ่มขึ้นรูป หักกลางลำเมื่อชานยอลออกแรงแซะมันด้วยมีดแกะสลักแรงเกินไป

     

     

     

    “ไม่ใช่” เขาตอบไมอาร์

     

     

    ผมนั่งอยู่ที่เดิม ซึ่งก็คือพรมที่ปูทับแผ่นดินทราย  มือผมยังคงจับดินสอและวาดรูปต่อไป ผมยิ้มให้ไมอาร์ทั้งที่น้ำตาเหมือนจะไหล

     

     

     

    ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้

     

     

    ผมปลอบใจตัวเองด้วยประโยคนั้น และไม่คิดจะหันไปมองปาร์คชานยอล เขาทำให้โลกของผมสวยงาม ในขณะเดียวกันเขาก็เพียรถล่มมันลงมาทุกๆหนึ่งวินาที

     

     

     

    “แบคฮยอน” ชานยอลเรียก

     

     

    ผมหันไปมองก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  ชานยอลมองหน้าผมก่อนจะเบนสายตาไปที่พื้น เป็นเชิงให้เก็บชิ้นส่วนของไม้ที่หักกระเด็นไปบนพื้นให้เขาหน่อย

     

     

     

    ผมเอื้อมไปเก็บมันขึ้นมากำแน่น แน่นจนหมัดสั่น

     

     

     

    ผมลุกขึ้น จ้องดวงตาของชานยอลเขม็ง ก่อนมือจะออกแรงเขวี้ยงไม้ใส่หน้าเขาอย่างแรง แรงที่สุดเท่าที่คิดว่าตัวเองจะทำได้

     

     

    “คนเฮงซวย...” ผมพูดแค่นั้น แล้วสองขาก็พาผมเดินออกมาจากกระโจม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ชานยอลกำลังเข้ามาปั่นป่วนจิตใจของผม

     

     

    ความรักเป็นจุดอ่อน มันทำให้ผมอ่อนแอจนแทบอยากร้องไห้ ...มันพรากความเป็นตัวของตัวเองไปจากผม

     

     

     

    ผมเคยรู้จักตัวเองดี ผมทั้งบ้าบอ กวนตีน และอดทนกว่าใคร  แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ชานยอลได้ขโมยตัวตนของผมไปครึ่งนึงแล้ว

     

     

     

    ผมทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างกระโจม ลูบหน้าอย่างแรงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ...เอาละ เลิกบ้าซักที

     

     

     

    ผมกลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง เห็นไมอาร์นั่งตกตะลึงตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ผมอุ้มเธอขึ้นมา ก่อนจะเดินไปวางไว้บนเตียงตรงหน้าของชานยอล

     

     

     

    รอยแผลจากน้ำของมือผมตั้งตระหง่านอยู่บนใบหน้าของเขา ตรงหางคิ้วและพาดยาวไปจนเกือบถึงขมับ  ชานยอลนิ่งจนผมเดาใจไม่ถูก

     

     

     

    ผมเดินไปยังตู้เก็บของ หยิบกล่องยาออกมา ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงบนเตียง

     

     

     

    พวกเราสามคนไม่มีใครพูดอะไร  ไมอาร์เลิกตื่นกลัวแล้ว เธอเป็นลูกมือที่ดีในการทำแผลให้กับปาร์คชานยอล  ผมใส่ยาอย่างเบามือ รู้สึกผิดที่ใจร้อนกับเขา แต่อีกใจก็ค้านว่ามันสมควรแล้ว

     

     

     

    เขาสมควรถูกเอาคืนด้วยประการทั้งปวง

     

    ฉะนั้นผมจะไม่ขอโทษ

     

     

     

     

     

     

     

    อยู่ดีๆแม่หนูไมอาร์ก็หัวเราะขึ้นมา “คิกคิก หนูว่าเหมือน”

     

     

    ผมผละออกจากแผลแตกยับของชานยอล ก่อนจะทอดมองสาวน้อยอย่างมึนงง

     

     

    “มันเหมือนคุณ” เธอชี้ไปที่ท่อนไม้แกะสลักในมือแกร่ง แต่ชานยอลรีบเอามันไปซ่อนไว้ข้างหลังทันที  ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ทันเห็น และไม่เข้าใจว่าสองแฝดนี่กำลังเล่นอะไรกันอยู่

     

     

     

    ผมทำเป็นไม่ได้ยินและกลับมาสนใจการทำแผลอีกครั้ง  ไม่นานมันก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี...สุดท้ายปาร์คชานยอลก็มีผ้าก๊อตแปะคิ้วอยู่เต็มไปหมด

     

     

     

    “ขอบใจ” เขาพูดอย่างนั้นในขณะที่ผมกำลังเก็บอุปกรณ์ปฐามพยาบาลใส่กล่อง  ผมชะงัก ...แม้แต่คนกระด้างอย่างชานยอลก็ยังเอ่ยปากขอบคุณ  แต่ผมกลับไม่พูดอะไรทั้งที่ทำให้เขาบาดเจ็บ

     

     

     

    ความสัมพันธ์ของคนสองคนนั้นช่างแปลกประหลาด ชวนปวดหัว ทว่าก็อ่อนหวานน่าประทับใจ

     

     

     

    “น่าเสียดายที่คุณสองคนไม่ใช่คู่รัก” ไมอาร์ทำลายบรรยากาศอึดอัดอีกครั้งด้วยคำพูดเจื้อยแจ้วของเธอ

     

     

    ผมหัวเราะฝืดๆ “แก่แดดน่า ...ในยุคนี้ความรักหายากจะตาย ชานยอลน่ะรู้ดีเลย” ผมประชดไปโดยไม่ตั้งใจ(ก็แค่เจตนา)

     

     

    “ชานยอลต้องพึ่งเซรุ่มเท่านั้นถึงจะรักเป็น แต่ตอนนี้เราไม่มีเงินมากพอจะซื้อเซรุ่ม ว่าจะเดินทางข้ามประเทศไปทำการค้าซักหน่อย ยานก็ดันมาโดนยิงตกที่นี่ ...นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงไม่ใช่คู่รักกัน” ผมสร้างเรื่องอย่างสนุกปาก เอาเลย สนุกกันเข้าไป ความรักมันช่างน่าตลกและสุดสมเพช

     

     

    “ไม่มีเงินซื้อเซรุ่ม ก็เลยไม่รักกันอย่างนั้นหรอ?” ไมอาร์เอียงคอถาม

     

     

    ผมดีดนิ้วและปรบมือแปะๆ  “ถูกเผงเลยแม่หนูน้อย”

     

     

     

    ผมหันไปมองชานยอล หวังจะได้เห็นริ้วความไม่พอใจของเขา หรืออย่างน้อยก็ท่าทีอะไรซักอย่างที่บ่งบอกว่าเขาไม่ชอบใจในคำพูดประชดประชันของผม ผมแค่อยากเห็นเหมือนที่เขาได้เห็นจากผม

     

     

     

    เห็นการสูญเสียตัวตนไปชั่วขณะหนึ่ง เหมือนอย่างที่ผมอาละวาดปาของใส่เขา เพียงเพราะเขาปฏิเสธไมอาร์ว่าเราไม่ใช่คนรักกัน

     

     

     

    แต่ไม่เลย ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ดวงตาสีเฮเซลยังคงนิ่งสงบ หยาบกระด้างและเย็นชา  นั่นทำให้ผมเจ็บปวดอีกครั้ง

     

     

    “เขาไม่ได้รักฉันหรอก” น่าแปลกที่ผมยังทำเป็นขำได้

     

     

    “แล้วคุณรักเขาไหม?”

     

     

    “ไม่” ผมตอบทันควัน แต่ในใจตะโกนว่ารัก ผมรักเขา รักแค่เขา รักความโหดร้ายของเขา รักความสงบเงียบเหมือนทะเลยามไร้คลื่นลม รักความปรานี รักความอ่อนโยน รักทั้งด้านดีและด้านร้าย

     

     

    “ออกไปเล่นข้างนอกกันเถอะ ชานยอลคงอยากนอนกลางวันแย่แล้ว” ผมเย้าแหย่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะอุ้มไมอาร์ออกไปนอกกระโจมเป็นครั้งที่สอง  ลมหอบแดดเข้ามาปะทะร่าง ความเจ็บปวดที่สะโพกยังคงอยู่ ...แน่นอนว่าเจ็บไม่ได้ครึ่งกับที่หัวใจกำลังรู้สึก

     

     

     

    แต่ก็นั่นละ

     

    ชีวิตก็เป็นแบบนี้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    น้ำหมดค่ายในบ่ายวันนั้น ผมกับไมอาร์จึงอาสาเป็นผู้เข้าไปซื้อแคปซูล H2O ในเมือง

     

     

     

    เรากำลังจะออกเดินทาง แต่จู่ๆทหารก็เข้ามากันตัวแม่หนูของผมไว้ เขาบอกว่าชาวเมืองเริ่มลือกันแล้วว่ามีผู้หญิงเข้ามาปะปนที่นี่ ฉะนั้นคงจำเป็นต้องงดให้พวกสาวๆเดินทางไปไหนมาไหนนอกค่าย

     

     

    สุดท้ายผมเลยต้องไปคนเดียว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แดดจ้าเหลือเกินในบ่ายนี้ เมฆบาง ฟ้าเปิดเต็มที่

     

     

    ผมเดินปาดเหงื่อไปตามทุ่งหญ้าสลับทรายร่วน ผ่านฝูงม้าป่า ผ่านโรงกลั่นน้ำมัน ผ่านอุตสาหกรรมการผลิตแก้ว

     

     

     

    ค่อนข้างมั่นใจเหลือเกิน ว่ามีใครบางคนเดินตามผมมา... ผมหยุดฝีเท้า หันหลังไปมองอย่างหวาดระแวง

     

     

     

    ข้างหลังไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตใด ...แต่กลับมีรอยเท้าคู่หนึ่ง ตีคู่ขนานเคียงข้างกับรอยเท้าของผมมาตลอดทาง

     

     

     

    ผมกลืนน้ำลาย ขนลุกซู่ แผ่นดินทรายโล่งโจ้งไม่มีที่กำบัง ฉะนั้นถ้ามีใครตามผมมาจริงๆ แล้วเขาจะไปหลบอยู่ที่ไหน?

     

     

     

    พลันผมก็คิดถึงชานยอล ผมไม่น่าทิฐิจัดและมาคนเดียวเลย ผมน่าจะชวนเขามาด้วย ...มันน่าจะปลอดภัยกว่าถ้าเป็นแบบนั้น

     

     

     

    แต่ก็เปล่าประโยชน์ที่จะนึกเสียดายโอกาสที่ผ่านมาแล้ว  ผมสูดลมหายใจเข้าลึกสุดขั้วปอด พยายามระงับความกลัวที่สั่นกระดิ่งเตือนอยู่ภายในใจ ก่อนจะหันกลับมายังทางเดิมอีกครั้ง

     

     

     

    ปึ่ก!

     

     

    ผมชนเข้ากับบางอย่างทันทีที่หันหน้ามา บางอย่างซึ่งแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ็บปวด

     

     

     

    ...แผ่นอกของชานยอล

     

     

     

    ผมก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ เงยหน้าสบตากับเขาได้อยู่ครู่เดียว ก็จำต้องผละออก  ดวงตาของเขามันรังแต่จะทำให้ผมเจ็บปวด  เพราะทั้งๆที่ข้างในนั้นมันมีแต่ผม แต่เขาก็ปฏิเสธได้ลงคอว่าเราไม่ได้รักกัน

     

     

     

    ในขณะที่ผมกำลังฟุ้งซ่าน ชานยอลก็คว้ามือผมไปกุมไว้ ก่อนที่เขาจะเดินจูงผมไปเงียบๆ โดยไม่แม้แต่จะเปล่งถ้อยคำใดออกมา

     

     

     

     

     

    เราใช้เวลาไม่มากในการซื้อข้าวของ เพราะผมชำนาญเส้นทาง และชานยอลเองก็เดินเร็วในทุกฝีก้าว  เพียงไม่นานเราก็ออกเดินทางกลับทวนเส้นทางเดิม

     

     

     

    แต่แล้วก็เกิดเหตุจราจลวุ่นวายขึ้น พวกคนงานตีกัน สาดกระสุนจนทะเลทรายเดือดพล่าน ฝุ่นผงปลิวตลบกลบวิสัยทัศน์

     

     

     

    มือที่จับแน่นของผมกับชานยอลถูกตัดขาด เพราะมีคนวิ่งผ่ากลางเราสองคน ผมเสียหลักและกำลังจะล้มลงท่ามกลางสงครามขนาดย่อม ตาไม่สามารถมองเห็นอะไรนอกจากฝุ่นสีน้ำตาลที่หนาจัดราวเมฆหมอก

     

     

     

    และผมก็ล้มตึงลงกับพื้นทรายอุ่น

     

     

     

    ทว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ชานยอลรองอยู่ที่พื้น รับน้ำหนักผมไว้ทั้งตัว จากนั้นเราก็กลิ้งไปบนทรายกระด้างพร้อมๆกันโดยที่เขาห่อหุ้มผมเอาไว้ เขากดศีรษะผมให้แนบไปกับเสื้อของเขาเพื่อกันไรฝุ่นเข้าจมูก  ผมหลับตาลง ตระหนักดีว่าตัวเองปลอดภัยและไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว

     

     

     

     

     

    นานพอดูกว่าทุกอย่างจะนิ่งสงบ

     

     

    ผมได้ยินเสียงหัวใจของชานยอลเต้นแรงอยู่ใต้แผ่นอกนี้ มันสะท้อนตึกตัก ฟังดูเหมือนคนตื่นเต้น  ผมผงกหัวและวางคางเกยกับอกเขาเมื่อฝุ่นควันจางหายไป ชานยอลยังคงทำหน้านิ่งเหมือนเดิม มือหนายื่นมาปาดเช็ดคราบทรายบนแก้มผมอย่างเบามือ จากนั้นก็ลูบหัว ลูบหน้าผาก ก่อนจะบิดจมูกเป็นการตบท้าย

     

     

     

    เขาทรงตัวลุกขึ้นโดยไม่ลืมดึงผมขึ้นมาด้วย เสื้อผ้าสีดำของเขาราวกับถูกย้อมใหม่ด้วยสีน้ำตาล เส้นผมของเขาก็ด้วย ทั้งตัวของชานยอลเต็มไปด้วยทราย ไม่เว้นแม้กระทั่งแพขนตาและร่องริมฝีปากที่แห้งแตกเป็นเกล็ดๆ

     

     

     

    เนื้อตัวของเขามีบาดแผลเลือดซิบเต็มไปหมด กระนั้นก็ยังจูงมือผมเดินกลับค่าย โดยไม่ปริปากโอดครวญอะไรแม้แต่คำเดียว

     

     

     

    ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง มันหน่วงอยู่กลางอก แบบว่า...แบบว่า ...มันคงดีกว่านี้ถ้าเขาเปิดช่องทางให้ผมจินตนาการต่ออีกซักหน่อยว่าเขามีใจให้กับผม

     

     

     

    ไม่ใช่หักหน้าผมต่อหน้าคนอื่น บอกอย่างเย็นชาว่าเขาไม่รู้สึกอะไร

     

     

    มันเจ็บ เจ็บเหมือนเวลาเสี้ยนตำแต่ดึงออกมาไม่ได้

     

     

     

    แต่สาบานว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะใคร่ครวญคิดให้พวกคุณรำคาญ ผมจะไม่คิดถึงมันอีกแล้ว มันจะจบลงตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป ...เพราะผมคือบยอนแบคฮยอน นักสู้ตัวน้อยคนเดิมที่พวกคุณเคยสงสารและสมน้ำหน้าไปในเวลาเดียวกัน

     

     

    ใช่... ผมคือบยอนแบคฮยอนคนนั้นแหละ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ใช้เวลาไม่นานเราก็กลับมาถึงค่ายแห่งความหวัง โชคดีที่แคปซูลสังเคราะห์น้ำไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไร

     

     

     

    ผมเดินเข้ากระโจมก่อนจะคว้าเสื้อผ้าชุดใหม่เตรียมไปอาบน้ำที่โอเอซิส ปกติเราไม่ต้องไปอาบน้ำของจริง แค่ฉีดสเปรย์ทุกอย่างก็เรียบร้อย แต่ฝุ่นจากทรายในวันนี้ทำให้ผมไม่สามารถสุกเอาเผากินแบบนั้นได้ มันคงน่าขยะแขยงน่าดู หากจะใช้ชีวิตกับทรายพวกนี้ไปโดยไม่คิดล้างออก

     

     

     

    ผมเดินสวนกับชานยอลที่เพิ่งเดินเข้ามาในกระโจม ซึ่งเราก็แค่สวนกันเท่านั้น  เขาเข้ามา ในขณะที่ผมกำลังจะออกไป

     

     

     

    ผมเดินออกมาข้างนอก ดวงตะวันยังไม่ลับฟ้า แต่ก็ใกล้เต็มทน

     

     

     

    ความเลวร้ายมันเกิดขึ้นตอนที่ผมไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้หันกลับไปมองกระโจมได้ ผมหันหน้าไปมองมัน มือกำเสื้อผ้าในอ้อมแขนแน่น

     

     

     

    สุดท้ายผมก็เดินกลับเข้าไปอีกครั้ง เพื่อที่จะเป็นฝ่ายจูงชานยอลไปที่โอเอซิสด้วยกัน

     

     

     

    อย่างน้อยผมก็ควรจะตอบแทนความเมตตาปรานีที่เขาอุตส่าห์เจียดมาให้ในวันนี้ถูกไหมละ?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    โอเอซิสปี 3014 ล้อมด้วยเหล็กทั้งหมด น้ำตอนนี้จึงอุ่นจากอุณหภูมิที่อมมาทั้งวัน

     

     

     

    ชานยอลถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นก่อนจะเดินลงไปนั่งยังแอ่งที่ถูกออกแบบมาให้พักผ่อนโดยเฉพาะ ผมมองตามร่างกายกำยำของเขา แม้จะพยายามทำใจให้สงบ แต่มันก็อดเต้นแรงไม่ได้

     

     

     

    ผมยืนชั่งใจอยู่ซักพักก่อนจะเปลือยกายและเดินตามเขาไปอีกคน ผมเป็นผู้ชาย และไม่บริสุทธิ์แล้ว ที่สำคัญผมยังไม่มีเสน่หาพอที่เขาจะรัก ฉะนั้นการแก้ผ้าไม่ใช่เรื่องต้องม้วนอายแต่อย่างใด

     

     

     

    ผมแหวกกระแสน้ำอ่อนๆว่ายไปประชิดร่างกายสูงใหญ่ ก่อนเอื้อมมือไปชำระเอาคราบทรายออกให้จากผิวกายนั้น

     

     

     

    เม็ดทรายที่ติดอยู่ตามร่องแผลทำให้ผมจุกเสียด เพราะผมเขาถึงเจ็บตัว

     

     

     

    ผมลูบแผ่นอกของเขา ลำคอ ใบหน้า

     

     

     

    พระเจ้า... ผมไม่สามารถกักกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไปแล้ว

     

     

     

    ผมยกตัวขึ้นนั่งลงบนตักของเขา โอบกอดลำคอแกร่งและซบหน้าร้องไห้กับแผ่นอกที่อุ่นเสียยิ่งกว่าสายน้ำ

     

     

     

    มันคือระเบิดน้ำตาที่รวมความเศร้าจากทุกเรื่องราวเข้าด้วยกัน ตั้งแต่พบเจอจนกระทั่งปัจจุบัน นี่เป็นการร้องไห้ครั้งแรก หากไม่รวมตอนใช้เซรุ่ม

     

     

     

    เขาเอาไปแล้ว ...แบคฮยอนนักสู้ผู้อดทนคนนั้น ...ปาร์คชานยอลได้ฉกชิงเอาไปเป็นเจ้าของแล้วทั้งตัวและทั้งใจ

     

     

     

    มือใหญ่ลูบแผ่นหลังผมช้าๆ ก่อนจะรั้งเอวเข้ากอดแน่น  จากนั้นเขาก็เปล่งประโยคคำถามขึ้นมา หลังจากที่วันนี้เราแทบจะไม่ได้พูดกันเลย

     

     

     

    “มันจะเป็นไปได้ไหม...ที่นายจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับฉัน”

     

     

    “...” ผมตอบไม่ได้ เพราะยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก รู้เพียงแต่ว่าน้ำเสียงเขาอบอุ่น ฟังแล้วบรรเทาอาการสะอื้นได้ชะงักงัน

     

     

    “นายจะเคารพทุกการตัดสินใจของฉันรึเปล่า?”

     

     

    “...”

     

     

    “นายจะรักคนอย่างฉันได้ไหมแบคฮยอน?”

     

     

     

    ผมกระพริบตาปริบๆขณะเงยหน้าขึ้นมองตาผู้พูด ชานยอลฉายแววจริงจังในทั้งหมดของท่าทีที่เขาพอจะแสดงออกมาได้ คิ้วที่ขมวดเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายกล้า ริมฝีปากเรียบเป็นเส้นตรง

     

     

     

    เขาทำให้ผมประหลาดใจ เพราะที่ผ่านมาผมเป็นฝ่ายกลัวมาโดยตลอดว่าเขาจะรักคนอย่างผมได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ ชานยอลกลับถามคำถามที่บ่งบอกว่าเขาเองก็กลัว

     

     

    กลัวว่าผมจะไม่รักคนอย่างเขา

     

     

     

     

     

    ตะวันปริ่มขอบฟ้า สาดแสงส้มทองไปทั่วทั้งแผ่นดินทะเลทราย

     

     

    ผมไม่รู้แน่ชัดว่าความรักคืออะไร แต่จากนี้เราจะเรียนรู้ไปด้วยกัน เปลี่ยนแปลงและเดินทางไปสู่อีกเส้นทางหนึ่งที่ดีกว่าการฆ่าฟันอย่างที่ผ่านมา

     

     

    ก็อย่างที่เคยบอกไป ...ประวัติศาสตร์หน้าใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น

     

     

     

     

     

      

     

     

     

     

     

    100%

     

    TALK

     

    เราบอกไปใช่มะว่าจะทำอิมเมจ นั่น กากแมะ ทำได้แค่นี้แหละสุดปัญญาละ

    5555555555555

     

     

     

    ว้าวว!!

    ปรบมือสามที ปักธูปสามดอก

     

    เจอกันสาวๆ ว้าวว!!!

    ว้าวว!!

    ว๊าวววววววววววววว!!!

    (มึงจะว้าวทำไม อิ____อิ)

    #fic3014

     


     

     

     
     








     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×